สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2552

[สายน้ำ]

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนประกอบกับมีลมใต้ และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าว มีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเป็นแห่งๆ ส่วนภาคใต้มีฝนกระจาย ในระยะนี้ 


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อน อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กับลมกระโชกแรงบางแห่ง ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 3-5 เม.ย. 52 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมทะเลจีนใต้และประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง เป็นตามลำดับ และลมใต้กับลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทยแทน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนน้อยลงและอากาศร้อนขึ้น ส่วนภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนกระจาย และในช่วงวันที่ 6-9 เม.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมภาคเหนือละภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบริเวณประเทศไทยตอนบนยังมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 6-9 เม.ย. 52 ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงและลูกเห็บที่จะเกิดไว้ด้วย

[สายน้ำ]

มติชน


ชาวบ้าน อ.บางสะพาน จี้ขอเอกสารสิทธิเขตป่าสงวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่หน้าที่ว่าการอำเภอบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้าน อ.บางสะพาน อ.บางสะพานน้อย กว่า 1,000 คน นำโดย นายสนอง ภู่เขียว อดีตประธานสหกรณ์นิคม อ.บางสะพาน แกนนำกลุ่มพิทักษ์ที่ดินทำกิน 60 ปี ไม่มีเอกสารสิทธิ เข้ายื่นหนังสือต่อนายธวัชชัย วิสมล นายอำเภอบางสะพาน เรียกร้องให้ 1.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติคลองกรูด-ไชยราช และป่าพรุน้ำเค็ม 2.ให้ ทส.มอบที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้กรมที่ดินนำไปออกเอกสารสิทธิ นส.3 หรือโฉนดที่ดิน เพื่อให้ราษฎรมีสิทธิในที่ดินอย่างถูกกฎหมาย และ 3.ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาออกเอกสารสิทธิให้ชาวบ้านมีที่ดินทำกินต่อไป

นายธวัชชัย กล่าวว่า การออกเอกสารสิทธิอยู่ในขั้นดำเนินการ มีคณะทำงาน 3 ทีม คือเกษตรจังหวัด ป่าไม้จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ลงสำรวจสภาพพื้นที่ รวบรวมข้อมูลที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองที่แท้จริง ก่อนส่งข้อมูลให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตั้งงบประมาณ ตามจำนวนแปลงที่ดินแต่ละพื้นที่ เพื่อดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี ขณะนี้พื้นที่กลายเป็นวัด โรงเรียน และชุมชน ขนาดใหญ่กว่า 9,000 แปลง เนื้อที่กว่า 1.6 แสนไร่

[สายน้ำ]

ผู้จัดการออนไลน์


สงขลาจับเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนมูลค่า 15 ล้าน



ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – เจ้าหน้าที่วางแผนจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันมองโกเลีย ซึ่งเข้ามาทอดสมอขนถ่ายน้ำมันเถื่อนจำนวนประมาณ 450,000 ลิตร มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท และจะสืบสวนถึงนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป
       
       การสืบสวนของ นายอุทิศ ธรรมวาทิน อธิบดีกรมศุลกากร ว่าจะมีเรือต่างประเทศชื่อ M.V. BLOSSOM 82’ สัญชาติมองโกเลีย เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อลักลอบขนถ่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศ จึงสั่งการให้ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ รองอธิบดีด้านปราบปราม และ นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม วางแผนดำเนินการจับกุม
       
       โดยมอบหมายให้ นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อำนวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 2 (ทางทะเล) , นายสม ศักดิ์ สุขสมโสตร์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปรามที่ 2 และ นายณัฐพงศ์ แสงชัยลาภวัฒนา หัวหน้าหน่วยปราบปรามทางทะเลสงขลา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ นำเรือศุลกากร 1001 ออกปฏิบัติหน้าที่เพื่อตรวจค้นจับกุมเรือดังกล่าวที่ลักลอบนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็วหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร


       
       จนกระทั่งในวันที่ 2 เมษายน 2552 เวลา 06.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ได้ตรวจพบเรือลำดังกล่าว ซึ่งจอดทิ้งสมอเพื่อรอการขนถ่าย ณ จุดพิกัดที่ 7.29 N , 101.59 E ตามที่ได้รับแจ้ง จึงได้เข้าทำการตรวจค้น พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (Hi Speed Diesel) พร้อมที่จะขนถ่าย จำนวนประมาณ 450,000 ลิตร มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท จึงได้ทำการยึดน้ำมันดีเซล
       
       และเรือของกลางที่ใช้ในการบรรทุกน้ำมันดีเซลของกลางดังกล่าว เข้าเทียบที่ท่าเรือน้ำลึกสงขลาเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 3 เมษายน 2552 โดยมี นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม ได้เดินทางมาตรวจเรือบรรทุกน้ำมัน M.V. BLOSSOM 82’ สัญชาติมองโกเลียพร้อมแถลงข่าวการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันพร้อมน้ำมันดีเซลจำนวน 450,000 ลิตรซึ่งนับเป็นการจับกุมที่ได้น้ำมันมากที่สุดในรอบ 3- 4 ปีที่ผ่านมา โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้มงวดในการออกปฏิบัติการทางทะเลให้เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมทั้งจะได้สอบสวนเจ้าของเรือว่า น้ำมันทั้งหมดจะนำส่งให้ผู้ใดและมีใครเป็นนายทุนอยู่เบื้องหลัง เพื่อที่จะดำเนินการจับกุมต่อไป