กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => ห้องรับแขก => ข้อความที่เริ่มโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 19, 2007, 12:06:31 AM



หัวข้อ: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 19, 2007, 12:06:31 AM

ป่าชายเลนลดลงเหลือ 1,047,390 ไร่   ขอพื้นที่ทำนากุ้งมาปลูกป่าชายเลนแทน

นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า  สถานการณ์ป่าโกงกางหรือป่าชายเลนของไทยนั้นยังมีสัดส่วนการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2530 ที่ป่าชายเลนของไทยมีเพียง 1.3 ล้านไร่ ปัจจุบันจากการสำรวจของดาวเทียมพบว่าป่าชายเลนของไทยมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 1.5 ล้านไร่
 
อย่างไรก็ตามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เตรียมจัดทำแผนการโครงการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าชายเลนขึ้นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2547-2551 เพื่อให้สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้นเป็น 2 ล้านไร่ควบคู่ไปกับการเร่งฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของป่าชายเลนเพราะป่าชายเลนมีความสำคัญต่อระบบนิเวศโดยเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำช่วยกรองมลพิษบริเวณชายฝั่งเป็นแหล่งไม้สำหรับใช้ก่อสร้างและยังเป็นกำแพงลดความรุนแรงของคลื่นและพายุได้ ปัจจุบันพื้นที่ปลูกป่าชายเลนที่เป็นของรัฐสามารถนำมาใช้ปลูกป่าชายเลนมีความสมบูรณ์ของป่าเพียง 7 แสนไร่ ในจำนวนดังกล่าวมีการปลูกป่าชายเลนไม่ถึง 1,000 ไร่ ดังนั้นหากจะปลูกป่าชายเลนให้ได้ตามเป้าต้องจัดหาพื้นที่เพิ่ม ซึ่งเร็ว ๆ นี้ทช.เตรียมเสนอไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเร่งประสานกับกรมป่าไม้เสนอขอใช้พื้นที่สัมปทานของเอกชนที่รกร้างจากการทำบ่อเลี้ยงกุ้งมาปรับใช้เพื่อปลูกป่าชายเลนคาดว่าจะมีประมาณ 10,000 ไร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้อีกจำนวนหนึ่ง
 
สำหรับสาเหตุของปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนลดลงเนื่องจากการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งรวมทั้งการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเกลือ การทำเกษตรกรรม การขยายชุมชนการสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและการขุดลอกร่องน้ำและกิจกรรมอื่น ๆ อีกหลายประเภทได้เจริญเติบโตและขยายตัวอย่างไร้ขอบเขตไปสู่บริเวณชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลนจนทำให้พื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างรุนแรงจนน่าวิตก.

 

จาก     :     เดลินิวส์   วันที่ 19 มิถุนายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 19, 2007, 12:28:46 AM

ทช.นัดถกกรมป่าไม้ เจรจาขอ"นากุ้ง"เก่า ระดมปลูกป่าชายเลน กรองมลภาวะชายฝั่ง 

นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ป่าโกงกางหรือป่าชายเลนของไทยมีสัดส่วนการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2530 โดยผลสำรวจทางดาวเทียมล่าสุด พบป่าชายเลนของไทยมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 1.5 ล้านไร่ อย่างไรก็ตามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯเตรียมจัดทำแผนการโครงการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าชายเลนขึ้นระยะเวลา 5 ปี ตั้ง แต่ปี 2547-2551 เพื่อให้สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้นเป็น 2 ล้านไร่ควบคู่ไปกับการเร่งฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของป่าชายเลน สำหรับเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำช่วยกรองมลภาวะบริเวณชายฝั่งเป็นแหล่งไม้สำหรับใช้ก่อสร้าง และยังเป็นกำแพงลดความรุนแรงของคลื่นและพายุได้

ขณะเดียวกันกรมฯ เตรียมเสนอไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เพื่อเร่งประสานกับกรมป่าไม้เสนอขอใช้พื้นที่สัมปทานของเอกชนที่รกร้างจากการทำบ่อเลี้ยงกุ้งมาปรับใช้เพื่อปลูกป่าชายเลนคาดว่าจะมีประมาณ 10,000 ไร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้อีกจำนวนหนึ่ง

นางนิศากร กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่พื้นที่ป่าชายเลนลดลงเนื่องจากการบุกรุกพื้นที่ป่าชายลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้ง รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเหลือ การทำเกษตรกรรม การขยายชุมชน การสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และการขุดลอกร่องน้ำและกิจกรรมอื่นๆอีกหลายประเภท ซึ่งหากประเทศไทยยังไม่มีการดูแลบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนอย่างชัดเจน พื้นที่ป่าชายเลนโดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยอาจจะถูกทำลายและมีสภาพที่เสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ กรมฯตระหนึกถึงความสำคัญของการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าโกงกาง ป่าชายเลนให้คงสภาพความสมบูรณ์ไว้ จึงเตรียมขอความร่วมมือกับภาคเอกชนและชุมชนในท้องถิ่นจัดทำโครงการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าชายเลนขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการฟื้นฟูให้กลับสู่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์



จาก     :     แนวหน้า  วันที่ 19 มิถุนายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 21, 2007, 12:06:44 AM

ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมภาคใต้ เพิ่มป่าชายเลน 1.5 ล้านไร่
 
พล.ต.ต.ดิเรก พงษ์ภมร รองเลขาธิการมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เผยว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้ความสำคัญเกี่ยวกับป่าชายเลน และทรงให้มีการเร่งฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนบริเวณค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งในอดีตสภาพเสื่อมโทรมมาก เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ของป่าชายเลนที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ โดยให้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ กระทั่งในปี พ.ศ. 2546 โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯได้มีการเข้ามาช่วยดำเนินการปลูกป่าชายเลนจำนวน 100 ไร่ในพื้นที่อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร

ด้านนางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เผยว่า ป่าโกงกางหรือป่าชายเลนของไทยนั้นยังมีสัดส่วนการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2530 ที่มีอยู่ 1.3 ล้านไร่ ปัจจุบันสำรวจด้วยดาวเทียมพบว่าเพิ่มเป็น 1.5 ล้านไร่ กรมฯได้เตรียมจัดทำแผนการโครงการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าชายเลนขึ้นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2547-2551 เพื่อให้สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้นเป็น 2 ล้านไร่

อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเผยอีกว่า ปัจจุบันพื้นที่ปลูกป่าชายเลนที่เป็นของรัฐ สามารถนำมาใช้ปลูกป่าชายเลนมีความสมบูรณ์ของป่าเพียง 7 แสนไร่ ในจำนวนดังกล่าวมีการปลูกป่าชายเลนไม่ถึง 1,000 ไร่ ดังนั้น หากจะปลูกป่าชายเลนให้ได้ตามเป้าต้องจัดหาพื้นที่เพิ่ม ทช.เตรียมเสนอไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเร่งประสานกับกรมป่าไม้เสนอขอใช้พื้นที่สัมปทานของเอกชน ที่รกร้างจากการทำบ่อเลี้ยงกุ้งมาปรับใช้เพื่อปลูกป่าชายเลน คาดว่าจะมีประมาณ 10,000 ไร่.
 
 
จาก     :     ไทยรัฐ  วันที่  21 มิถุนายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: WayfarinG ที่ มิถุนายน 21, 2007, 01:31:47 AM
สงสัยว่า..ต้นไม้ที่พวกเราจะไปปลูก..จะได้อยู่ใน 1.5 ล้านไร่มั๊ยน๊า..


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ มิถุนายน 21, 2007, 07:50:58 AM
........ด้วยหรือเปล่า.....หนอ......... :-*


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ มิถุนายน 21, 2007, 07:54:57 AM
เราน่าจะไปปลูกในที่ที่คนไม่ค่อยจะสนใจปลูกกันนะคะ....

ปิดทองหลังพระ....พระจะได้งามอร่ามทั้งองค์ ไงคะ....ใช่ไหมๆน้อง Vita


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ มิถุนายน 21, 2007, 07:57:35 AM
...........อะ.............สาธุ..........จ้า :-*


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: Hear ที่ มิถุนายน 29, 2007, 01:12:25 PM
วันที่ 7/7/2550 มีพี่ๆที่กรมทรัพยากรชวนกันไปปลูกป่าชายเลน ที่ ต.โคกขาม สมุทรสาคร   ไม่ทราบว่ามีสมาชิกคนไหนไปร่วมโครงการนี้บ้างคะ


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ มิถุนายน 29, 2007, 01:28:17 PM
หรือคะ..... ;)......พวกเราไม่ได้รับแจ้งเรื่องนี้เลยค่ะคุณ Hear....

