สายน้ำ
|
|
« เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 12:43:12 AM » |
|
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้ไว้ด้วย
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 10-13 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้มีอากาศร้อนอบอ้าวขึ้น ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองได้บางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 14-15 มี.ค. ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้อีก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงได้อีก
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 14-15 มี.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงไว้ด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 12:50:49 AM » |
|
ไทยรัฐ
เรือท่องเที่ยวจมสยอง หายไป 7 ช่วยไว้ได้ 23 ชีวิต
เมื่อเช้าวันที่ 9 มี.ค. พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รอง ผกก.กก.8 บก.รน. รับแจ้งจากบริษัท ไดว์เอเชีย จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 24 ถนนกะรน ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต ว่า เรือของบริษัทชื่อเรือโชคสมบูรณ์ 19 พานักท่องเที่ยวและลูกเรือรวม 30 คน ไปดำน้ำชมปะการังที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา และจะกลับมา จ.ภูเก็ต แต่ขาดการติดต่อไป อาจเกิดเหตุร้ายขึ้นเนื่องจากมีพายุรุนแรง
หลังรับแจ้ง พ.ต.ท.ประเสริฐได้ประสานงานกองทัพเรือภาค 3 และตำรวจน้ำออกค้นหา จนทราบว่าเรือลำดังกล่าวอับปางลงห่างจากหาดป่าตองค่อนไปทางเกาะแก้วพิสดารประมาณ 20 กิโลเมตร และมีเรือประมงช่วยเหลือผู้โดยสารไว้ได้ 23 คน เป็นคนไทย 8 คน และชาวต่างชาติ 15 คน ยังสูญหายอีก 7 คน พร้อมกันนั้น ได้ส่งเรือตรวจการณ์ ต. 814 (คุณพุ่ม) ออกไปรับผู้รอดชีวิตมาขึ้นฝังที่ท่าเทียบเรือน้ำลึก ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปรอรับให้การช่วยเหลือ อาทิ นายสมิทธิ์ ปาลวัฒน์วิไชย รอง ผวจ.ภูเก็ต พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.3 กก.8 บก.รน. พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รอง ผกก. พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต นายโอฬาร เฮงเจริญ ขนส่งทางน้ำภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต นายโชตินรินทร์ เกิดสม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต น.ส.อโนมา ทองใหญ่ ผู้ช่วย ผอ.ททท. ภูเก็ต และตัวแทนจากบริษัท ไดว์เอเชีย จำกัด เจ้าของเรือโชคสมบูรณ์ 19
ขณะเดียวกัน มีแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตมารอให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทั้งหมดอยู่ในสภาพอิดโรย บางคนสวมเพียงกางเกงในตัวเดียว เมื่อได้พบกับเพื่อนที่รออยู่บนฝัง ต่างโผเข้ากอดและร้องไห้ เจ้าหน้าที่นำผู้รอดชีวิตทั้งหมดไปพักที่ห้องรับรองของท่าเรือ ซึ่งตั้งเป็นศูนย์ช่วยเหลือรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประสานงาน สำหรับคนที่หายไปยังไม่รู้ชะตากรรม มีกุ๊กคนไทย 1 คน นักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 2 คน สวิตเซอร์แลนด์ 2 คน ญี่ปุ่น 1 คน และเยอรมนี 1 คน รวม 7 คน
นายชาตรี หลีช่วย อายุ 54 ปี กัปตันเรือโชคสมบูรณ์ 19 อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 2 ต.ลำปี อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เปิดเผยว่า นำเรือออกจากท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 6 มี.ค. พานักท่องเที่ยวต่างชาติและลูกเรือรวม 30 คน ไปดำน้ำชมปะการังที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา และ 3 ทุ่มเมื่อคืนที่ผ่านมา นำเรือออกจากเกาะสิมิลันมุ่งหน้ามายังท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ขณะนำเรือออกจากเกาะสิมิลันสภาพอากาศและคลื่นลมยังคงปกติ
กัปตันเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อไปว่า ช่วง 5 ทุ่มขณะอยู่ห่างจากแหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ราว 12 ไมล์ทะเล ฝนตกหนักคลื่นลมแรง มีคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าตัวเรืออย่างจัง นักท่องเที่ยวและลูกเรือที่นอนหลับต่างตกใจตื่น ขณะที่เรือเอียงและจมลง ทุกคนพยายามช่วยตัวเองลงเรือยาง 2 ลำ บางคนจมไปกับเรือ ที่ผ่านมาพานักท่องเที่ยวกลับจากดำน้ำในเวลากลางคืนไม่เคยมีเหตุ ปัญหาเกิดจากคลื่นลมแรงและฝนตกหนัก
ส่วนนายนรินทร์ โวหาร อยู่บ้านเลขที่ 116 หมู่ 12 ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล หนึ่งในลูกเรือเล่าว่า ขณะเกิดเหตุอยู่บนชั้น 2 ของเรือ ลมแรงมากและฝนตกหนักทำให้เรือตะแคง จึงรีบลงเรือยาง บางคนลอยคอเกาะขอบเรือยางไว้ หลายคนถอดเสื้อผ้าออกเหลือกางเกงชั้นในตัวเดียว ตนตกใจมากทำงานมา 2 ปี ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วน น.ส. ธนพร รสดี อายุ 33 ปี พนักงานบาร์ประจำเรือบอกว่า อยู่ที่ห้องพักพนักงาน ได้ยินเสียงตะโกนให้หาทางออกจากเรือไปลงเรือยาง ถือว่าโชคดีที่รอดมาได้
ด้าน พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.3 กก.8 บก.รน.กล่าวว่า ต้องสอบปากคำกัปตันเรือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ และลูกเรือที่รอดชีวิต ได้ประสานกับกองทัพเรือภาค 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกค้นหาเรือและผู้สูญหาย ใช้ทั้งเฮลิคอปเตอร์ และหมวดบินเฉพาะกิจ กองทัพเรือภาค 3 รวมทั้งเรือตำรวจน้ำ
สำหรับเรือลำเกิดเหตุสร้างได้ประมาณ 2 ปี เป็นเรือเหล็ก 2 ชั้น ขนาด 184 ตันกรอส ความยาวตลอดลำ 25.10 เมตร กว้าง 6.20 เมตร ลึก 2.50 เมตร บริษัท ไดว์เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของ ได้รับใบสำคัญรับรองการตรวจเรือ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2551 ใช้งานได้ถึงวันที่ 8 ต.ค. 2552 บรรทุกผู้โดยสารได้ 38 คน คนประจำเรือ 8 คน และผู้โดยสาร 30 คน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
Birdie ที่ไม่ใช่กาแฟ
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:00:33 AM » |
|
ขอให้เจอนักท่องเที่ยวที่เหลืออีก 6 คนรวมทั้งพ่อครัวประจำเรือโชคสมบูรณ์ 19 ทั้งหมดโดยรอดปลอดภัยทุกคนด้วยค่ะ
ตอนสาวกทริปอันดามันใต้เตรียมตัวเดินทางกลับเช้าวันที่ 9 มีนา bird9774 ยังเห็นเรือคุณพุ่มจอดอยู่ที่ท่าเรือรัษฏาฯ ใกล้ ๆ เรือโชคศุลีเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:05:30 AM » |
|
ผู้จัดการออนไลน์
ห่วงปูม้าสูญพันธุ์หลังพบจับมาบริโภคก่อนวัยอันควร-กลุ่มอนุรักษ์เสนอใช้กฎหมายคุม ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กลุ่มอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านห่วงปัญหาทำประมงลอบปูม้า บริเวณชายฝั่ง เกรงทำปูม้าสูญพันธุ์หลังจับปูม้าขนาดเล็กบริโภคก่อนกำหนด เสนอขยายเขตทำประมงลอบปูม้าออกไป พร้อมใช้กฎหมายบังคับ นายสุทา ประทีป ณ ถลาง ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านอ่าวฉลอง จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงปัญหาการทำประมงลอบปูม้าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต หลังพบมีการทำลอบปูม้าในพื้นที่ชายฝั่งเพื่อจับปูม้าขนาดเล็กมาบริโภค ว่า การทำประมงลอบปูม้ามีปัญหาทุกพื้นที่ของจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของปูม้า โดยธรรมชาติปูม้าขนาดเล็กจะอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึกประมาณ 5 เมตร และปูม้าขนาดใหญ่จะอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึกประมาณ 20 เมตร แต่ปัจจุบันพบว่า มีการลักลอบทำประมงลอบปูม้าบริเวณชายฝั่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปูม้าขนาดเล็กมากขึ้นเพื่อนำมาบริโภคและจำหน่ายตามร้านค้าต่างๆ ทั้งนำไปชุบแป้งทอด ส้มตำปูม้า และอื่นๆ ซึ่งการลักลอบจับปูม้าขนาดเล็กไปบริโภคก่อนกำหนด จะทำให้ปูม้าหายากขึ้น และสูญพันธุ์ไปในที่สุด เนื่องจากเครื่องมือการทำประมงชายฝั่ง และลอบปูม้า เป็นเครื่องมือที่ทำลายล้างขนาดใหญ่ จึงอยากให้ประมงจังหวัดไปศึกษาถึงธรรมชาติของปูม้า เพื่อหามาตรการออกกฎหมายมาบังคับ การกำหนดเขตการทำประมงลอบปูม้า เพื่อกั้นแนวเขตกลุ่มทำประมงลอบปู เพราะเชื่อว่าถ้ามีกฎหมายห้ามที่ชัดเจนประชาชนก็ยินดีที่จะทำตาม ในขณะที่ นางสาวเพราลัย