เด็กน้อย
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 16, 2008, 02:35:47 AM » |
|
เดลินิวส์
สธ.ตั้งวอร์รูมช่วยน้ำท่วม
วันนี้(15 ก.ย.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงความพร้อมในการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทยว่า ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม ตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมขึ้นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ ผลกระทบต่อสุขภาพ และความเสียหายด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที โดยประสานงานกับศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของกระทรวงสาธารณสุขส่วนกลาง ซึ่งมี พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน รองอธิบดีทุกกรม รองเลขาธิการ อย. และรองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นคณะกรรมการ และมีนพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นเลขานุการ
นายชวรัตน์ กล่าวต่อว่า ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการแพทย์และสาธารณสุขนั้น ได้จัดส่งงบฉุกเฉินให้ 7 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว ได้แก่ นครพนม เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก ลพบุรี สระบุรี และนครราชสีมา และสำรองงบประมาณฉุกเฉินไว้ที่ส่วนกลางอีก 10 ล้านบาท รวมทั้งยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมส่งให้จังหวัดต่างๆ ที่ร้องขอ ซึ่งหากมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นทาง อภ.สามารถเร่งการผลิตได้ทันที ทั้งนี้ ได้แจ้งให้ทุกพื้นที่ประสบภัย จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง โดยมอบหมายให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศูนย์นเรนทร) ประสานการทำงานร่วมกับศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองบรรเทาทุกข์และประชานามัย สภากาชาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ศูนย์รับแจ้งเหตุและสังการระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ สกลนคร มุกดาหาร มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 11-14 ก.ย. หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ออกให้บริการประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมใน 9 จังหวัด มีผู้รับบริการรวม 10,593 คน และมีสถานบริการสาธารณสุขได้รับความเสียหายรวม 14 แห่ง ซึ่งจะเร่งฟื้นฟูความเสียหายให้สามารถบริการประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว พร้อมกับฟื้นฟูด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมหลังจากน้ำลดด้วย.
************************************************************************************************
ช่วยเกษตรกรน้ำท่วม 3 หมื่นคน ธ.ก.ส.ชง ครม.2 มาตรการสัปดาห์หน้าส่งเจ้าหน้าที่เยี่ยมลูกค้ากันสวมรอย นายธีระพงษ์ ตั้งธีรสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.จะเสนอแนวทางช่วยเหลือลูกค้าเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วมกว่า 30,000 รายทั่วประเทศ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ หากเห็นชอบ จะนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้าต่อไป โดยเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนิน การทันทีเมื่อมีนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขณะนี้มีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะเกษตรกรนาข้าวกว่า 60-70% ที่ได้รับผลกระทบต่อผลผลิตโดยตรง ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ได้เสนอแนวทางช่วยเหลือ 2 แนวทางคือ ขอวงเงินกู้ซอฟต์โลน 2,000 ล้านบาท ให้เกษตรกรกู้เพื่อนำไปฟื้นฟูอาชีพใหม่ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำ มีเวลาปลอดเงินกู้และดอกเบี้ย 1-3 ปี ขึ้นกับระดับความเสียหาย ขยายเวลาผ่อนชำระหนี้และการลดดอกเบี้ยให้หนี้เก่า 1 ปี โดยจะเสนอให้รัฐบาลเข้ามารับภาระดอกเบี้ยให้เกษตร กร 3% จากปัจจุบันที่เสียดอกเบี้ย 7.5% การช่วยเหลือนั้น จะช่วยเฉพาะคน ที่เสียหายจริง ๆ เพื่อไม่ให้มีข้อครหาว่าหาเสียง โดยแต่ละราย อาจช่วยเหลือตามความหนักเบาก็ได้ ซึ่งขณะนี้ ธ.ก.ส.กำลังสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายว่ามีเท่าใด เบื้องต้นพบว่าภาคอีสาน เหนือ และกลางนั้นมีกว่า 30,000 ราย แต่เชื่อว่าตัวเลขอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากฝนยังไม่หยุดตก รายงานข่าว จาก ธ.ก.ส. กล่าวว่า ทั้งนี้ได้รับรายงานล่าสุดว่า ขณะนี้มีลูกค้าที่ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น 49,691 ราย มูลหนี้ 1,818 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายรวม 5 จังหวัด คือ เชียงราย 8,998 ราย น่าน 374 ราย พะเยา 2,775 ราย นครพนม 17,800 ราย และหนองคาย 19,744 ราย ส่วนใหญ่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในนาข้าวสูงถึง 487,010 ไร่ เป็นสวนพืชไร่ 62,338 ไร่ ส่วนผลไม้ผล 3,580 ไร่ และมีสัตว์ปีกล้มตายสูงถึง 19,833 ตัว นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมเยียนลูกค้า และให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการแจกถุงยังชีพแล้ว สำหรับเกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วม และจากข้อมูลที่ได้รับพบว่า มีทั้งรายที่ได้รับความเดือดร้อนจากทรัพย์สินเสียหาย รายที่ไร่นาเสียหาย ซึ่งส่วนนี้มีลูกค้าของธนาคาร 10% แต่ทั้งนี้ยังสรุปตัวเลขความเสียหายไม่ได้ เนื่องจากต้องรอให้สถานการณ์ฝนหยุดตกก่อน คาดว่าภายในเดือน ก.ย. นี้น่าจะได้ตัวเลขที่ชัดเจน ทั้งพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายและจำนวนเกษตรกรที่ต้องให้การช่วยเหลือ ส่วนแนวทางให้ความช่วยเหลือนั้น จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเกษตรกรแต่ละราย โดยหากไม่ร้ายแรง ก็อาจจะยกเว้นดอกเบี้ยให้ 1 ปี กรณีร้ายแรงจะยกเว้นดอกเบี้ยให้ 3 ปี. **************************************************************************************************************
