กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 22, 2024, 12:19:10 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2552  (อ่าน 3108 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 15, 2009, 11:51:42 PM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนอ่อนกำลังลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นและคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือโดยเฉพาะเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในขณะที่มีพายุฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 15-16 มี.ค. ความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่เข้าปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นและคลื่นลมใน อ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 17-21 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้อากาศร้อนขึ้นและมีฝนลดลง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 15-16 มี.ค. จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้ โดยให้หลีกเลี่ยงการอยู่ที่โล่งกลางแจ้งหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งควรงดใช้เครื่องมือสื่อสารหรือวัตถุที่อาจเป็นสื่อนำไฟฟ้าในขณะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ดังนั้นชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในช่วงวันที่ 15-17 มี.ค.



* Forecast2.jpg (39.67 KB, 684x423 - ดู 321 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 12:01:59 AM »

เดลินิวส์


น้อมนำแนวพระราชดำริ 'ป่าเปียก'   แก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า

นายสุวิทย์  คุณกิตติ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่ ทส.เสนอแผนการดำเนินงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยให้ดำเนินการขยายผลแนวพระราชดำริ “ป่าเปียก” ซึ่งเป็นแนวทางการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยใช้ความชุ่มชื้นให้ป่าเขียวตลอดเวลา ก็จะสามารถป้องกันไฟป่าได้
 
นอกจากนี้ตามมติ ครม.ยังให้ความเห็นชอบให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงบประมาณ พิจารณาจัดสรรงบประมาณ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าปี 51-54 เพื่อสามารถดำเนินงานควบคุมการเผาในที่โล่ง อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจัดสรรงบประมาณให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ ขยายผลแนวพระราชดำริป่าเปียกต่อไป
 
นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ทางกรมป่าไม้จะจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าตามแนวพระราชดำริป่าเปียก ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยใช้ความชุ่มชื้นให้ป่าเขียวตลอดเวลา จะสามารถป้องกันไฟป่าได้ ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้เมื่อมีไฟป่าเกิดขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคำนึงถึงการแก้ปัญหาด้วยการระดมสรรพกำลังกันดับไฟป่าให้มอดดับอย่างรวดเร็วเท่านั้น ซึ่งเห็นว่าไม่น่าจะเป็นแนวทางป้องกันไฟป่าได้สำเร็จและยั่งยืนในระยะยาว
 
“กรมป่าไม้เชื่อว่าการดำเนินการและวิธีการตามพระราชดำริป่าเปียกแล้วจะสามารถป้องกันไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริป่าเปียก มาแก้ปัญหาไฟป่า โดยจะจัดทำแผนงานโครงการต่าง ๆตามแนวทางและวิธีการที่เหมาะสมในแต่ละพื้น ที่ป่า เพื่อของบประมาณดำเนินการต่อไป” นายสมชัย กล่าว.


****************************************************************************************************************************


วิธีอาบแดดอย่างไรไม่ให้ดำ



 หน้าร้อนอย่างนี้ ใคร ๆ ก็คงอยากนอนอาบแดด แต่ว่าใครที่กลัวดำ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีนอนอาบแดดไม่ให้ดำมาบอก...

การอาบแดดจากดวงอาทิตย์มีประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน D ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น และทำให้กระดูกแข็งแรง แถมยังสร้างพลังให้ร่างกายไม่อ่อนแอหรือป่วยบ่อยด้วย

วิธีอาบแดดด้วยใบตอง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอาบแดดหรือคนที่ต้องการสีผิวสีแทนแต่ไม่ใช่ผิวคล้ำ แค่หาทำเลเหมาะ ๆ ยามแดดส่องช่วงก่อน 10 โมงเช้าหรือหลังบ่าย 3 โมงเย็นถือว่าเป็นช่วงที่ทำให้โดนแดดน้อยที่สุดและแสงแดดก็อ่อนตัวลงด้วย