นุชหมอน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งอันดามัน กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการทำลายปูม้าขนาดเล็ก ว่า โดยส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยกับการขยายเขตการทำประมงลอบปูม้า เพราะเกรงว่าจะกระทบกับวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน ซึ่งในการแก้ไขปัญหานั้นควรจะเสนอให้มีการแก้ที่อุปกรณ์การทำประมงลอบปูม้าก่อน อาจจะขยายขนาดท้องลอบเพื่อให้ปูม้าตัวเล็กสามารถลอดผ่านไปได้ ในขณะที่ นายธนู แนบเนียน ผู้ประสานงานองค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติฝั่งอันดามัน กล่าวในเรื่องเดียวกัน ว่า ปัญหาการจับปูม้าก่อนวัยอันควร ควรจะกำหนดให้มีมาตรการควบคุมการใช้เครื่องมือการทำประมงแทนการกำหนดเขตการทำประมง โดยเครื่องมือที่ใช้ทำการประมงจะต้องมีตาที่ขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ปูขนาดเล็กสามารถออกไปได้ นอกจากนั้นควรจะต้องกำหนดให้มีการหามาตรการการเพิ่มผลผลิตปูม้าในแหล่งธรรมชาติ เช่น การไม่จับปูที่มีไข่ หรือการทำธนาคารปูไข่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:09:48 AM » |
|
ข่าวสด
เขตควบคุมมลพิษ : คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
การประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ต่างๆ จะอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 แห่งพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ระบุว่า
ในกรณีที่ปรากฏว่าท้องที่ใดมีปัญหามลพิษ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้ายแรง ถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้ท้องที่นั้นเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษได้
และตามมาตรา 37 60 และ 61 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน
ระบุให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในท้องที่เขตควบคุมมลพิษ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ ที่ครอบคลุมการจัดการมลพิษที่พื้นที่นั้นประสบอยู่
และจะต้องมีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ เพื่อลดและขจัดมลพิษอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ
โดยกรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่ประสานงาน ในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ และให้คำแนะนำทางวิชาการ ในการประกาศให้พื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดเป็นเขตควบคุมมลพิษ
โดยนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 เป็นต้นมา มีการประกาศเขตควบคุมมลพิษมาแล้ว 9 ฉบับคือ
1.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขตเมืองพัทยาเป็นเขตควบคุมมลพิษ
2.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขต จ.ภูเก็ต เป็นเขตควบคุมมลพิษ
3.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขต อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเขตควบคุมมลพิษ
4.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขตอำเภอเมือง จ.สงขลา เป็นเขตควบคุมมลพิษ
5.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขตหมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ เป็นเขตควบคุมมลพิษ
6.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2537) กำหนดให้ท้องที่ จ.สมุทรปราการ เป็นเขตควบคุมมลพิษ
7.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2538) กำหนดให้ท้องที่เขต จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี จ.สมุทรสาคร และ จ.นครปฐม เป็นเขตควบคุมมลพิษ
8.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2539) กำหนดให้ท้องที่เขต อ.บ้านแหลม อ.เมืองเพชรบุรี อ.ท่ายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน กับ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเขตควบคุมมลพิษ
9.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 23 (พ.ศ.2547) กำหนดให้ท้องที่เขต ต.หน้าพระลาน อ.เฉลิม พระเกียรติ จ.สระบุรี เป็นเขตควบคุมมลพิษ
และล่าสุดคือกรณีมาบตาพุด และอ.เมืองระยอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:19:18 AM » |