หุ..หุ...สงสัยว่า เจ้าหน้าที่ของกรมทรัพย์ฯ โดยเฉพาะน้องโด่งคงลืมพวกเราไปแล้วกระมังคะ..... ;D

เสียดาย และเสียใจที่เผอิญวันนี้พวกเราบางส่วนเพิ่งตกลงกันว่าจะไปตัดอวนที่ติดอยู่ที่เรือคราม  ใต้ทะเลพัทยาในวันที่ 7 เดือน 7 แล้วล่ะค่ะ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆก็คงไม่ว่างกันมั๊งคะ  จึงคิดว่าพวกเราคงไม่สามารถไปร่วมปลูกป่ากับกรมทรัพย์ฯ ได้ค่ะ

ไว้โอกาสหน้าคงได้ไปปลูกป่ากันใหม่ ต้องขอขอบคุณคุณ Hear ที่แจ้งมาให้ทราบค่ะ  


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ มิถุนายน 29, 2007, 02:10:07 PM
เราน่าจะไปปลูกในที่ที่คนไม่ค่อยจะสนใจปลูกกันนะคะ....

ปิดทองหลังพระ....พระจะได้งามอร่ามทั้งองค์ ไงคะ....ใช่ไหมๆน้อง Vita
ใช่ครับ พี่สายชล
ใครสะดวกตรงไหน ก็ทำตรงนั้น ช่วยๆกันครับ


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กรกฎาคม 17, 2007, 12:03:58 AM

พังงาสร้างนักวิจัยน้อยร่วมสำรวจธรรมชาติ
 
(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/7/17/133790_55000.jpg)
 
 ปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง อีกหนึ่งกิจกรรมร่วมลดภาวะวิกฤติโลก

ป่าชายเลน ในประเทศไทย นับวันจะลดลง เนื่องจากภาวะโลกมีการเปลี่ยนแปลง และสิ่งสำคัญที่ทำให้โลกมีการเปลี่ยนแปลง คือ มนุษย์ นั่นเอง ทั่วโลกจึงร่วมมือกันลดภาวะวิกฤติด้วยการปลูกป่าฟื้นคืนธรรมชาติให้เหมือนเดิม หรือให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
 
สำหรับในประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างร่วมมือกันจัดขึ้นมาหลายโครงการ หลายกิจกรรม ซึ่งทางจังหวัดพังงา ถือเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ยังมีป่าชายเลนอยู่จำนวนมาก จึงจัดกิจกรรมฟื้นคืนป่าชายเลนขึ้นมาให้อยู่คู่โลกตลอดไป

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/7/17/133790_54996.jpg)
 
นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง จังหวัดพังงา โดยกลุ่มนักวิจัยน้อยแห่งบ้านบางเตย ทั้งนี้จากสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน ซึ่งส่งผลกระทบไปยังทุกภูมิภาคของโลก ไม่เว้นแม้กระทั่ง ประเทศไทย จากเหตุการณ์พายุที่เกิดขึ้นรุนแรง ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วม แผ่นดินเลื่อนไหล น้ำป่าไหลหลาก ในขณะที่บางพื้นที่เกิดสภาวะแห้งแล้ง หรือการเกิดพายุพัดถล่มชายฝั่งของประเทศ ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน เกิดแผ่นดินไหวเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการเกิดคลื่นสึนามิ ล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยและทั่วโลก ซึ่งทุก ๆ คนคงได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการนำเสนอของคณะทำงาน CHARM เราทุกคนคงยอมรับถึงสถานการณ์เหล่านี้เป็นอย่างดี และเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสาเหตุสำคัญเกิดจากน้ำมือของพวกเรา จำเป็นต้อง เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ให้ทันเวลาเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงจากภัยธรรมชาติ
 
ผวจ.พังงา เปิดเผยอีกว่า นอกจากภัยธรรมชาติแล้วทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่ง ยังได้รับผลกระทบจากการพัฒนาในพื้นที่ทั้งด้านการประมงมากเกินไป การทำการประมงผิดกฎหมาย การบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน น้ำเสียจากบ่อกุ้ง และอุตสาหกรรม ตลอดจนครัวเรือน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการอนุรักษ์และพื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งให้อยู่ในสภาพที่สมดุล สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในชุมชน ซึ่งใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้ในการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิต การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและความร่วมมือของชุมชน  ในการดูแลจัดการทรัพยากรชายฝั่ง ทางโครงการ CHARM ได้เข้ามา ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ    การพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความ เข้มแข็งให้กับชุมชน   ให้สามารถศึกษา เรียนรู้ และเข้าใจทรัพยากรในท้องถิ่น ตลอดจนสามารถเฝ้าระวังและติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การบริหาร และการจัดการทรัพยากรของชุมชนด้วยตัวของชุมชนเอง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ตั้งแต่ประชาชนในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบล นักเรียน ครู และอาจารย์ ตลอดจนหน่วยงานของจังหวัด และจากส่วนกลางเพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติยังคงอยู่ และสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/7/17/133790_54997.jpg)

นายวินัย เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ทั้งนี้จังหวัดพังงา มีพื้นที่ป่าชายเลน และมีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดของประเทศ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ ทั้งที่เกาะสุรินทร์ สิมิลัน เกาะปันหยี อ่าวพังงา และเกาะยาว รวมทั้งพื้นที่ตำบลบางเตยก็มีการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่บ้านบางพัฒน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์จังหวัดพังงา การดำเนินโครงการสำรวจและติดตามทรัพยากรชายฝั่งโดยชุมชน ถือว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดพังงา เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชายฝั่งค่อนข้างสูง หากได้มีการดูแลเฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชนแล้วน่าจะช่วยให้ การอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งเกิดประสิทธิภาพ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
         
โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนความรู้และเทคนิคจากเจ้าหน้าที่โครงการ มีการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลบางเตย ทำให้เกิดกลุ่มนักวิจัยน้อยบ้านบางเตยขึ้น มา ถึงแม้จะเป็นแค่จุด เริ่มต้นเล็ก ๆ ที่เริ่มสร้างความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน แต่น่าจะเป็นการจุดประกายให้เกิดการขยายผลไปใช้ในพื้นที่ ต่าง ๆ ของจังหวัดพังงาและพื้นที่ชายฝั่งของประเทศเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรที่ยั่งยืนยิ่งตลอดไป.


จาก       :        เดลินิวส์   วันที่ 17 กรกฎาคม 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 03, 2007, 12:32:24 AM

โฮมสเตย์บ้านลีเล็ด ห้องสมุดธรรมชาติ-คลังเรียนรู้ชุมชน

(http://www.matichon.co.th/news-photo/prachachat/2007/09/phu07030950p1.jpg)
 
ชายฝั่งทะเลไม่ต่างกับโรงงานผลิต สิ่งมีชีวิตป้อนคืนความสมดุลสู่ท้องทะเล แต่เมื่อความเจริญรุกคืบ ทำให้ชายฝั่งเสื่อมสภาพจากการบุกรุก นำมาสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนและชุมชนดั้งเดิม

การเข้ามาของโครงการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง หรือ (CHARM) และโครงการท่องเที่ยวเพื่อชีวิตและธรรมชาติ (REST) เมื่อปี 2547 เป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้ชุมชนชายฝั่งของ ต.ลีเล็ด อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เกิดรูปแบบของการนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ แก้ไขปัญหาที่รุมเร้าทำลายทรัพยากร สร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรายได้เสริมให้คนในชุมชนอีกทางหนึ่ง

"โฮมสเตย์บ้านลีเล็ด" กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของการบูรณาการและจัดการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง ในรูปแบบธุรกิจขนาดเล็กของ ชุมชนเพื่อชุมชน เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นอกจากผืนทะเลโอบล้อมด้วยป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์กว่า 8,000 ไร่แล้ว ยังมี จุดเด่นอื่นๆ ที่แต่งเติมให้บ้านลีเล็ดมีคุณค่าเหมาะแก่การเรียนรู้มากมาย ทั้งการชมระบบนิเวศป่าชายเลน ประมงพื้นบ้าน ล่องแม่น้ำชมวิถีชีวิต ชมโบราณสถานศรีวิชัย การทำอาหาร เรียนรู้กลุ่มทำอาชีพทำกะปิ กลุ่มสมุนไพร กลุ่มจักสาน กลุ่มใบจาก และชมการแสดงลิเกป่า รวมถึงพายเรือชม หิ่งห้อยยามค่ำคืน และประเพณีพื้นบ้านของชุมชน
 
(http://www.matichon.co.th/news-photo/prachachat/2007/09/phu07030950p2.jpg)

หลังจาก CHARM และ REST ริเริ่มโครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม กำหนดทิศทางจัดการ "โดยชุมชน เพื่อชุมชน" และชุมชนมีบทบาทเป็นเจ้าของ มีสิทธิในการดูแลเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนแก่ผู้มาเยือน ทำให้บ้านลีเล็ดมีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาและกลุ่มทำงานนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์โดยคนในชุมชนจาก 8 หมู่บ้านแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน

"ประเสริฐ ชัญจุกรณ์" กำนันตำบลลีเล็ด และประธานกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ ให้ข้อมูลว่า ตำบลลีเล็ดป็นพื้นที่ราบลุ่ม ติดทะเลอยู่ในอ่าวบ้านดอน มีแม่น้ำตาปีไหลผ่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำประมง ฟาร์มกุ้ง และการเกษตร ในอดีตชาวบ้านจะใช้อวนลาก อวนรุน ในการจับสัตว์น้ำ ทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรมลง
 
(http://www.matichon.co.th/news-photo/prachachat/2007/09/phu07030950p3.jpg)

แต่หลังจากโครงการ CHARM ให้คำแนะนำและสนับสนุนโครงการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง เปลี่ยนเครื่องมือประมงใหม่ และอบรมการทำเครือข่ายเฝ้าระวังทางทะเล สนับสนุนวิทยุสื่อสารแก่อาสาสมัคร พร้อมเข้ามาประสานให้มีการก่อตั้งกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ขึ้น โดยการอบรมและให้งบประมาณกว่า 1 ล้านบาท ทำให้ชุมชนมีทิศทางการพัฒนาและสร้างจุดยืนที่เข้มแข็ง ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรและส่งเสริมการประกอบอาชีพอีกทางหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2547-2550

จึงเป็นผลให้ป่าชายเลนมีความอุดมสมบูรณ์ และขยายพื้นที่ออกไปในทะเลอีกกว่า 3,000 ไร่ และยังได้รับการชมเชยจากกรมประมงให้เป็นหมู่บ้านตัวอย่างอีกด้วย

กำนันประเสริฐยังบอกอีกว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุโรปและกลุ่มคณะนักเรียน หน่วยงานราชการในจังหวัดใกล้เคียง โดยมีบริษัทนำเที่ยวเป็นผู้จัดสรรนักท่องเที่ยว เนื่องจากอุปสรรคสำคัญของชุมชนคือช่องทางการประชาสัมพันธ์ และภาษาที่ต้องพัฒนาเพิ่ม

แต่สิ่งหนึ่งที่ชุมชนได้ประโยชน์นอกเหนือจากรายได้แล้ว ยังเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่น และกระตุ้นให้คนในชุมชนรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นไว้ด้วย มีผลช่วยทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

"โฮมสเตย์" ชุมชนริมชายฝั่งทะเลเหล่านี้ คือปราการด่านแรกในการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรชายฝั่งอย่างรู้คุณค่า โดยมิได้แสวงหาแต่เม็ดเงินหรือผลกำไรเท่านั้น แต่การได้มาซึ่งความตระหนักรู้และชุมชนเข้มแข็ง อยู่บนบาทวิถีแห่งความพอเพียงและอยู่ดีมีสุข

นั่นคือสิ่งสำคัญในการยึดมั่นของชาวบ้านตำบลลีเล็ด



จาก       :        ประชาชาติธุรกิจ   วันที่ 3 กันยายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 20, 2007, 01:00:43 AM

เกษม 3 หน่วยงาน ตั้ง Operation Room ดูแลป่าไม้-ชายเลน  
 
 นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมป่าไม้ครบรอบ 111 ปี ณ กรมป่าไม้ พร้อมเยี่ยมชมรูปแบบการทำงาน Operation Room ของกรมป่าไม้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการป้องกันและปราบปรามผู้บุกรุกและลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ป่าสงวนที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ ทรัพยากรป่าไม้ ทั้งนี้ได้มอบหมายกรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานประสานระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการใช้ประโยชน์จาก Operation Room ด้านทรัพยากรป่าไม้และป่าชายเลนร่วมกัน รวมถึงการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ ร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ กรมทรัพยากรน้ำ ได้มีการจัดตั้ง Operation Room เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำของไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 



จาก       :        แนวหน้า   วันที่ 20 กันยายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 22, 2007, 12:14:19 AM

ม.แม่โจ้จับมือชาวบ้านร่วมปลูกป่าชายเลน  หนทางที่ไม่เกินเอื้อมกับการอนุรักษ์ สนองพระราชเสาวนีย์แม่ของแผ่นดิน

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/9/21/140609_59053.jpg)

ป่าชายเลน หรือป่าโกงกาง อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดทั้งพืช และสัตว์ ป่าชายเลน จึงให้ประโยชน์แก่มนุษย์มากมาย ทั้งในด้านพลังงานและไม้ใช้สอย ตลอดจนเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนที่สำคัญ เป็นที่วางไข่ แหล่งอาหาร และเจริญเติบโตของสัตว์น้ำเศรษฐกิจนานาชนิด นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเป็นเกราะกำบังและลดความรุนแรงของคลื่นลมชายฝั่ง ช่วยดักตะกอนสิ่งปฏิกูล และสารพิษ   ต่าง ๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณชายฝั่ง และในทะเล ซึ่งในปัจจุบันมีปัญหาหลายประการที่ทำให้ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรมลงอันได้แก่ การเพาะเลี้ยงชายฝั่ง แหล่งชุมชน แหล่งอุตสาหกรรม การเกษตรกรรม และกิจกรรมอื่นอีกหลายประเภทได้ ขยายไปสู่ชายฝั่งทะเล จนทำให้ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนน่าเป็นห่วง
 
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับปัญหาทรัพยากรป่าไม้ และคุณภาพแหล่งน้ำสำคัญของประเทศ ที่นับวันลดน้อยถอยลงขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นทุกที ทั้งป่าบก และป่าชายเลน ล้วนเกิดจากภัยพิบัติจากธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟป่า และจากน้ำมือมนุษย์ สร้างความเสื่อมโทรมแก่ธรรมชาติและระบบนิเวศเป็นอย่างมาก จนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมารับสนองพระราชเสาวนีย์ นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติแก้ปัญหา โดยการฟื้นฟู ป้องกัน ปราบปรามผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งแนวโน้มอนาคตจะถึงขั้น  วิกฤติหนักหากยังไม่ได้รับความสนใจเหลียวแลจากหน่วยงานรับผิดชอบอย่างจริงจัง อีกทั้งเกิดปัญหาภาวะโลกร้อน ในการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์จากรถ ควันพิษ และน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นตัวเร่งภาวะเรือนกระจก หากไม่มีป่าไม้เป็นเกราะป้องกัน เชื่อว่าอนาคตจะเกิดการแปรปรวนทางธรรมชาติ จนกระทบถึงลูกหลานของเรา  ซึ่งผู้คน  ทั้งประเทศต้องช่วยกันฟื้นฟูดูแลร่วมกันปลูก รักษาป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญทั้งป่าบก และป่าชายเลน

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/9/21/140609_59056.jpg)
 
สำหรับในพื้นที่ป่าชายเลนที่มีมากที่สุดในประเทศอยู่ที่อ่าวพังงา ซึ่งเชื่อมติดต่อกับพื้นที่ 3 จังหวัด คือ พังงา กระบี่ และภูเก็ต หลังจากได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิ ชาวบ้านจึงช่วยกันปลูกป่าชายเลน เพื่อฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ โดยชาวบ้าน    ท่าสนุก ต.มะรุ่ย อ.ทับปุด จ.พังงา เป็น   อีกแห่งที่มีพื้นที่ป่าชายเลน และได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ ชาวบ้านจึงร่วมมือกันฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
 
นายประกอบ บ่มเกลี้ยง ผอ.วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพังงา และผอ.โครงการผลิตบัณฑิตมหาวิทยาลัยแม่โจ้วิทยาเขตพังงา-ภูเก็ต เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ต้องการให้ทรัพยากรป่าไม้และแหล่งต้นน้ำสำคัญกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง หรือป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายไปมากกว่าในปัจจุบัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับวิชาสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่ตนรับหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์ และ ผอ.โครงการผลิตบัณฑิตแม่โจ้พังงา-ภูเก็ต จึงถือโอกาสนี้นำนักศึกษาออกไปศึกษาเล่าเรียนยังสถานที่จริง โดยมีชาวบ้านเป็นครูพิเศษสอนประสบการณ์ให้นักเรียนได้รับฟัง ว่าอดีตเมื่อมีการทำลายป่าชายเลน เช่น ตัดเผาถ่าน ตัดสร้างบ้านเรือน ขุดบ่อทำนากุ้ง ปัญหาที่ตามมามีอะไรบ้าง และทำไมปัจจุบันชาวบ้านถึงมาร่วมกันอนุรักษ์และป้องกันไม่ให้ป่าชายเลนถูกทำลายอีกต่อไป โดยร่วมกับชาวบ้านช่วยกันปลูกป่าชายเลนโดยชาวบ้านเป็นผู้กำหนดชนิดพันธุ์ไม้และบริเวณพื้นที่ปลูก เพราะต่อไปนี้ ชาวบ้านจะต้องอยู่ร่วมกับป่าที่ชาวบ้านเป็นผู้ปลูกและอนุรักษ์วิธีการบริหารจัดการให้ป่าสมบูรณ์

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/region/9/21/140609_59054.jpg)
 
นายประกอบ เปิดเผยอีกว่า กลุ่มพลังนักศึกษาเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญต่อสังคม สามารถศึกษาเรียนรู้ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมได้ โดยเฉพาะปัญหาภาวะโลกร้อนที่เกิดจากธรรมชาติและฝีมือของมนุษย์ ทุกคนต้องช่วยกันไม่เห็นแก่ความโลภและประโยชน์ส่วนตัว เช่น ตัดไม้ทำลายป่า เผาป่าเพื่อล่าสัตว์ ปล่อยน้ำเสีย และควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ใช้สารเคมีทางการเกษตร เราควรย้อนกลับไปใช้ชีวิตอย่างเช่น ในอดีตอยู่กันแบบเรียบง่าย ยึดหลักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้แม่ดูทำให้แม่มีความสุขสักครั้งและเพื่อลูกหลานของเราเองด้วย
 
ป่าชายเลน มีความสำคัญมากต่อชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ หากไม่มีป่าชายเลน ระบบนิเวศก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันอนุรักษ์ป่าไม้ และป่าชายเลนให้อยู่คู่กับโลกตลอดไป.



