กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 21, 2024, 09:58:47 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2551  (อ่าน 1969 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« เมื่อ: กันยายน 08, 2008, 02:06:16 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทุกภาคมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย อาทิเช่นบริเวณจังหวัดเชียงราย เพชรบูรณ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในระยะ 1-2 วันนี้ไว้ด้วย

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 34 องศา
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในระยะนี้ ร่องมรสุมหรือร่องความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น และในช่วงวันที่ 9-10 ก.ย. จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างเคลื่อนเข้าปลายแหลมญวน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นด้วย

ข้อควรระวัง

   ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย อาทิเช่นบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี นครนายก ปราจีนบุรี พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูลให้ระมัดวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในช่วงวันที่ 9 – 13 ก.ย. ไว้ด้วย


* Forecast0809.JPG (22.98 KB, 398x383 - ดู 265 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2008, 02:17:18 AM โดย เด็กน้อย » บันทึกการเข้า
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 08, 2008, 02:15:49 AM »

ไทยรัฐ

มหาสมุทรร้อนแรงยิ่งโหมลมสลาตัน ยุส่งให้พายุพิโรธหนักขึ้น

รายงานการศึกษาออกที่กรุงปารีสกล่าวเตือนว่า ภาวะโลกร้อนจะยิ่งช่วยหนุน ให้พายุไซโคลน อันเป็นพายุหมุนในเขตโซนร้อน คลั่งรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด

วารสาร “เรื่องธรรมชาติ” รายสัปดาห์ของอังกฤษ กล่าวว่า รายงานแจ้งว่า ชั่วอุณหภูมิในทะเลในเขตร้อน ร้อนขึ้นอีกองศาเซลเซียส เดียว พายุหมุนขนาดรุนแรงที่สุดซึ่งเกิดขึ้น ในทะเล ก็จะเกิดทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 ใน 3 ได้

รายงานอ้างรายงานผลการศึกษา พายุเฮอริเคน อันเป็นชื่อที่เรียกพายุไซโคลนซึ่งเกิด ในมหาสมุทรแอตแลนติก เท่าที่สังเกตการณ์ได้ ตลอดระยะเวลา 30 ปีมานี้ ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อทะเลร้อนขึ้น

เพื่อที่จะศึกษาให้แน่นอนยิ่งขึ้น ทีมนัก วิทยาศาสตร์สหรัฐฯ 3 นายได้ร่วมกันวิเคราะห์ ข้อมูลจากดาวเทียม ของพายุในทะเลเหล่านี้ ในช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2526-2549 สรุปออกมาเป็นจำนวนพายุทั้งหมด ตลอดจนความเร็วลมสูงสุดของพายุแต่ละลูก เปรียบเทียบกับอุณหภูมิที่ผิว น้ำทะเล

ได้พบว่า ตลอดทั้ง 25 ปี แทบจะไม่มีจำนวน พายุเพิ่มขึ้นเลย หากที่น่าสังเกตเป็นพิเศษก็คือความแรงของความเร็วลม ของพายุลูกที่แรงที่สุด ยิ่ง เพิ่มมากขึ้นวัดอย่างหยาบๆประมาณเท่ากับอีก 1 ใน 4 และจากการวัดปริมาณพลังงานที่น้ำอุ่นในทะเล พุ่งขึ้นสู่อวกาศซึ่งเป็นตัวการพลังแรงของพายุได้ทวีเพิ่มขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น

โดยเฉพาะในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งพายุที่เกิดขึ้น ถูกจัดอันดับว่ารุนแรงที่สุด ในช่วงระยะ เวลา 4 ปีมานี้ ได้เกิดพายุซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงถึงระดับ 4 ที่มีความเร็วลมเกินกว่า 211 กม.ต่อชั่วโมง ถึง 8 ลูกด้วย
 