|
แนวหน้า
ทม.กระบี่ลงนาม สร้างท่าเทียบเรือ ดันการท่องเที่ยว กระบี่:นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานและร่วมลงนามในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กับเทศบาลเมือง (ทม.) กระบี่ ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษกระบี่มารีน่า ที่ห้องประชุมบันไทยสมอ สำนักงาน ทม.กระบี่
นายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายก ทม.กระบี่ เปิดเผยว่า ตามที่ ทม.กระบี่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวจำนวน 42.37 ล้านบาท เพื่อดำเนินการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ มารีน่า ซึ่งเทศบาลได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เเพื่อให้การดำเนินการโครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงได้จัดให้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวกับ ทม.กระบี่ ขึ้น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งสองจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้านการท่องเที่ยวแก่ประชาชน และ จ.กระบี่ได้เป็นอย่างดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
Sugary
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 05:50:41 AM » |
|
ขอให้พบเจอผู้สูญหายทั้งหมดโดยเร็ว และปลอดภัยกลับมาทุกคนนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Udomlert
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 06:12:36 AM » |
|
ติดตามข่าวอยู่ ขอคัดลอกมาจาก 2 ฉบับ ครับ
จากเดลินิวส์
เทศบาลเมืองกระบี่ ทำประชาพิจารณ์ขอความเห็นจากประชนโครงการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ หรือ มารีน่า ที่แม่น้ำกระบี่บริเวณสวนสาธารณะธาราเทศบาลเมืองกระบี่ และโครงการะมาณนดการดำเนินงานต่อไปสดงให้เห็นปรับปรุงพัฒนาเขาขนาบน้ำเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ผลประชาพิจารณ์ประกาศให้ทราบภายใน 15 วัน
27 มกราคม 2552 ที่ห้องช้างเผือก สำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่ ประชาชน นายกอบต./ผู้นำหมู่บ้าน ตัวแทนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กว่า 200 คน ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในการทำประชาพิจารณ์ โครงการสำคัญ ของสำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่ โดยมีนายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ นายสมประสงค์ โขมพัตร รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการท่องเที่ยว นายสนั่น ศิลารัตน์ รองปลัดเทศบาลเมืองกระบี่ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด พร้อมนำแบบแปลนการก่อสร้างแสดงให้เห็นจำนวน 2 โครงการ คือโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ หรือ มารีน่า ที่แม่น้ำกระบี่บริเวณสวนสาธารณะธาราเทศบาลเมืองกระบี่ งบประมาณจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจำนวน กว่า 42 ล้าน บาทโดยจะทำการก่อสร้างทุ่นจอดเรือที่สามารถรองรับเรือเข้าจอดเทียบท่าได้ จำนวน 49 ลำ พร้อมสิ่งนำนวยความสะดวกต่าง ๆ และงบจากจังหวัด จากเทศบาล งบประมาณ 22 ล้านบาท เพื่อโครงการะมาณนดการดำเนินงานต่อไปสดงให้เห็นปรับปรุงพัฒนาเขาขนาบน้ำเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ จะทำการงก่อสร้าง สะพานจอดเรือ 3 แห่ง ทางเดินขึ้นชมความสวยงามภายในถ้ำ การปรับพื้นที่ภายในถ้ำ การสร้างมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์โบราณไว้ภายในถ้ำ จำลองภาพบรรยากาศ การใช้ชีวิตของมนุษย์ถ้ำ ในสมัยโบราณ อาคารอเนกประสงค์ ห้องสุขา ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณด้านหน้าถ้ำ และการเดินสายเคเบิ้ลไฟฟ้าใต้น้ำคาดว่าหลังจากพัฒนาแล้วจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพราะอยู่ใกล้เมืองกระบี่
ซึ่งผลการทำประชาพิจารณ์ ของประชาชนทุกภาคส่วน ในวันนี้ มีทั้งที่เห็นด้วยในภาพรวมของโครงการ และไม่เห็นด้วยในรายละเอียดบางตอน มีการท้วงติงในส่วนที่ต้องหาแนวทางป้องกันการกระทบต่อประชาชนที่อาศัยในบริเวณที่จะทำท่าเรือมาริน่า ในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม ทางเทศบาลเมืองกระบี่ จะสรุปผลการทำประชาพิจารณ์ และประกาศให้ทราบโดยทั่วกันภายใน 15 วันนับแต่วันนี้เพื่อกำหนดการดำเนินงานต่อไป จากคุณ นิตยา มณีตน์ เมื่อวันที่ 27/1/2552 21:39:03 IP :