อาบทาผิวด้วยน้ำมันมะกอก จากนั้นนอนหงายเอาใบตองมาคลุมตัวไว้สัก 3 ใบ ประมาณ 10-15 นาที แล้วเปลี่ยนท่านอนหงายเป็นนอนคว่ำ ทำตามสูตรเดิม วิธีนี้จะช่วยให้ผิวไม่คล้ำแดด เพราะมีใบตองคอยกรองแสงอาทิตย์ แถมรังสีจากแสงเขียว ๆ ยังไม่ค่อยมีอันตรายด้วย

เพียงเท่านี้ก็สามารถอาบแดดได้โดยผิวไม่คล้ำกันแล้ว ยังไงก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 12:10:04 AM »

มติชน


องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม                 :                 โดย สัญชัย สูติพันธ์วิหาร คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่ระดับนโยบาย กฎหมาย โครงสร้างและกลไกการบริหารจัดการ การติดตามประเมินผล และการขาดการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม จนทำให้เกิดประเด็นปัญหาความขัดแย้งและข้อพิพาทตามมามากมาย

จะเห็นได้ว่าแม้มีความพยายามของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทั้ง 2 ชุด ที่ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ จากเดิมให้รัฐต้องมีหน้าที่ดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง เปลี่ยนเป็นการกำหนดให้รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสงวน บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุล รวมทั้งมีส่วนร่วมในการส่งเสริม บำรุงรักษาและคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่ดี

และล่าสุด กรณีศาลปกครองสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศให้พื้นที่บริเวณมาบตาพุด จ.ระยอง และใกล้เคียงเป็น "เขตควบคุมมลพิษ" ตามที่ชาวบ้านได้ร่วมกันฟ้องให้รัฐปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งกรณีแม่เมาะ จ.ลำปาง ที่ศาลปกครองสั่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จ่ายค่าเสียหายแก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการผลิตกระแสไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ใช่มีเฉพาะ 2 กรณีที่เกิดขึ้นนี้เท่านั้น หากแต่ยังมีอีกหลายสิบกรณีที่เกิดขึ้นทั่วประเทศที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้ว่าในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 จะกำหนดให้มี "องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ" ไว้ในมาตรา 67 วรรค 2 ในหมวดสิทธิชุมชน ดังนี้

"...การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชน ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้ องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว" (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรค 20)

โดยหลักการและเหตุผลของมาตรานี้ที่ได้บัญญัติให้มี "องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ" ขึ้นเพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือสุขภาพ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติหรือสุขภาพ ก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้ดำรงอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิต

โดยเฉพาะการที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสุขภาพ ที่จะดำเนินการนั้นต้องผ่านขั้นตอน 3 ประการ คือ

1) ต้องทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA)

2) ต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่

3) ต้องให้องค์การอิสระสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ให้ความเห็น เพื่อประกอบการพิจารณา

ทั้ง 3 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นนี้ จะต้องดำเนินการก่อนที่โครงการหรือกิจกรรมดังกล่าวจะดำเนินการ ดังนั้น ก่อนที่หน่วยงานอนุมัติหรืออนุญาตจะพิจารณาตัดสินใจให้โครงการหรือกิจกรรมดำเนินการนั้น จะต้องพิจารณาว่าได้ผ่านขั้นตอนกระบวนการทั้งสามครบถ้วนแล้วหรือไม่

ประเด็นสำคัญขณะนี้ คือ ยังไม่มีกฎหมายจัดตั้งองค์การอิสระสิ่งแวดล้อมและสุขภาพแต่อย่างใด จึงไม่มีผลตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แม้ว่าในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ต้องจัดทำร่างกฎหมายเสนอต่อรัฐสภาภายใน 1 ปีก็ตามที ถึงแม้ระหว่างนี้จะมีความร่วมมือกัน (ร่าง) พระราชบัญญัติองค์การอิสระสิ่งแวดล้อมและสุขภาพฉบับประชาชนขึ้น และอยู่ระหว่างการขอผู้สนับสนุนให้ลงลายมือชื่อเพื่อร่วมกันเสนอกฎหมายให้ได้ไม่น้อยกว่า 10,000 คน ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญก็ตาม