จาก       :        เดลินิวส์   วันที่ 21 กรกฎาคม 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 24, 2007, 12:02:41 AM

ทช.ลุยฟื้นป่าชายเลนหมดสัมปทาน ตั้งราษฎรอาสาพิทักษ์ดูแลรุกที่ดิน  

นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมจัดทำมาตรการเพิ่มความเข้มข้นในการส่งเสริมการปลูกป่าชายเลนที่หมดสภาพและการฟื้นฟูป่าชายเลนที่หมดอายุการให้สัมปทานที่เสื่อมโทรมทั่วประเทศอย่างเร่งด่วน โดยมาตรการดังกล่าว นอกจากจะมีการสนับสนุนพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด อาทิ โกงกาง แสม ลำพูน ให้ชุมชนนำไปปลูกทดแทนสภาพป่าที่เสียไปแล้ว ยังจะอบรมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่น ซึ่งในส่วนของชุมชนที่มีความพร้อม กรมฯจะให้เข้าไปส่งเสริมการจัดตั้งกลุ่ม "ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า" หรือ รสทป. เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ทำงานร่วมกับภาครัฐในการดูแลป้องกันการบุกรุก และลักลอบตัดไม้ทำลายป่า พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในการดำเนินงานให้ด้วย

"การจัดตั้งกลุ่ม รสทป. เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานที่สนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งกรมฯได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ทำงานกับภาครัฐในการติดตามสถานการณ์ และแก้ไขปัญหา ตลอดจนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดทรัพยากรท้องถิ่น ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนเป็นอย่างดี กรมฯจึงมีแผนขยายการจัดตั้งกลุ่มรสทป.ให้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายได้แก่ บริเวณอ่าวไทยรูปตัว ก. ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง ตลอดจนพื้นที่บ่อกุ้งที่หมดสัมปทานและถูกปล่อยทิ้งร้างที่กระจายอยู่ในต่างๆของภาคตะวันออก รวมทั้งที่จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สุราษฎร์ธานี" นางนิศากร กล่าว



จาก       :        แนวหน้า   วันที่ 24 กันยายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 13, 2007, 12:37:52 AM

ทำแผนป่าชายเลน 1.46 ล้านไร่ ตั้งเป้าปี 51 ปลูกเพิ่ม 4 พันไร่

 นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ในปี 2551 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้จัดทำแผนบริหารจัดการป่าชายเลนให้เป็นระบบและดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น มุ่งเน้นด้านการฟื้นฟูและคงไว้ซึ่งพื้นที่ป่าชายเลนของไทยทั้งหมดทั่วประเทศเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ต้องการให้ภาครัฐเร่งรักษาพื้นที่ป่าชายเลนที่เหลืออยู่ให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งจากการสำรวจล่าสุด ไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนเหลือ 1.46 ล้านไร่ จากเดิมที่มีกว่า  2 ล้านไร่
 
“ป่าชายเลนเป็นเสมือนกำแพงธรรม ชาติที่จะช่วยป้องกันและลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นแหล่ง อนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน สร้างระบบนิเวศชายฝั่ง  ที่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันประชาชนยังได้ใช้ประโยชน์จากป่าชายเลน ทั้งเก็บไม้เผาเป็นถ่านสร้างรายได้ เป็นแหล่งสมุนไพรธรรมชาติ อีกทั้งไม้ป่าชายเลนยังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อนได้มากกว่าไม้บกถึง 30% ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้คนไทยช่วยกันดูแลและรักษาพื้นที่ป่าชายเลนของไทยทั้งหมด 1.46 ล้านไร่ให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ต่อไป” อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว
 


จาก       :        เดลินิวส์   วันที่ 13 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 14, 2007, 11:56:51 PM

เพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน ‘กุ้งเคย’ คลองนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา จึงสมบูรณ์

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/agriculture/11/15/146049_62762.jpg)
   
การสนองพระราชดำริเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เกิดขึ้นในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมภายใต้โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ล่อแหลมและเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติสภาพแวดล้อม ตลอดถึงพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่เกิดจากการใช้พื้นที่เพื่อการทำกินของประชาชนอย่างขาดวิธี และหนึ่งในหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องนี้ตลอดมากว่า 10 ปี จวบจนทุกวันนี้ ก็คือ โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง  ประเทศไทย
 
นายสามารถ ภู่ไพบูลย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อดีตหัวหน้าโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ กฟผ. เปิดเผยว่า การปลูกป่าถาวรฯ ของ กฟผ.นั้นมีพื้นที่ปลูกทุกภาคของประเทศ ทั้งป่าบกและป่าชายเลน โดยเฉพาะป่าชายเลนนั้นทางโครง การได้ปลูกในพื้นที่ทั้งฝั่งอันดามัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากสึนามิ ณ บ้านคอเขา ต.น้ำเค็ม อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา และบ้านตลิ่งชัน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ เป็นต้น ส่วนในพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยก็มีหลายพื้นที่ อาทิ จังหวัดตราด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปจนถึงจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลานั้นทางโครงการฯ ได้เข้าไปร่วมกับชุมชน ปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯขึ้นที่คลองนาทับ ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา โดยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งตอนนั้นป่าชายเลนเสื่อมโทรมมากและมีชุมชนอาศัยกันอยู่อย่างหนาแน่นจึงได้พัฒนาฟื้นฟู โดยดำเนินการทั้งสองฝั่งคลองนาทับมีเป้าหมายเพื่อให้สภาพของป่าชายเลนในพื้นที่ได้หวนกลับคืนสภาพเดิมอีกครั้งหนึ่ง

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/agriculture/11/15/146049_62760.jpg)
 
พื้นที่ในการดำเนินการกว่า 200 ไร่ ตลอดแนวชุมชน 6 หมู่บ้าน พบว่าตลอดมานับจากเริ่มต้นปลูกต้นไม้มีอัตราการรอดตายสูงถึงร้อยละ 85 โดยใช้กล้าไม้ 4 ชนิดมาทำการปลูก คือ โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ โปรงแดง และถั่วขาว และที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายคืออัตราการรอดตายของต้นไม้สูงนั้น ก็เนื่องจากทางโครงการได้ดำเนินงาน  ในพื้นที่โดยที่มีชุมชนเข้าร่วมด้วย จึงเป็นผลก่อให้เกิดความหวงแหนและช่วยกันดูแลรักษาจากชุมชน    เป็นอย่างดี
 
“ที่สำคัญ ประชาชนที่อาศัยสองฝั่งคลองนาทับ มีอาชีพประมงชายฝั่งและจับกุ้งเคยเพื่อนำมาผลิตเป็นกะปิอาหารยอดนิยมของประชาชนในพื้นที่ เมื่อสภาพป่าชายเลนมีความสมบูรณ์เช่นดังเดิม กุ้งเคยก็จะมีปริมาณมากขึ้นด้วย เนื่องจากป่าชายเลนจะเป็นตัวช่วยทำให้ระบบนิเวศ สัตว์น้ำ พืชพันธุ์ต่าง ๆ มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งที่อาศัยชั้นดีของตัวเคยที่ชาวบ้านนำมาใช้ทำกะปิ  นาทับ ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค พร้อมกันนี้ทาง กฟผ. ยังมีการติดตามประเมินผลในพื้นที่การปลูกป่าทั่วทั้งประเทศอย่างต่อเนื่องอีกด้วย” นายสามารถ ภู่ไพบูลย์ กล่าว

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/agriculture/11/15/146049_62761.jpg)
 