ผู้จัดการ 23/1/52
กระบี่ -เทศบาลเมืองกระบี่เชิญประชาชนร่วมทำประชาพิจารณ์ โครงการก่อสร้างท่าเรือมารีน่า และโครงการปรับปรุงเขาขนาบน้ำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ รวมงบประมาณทั้งสองโครงการกว่า 60 ล้านบาท นายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ กล่าวว่า ตามที่เทศบาลเมืองกระบี่ได้รับงบประมาณจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจำนวน 42 ล้าน 3 แสนบาท เพื่อทำการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ หรือ มารีน่า ที่ปากแม่น้ำกระบี่บริเวณสวนสาธารณะธาราเทศบาลเมืองกระบี่ โดยจะทำการก่อสร้างทุ่นจอดเรือ ที่สามารถรองรับเรือเข้าจอดเทียบท่าได้ จำนวน 49 ลำ พร้อมสิ่งนำนวยความสะดวกต่าง ๆ นอกจากนี้ เทศบาลเมืองกระบี่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 19,000,000 บาท และงบสนับสนุนจากเทศบาลกระบี่ อีก 300,000 บาท รวมเป็นงบประมาณ 22 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพัฒนาเขาขนาบน้ำ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ จะทำการก่อสร้างสะพานจอดเรือ 3 แห่ง ทางเดินขึ้นชมความสวยงามภายในถ้ำ การปรับพื้นที่ภายในถ้ำ การสร้างรูปมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์โบราณไว้ภายในถ้ำ จำลองภาพบรรยากาศ การใช้ชีวิตของมนุษย์ถ้ำ ในสมัยโบราณ อาคารอเนกประสงค์ ห้องสุขา ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณด้านหน้าถ้ำ และการเดินสายเคเบิลไฟฟ้าใต้น้ำ คาดว่าหลังจากพัฒนาแล้วจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพราะอยู่ใกล้เมืองกระบี่ เทศบาลเมืองกระบี่ จึงขอเชิญประชาชนร่วมทำประชาพิจารณ์ เพื่อรับฝังความคิดเห็นต่อการก่อสร้างทั้ง 2 โครงการขึ้นในวันที่ 27 มกราคม นี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไปที่ สำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 09:14:19 AM » |
|
พบร่างแหม่มสาว1ศพ คาดเป็นชาวออสเตรีย-สวิส [10 มี.ค. 52 - 11:20] ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (10 มี.ค.) ถึงความคืบหน้ากรณีเรือไดร์ฟวิ่ง หรือ เรือพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำดูปะการังในทะเลอันดามันโชคสมบูรณ์ 19 ของบริษัท ไดว์ฟ เอเชีย จำกัด ถูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดจนล่มและจมลงสู่ก้นทะเลลึกกว่า 70 เมตรระหว่างเดินทางกลับจากเกาะสิมิลัน จ.พังงา มายังท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ห่างจากแหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ตราว 20 กิโลเมตร เมื่อกลางดึกวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติและลูกเรือรวมทั้งสิ้น 30 คน ส่งผลให้มีผู้สูญหาย 7 คน เป็นกุ๊กชาวไทย 1 ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ โดยตำรวจน้ำภูเก็ตได้ส่งเรือ ต.814 (คุณพุ่ม) ออกไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและลูกเรือที่ได้รับการช่วยเหลือจากเรือประมงมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือน้ำลึก ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมาพร้อมกับให้การปฐมพยาบาลและดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติ-ลูกเรือชาวไทยที่รอดชีวิตจำนวน 23 คนเป็นอย่างดี ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ขาดน้ำและมีบาดแผลตามผิวหนังเล็กน้อย ส่วนการค้นหาผู้สูญหายทั้ง 7 คนตำรวจน้ำภูเก็ต-ทัพเรือภาค 3 และตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตได้ยุติการค้นหาเมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 มี.ค.เนื่องจากมีฝนตกและลมกรรโชกแรง โดยคาดว่าผู้สูญหายทั้ง 7 คนอาจเสียชีวิตแล้ว
ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 10 มี.ค.ที่ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังเก่า) นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตพร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมและหารือในการวางแผนช่วยเหลือผู้สูญหายและเก็บกู้ซากเรือโชคสมบูรณ์ 19 ที่จมลงก้นทะเลอันดามัน พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.8 กก.3 บก.รน.กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า นอกจากจะมีการประชุมร่วมกับทางจังหวัด เพื่อวางแผนและกำหนดมาตรการในการค้นหาผู้สูญหายและเก็บกู้ซากเรือที่จมลงสู่ก้นทะเลอันดามันให้เกิดความความครอบคลุม โดยในส่วนของตำรวจน้ำภูเก็ตได้ส่งเรือ ต.814 (คุณพุ่ม)พร้อมด้วยนักประดาน้ำ-มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตออกไปค้นหาผู้ที่สูญหาย พร้อมกับประสานกับทัพเรือภาค 3 ในการนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจบริเวณจุดที่เกิดเหตุ เพื่อให้เกิดความคลอบคลุมและมีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าจะทราบพิกัดในจุดเรือจมแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการประมาณการณ์ เมื่อเรือจมลงไปในทะเลแล้วอาจจะมีการเลื่อนไหลไปในใต้ทะเลได้ เพราะบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นร่องน้ำที่มีระดับความลึกกว่า 70 เมตร โดยขณะนี้ได้พบคราบน้ำมันที่ลอยตัวบนผิวน้ำบางแล้ว
พ.ต.อ.อนันต์กล่าวต่อว่า นอกจากเรือของตำรวจน้ำแล้วยังมีเรือตรวจการณ์ของทัพเรือภาค 3 ที่สามารถระดมออกไปค้นหาร่วมด้วย รวมทั้งยังได้มีการประสานงานกับชมรมดำน้ำภูเก็ต นักประดาน้ำมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตกรณีที่จะต้องลงไปดำสำรวจหาจุดที่ชัดเจนร่วมกับนักประดาน้ำของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง แต่คงต้องรอความชัดเจนของการค้นหาหรือดำเนินการอื่นๆ ยืนยันว่าเรือที่จมนั้นไม่ได้ขวางเส้นทางการเดินเรืออื่นๆ เนื่องจากจมในระดับน้ำลึก ขณะที่เรือประมงปกติจะกินน้ำลึกประมาณ 1-2 เมตรเท่านั้น ส่วนกรณีเรือสินค้าจะกินน้ำลึกประมาณ 10 เมตร จึงไม่มีผลแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ล่าสุด เจ้าหน้าที่พบร่างนักท่องเที่ยวสาว 1 ศพ อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็น 1 ใน 7 นักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ที่สูญหายจากเรืออับปางหนนี้หรือไม่http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=127089
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 09:16:55 AM » |
|
'เทพเทือก' ล้อมคอกเรือท่องเที่ยวสิมิลันอับปาง[10 มี.ค. 52 - 12:10] เมื่อเวลา 08.45น. วันนี้ (10 มี.ค.) ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเหตุการณ์เรือบรรทุกนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาดำน้ำที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ถูกพายุซัดอับปาง ว่า ยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ได้สั่งการให้ทางจังหวัดดูแลเรื่องนี้ เพราะโดยปกติจะมีการแจ้งเตือนสภาพดินฟ้าอากาศคลื่นลมกันตามปกติ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นความเสียใจจริง ๆ ตนไม่แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฟังรายงานสภาพอากาศหรืออย่างไร อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่กังวลใจถ้าหากเป็นความประมาท เพราะบางทีอาจจะเคยชินกับการรายงานสภาพอากาศ บางวันก็เลยไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่นึกว่าจะเป็นอะไร ตนก็ไม่ทราบ แต่จะไปติดต่อดู เพราะเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาก็ทำให้เสียชื่อเสียง กระทบต่อนักท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ได้ร่วมประชุมเรื่องการป้องกันอุบัติภัยในคณะกรรมการก็พูดกันเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ซึ่งจะย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลต่อไป แต่คงไม่ถึงขนาดต้องเดินทางลงไปดูในพื้นที่ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต้องดำเนินการและต้องย้ำตักเตือนผู้ประกอบการให้เชื่อฟังสิ่งที่ราชการรายงาน นายสุเทพ กล่าวhttp://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=127092
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
|