ดังนั้น การสร้างกลไกให้ประชาชนสามารถพิทักษ์สิทธิในการมีส่วนร่วมของตนไว้โดยผ่านองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจึงยังไม่เป็นผลรูปธรรมในทางปฏิบัติ

คำถามคือ ความรับผิดชอบต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีส่วนร่วมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นจะอยู่ที่ใคร ในการส่งเสริมให้มีหลักประกันขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตต่อไป ทั้งในปัจจุบันและอนาคต หากยังมีการคิดว่าเหรียญมีเพียงด้านเดียว จึงมองเพียงด้านนั้น เสมือนกับการปิดบังอำพรางความจริงในอีกด้านหนึ่งของเหรียญซึ่งเกิดขึ้นจริง โดยมีหลักฐานข้อมูลชี้ชัดทางวิชาการ

ซึ่งศาลปกครองได้นำไปเป็นส่วนหนึ่งของผลการพิจารณาของศาลแล้วด้วย

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 12:12:46 AM »

ข่าวสด


หน.อุทยานแห่งชาติกุยบุรีวอนช่วยอนุรักษ์ช้างป่า

ประจวบคีรีขันธ์ - นายบุญลือ พูลนิล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ช้างไทยพบว่าในปัจจุบันจำนวนช้างป่าและช้างบ้าน อยู่ในภาวะที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 5 พันตัว แบ่งเป็นช้างป่า 2,000-2,500 ตัว และช้างบ้านอีก 3,000 เชือก มีการประเมินว่าหากทุกฝ่ายไม่ร่วมมือช่วยเหลือช้างไทยอย่างจริงจัง ช้างไทยอาจสูญพันธุ์ ซึ่งในปีนี้ อุทยานแห่งชาติกุยบุรีได้จัดงานสัปดาห์นับช้างป่าขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีและถูกต้องระหว่างคนกับช้างป่า

สำหรับกิจกรรมมีการวาดภาพ เขียนเรียงความ "สายสัมพันธ์คนช้างป่า" และกิจกรรมที่สำคัญคือ กิจกรรมนับช้างป่า ที่จะจัดขึ้นวันที่ 13-18 มีนาคมนี้ โดยเจ้าหน้าที่อุทยาน จะพานักท่องเที่ยวที่สนใจ เดินทางไปยังจุดดูช้าง ช่วงเย็น 16.00 น. เป็นต้นไป เพื่อช่วยกันนับจำนวนประชากรของช้างป่าในอุทยาน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ช้างไทยทั่วประเทศยังน่าเป็นห่วง แต่สำหรับพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเพราะมีประชากรช้างป่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโครงการพระราชดำริฯ ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2540 ซึ่งในปีดังกล่าวพบจำนวนช้างป่า 77 ตัว โดยในปี 2552 นี้ พื้นที่โครงการพระราชดำริฯ โซนเหนือ ล่าสุดนับจำนวนช้างป่าได้ 160 ตัว โซนใต้ อีก 30 กว่าตัว รวมเป็น 190 กว่าตัว ซึ่งแต่ละปีพบว่ามีจำนวนช้างป่าเกิดใหม่ประ มาณ 6 ตัว ส่วนสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ยังไม่ส่งผลกระทบกับช้างป่า เพราะ แหล่งน้ำของช้างทั้ง 11 บ่อ ยังมีน้ำอยู่เต็มยังเพียงพอต่อช้างและสัตว์ป่าอื่นๆ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 12:15:57 AM »

คม ชัด ลึก


"คนรุกป่าสู่ป่าเลี้ยงคน"ศรีถาวรพนา ตัวอย่างความสำเร็จฟื้น"ป่าเสื่อมโทรม"

จาก "ป่ารุกคน คนรุกป่าสู่ป่าเลี้ยงคน คนเลี้ยงป่า" ของชุมชนฟ้าประทานและบ้านศรีถาวรพนา ในท้องที่ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยบางทรายตอนบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่วันนี้ผืนป่ากว่า 2,000 ไร่

