กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 21, 2024, 12:31:22 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 6 สิงหาคม 2551  (อ่าน 1951 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: สิงหาคม 06, 2008, 12:49:08 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงยังคงพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย อาทิเช่นจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ เพชรบูรณ์ หนองคาย สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ และอุบลราชธานี  ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายจากการเดินเรือในระยะ 1-2 วันนี้ ( 6-8 ส.ค.)ไว้ด้วย

อนึ่ง ผู้ที่จะเดินทางไปมาเก๊าและฮ่องกง ขอให้ตรวจสอบสภาวะอากาศก่อนออกเดินทางเนื่องจากพายุโซนร้อน ”คัมมุริ” ในทะเลจีนใต้ตอนบน กำลังจะเคลื่อนเข้าบริเวณดังกล่าว


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง  อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 34 องศา  ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 5-8 ส.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น และ ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมี ฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้เกือบตลอดสัปดาห์ สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 9-11 ส.ค.มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังอ่อนลง และร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนลดลง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นและเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศจีนตอนใต้ ในระหว่างวันที่ 6-7 ส.ค.นี้ พายุนี้ไม่ผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 5-8 ส.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิเช่น บริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ หนองคาย สกลนคร อุดรธานี นครพนม ขอนแก่นและกาฬสินธุ์ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ และชาวเรือในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนขอให้ระวังอันตรายในการเดินเรือ โดยเรือเล็กในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย
 
 


* Forecast2.jpg (39.69 KB, 665x415 - ดู 299 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (33.53 KB, 400x440 - ดู 294 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 07, 2008, 12:22:58 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2008, 12:54:18 AM »

เดลินิวส์


ขโมยฉลาม



 ที่ลอนดอน อังกฤษ ตำรวจเร่งตามล่ามือมืดย่องขโมยปลาฉลามหายากสายพันธุ์หนึ่ง จากตู้ปลาของศูนย์แสดงสัตว์น้ำ

ปลาฉลาม 2 ตัว หายไป ตัวหนึ่งเป็นเพศผู้ และอีกตัวเพศเมีย มีลายจุดสีน้ำตาลทั่วลำตัว ยาว 2 ฟุต ทั้งคู่มีนำหนักรวมราว 5 หมื่นปอนด์!

เจ้าของศูนย์แสดงสัตว์น้ำ เผย “เราอยากได้ปลาฉลามทั้ง 2 ตัวคืน และเรายอมจ่ายไม่อั้น หากโจรเรียกค่าไถ่ตัวฉลาม ขอแค่อย่าทำร้ายหรือฆ่าฉลามคู่นั้นเลย”

“เราคาดว่า โจรจะต้องใช้กระเป๋า หรือวัสดุชนิดพิเศษที่แข็งแรง สามารถบรรจุน้ำได้ รวมทั้งอุปกรณ์การจับขณะเคลื่อนย้ายฉลาม เพราะด้วยนิสัย ฉลามเป็นสัตว์น้ำที่ดุร้าย และหงุดหงิดเมื่อถูกรบกวน” เจ้าของศูนย์ฯ เผย.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2008, 01:01:33 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ธรณีพิโรธ 6.1 ริกเตอร์ ถล่มเสฉวนอีก ตาย 2 เจ็บ 22


ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่บริเวณเขตรอยต่อระหว่างมณฑลเสฉวนและมณฑลกานซู่

       ซินหัว/จงซิน - สามวันก่อนเปิดโอลิมปิก ชาวจีนซวยซ้ำ มณฑลเสฉวนเกิดอาฟเตอร์ช็อคขนาด 6.1 ริกเตอร์อีก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2 คน เจ็บ 22 คน โดยในนี้มีสาหัส 10 คน
       
       วันนี้ (5 ส.ค.) เวลา 17.49น. ตามเวลาท้องถิ่นของอำเภอชิงชวน เมืองกว่างหยวน มณฑลเสฉวน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 ริกเตอร์ขึ้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 คน มีผู้บาดเจ็บสาหัส 10 คน และ 12 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สำหรับรายละเอียดความเสียหาย ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่จีน
       
       นายหม่า เจี้ยน หัวหน้าคณะกรรมการอำเภอชิงชวนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า อาฟเตอร์ช็อคครั้งนี้ส่งผลให้การสื่อสารในหมู่บ้านเหยาตู้ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวถูกตัดขาด โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวแล้ว เพื่อดำเนินการกู้ภัยและให้การรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
       
       ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ส.ค.) ในเวลา 16.32น. ในพื้นที่อำเภอผิงอู่ เมืองเหมียนหยังและอำเภอเป่ยชวน มณฑลเสฉวน ก็เกิดเหตุอาฟเตอร์ช็อคขนาด 6.1 ริกเตอร์มาแล้ว โดยส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 231 คน โดยในจำนวนนี้มี 4 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส
       
       เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรง 8 ริกเตอร์ ในอำเภอเวิ่นชวน มณฑลเสฉวน และอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกนับครั้งไม่ถ้วน โดยแผ่นดินไหวครั้งดังกล่าวถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีการทำลายล้าง และส่งผลกระทบมากที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ.1949 ทั้งยังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 70,000 คน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 370,000คน และมีผู้สูญหายมากกว่า 18,000 คน
       
       สำหรับแผ่นดินไหวย่อยในเสฉวนครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนที่มหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งจะเปิดฉากเพียง 3 วัน โดยพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งจะเริ่มขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 ส.ค.นี้


*************************************************************************************************


เผยลิงทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งเสี่ยงเผชิญภาวะสูญพันธุ์

       รายงานจากสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น) ระบุเมื่อวันอังคาร (5) ว่าลิงทั้งชนิดที่มีหางและไม่มีหางราวครึ่งหนึ่งในทั่วโลกกำลังเผชิญกับการคุกคามที่อาจถึงขั้นสูญพันธุ์ได้ จากปัญหาการตัดไม่ทำลายป่าและการถูกล่าเป็นอาหาร
       
        ทั้งนี้ ไอยูซีเอ็นได้ประเมิน "บัญชีรายชื่อสีแดง" ของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ พบว่า 48 เปอร์เซ็นต์ของสัตว์ไพรเมทจำนวน 634 สายพันธุ์และสายพันธุ์ย่อย ซึ่งได้แก่สัตว์ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด คือ ชิมแปนซี อุรังอุตัง ชะนี และลีเมอร์ กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ได้ เปรียบเทียบกับรายงานที่จัดทำขึ้นเมื่อห้าปีก่อนซึ่งพบว่ามีไพรเมทราว 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูญพันธุ์


***************************************************************************************************


เดินทางไกลไป "ปลูกป่า" ปล่อยคาร์บอนมากกว่าต้นไม้สามารถดูดคืน


หากมีจิตสำนึกที่จะปลูกป่า เลือกทำเลที่อยู่ใกล้ๆ ไปมาสะดวก ช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า

เลขาฯ สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแจง ตลอดชีวิตต้นไม้ 1 ต้นดูดคาร์บอนแค่ 1 ตัน ถ้าเดินทางไปปลูกป่าที่ไกลๆ จะได้ชื่อว่าแค่สร้างภาพ เพราะการเดินทางไปปลูกป่า ปล่อยคาร์บอนมากกว่าปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้จะดูดกลับคืน แนะปลูกใกล้ๆ และที่ที่มีคนดูแล อย่างโรงเรียนหรือวัดเพื่อจะได้มีคนดูแล
       
       สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรม Save our earth...Love our life ระหว่างวันที่ 1-3 ส.ค.51 ณ เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการอบรมหลักสูตร "การประชาสัมพันธ์ธุรกิจแผนใหม่" โดยมีนักประชาสัมพันธ์จากกว่า 50 องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงได้ร่วมติดตามการทำกิจกรรมที่ "ศูนย์รวมตะวัน" ของสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่อยู่ตรงข้ามกับหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยสะด่อง เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
       
       โอกาสนี้ ดร.ศันสนีย์ กีรติวิริยาภรณ์ เลขาธิการสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความรู้แก่ผู้สื่อข่าวภายหลังทำกิจกรรมจัดลำดับพืชที่มีดูดซับคาร์บอนมากที่สุด โดยส่วนใหญ่เป็นไม้ใหญ่ที่อยู่ในป่าเบญจพรรณ อาทิ สัก มะค่าแต้ แดง ตะแบก และประดู่ป่า เป็นต้น และตลอดอายุของต้นไม้เหล่านี้จะดูดซับคาร์บอนได้เพียงเฉลี่ยต้นละ 1 ตันเท่านั้น
       
       ดังนั้นโครงการปลูกป่าที่เลือกสถานที่ไกลๆ จึงไม่ได้ช่วย ที่จะลดปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ เพราะการเดินทางไปปลูกป่า อย่างการโดยสารรถยนต์หรือเครื่องบินนั้นปลดปล่อยคาร์บอนมากกว่าปริมาณที่ไม้ 1 ต้นดูดซับไว้เสียอีก
       
      "ปลูกต้นไม้ไกลๆ จะได้ชื่อแค่ว่าสร้างภาพเท่านั้น ถ้าเราอยู่กรุงเทพฯ แต่ต้องบินไปปลูกป่าที่เชียงใหม่ ปล่อยคาร์บอนที 800 กิโลกรัม แต่ทั้งปีต้นไม้ดูดกลับคืนได้แค่ 10 กิโลกรัม ปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากการเดินทางนั้นมากกว่าที่ต้นไม้ดูดคาร์บอนเสียอีก" ดร.ศันสนีย์กล่าว
       