สำหรับกุ้งเคยนั้นเป็นสัตว์เศรษฐกิจซึ่งได้จากธรรมชาติ ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ คนไทยใช้กุ้งเคย ทำกะปิหรือกุ้งแห้งมาช้านาน กุ้งเคยจัดเป็นครัสเตเชียนขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายกุ้ง แต่ตัวเล็กกว่า และไม่มีกรีแหลม ๆ ที่บริเวณหัว เหมือนกุ้ง ตัวสีขาวใส มีตาสีดำ มีขนาดยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีเปลือกบางและนิ่มอาศัยอยู่ตามบริเวณรากไม้ตามป่าชายเลน เช่น ต้น โกงกาง แสม ลำพู และกุ้งเคยที่ใช้ทำกะปิ มี 2 ชนิด คือ เคยละเอียด กับเคยหยาบ ต่างกันตรงขนาดเล็กใหญ่กว่ากัน เคยละเอียดมีลักษณะนุ่มและตัว   เล็กกว่า
 
ที่คลองนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เคยส่วนใหญ่จะเป็นเคยในสกุล Acetes ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน ตามขนาดของลำตัว ตามสีของอวัยวะต่าง ๆ ที่มองเห็นและตามลักษณะของการรวมกันอยู่ เคยในสกุลนี้มีขนาดใหญ่ ประมาณ 7.0-32.9 มม. พบชุกชุมตามชายทะเลปากอ่าวป่าชายเลนที่มีหาดเป็นทราย เคยในสกุลนี้นอกจากจะใช้ทำกะปิแล้วยังใช้ทำเป็นกุ้งแห้งได้อีกด้วย
 
ที่สำคัญเคยคือตัวชี้วัดอย่างหนึ่งถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศแถบป่าชายเลน หากมีเคยในปริมาณมากจนสามารถนำมาผลิตเป็นกะปิเพื่อการจำหน่ายของชุมชนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำก็ย่อมที่จะแสดงว่าพื้นที่แห่งนี้มีความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศเพิ่มขึ้น ดังเช่นที่ ชุมชนคลองนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ในทุกวันนี้
 
นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่รอบ ๆ โรงไฟฟ้าจะนะ ทาง กฟผ. ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์ เช่น การทำนาข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี การปลูกพืชผักตามฤดูกาล เป้าหมายเพื่อให้ชุมชน  รอบ ๆ โรงไฟฟ้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นต้นแบบของโรงไฟฟ้าชุมชนอย่างแท้จริงต่อไป.



จาก       :        เดลินิวส์   วันที่ 15 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 29, 2007, 12:31:53 AM

สิ่งที่เสียไปและสิ่งได้มา แห่งผืนป่าชายเลน “อ่าวคุ้งกระเบน ”             :           ปิ่น บุตรี

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701501.JPEG)
สะพานไม้ศึกษาธรรมชาติแห่งผืนป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน

       บนสะพานไม้ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงไม้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอันร่มครึ้ม
       
       สะพานไม้-ป่าชายเลน แม้จะดูกลมกลืนเข้ากัน แต่พฤติกรรมของคน 2 กลุ่มที่กำลังจะเดินท่องป่าดูค่อนข้างแตกต่าง
       
       กลุ่มแรกเป็นผู้ใหญ่หญิง-ชาย ดูหน้าตาแทบทั้งหมดเลยวัยกลางคนมาเล็กน้อยถึงปานกลาง ผมมองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มสมาชิกอบต.(แห่งหนึ่ง) เพราะบนเสื้อทีมสีสันสดใสของพวกเขาสกรีนบอกเอาไว้ว่า มาจาก อบต.ไหน จังหวัดไหน
       
       กลุ่มที่ 2 เป็นเด็กนักเรียน กลุ่มนี้เห็นปร๊าดก็เดาไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นนักเรียน ม.ต้น(ดูจากการแต่งกาย) ส่วนจะเป็นโรงเรียนไหนอันนี้ผมจนด้วยเกล้า

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701502.JPEG)   
เด็กบางคนให้ความสนใจในการเก็บข้อมูลของป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนเป็นพิเศษ    
 
       สมาชิกชาวคณะกลุ่มแรก(ผู้ใหญ่)ส่วนใหญ่ออกอาการท่าทางเบื่อๆ เซ็งๆ อย่างเห็นได้ชัด บางคนบ่นอุบว่าประมาณว่า คุณลุง-ป้าไม่ปลื้ม แดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้มาเดินดูอะไร(ว่ะ)มีแต่ต้นไม้กับปลาตีน เมื่อก็เมื่อย ร้อนก็ร้อน
       
       ผิดกับเด็กๆในกลุ่มที่ 2 ที่ออกอาการตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกับป่าชายเลน สนใจฟังวิทยากรผู้บรรยาย หลายคนจดโน่นจดนี่ตามคำบรรยาย(สงสัยครูให้ทำรายงานส่ง)
       
       ทั้ง 2 กลุ่มมาที่เดียวกัน แต่พฤติกรรมแตกต่าง
       
       นี่อาจจะเข้าทำนองไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
       
       ผมเห็นแล้วให้รู้สึกเสียดายแทนผู้ใหญ่กลุ่มนี้ แต่ก็น่าดีใจแทนเด็กๆกลุ่มนี้เช่นกัน เพราะป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนแห่งจันทบุรีนั้น ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิต เป็นห้องเรียนธรรมชาติหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวให้ศึกษาเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
       
       1...
       
       บนสะพานไม้ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงไม้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอันร่มครึ้ม
       
       ครั้งหนึ่งในอดีตป่าชายเลนผืนนี้ไม่ได้ร่มครึ้มดังนี้ หากแต่เป็นป่าเสื่อมโทรม ตายซาก ที่แทบจะไร้ประโยชน์
       
       แต่...ป่าผืนนี้ยังไม่สิ้นบุญเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จังหวัดจันทบุรี ว่า
       
       "ให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสม จัดทำโครงการพัฒนาด้านอาชีพการประมงและการเกษตร ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล และจังหวัดจันทบุรี"     
 
       โดยพระองค์ได้พระราชทานเงินที่ราษฎรจังหวัดจันทบุรีทูลเกล้าฯถวายในโอกาสนั้นให้เป็นทุนเริ่มดำเนินการ

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701503.JPEG)   
ตอแสม    
 
       หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2525 จังหวัดจันทบุรีได้จัดตั้ง“ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน”อันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น ที่ ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ภายใต้แนวทาง “การฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเล จากยอดเขาสู่ท้องทะเล”
       
       นับแต่นั้นมาป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนนับพันไร่ได้พลิกฟื้นจากป่าเสื่อมโทรม กลายเป็นป่าชายเลนอันทรงคุณค่าที่มากไปด้วยระบบนิเวศอันหลากหลาย เพราะหลังจากฟื้นฟูสภาพป่าสิ่งที่ได้มาจากสิ่งที่เกือบสูญเสียไปก็คือ การได้ผืนป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งมากไปด้วยคุณประโยชน์นานากลับคืนมา ชาวบ้านในพื้นที่รอบผืนป่ามีรายได้เพิ่มจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและผลิตผลจากผืนป่า นอกจากนี้เมืองไทยยังได้สถานที่ท่องเที่ยวประเภทพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิตอันเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งให้ผู้สนใจได้ศึกษาเรียนรู้
       
       นี่ถือต้องถือว่า “ฟ้ามาโปรด”ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอย่างแท้จริง
       
       2...
       
       บนสะพานไม้ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงไม้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอันร่มครึ้ม
       
       กลุ่มเด็กเดินนำหน้าผู้ใหญ่ไปไกลโขแล้ว ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่(เฉพาะกลุ่มนี้)ดูเหมือนจะเดินไปไม่กี่ 10 เมตร บางคนหาจุดนั่งพัก บางคนถอดใจเดินกลับ

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701504.JPEG)   
ปู่แสม  
 
       ส่วนผมอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มเด็กกลับกลุ่มผู้ใหญ่ โดยพยายามเดินตามกลุ่มเด็กไปห่างๆ เพราะต้องการไปแอบฟังข้อมูลจากวิทยากรที่บรรยาย
       
       แต่พอเผลอยกกล้องส่องปลาตีนที่กระโดดดุ๊กๆ เพียงแป๊บเดียวเท่านั้นวิทยากรได้พากลุ่มเด็กเดินไปไกลลิบแล้ว (ในขณะที่ผมก็เริ่มทิ้งกลุ่มผู้ใหญ่ไปไกลโขเช่นกัน)
       
       แต่ไม่เป็นไรถึงจะไม่ได้ยินวิทยากรบรรยาย ที่นี่ก็สามารถเดินเที่ยวคนเดียวได้อย่างเพลิดเพลิน อีกทั้งใครที่สนใจใฝ่รู้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกข่าว ไม่ได้อะไรใส่หัวกลับไป เพราะระหว่างทางเดินบนสะพานไม้ศึกษาธรรมชาติที่ยาวประมาณ 1,600 เมตรนั้น 2 ข้างทางจะมีป้ายบอกชื่อพืชพันธ์ไม้และฐานความรู้แสดงบอกเป็นระยะๆ หากใครเที่ยวแบบให้ความสนใจป้ายเหล่านั้นบ้าง รับรองว่าได้ความรู้เรื่องระบบนิเวศป่าชายเลนติดตัวกลับบ้านไปแน่ ไม่มากก็น้อยแหละน่า
       