82 ปี 'กรมประมง' ก้าวสู่ผู้นำด้านประมงแห่งเอเชีย... 21กันยายน 2551
เป็นวันสถาปนา กรมประมง ครบรอบปีที่ 82 ซึ่งกรมประมงได้ปรับยุทธศาสตร์และกำหนดทิศทางการดำเนินงาน ให้เชื่อมโยงกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางการประมงอย่างยั่งยืนในภูมิภาค เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน โดย มุ่งพัฒนาการวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการประมงไปสู่เกษตรกรและชาวประมงทั่วประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่เกษตรกร ทั้งยังมุ่งพัฒนาคุณภาพการผลิตสินค้าสัตว์น้ำของไทยให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัยและมีความปลอดภัยทางด้านอาหาร (Food Safety) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านการประมงของภูมิภาคเอเชีย ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ปี 2552 นี้ กรมประมงได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 83 ซึ่งกรมฯ ได้กำหนดแผนขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการประมงของไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงทั่วประเทศให้ดีขึ้นด้วยโดยใช้ 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพสินค้าประมงให้มีความเป็นเลิศและได้มาตรฐานตามเกณฑ์สากล 2.ยุทธศาสตร์การเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำให้แหล่งเพาะเลี้ยงและทุกแหล่งทรัพยากรและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีความยั่งยืน และคงความหลากหลาย 4.ยุทธศาสตร์ การพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีด้านการประมงทุกสาขา และ 5.ยุทธศาสตร์การปรับปรุงระบบบริหารจัดการองค์กรให้เป็นผู้นำทางการประมงในภูมิภาค ในเบื้องต้น กรมประมงมีแผนเร่งดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกรมฯ จะส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัด ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง และสงขลา รวมกว่า 5,300 ราย พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มดำเนินกิจกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ จำนวน 400 ราย และ ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำในโรงเรียนปอเนาะ 2 แห่งด้วย โดยเน้นให้มีการสร้างเครือข่ายการพัฒนาอาชีพ และ น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินชีวิต กรมประมงมีแผนเร่งพัฒนาระบบการผลิตสินค้าสัตว์น้ำให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยและตรงตามความต้องการของตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ อาทิ สินค้ากุ้ง ปลาเศรษฐกิจ ปลาสวยงาม และพันธุ์ไม้น้ำ รวมทั้งยังจะเร่งจัดทำระบบการจัดการคอมพาร์ตเมนต์ (Compartment) ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งทะเล เพื่อให้เป็นฟาร์มปลอดโรค พร้อมตรวจรับ รองคุณภาพสินค้าประมงเพื่อส่งออกและพัฒนาศักยภาพสะพานปลาและท่าเทียบเรือประมงอีก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเทียบเรือประมงระนอง ท่าเทียบเรือประมงสตูล และท่าเทียบเรือประมงสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ กรมประมงยังมีแผนสนับสนุนและพัฒนางานวิจัยกว่า 160 เรื่อง พร้อมส่งเสริมให้นำผลงานวิจัยไปใช้ในการเพิ่มผลผลิต เพิ่มมูลค่าหรือเพิ่มคุณค่าให้แก่สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ทั้งยังจะเร่งถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้าน การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไปสู่เกษตรกร โดยกรมประมงจัดทำ โครงการเสริมสร้างการจัด การประมงต้นแบบ เพื่อให้ชุมชนได้มี ส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีความยั่งยืน การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ด้านการประมง พร้อมสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เข้าสู่อาชีพประมง โดยเน้นเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรเพื่อให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ในอนาคตคาดว่าระบบการผลิตสินค้าประมงของไทยจะได้ รับการยอมรับจากประเทศผู้นำเข้าทั่วโลก โดยเฉพาะคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยทางด้านอาหาร ซึ่งจะเป็นจุดแข็ง ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน อันจะ นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าการส่งออกนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มสูงขึ้น ปีละไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านการประมงของภูมิภาคเอเชียได้รวดเร็วขึ้น.
|