อดีตเป็นป่าเสื่อมโทรมกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ด้วยแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแนวการพัฒนาพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ 
 จากการประสานหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการร่วมกัน เพื่อเร่งรัดการจัดหา แหล่งน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค และทำการเกษตร ตลอดจนการพัฒนาอาชีพการเกษตร และศิลปาชีพ รวมทั้งการพัฒนาฟื้นฟูสภาพป่าและต้นน้ำลำธาร โดยให้มีการจัดการในลักษณะสหกรณ์การเกษตรหุบกระพง จ.เพชรบุรี

 หากย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว บ้านศรีถาวรพนา เริ่มก่อตั้งหมู่บ้าน โดยการนำของนายทองโอ พลกล้า พร้อมชาวบ้านในพื้นที่ บางส่วนก็อพยพมาจาก อ.เขาวง และ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อมาจับจองเป็นพื้นที่ทำกินและพื้นที่อาศัย จนกระทั่งได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินจากทางราชการให้ครัวเรือนละ 8 ไร่ และที่อยู่อาศัยหลังคาเรือนละ 1 งาน

 ตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาเป็นผู้ก่อสร้างให้แบบแปลนเดียวกันทั้งหมู่บ้าน มีลักษณะเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ปัจจุบันมีประชากรทั้งสิ้น 157 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทำไร่มันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพด มีรายได้เฉลี่ย 12,000-15,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี

 "ต้องยอมรับว่า พื้นที่แห่งนี้แต่เดิมที่เคยเป็นพื้นที่ป่าเบญจพรรณที่อุดมสมบูรณ์มาก มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก เพราะเป็นป่าต้นน้ำ ต่อมาถูกชาวบ้านบุกรุกแผ้วถางพื้นที่เพื่อจับจองครอบครองทำประโยชน์ปลูกมันสำปะหลัง จนกลายสภาพเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้" วิชัย จรูญธรรม เจ้าหน้าที่บริหารป่าไม้ 7 กรมป่าไม้ หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ป่าห้วยบางทรายตอนบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ย้อนอดีตให้ฟัง

 วิชัยเผยต่อว่า ชุมชนฟ้าประทานและบ้านศรีถาวรพนาเป็นหมู่บ้านจัดตั้งโดยกรมป่าไม้ เพื่อรองรับการอพยพของราษฎรออกจากพื้นที่ล่อแหลมในเขตป่าอนุรักษ์ตามแนวทาง "คนอยู่ร่วมป่าเชิงอนุรักษ์และยั่งยืน" ซึ่งเดิมพื้นที่นี้เรียกว่า "ดงด่านขี้" มีห้วยไผ่และห้วยยางขนาบข้างเป็นแนวเขตด้านซ้ายและขวา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหมู แปลงที่ 3 ซึ่งกันออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน อยู่ในพื้นที่ฟื้นฟูและพัฒนาป่าไม้ในโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยบางทรายตอนบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีสำนักงานป่าไม้จังหวัดมุกดาหารเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งดูแลพัฒนาและประสานงานการปฏิบัติการพัฒนาจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 

 หัวหน้าโครงการคนเดิมระบุอีกว่า แนวทางฟื้นฟูสภาพป่าให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อย่างเดิมนั้น มีด้วยกัน 5 แนวทาง ประการแรก ส่งเสริมการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โดยเพาะชำกล้าไม้ ใช้สอยไม้ผลและไม้เศรษฐกิจตามแนวพระราชดำริ ได้แก่ หมากเม่า ไผ่ป่า และหวายดง
 