       สำหรับผมแม้จะเป็นคนไม่รักเรียน(แต่รักจริง) เมื่อมาเดินบนสะพานไม้สายนี้ยังได้รับความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลนเพิ่มรอยหยักบนสมองกลับไปบ้างตามสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเห็นความแตกต่างระหว่างโกงกางใบเล็กกับโกงกางใบใหญ่ การได้รู้จักหน้าคร่าตาต้นเป็นๆของพืชพันธ์ไม้ชายเลนอย่าง ต้นแสมขาว แสมดำ ฝาดแดง ลำพู ลำแพน ตะบูน ประสัก ฯลฯ
       
       ส่วนปลาตีนที่วิ่งดุ๊กๆนี่รู้จักดีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับปูก้ามดาบที่ชูก้ามสีแดงวิ่งอยู่ไป-มา โดยมีบางคู่ใช้ก้ามประลองกำลังกัน
       
       ด้วยลักษณะการชูก้ามเช่นนี้ทำให้หลายๆคนนิยมเรียกนิคเนมของปูก้ามดาบว่า“ปูผู้แทน”เพราะลักษณะการชูก้ามของมันดูคล้ายๆการยกมือของส.ส.ในสภา แต่จะมีต่างกันก็ตรงที่การชูก้ามของปูก้ามดาบ(ตัวผู้)เป็นการแสดงอำนาจประกาศศักดาหรือเพื่อเรียกร้องความสนใจต่อตัวเมีย แต่การยกมือของส.ส.นั้น ส่วนใหญ่เป็นการยกมือตามอำนาจเงินของนายทุนพรรคที่ดูแล้วช่างไร้ศักดิ์ศรีเสียนี่กระไร

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701505.JPEG)   
สะพานแขวนหนึ่งในไฮไลท์แห่งอ่าวคุ้งกระเบน  
 
       3…
       
       บนสะพานไม้ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงไม้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอันร่มครึ้ม
       
       ผมเดินเรื่อยๆเอื่อยๆชมต้นไม้ ปู ปลา(ตีน) และสดับรับฟังเสียงนกเสียงลมไปอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะมาสะดุดอารมณ์นิดส์นึงตรงบริเวณ “ตอแสม”(ขนาดเขื่อง)ที่ถูกมนุษย์เผาแห้งตายซากที่เห็นแล้วดูน่าหดหู่ไม่น้อยเลย
       
       ผิดกับตรงฐาน“ปู่แสม”ที่อยู่ไม่ไกลกัน ปูแสมต้นนี้เป็นแสมขาวต้นใหญ่มาก ประมาณสิบคนโอบที่หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของผ่าผืนนี้ ป้ายข้อมูลบอกไว้ว่ามีอายุกว่า 200 ปีทีเดียว ซึ่งหากตอแสมไม่ถูกคนใจร้ายเผาอนาคตตอแสมก็จะกลายเป็นปู่แสมเช่นกัน แต่ถ้าปู่แสมเกิดถูกเผาชะตากรรมก็คงจะไม่ต่างจากตอแสมท่าใดนัก
       
       และนี่ก็คือตัวอย่างเปรียบเทียบของการทำลายและการอนุรักษ์ทรัพยากร ที่ป่าแห่งนี้สอนผมอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701506.JPEG)   
สะพานทางเดินในป่าศาลาโกงกาง   
 
       ในขณะที่เราสูญเสียแสมต้นที่เหลือแต่ตอไป แต่ในวันนี้อ่าวคุ้งกระเบนกำลังจะได้ชีวิตใหม่ของต้นโกงกางจำนวนมากมาเสริมทัพความอุดมสมบูรณ์ เพราะผมเห็นตรงบริเวณปากอ่าว(ฝั่งทะเล)ทางศูนย์ฯเขาปลูกได้ปลูกโกงกางขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
       
       แล้วสักวันหนึ่งเจ้าโกงกางพวกนี้ก็จะขึ้นเขียวครึ้มเป็นดงแน่นทึบดังเช่นป่าโกงกางที่มีอยู่แล้วเป็นแน่แท้
       
       ผมหวังเช่นนั้น
       
       4...
       
       บนสะพานไม้ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงไม้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอันร่มครึ้ม
       
       เส้นทางเดินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ผืนป่าชายเลนยังมีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณสะพานแขวนที่เป็นไฮไลท์จุดหนึ่งนั้น ผมเห็นคนไปยืนรอต่อคิวถ่ายรูปบนสะพานกันไม่น้อยเลย
       
       ถัดจากนั้นไปก็เป็นฐานศาลาโกงกางที่เต็มไปด้วยต้นโกงกางขนาดเบ้อเริ่มเทิ่ม ขึ้นเป็นดงหนาแน่นทึบ ซึ่งหากไม่อนุรักษ์ไว้โกงกางพวกนี้คงโดนตัดไปขายเรียบร้อยโรงเรียนป่าชายเลนแล้ว
       
       และนี่คือสิ่งหลงเหลือที่ต้องช่วยกันดูแลรักษาให้ดี เพราะพวกมนุษย์ใจขวาน ใจเลื่อย ที่พร้อมจะตัดเจ้าโกงกางพวกนี้มันมีมากเหลือเกิน หากเผลอเป็นเสร็จพวกมันแน่ ซึ่งบทเรียนของการสูญเสียสำคัญนั้นมีอยู่ในเห็นอย่างชัดเจนในผืนป่าแห่งนี้บริเวณ อนุสรณ์“หมูดุด” หรือ“พะยูน”หรือ “วัวทะเล”

(http://pics.manager.co.th/Images/550000015701507.JPEG)   
อนุสรณ์หมูดุด บทเรียนแห่งการสูญเสีย    
 
       หมูดุด แต่ก่อนคือเจ้าแห่งอ่าวคุ้งกระเบนที่พบเห็นได้ไม่ยาก แต่มาวันนี้สูญพันธุ์กลายเป็นตำนานแห่งอ่าวคุ้งกระเบนไปแล้ว
       
       แน่นอนว่าหนึ่งในเหตุปัจจัยของการสูญพันธุ์นั้นมาจากการล่าและทำลายของมนุษย์นั่นเอง
       
       5…
       
       บนสะพานไม้ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงไม้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบนอันร่มครึ้ม
       
       ทางเดินนำพามาสู่ฐานสุดท้าย ณ ศาลาเชิงทรง ที่เป็นป่ารอยต่อระหว่างป่าชายเลน ป่าชายหาด และป่าบก จากนั้นอีกไม่กี่นาที ผมก็เดินก้าวออกมาจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิต ที่ครั้งหนึ่งตกอยู่ในสภาพ เสื่อมโทรม ตายซาก ร้างไร้ประโยชน์ แต่ด้วยพระบารมีและพระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังการจัดตั้งศูนย์ฯพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ไม่นาน ผืนป่าแห่งนี้ก็พลิกฟื้นกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
       
       เมื่อพ่อหลวงท่านฟื้นป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน(รวมถึงผืนป่าอื่นๆในเมืองไทย)ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์แล้ว เราๆท่านๆควรเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการช่วยกันอนุรักษ์ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียง เพื่อให้ผืนป่าและทรัพยากรที่หลงเหลือ อยู่คู่กับโลกไปอีกนานเท่านาน
       
       เพราะถ้าหากคนไทย(หลายคนๆ)ยังไม่ใส่ใจกับการอนุรักษ์ ผลาญทรัพยากรไปอย่างไม่บันยะบันยัง อนาคตข้างหน้าเราจะไม่สูญเสียแค่ตอแสม หรือหมูดุดเท่านั้น
       
       แต่จะสูญเสียทั้งป่าชายเลน ป่าบก รวมถึงป่าธรรมชาติอื่นๆไปจนหมดสิ้น
       
       และตลอดกาล...