 
****************************************************************************************************

“ไอค์” จ่อถล่มซ้ำเฮติหลังฮันนาพัดคร่ากว่า 500
 
เฮอริเคน “ไอค์” จากมหาสมุทรแอตแลนติก ขยับขั้นความรุนแรงถึงเฮอริเคนระดับ 4 หรือระดับอันตรายร้ายแรง ด้วยความเร็วลมศูนย์กลางพายุ 215 กม.ต่อชั่วโมง หลังอ่อนกำลังลงเหลือเฮอริเคนระดับ 3 แต่เพิ่มกำลังขึ้นมาถึงระดับ 4 อีกครั้ง เมื่อช่วงวันอาทิตย์ อยู่บริเวณหมู่เกาะเติร์กและไคคอส ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ มุ่งหน้าพัดถล่มพื้นที่ภาคเหนือของเฮติ ทั้งๆที่เฮติเพิ่งเผชิญภัยพายุโซนร้อนฮันนาเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตพุ่งเกินกว่า 500 ราย ชาวบ้านได้รับผลกระทบมากกว่า 650,000 ราย รวมทั้งเด็กๆมากกว่า 300,000 ราย พื้นที่ประสบภัยพายุอยู่บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นที่เดียวกับที่เคยถูกพายุโซนร้อนเจนนีพัดถล่มเมื่อ 4 ปีก่อน คร่าชีวิตชาวบ้านมากราว 3,000 คน 

ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐฯคาดการณ์เฮอริเคนไอค์จะพัดเฉียดรัฐฟลอริดามุ่งสู่อ่าวเม็กซิโกและพุ่งเข้าหารัฐหลุยเซียนาและเมืองนิวออร์ลีนส์ราวช่วงปลายสัปดาห์หน้า แต่ระหว่างนี้พายุจะทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่แถบ “ฮิสปานิโอลา” หรือดินแดนหมู่เกาะแถบทะเลคาริบเบียน อันประกอบด้วยเฮติ สาธารณรัฐโดมินิกัน และภาคตะวันออกของคิวบา โดยอาจทำให้มีฝนตกหนักวัดปริมาตรได้ถึง 50 ซม. ส่วนฤทธิ์พายุเฮอริเคนกุสตาฟพัดถล่มคิวบาเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ทำลายบ้านเรือนราษฎรมากกว่า 140,000 หลัง

ขณะเดียวกัน พายุโซนร้อนฮันนาพัดเข้าพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออกของสหรัฐฯเมื่อช่วงวันเสาร์ ด้วยความเร็วลม 110 กม.ต่อชั่วโมง ทำให้เกิดฝนตกหนัก ก่อนพายุอ่อนกำลังลงและพัดออกสู่ทะเล.

 
 


บันทึกการเข้า
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 08, 2008, 02:24:44 AM »

เดลินิวส์

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ  ขยายผลการเลี้ยงกุ้งทะเลอินทรีย์สู่เกษตรกร

ณ วันนี้สินค้าประมงจากประเทศไทยจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้ากุ้ง อินทรีย์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตจากฟาร์มในประเทศไทยที่สามารถเพาะเลี้ยงได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก จนได้รับการสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้า ทั้งนี้เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยการเพาะเลี้ยง กุ้งทะเลภายในระบบมาตรฐานอินทรีย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551  ที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ด้วยกันและหนึ่งในนั้นก็มีที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
 
นายเฉลิมเกียรติ  แสนวิเศษ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยว่า ศูนย์ศึกษาการพัฒนา  อ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจาก   พระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี ได้ศึกษาการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลตามมาตรฐานอินทรีย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากเป็นกระบวนการผลิตที่ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านบวกต่อสิ่งแวดล้อมและระบบความหลากหลายทางชีวภาพ  ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตกุ้งทะเลแห่งภูมิภาคเอเชีย ฉะนั้นการพัฒนาให้เกิด   ผลผลิตกุ้งอินทรีย์ขึ้นในประเทศไทยนอกจากประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวมแล้วยังจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในสินค้ากุ้งของไทยอีกด้วย
 