       พร้อมชี้ข้อสังเกตว่า หลังเอาต้นไม้ลงดินแล้ว มีต้นไม้ไม่กี่ต้นที่รอด ดังนั้นจึงแนะแนวทางการปลูกป่าที่ยั่งยืนว่า ควรปลูกในบริเวณใกล้ๆ กับองค์กร และควรปลูกแบบมีเจ้าภาพ คือปลูกในสถานที่มีคนดูแลได้ เช่น โรงเรียนหรือวัด เป็นต้น พร้อมยกตัวอย่างว่า หากโรงเรียนมีโครงการปลูกต้นไม้ประจำตัวสำหรับนักเรียน ก็จะช่วยปลูกจิตสำนึกให้เขาผูกพันกับต้นไม้ได้.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2008, 01:08:04 AM »

มติชน


ยานใต้น้ำฝีมือคนไทย เพื่อการพึ่งพาตนเองของกองทัพ                     :                   โดย นาวาเอก วิพันธุ์ ชมะโชติ


(ซ้ายบน) อุปกรณ์ภายในตัวยานใต้น้ำ
(ขวาบน) ยานใต้น้ำรอการทดสอบ
(ล่าง) ปล่อยยานให้ดำลงตามโปรแกรมที่ตั้งไว้

 
พลิ้วน้ำที่หัวเรือแตกเป็นฝอยขาวแหวกออกเป็นทางขณะที่เรือฟริเกตของราชนาวีไทยเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับสัญญาณโซนาร์ที่ส่งออกจากโดมที่ติดอยู่ใต้ท้องเรือแผ่กระจายออกไปรอบทิศ เพื่อค้นหาเป้าที่กำลังลดเลี้ยว ซ่อนพรางตนเองอยู่ใต้สมุทร รอโอกาสและจังหวะเข้าจู่โจม ก่อกวน

นี่คือยุทธวิธีของการปราบเรือดำน้ำอันเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญยิ่งของกองทัพเรือ

เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว ราชนาวีไทยถือเป็นชาติแรกในภูมิภาคอินโดจีนที่มีเรือดำน้ำ อันมีที่มาจาก "เรือ ส" หรือสับมารีน (Submarine) ตามที่ จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม สมเด็จพระบรมราชชนก มีพระดำริและจัดทำรายงานโครงการไว้ เมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นนายเรือโทรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ เป็นเวลา 9 เดือน 11 วัน

ทว่า น่าเสียดายที่โครงการเรือดำน้ำของไทยไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาต่อมา ทำให้ปัจจุบันกองทัพเรือไม่มี "เรือดำน้ำ" อยู่ในประจำการ จึงต้องรอคอยโอกาสที่เรือดำน้ำจากมิตรประเทศเดินทางเข้ามายังน่านน้ำไทย และอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวทำการฝึกโดยใช้เรือดำน้ำต่างชาติเป็นเป้าในการค้นหา ซึ่งความเป็นไปดังกล่าวทำให้การฝึกปราบเรือดำน้ำของกองทัพเรือไม่ได้ผลอย่างเต็มที่

ปัญหาดังกล่าวทำให้คณะนักวิจัยของกองทัพไทยพร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และช่างเทคนิค ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมกันจัดทำโครงการวิจัยและพัฒนายานใต้น้ำไร้คนขับ เพื่อใช้เป็น "เป้าฝึกปราบเรือดำน้ำ"


(ขวา) ยานใต้น้ำขณะทดสอบในถังทดลอง

สำหรับกองทัพเรือ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการเผชิญกับภัยคุกคามใต้ทะเลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว ยังจะเป็นไปตามนโยบายการพึ่งพาตนเองของกระทรวงกลาโหมอีกทางหนึ่งด้วย

พลเรือเอก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ วีรวัฒน์ วงษ์ดนตรี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา อดีตเจ้ากรมอู่ทหารเรือ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัย หรือนายทหารโครงการ กล่าวว่า

"โครงการวิจัยและพัฒนายานใต้น้ำไร้คนขับเพื่อใช้เป็นเป้าฝึกปราบเรือดำน้ำ ดำเนินการลุล่วงมาแล้วในขั้นที่ 1 โดยคณะวิจัยสามารถสร้างยานใต้น้ำที่มีคุณลักษณะคล้ายกับเป้าฝึกปราบเรือดำน้ำของต่างประเทศ แต่มีราคาถูกกว่า โดยใช้งบประมาณเพียง 3 แสนบาท และโครงการดังกล่าวได้รับรางวัลชมเชยจากสภาวิจัยแห่งชาติ เมื่อปี 2543"