 
       *****************************************
       
      “ศูนย์ศึกษาและพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน” อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. การเดินทางจากตัวเมืองจันทบุรี ไปตาม ถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 301 จะมีแยกเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามทางหลวงหมายเลข 3399 อีกประมาณ 18 กม. ก็จะถึงยังที่ทำการศูนย์ ผู้สนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอ่าวคุ้งกระเบน โทร. 0-3938-8116-8
 


จาก       :        ผู้จัดการออนไลน์    วันที่ 29 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: แม่หอย ที่ พฤศจิกายน 29, 2007, 01:25:25 AM
ว่าจะติดตามอ่านเฉยๆ แต่วันนี้อดไม่ได้ ต้องขออนุญาตแจมนิดนึงนะคะ..
ชอบบทความของคุณปิ่น บุตรี เรื่องนี้มากเลย ถูกใจ โดนใจมาก เรื่อง องค์กรท้องถิ่นพากลุ่มผู้ใหญ่ไปดูงาน แล้วมักเป็นสภาพอย่างที่บทความว่าไว้ไม่มีผิด ไม่ว่าจะไปไหน ให้ไปศึกษาอะไรที่เป็นความรู้ ก็มักจะออกอาการแบบนั้นให้คนเห็นแล้วกลุ้มใจอยู่บ่อยๆ เว้นเสียแต่พาไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามยอดฮิต ก็จะเฮฮาหน้าชื่น..
แต่เวลาองค์กรท้องถิ่นจะพาไปทัศนศึกษาก็ต้องจัดโปรแกรมเชิดชูสติปัญญาไว้ด้วย เพราะล้วนใช้งบประมาณของแผ่นดินส่วนหนึ่งในการพาไป จะบอกว่าไปเที่ยวเฉยๆ ก็คงจะอนุมัติงบลำบาก ต้องบอกว่าไปศึกษาดูงาน .. แล้วผลก็เป็นเช่นที่บทความว่าไว้
แบบคล้ายๆ กันนี้เจอบ่อยค่ะ เจอบ่อย.. :-[

นอกจากโดนใจแล้ว บทความนี้ทำให้รู้สึกเสียดาย ที่เคยไปคุ้งกระเบนแต่ยังไม่เคยแวะไปเดินทัศนศึกษาป่าชายเลนแหล่งใหญ่ที่นั่นเลยสักที .. ทั้งๆ ที่ชอบป่าชายเลนมาก และเฝ้าเดินดูปลาตีนอยู่แต่ที่ป่าชายเลนน้อยๆ ของคลองวาฬหลายครั้งหลายหน .. ไว้เราคงต้องหาโอกาสไปดูอนุสาวรีย์หมูดุดที่ป่าชายเลนคุ้งกระเบนบ้างแล้วนะคะ ..


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 29, 2007, 03:34:46 AM
หุๆ...ชอบใจที่แม่หอยเล่าให้ฟังเหมือนกันค่ะ....

เสียดายเงินของแผ่นดินที่เรามีส่วนช่วยกันหามาเพิ่มเติมให้.....ต้องมาเสียไปเพราะความเห็นแก่ได้เห็นแก่มีของคนบางกลุ่มบางพวกนะคะ


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2008, 12:01:08 AM

อนุรักษ์ป่า กลางมหานคร ฟื้นฟูนิเวศ 3 น้ำที่พระประแดง

(http://www.thairath.co.th/2551/agriculture/Feb/library/06/farming1.jpg)
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส แก่ข้าราชการสังกัดกรมป่าไม้ เนื่องใน “วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ” เมื่อหลายปีก่อน มีใจความว่า...

“....เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ควรจะ ปลูกต้นไม้ลงในใจคน เสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ ลงบนแผ่นดิน และ รักษาต้นไม้ด้วยตนเอง...”

ปัจจุบันปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ยังไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งลงได้ แม้ว่า กรมป่าไม้ ย้ายสังกัดจาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาอยู่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

...นายวิชัย แหลมวิไล อธิบดีกรมป่าไม้ เผยว่า ปัญหาป่าไม้ที่ถูกลักลอบตัดส่วนใหญ่จะเป็นไม้ที่มีค่า เช่น ไม้สักและไม้พะยูง เนื่องจากมี เม็ดเงินจำนวนมากสั่งซื้อมาจากตลาดต่างประเทศ จึงทำให้เกิดขบวนการตัดไม้ทำลายป่าขึ้น อีกทั้งยังมีพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ดูแลป่าไม้อย่างเต็มที่

กรมป่าไม้ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้มีการตั้งชุดปฏิบัติการป้องกัน และปราบปรามผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่าขึ้น โดยมีหลายหน่วยงานเข้ามาร่วม เป็นคณะกรรมการ กอ.ร่วมฯ ขึ้นมาปฏิบัติการตรวจค้นและจับกุม หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของป่าไม้พัวพันก็ดำเนินการ ย้าย ปลดออก และ ไล่ออก ตามหลักฐานที่ปรากฏทำให้สามารถหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่าลงได้พอสมควร

และเมื่อเร็วๆนี้ได้จัดงานสัปดาห์ วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ประจำปี 2551 ขึ้น ที่บริเวณ สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ ตำบล บางกระเจ้า อำเภอ พระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ ตามแผนเพิ่มพื้นที่สีเขียวกลางมหานคร

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจที่นี่มีการจัดตั้งป่าชุมชนขึ้น เพื่อต้องการดึงมวลชนให้เข้ามามีส่วนร่วมอนุรักษ์พื้นที่ป่า... นายสมศักดิ์ เนติรังษีวัชรา รองอธิบดีกรมป่าไม้ เผยว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่สวนแห่งนี้ พร้อมกับมีพระราชดำริให้อนุรักษ์ป่าแห่งนี้ไว้ กรมฯจึงดำเนิน โครงการสวนกลางมหานคร ขึ้นบริเวณบางกระเจ้า 6 ตำบล คือ ต.บางน้ำผึ้ง ต.บางกอบัว ต.ทรงคนอง ต.บางกะเจ้า ต.บางกระสอบ และ ต.บางยอ ในเขต อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ มีพื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่

โดยมุ่งเน้นการ อนุรักษ์พันธุ์ไม้ อนุรักษ์วิถีชีวิตด้านการเกษตรกรรม และ การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้บริเวณนี้เป็น พื้นที่สีเขียว ซึ่งมีลักษณะเป็น เกาะแก่งราว 560 แปลง การบริหารจัดการ และ ฟื้นฟู สภาพพื้นที่โดยจะใช้กระบวนการ ป่าชุมชน เข้ามาดำเนินการเพื่อให้ชาวชุมชนได้มี

ส่วนร่วมในการดูแลรักษาพื้นที่สีเขียว และใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนที่จัดตั้งขึ้นด้านของผู้ดูแลป่าชุมชน นายชลธิศ สุรัสวดี ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน กล่าวว่า ในพื้นที่แห่งนี้ เดิมทีมีสวนป่าชุมชนเกิดขึ้นแล้ว 1 แห่ง คือ สวนป่าเกดน้อมเกล้า ตั้งอยู่ที่ ต.ทรงคนอง ซึ่งในบริเวณดังกล่าวมีความโดดเด่นในเรื่องของพันธุ์พืชที่มีเฉพาะพื้นที่และหาดูได้ยาก เช่น ต้นลำพู ต้นจิก ต้นชำมะเลียง โกงกางพื้นเมือง ฯลฯ

อีกทั้งยังมี ระบบนิเวศ 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำเค็ม และ น้ำกร่อย การพัฒนาและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ป่าจะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

เมื่อได้ลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านว่าต้องการป่าชุมชนอีกหรือไม่ ชาวบ้านในหลายหมู่บ้านก็พร้อมที่จะมอบที่ดินว่างเปล่า และให้ความร่วมมือในการจัดสร้างป่าชุมชนขึ้นอีก เนื่องจากป่าชุมชนแห่งแรกได้เติบโตขึ้นและให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านอย่างชัดเจน

(http://www.thairath.co.th/2551/agriculture/Feb/library/06/farming2.jpg)

ลุงบุญแถม เพชรประดิษฐ์ อายุ 61 ปี ศิลปินดีเด่นของจังหวัดสมุทรปราการในด้านการแกะสลัก บอกว่า ชาวชุมชนส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้ป่าชุมชนแห่งนี้จะเป็นชาวมอญ จึงมีพิธีกรรมทางศาสนาบ่อยครั้งสามารถนำผลผลิตจากป่า เช่น ต้นกล้วย กาบกล้วย ใบตอง ต้นจาก ผลจาก ใบจาก ผลมะพร้าว ใบมะพร้าว กิ่งและก้าน ฯลฯ มาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง

ทั้งในด้าน การแกะสลักเป็นบายศรี เพื่อใช้ในงาน พิธีมงคล ต่างๆหรือจะนำมาทำเป็นกระทงใส่ อาหารคาว และ อาหารหวาน ก็สามารถนำไปทำได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะ ขนมจากที่เลื่องชื่อของพระประแดง

พวกเรา ชาวชุมชนป่าเกดน้อมเกล้า จึงคิดว่า ต้องช่วยกันอนุรักษ์ต้นไม้และรักษาป่าให้อยู่ต่อไปเพื่อให้ลูกหลานของเราได้มีกินและมีใช้ จากป่าชุมชน 3 น้ำแห่งนี้.