การเลี้ยงกุ้งระบบอินทรีย์ นอกจากจะแก้ปัญหายาและสารเคมีตกค้างในพื้นที่การเพาะเลี้ยงแล้ว ยังจะช่วยลดต้นทุนลดการนำเข้าสารเคมีและยา อีกทั้งการเลี้ยงระบบอินทรีย์ยังช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อม โดยทำให้สิ่งมีชีวิตในดินและน้ำมีความหลากหลายและเกิดสมดุล ด้วยศักยภาพการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทยที่สามารถส่งออกได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน ในท่ามกลางปัญหาโรคไวรัส ยาตกค้าง กุ้งโตช้า ผลผลิตต่อพื้นที่ต่ำลง ผลผลิตรวมลดลง ราคาตลาดต่ำลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จึงเป็นการควรแก่เวลาที่ผู้เลี้ยงกุ้งส่วนหนึ่งจะปรับมาดำเนินการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลด้วยระบบอินทรีย์ ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงกุ้ง และชื่อเสียงด้านคุณภาพเป็นหนึ่งของกุ้งไทย อีกทั้งเกษตรกรจะมีความชำนาญในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลหลากหลายวิธี มีฟาร์มที่สามารถปรับเข้าระบบอินทรีย์ได้ไม่น้อย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กุ้งเลี้ยงโดยระบบอินทรีย์ยังเป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอดมา
 
จากการศึกษาของศูนย์ศึกษาการพัฒนา อ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พบว่าแหล่งที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์ควรอยู่ใกล้ชายทะเล มีการรักษาสภาพป่าชายเลนบริเวณพื้นที่เลี้ยงไว้ให้คงสภาพสมบูรณ์ หรือมีการปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อเป็นการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามธรรมชาติ
 
ด้านอาหารสำหรับการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์นั้น ได้ใช้อาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบอินทรีย์ ไม่ใช้วัตถุอาหารที่ได้จากการดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMOs) ขณะเดียวกันได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหินฟอสเฟส และโพแทสเซียม ปูนขาว ปูนเผา ปูนมาล และซีไอไลท์ ในการเตรียมบ่อเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติและปรับปรุงคุณภาพดินอีกด้วย

ปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี ได้นำแนวทางการศึกษาดังกล่าวขยายผลสู่ราษฎรที่เพาะเลี้ยงกุ้งทะเลด้วยระบบอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดฝึกอบรมสัมมนาเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับราษฎร ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรได้ตระหนักถึงความสมดุลทางธรรมชาติและใช้ธรรมชาติที่มีอยู่ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป.
 
***********************************************************************************************
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 08, 2008, 04:49:30 AM »

ผู้จัดการออนไลน์

UN ชวน ลดบริโภคเนื้อเพื่อลดโลกร้อน


เอเอฟพี - ประชาชนควรลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อช่วยต่อสู้ภาวะโลกร้อน ผู้เชี่ยวชาญระดับอาวุโสของยูเอ็นให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อังกฤษในฉบับวันอาทิตย์ (7)
       
       ราเชนทรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) แห่งสหประชาชาติ กล่าวกับหนังสือพิมพ์ดิ ออบเซอร์เวอร์ว่า พลโลกควรเริ่มต้นด้วยการงดบริโภคเนื้อสัตว์ 1 วันในสัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยลดลงเรื่อย ๆ
       
       นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดียวัย 68 ปี ผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติบอกด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไป มีความสำคัญต่อการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่พอกพูนขึ้นจากการเลี้ยงปศุสัตว์และสัตว์ชนิดอื่น ๆ
       
       นอกจากนี้แล้ว การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างอื่น ๆ ที่แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ ก็จะช่วยต่อสู้ภาวะโลกร้อนเช่นกัน ปาเชารีกล่าว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2008, 05:30:56 AM โดย แมลงปอ » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.02 วินาที กับ 19 คำสั่ง