แม้โครงการในขั้นที่ 1 จะประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของคณะวิจัย เนื่องจากยานใต้น้ำดังกล่าวยังมีข้อจำกัดหลายประการ

อาทิ ตัวยานยังมีปัญหาการรั่วซึมที่เปลือกเรือ การแล่นใต้น้ำซึ่งใช้พลังงานแบตเตอรี่เช่นเดียวกับเรือดำน้ำธรรมดา ยังไม่สามารถตั้งโปรแกรมกำหนดทิศทางได้ตามความต้องการ อีกทั้งยังมีปัญหาความยุ่งยากในการเก็บกู้ขึ้นมาใช้งานใหม่หลังจากยานลอยตัวขึ้นมาเมื่อหมดพลังขับเคลื่อน


(ซ้าย) นักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในโรงงานสร้างยานใต้น้ำ

นอกจากนี้ ไฮโดรโฟนของยานยังส่งสัญญาณเสียงใต้น้ำได้ไม่มากพอ ทำให้การตรวจจับสัญญาณของพนักงานโซนาร์บนเรือผิวน้ำกระทำได้เฉพาะในระยะใกล้ และเป็นการตรวจจับโดยอาศัยเสียงที่ส่งมาจากเป้าฝ่ายเดียว (PASSIVE MODE) ไม่ใช่การตรวจจับโดยสัญญาณที่เรือผิวน้ำส่งไปกระทบเป้าและสะท้อนกลับมา (ACTIVE MODE)

การวิจัยและพัฒนาในขั้นที่ 2 จึงมุ่งที่จะปรับปรุงยานใต้น้ำไร้คนขับให้มีสมรรถนะดีขึ้นในทุกๆ ด้าน กล่าวคือ พัฒนาโปรแกรมควบคุมให้สามารถตั้งค่าตัวแปรต่างๆ เพื่อกำหนดทิศทางและรูปแบบลักษณะการเคลื่อนที่ตามที่ผู้ใช้ต้องการ แทนที่ยานจะเคลื่อนที่แบบอิสระตามวิถีของมันเอง และให้สามารถส่งสัญญาณเสียงได้ดังขึ้นและไกลขึ้น ในลักษณะเดียวกับสัญญาณเสียงจากเรือดำน้ำจริง

และเนื่องจากกองทัพไทยมีงบประมาณจำกัด การพัฒนาและปรับปรุงในขั้นที่ 2 จึงเพิ่มคุณลักษณะให้ยานสามารถส่งสัญญาณกลับมายังเรือผิวน้ำ หลังจากที่มันลอยลำขึ้นเมื่อหมดพลังขับเคลื่อน เพื่อให้สามารถเก็บกู้ได้อย่างสะดวกและนำกลับมาใช้งานได้ เป็นการประหยัดและคุ้มค่าต่อการลงทุน

ยานใต้น้ำไร้คนขับในขั้นที่ 2 นี้ มีความยาวประมาณ 3 เมตร รูปร่างคล้ายตอร์ปิโด น้ำหนักประมาณ 300 กิโลกรัม ทำความเร็วได้ 5 น็อต ดำได้ลึก 30 เมตร อยู่ใต้น้ำได้นาน 90 นาที

ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นที่ศูนย์ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 8-22 สิงหาคมนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน สำนักงานวิจัยกระทรวงกลาโหมจะนำยานใต้น้ำไร้คนขับไปจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าชมผลงาน รวมทั้งงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ของกองทัพ

"ความก้าวหน้าของโครงการในปัจจุบันอยู่ในระยะสุดท้าย ซึ่งจะเป็นการทดสอบการทำงานของยานใต้น้ำในทะเลบริเวณอ่าวสัตหีบ จ.ชลบุรี และจะปิดโครงการภายในวันที่ 30 กันยายน 2551 เพื่อส่งมอบยานใต้น้ำไร้คนขับ จำนวน 3 ลำ ให้กองทัพเรือไว้ใช้ราชการต่อไป" พลเรือเอก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ วีรวัฒน์กล่าวเพิ่มเติม

สิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งคือโครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพกับหน่วยงานพลเรือน และภาคเอกชน ได้แก่ กรมอู่ทหารเรือ กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ คณาจารย์และนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมการบินและอากาศยาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท นนทรี จำกัด ซึ่งได้ทำงานร่วมกันด้วยความวิริยะอุตสาหะหลายปีเพื่อให้ได้ "ยานใต้น้ำ" แล้วยังแสดงให้เห็นบทบาทของ "นักวิจัยคนไทย" บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองของกองทัพเรือ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.09 วินาที กับ 20 คำสั่ง