 "เราจะเน้นให้ราษฎรในพื้นที่มีส่วนร่วมในการปลูกพืชอาหารป่า เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ดินและสนับสนุนการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างถูกวิธี ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตพืชป่าที่มีความหลากหลายและสามารถใช้ประโยชน์จากหน่อและลำต้นสำหรับการบริโภค และแปรรูปเป็นสินค้าจำหน่ายเพิ่มรายได้เสริมให้แก่พวกเขา"
 วิชัยย้ำว่า ประการต่อมาต้องฝึกอบรมเยาวชนรักษ์ป่าพิทักษ์แผ่นดินแม่ เพื่อให้เยาวชนเป็นแนวร่วมสร้างเครือข่ายการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและทรัพยากรน้ำ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่เยาวชนและราษฎรมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า และทรัพยากรธรรมชาติ ประการที่สาม อบรมราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) เพื่อให้ “คน” และ “ป่า” สามารถอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทำให้ราษฎรเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมจากผู้บุกรุกทำลายป่า มาเป็นคนดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากป่าอย่างยั่งยืน 

 ประการที่สี่ ฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณต้นน้ำภายในพื้นที่โครงการ โดยการเพาะชำกล้าไม้ชนิดต่างๆ 2 แสนกล้า ได้แก่ ประดู่ สัก ไผ่ สะเดา ขี้เหล็ก นนทรี ยางนา ตีนเป็ด มะกอกป่า พันชาด เม่า เต็ง และส่งเสริมราษฎรในท้องถิ่นปลูกป่าซ่อมแซมป่าเสื่อมโทรมพื้นที่ 1,000 ไร่ และประการสุดท้าย ก่อสร้างฝายต้นน้ำลำธารแบบผสมผสาน (Check Dam) 200 ฝาย เพื่อกักเก็บน้ำไว้บนภูเขา สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ป่าไม้ ดิน และบรรยากาศไม่ให้เกิดความแห้งแล้ง โดยใช้แรงงานจากราษฎรในพื้นที่ เป็นการสร้างงานและรายได้แก่ราษฎรด้วย

 ผลสำเร็จของการพัฒนาป่าไม้ที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมในปี 2549 ได้แก่ หมู่บ้านศรีถาวรพนาได้รับรางวัลชมเชยด้านการบริหารจัดการพื้นที่ป่าระดับภาค ที่สามารถฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมให้คืนความอุดมสมบูรณ์ โดยที่ราษฎรมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ซึ่งจัดโดยสำนักงาน กปร. เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 12:21:17 AM »

เนชั่นทันข่าว


ภาวะน้ำเค็มหนุนแม่น้ำปราจีนบุรี
 
นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้อำนวยการ`โครงการชลประทาน จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ในช่วงฤดูแล้งนี้ มีสถานการณ์ภาวะน้ำเค็มหนุนลุ่มน้ำบางปะกง - แม่น้ำปราจีนบุรี จากการตรวจวัดระดับความเค็มในแม่น้ำปราจีนบุรีสัปดาห์ละ 3 ครั้งล่าสุดที่ประตูปิดเปิดน้ำบางพลวง อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรีพบว่า ค่าความเค็มจากภาวะน้ำเค็มหนุนแม่น้ำปราจีนบุรีขณะนี้เป็นอันตรายต่อพืชผลการเกษตร (ค่าความเค็มระดับ 2 กรัม/ลิตรเป็นอันตรายต่อพืช)โดยระดับความเค็มในแม่น้ำปราจีนบุรีที่วัดได้ขณะนี้ 2.3กรัม/ลิตร ซึ่งเป็นอันตรายต่อพืชผลการเกษตร โดยจุดดังกล่าวนี้ยังทรงตัวห่างจากตัว อ.เมืองปราจีนบุรี ระยะ 10 กม. ซึ่งชาวบ้านที่ใช้น้ำจากคลองชลประทานบางพลวงเริ่มมีปัญหาเดือดร้อน

นายสัญญา กล่าวต่อไปว่า ได้รายงานสถานการณ์ภาวะน้ำเค็มหนุนต่อนายธวัชชัย เทอดเผาไทย ผวจ.ปราจีนบุรี ทุกสัปดาห์ ๆ ละ 2 ครั้ง เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน เกษตรกร และประมงจ.ปราจีนบุรีที่จะมีผลกระทบต่อภาคการเกษตร การประมงนำเพื่อการอุปโภค/บริโภคต่อไป

คาดหวังว่าฝนจากช่วงพายุฤดูร้อนจะช่วยทำให้เกิดความเจือจางผลักดันน้ำเค็มได้บ้างช่วงระยะนี้ ในเบื้องต้นนี้เนื่องจาก จ.ปราจีนบุรีไม่มีแหล่งน้ำต้นทุนในการผลักดันภาวะน้ำเค็มทหนุนช่วงฤดูแล้งได้ขอสนับสนุนน้ำจากจากเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก ปล่อยน้ำวันละ 300,000 ลบ.ม./วันมาผลักดันน้ำที่ อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี เขื่อนพระปรงจาก จ.สระแก้วผ่านแควพระปรงวันละ 150,000 ลบ.ม./วัน ช่วยการผลิตน้ำประปาเทศบาลตำบลเมืองเก่า และ อ.กบินทร์บุรี

นอกจากนี้ยังขอรับสนับสนุนน้ำจืดจากเขื่อนแควสียัด จ.ฉะเชิงเทรา ในการผลักดันน้ำเค็มอีกแรงหนึ่งที่ชะลอไม่ให้น้ำเค็มขึ้นสูงถึงต้นแม่น้ำปราจีนบุรีในช่วงปลายเดือนมี.ค. - เม.ย. นี้ที่จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูฝนที่จะผลักดันน้ำเค็มได้ ตลอดรวมถึงการพิจารณาบริหารการปิด - เปิดบานประตูระบายน้ำหากพบค่าความเค็มระดับ 2.00 กรัม/ลิตรจะไม่ปล่อยน้ำผ่านโดยเด็ดขาดเนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อดินระยะยาวในการสะสมความเค็มได้

" อยากฝากไปถึงผู้ใช้น้ำทั้งหมด รวมถึงเกษตรกรโดยเฉพาะนาปรังที่ยังไม่ได้ปลูกข้าวนาปรังรอบใหม่ขอให้งดการปลูกไว้ก่อนเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมาก หากสูบน้ำมาก ๆ มาใช้โดยเฉพาะต้นแม่น้ำปราจีนบุรีจะทำให้น้ำเค็มหนุนเร็วยิ่งขึ้นพร้อมใช้น้ำประหยัดควรแบ่งปันหรือสำรองกักเก็บน้ำจืดให้มากที่สุด"นายสัญญากล่าวในที่สุด

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 03:07:13 AM »

เมื่อคืนดูข่าว 3 มิติ มีคนนำ Clip เรือประมง ที่ออกหาปลารอบๆๆ หมู่เกาะสิมิลัน มานำเสนอ ( หรือประจานน๊า)

ไม่รู้ว่า อุทยานฯ หรือเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องเค้าจะทำอย่างไร   เห็นว่ารอบๆๆ 3000 mtr. ห้ามทำการประมง

แต่ไม่ได้ห้ามไม้ให้เรือประมงไปจอด  ในระยะที่จอด เค้าก็ทำงาน ซึ่งก็อาจจะมีการตัดอวนและ นำเศษอวนทิ้งทะเล

ก็เลยดูเหมือนว่าทำการประมง ในน่านน้ำที่หวงห้าม......

งานนี้จะออกมาในรูปแบบใด  เงินหรือความคุ้นเคยของเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการจะสามารถ ง้างกฎหมาย ได้หรือไม่

น่าสนใจ และ น่าติดตาม  อัศวินขี่ม้าขาว จะมาช่วยได้หรือไม่  SNR จะคอยติดตามค่ะ.....

แต่อย่างไรก็ตาม  เอ๊ะๆๆ อย่าทิ้งขยะนะจ๊ะ ตาวิเศษเห็นน๊ะ....
บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
แม่หอย
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1404



« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 16, 2009, 02:27:27 PM »

  .. คิก คิก.. อ่านข่าววันนี้แล้วขำวิธีอาบแดดไม่ให้ดำ..
นึกภาพใครสักคนนอนเอาใบตองคลุมตัว.. ดูแล้วคงพิลึกดีนะคะพี่น้อง..
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.058 วินาที กับ 21 คำสั่ง