 
 

จาก                  :                   ไทยรัฐ    วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.can ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2008, 08:01:06 AM
ไม่ได้ไปแต่สวน(คนเดียว)นะครับ
งานแบบนี้ ครอบครัวสุขสันต์ ลูก เมีย หลาน ไปกันเป็นคณะ
แต่อย่าว่าเขาเลย แค่ในประเทศเอง เที่ยว..เอ้ย..ดูงานต่างประเทศเป็นครอบครัว ก็ยังมี


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2008, 08:14:48 AM
หุๆ....ไม่ว่า.....แต่ด่าอยู่ในใจนะคะ...... :-X

ลด...ละ...เลิก ไม่อยากได้ใคร่มีกับผลประโยชน์ส่วนตนเล็กๆน้อยๆ  ควรหันมามองที่ผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แม้จะทำได้บ้างเล็กๆน้อยๆก็ยังดี นานเข้าหลายคนเข้าก็ทำคุณให้ชาติได้มากโขค่ะ






หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2008, 02:31:30 AM

สมบูรณ์ดีชีวีมีสุข อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ

(http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/02/hap02100251p1.jpg)
 
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2541 ประเทศไทยร่วมลงนามเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ "แรมซาร์" โดยเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำพรุควนขี้เสียน เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นแรมซาร์ไซต์แห่งแรกของประเทศไทย

ตามพันธกรณีของอนุสัญญา คือประเทศภาคีจะต้องกำหนดพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่เหมาะสมในดินแดนของตน เพื่อรวมไว้ในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ โดยคำนึงถึงความสำคัญในระดับนานาชาติ ด้านนิเวศวิทยา พฤกษศาสตร์ สังคมศาสตร์ ชลชีววิทยา และอุทกวิทยา อีกทั้งต้องส่งเสริมการอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำนั้นๆ อย่างชาญฉลาดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ ทางสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ยังกำหนดให้วันที่ 2 ก.พ.ของทุกปี เป็น "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" โดยในปี 2551 นี้ กำหนดหัวข้อของวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลกในปีนี้ ว่า "Healthy wetland, Healthy people" หรือ "พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์ดี ชีวีมีสุข" และจะเป็นหัวข้อในการประชุมที่ประเทศเกาหลีใต้ ในเร็วๆ นี้ด้วย

พื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ "Wetland" ตามคำจำกัดความในอนุสัญญาแรมซาร์ หมายถึง พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม มีน้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขึ้น

ทั้งที่มีน้ำขัง หรือท่วมอยู่ถาวรและชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงพื้นที่ชายทะเล และพื้นที่ของทะเลในบริเวณ ซึ่งเมื่อน้ำลดต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร

 (http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/02/hap02100251p2.jpg)

ประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำมากมายหลายแห่ง โดยพบว่ามีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียไม่น้อยกว่า 42 แห่ง แต่มีเพียงร้อยละ 2 ของพื้นที่ชุ่มน้ำทั้ง 42 แห่งเท่านั้น ที่ได้รับความคุ้มครองอย่างสมบูรณ์

อีกร้อยละ 8 ได้รับความคุ้มครองในรูปแบบในแบบหนึ่ง ภายใต้ระบบพื้นที่อนุรักษ์ แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ยังไม่ได้รับการอนุรักษ์และคุ้มครองอย่างจริงจัง เป็นผลให้ร้อยละ 47 ของพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของไทย อยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการถูกทำลายในระดับกลางถึงสูง

ที่ผ่านมา ไทยประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ ไปแล้ว 10 พื้นที่ ได้แก่

1.พรุควนขี้เสียน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อประชากรและชนิดพันธุ์นกอพยพ

2.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.หนองคาย แหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ในภาคอีสาน เป็นแหล่งอาศัยของนกและปลา และเป็นแหล่งน้ำสำหรับชุมชน

3.ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม พื้นที่ราบในเขตน้ำขึ้นน้ำลงที่มีลักษณะกว้างใหญ่ เกิดจากการสะสมของตะกอนจากปากแม่น้ำ เป็นพื้นที่แห่งเดียวของประเทศไทยที่เป็นแหล่งอาศัยของหอยหลอด ซึ่งมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ

4.ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่ ตั้งอยู่ใกล้กับเทศบาลเมืองกระบี่ เป็นพื้นที่ที่มีระบบนิเวศชุ่มน้ำชายฝั่งหลากหลายชนิด ได้แก่ ป่าชายเลน หาดเลน หาดทราย ลำคลอง และแหล่งหญ้าทะเล

5.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย เป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่เป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญสำหรับนกอพยพในฤดูหนาว

6.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส เป็นป่าพรุสมบูรณ์ผืนใหญ่ผืนสุดท้ายของประเทศไทย

7.อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง-ปากแม่น้ำตรัง จ.ตรัง มีระบบนิเวศชุ่มน้ำหลากหลายชนิดมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นแหล่งอาศัยของนก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ โดยเฉพาะพะยูน

8.อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากน้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ คลอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลนดั้งเดิม เป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และได้รับการแต่งตั้งเป็นพื้นสงวนชีวมณฑลแห่งที่ 4

9.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ประกอบด้วยเกาะ 42 เกาะ ในอ่าวไทย เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญสำหรับการทำประมง

10.อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา เป็นอ่าวที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่ป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์

อีกทั้งยังมีแผนจะเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือแรมซาร์ไซต์ระดับนานาชาติเพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์, เกาะระ-เกาะพระทอง จ.พังงา และกุดทิง จ.หนองคาย

ไม่เฉพาะ 3 พื้นที่แห่งนี้ ล่าสุดชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวบรวมข้อมูลป่าพรุแม่รำพึง ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดข้อพิพาทอย่างหนัก เนื่องจากจะมีโครงการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กในป่าพรุแห่งนี้ และชาวบ้านในพื้นที่อาศัยประโยชน์ ร่วมกันดูแลรักษาผืนป่าแห่งนี้มาช้านาน

(http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/02/hap02100251p3.jpg)

"การจะรักษาคุณประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ จำเป็นจะต้องจัดการระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำที่ดี และเหมาะสมตามหลักการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด คือ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ในวิถีทางที่สอดคล้องกับการบำรุงรักษาคุณลักษณะทางธรรมชาติของระบบนิเวศไว้"

"วิธีการเหล่านี้มีความสอดคล้องกับหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สามารถประยุกต์ใช้กับการบริการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ชุ่มน้ำ คือรู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดรอบคอบ โดยเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำนึงถึงความพอประมาณ มีเหตุผล มีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว"

นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในงานเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง "พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์ดี ชีวีมีสุข" จัดโดย สำนักความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้

เพื่อเป็นการระดมสมองจากนักวิชาการ รวมทั้งเผยแพร่ผลงานวิจัย เทคนิคใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการอนุรักษ์และจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน

ทั้งยังถือเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี ที่ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำด้วย

โดยแผนในอนาคตจะสำรวจพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งที่ขึ้นทะเบียนไว้และไม่ได้ขึ้นทะเบียนทั้งประเทศจำนวน 42,653 แห่ง ว่าจะประสานให้ท้องถิ่นเข้ามาร่วมดูแลได้อย่างไร โดยยึดหลัก "พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์ดี ชีวีมีสุข" เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด และรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำไว้อย่างยั่งยืนต่อไป



จาก                  :                   ข่าวสด    วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2008, 01:01:54 AM

10 ปี กับพื้นที่ชุ่มน้ำไทย ที่ต้องตระหนักและรักษาให้คงอยู่

จากจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2541 ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (Ramsar) ลำดับที่ 110 และในครั้งนั้นไทยได้เสนอพื้นที่ชุ่มน้ำพรุควนขี้เสี้ยน ในบริเวณห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย  จ.พัทลุง  เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) แห่งแรกของประเทศไทย  เป็นเวลากว่า 10 ปีที่ไทยเข้าสู่ระบบสากลของการพิทักษ์ดูแล Wet Land

เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์ดี  ชีวีมีสุข เพื่อระลึกถึงความสำคัญและความเป็นมาของพื้นที่ชุ่มในประเทศไทย รวมไปถึงหาแนวทางการส่งเสริมอนุรักษ์  และจัดสรรการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศในอนาคตอย่างชาญฉลาดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เนื่องจากพื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านนิเวศวิทยา พฤกษศาสตร์ สังคมศาสตร์ ชลชีววิทยา และอุทกวิทยา

ในรอบ  10  ปีที่ผ่านมา  ไทยได้มีการขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ  ระดับชาติ  และระดับท้องถิ่นของประเทศ  จวบจนปี  2551  ประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำกว่า 42,653 แห่ง แบ่งเป็นระดับแม่น้ำ  ลำธาร  ลำคลอง  ลำห้วย 25,008 แห่ง ทะเลเสาบ บึง อ่างเก็บน้ำ 14,128 แห่ง  หนองน้ำหรือที่ลุ่ม 1,993 แห่ง ทะเล หรือชายฝั่งและปากแม่น้ำ 1,256 แห่ง ยังไม่ได้จำแนกอีก 268 แห่ง ต่อมาในปี 2543 คณะรัฐมนตรีมีความเห็นชอบในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ โดยออกมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ

ในปี  2544  พื้นที่ชุ่มน้ำของไทยขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์)  อีก  9 แห่ง พร้อมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และเอเชียตะวันออก  ปี  2545  ดำเนินโครงการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน  ร่วมกับกัมพูชา ลาว เวียดนาม โดยไทยเลือกพื้นที่ชุ่มน้ำสงครามเป็นพื้นที่ดำเนินงาน และเข้าร่วมประชุมสมัชชาภาคีแรมซาร์ สมัยที่ 8

ปี  2546  จัดทำแผนการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ  โดยผนวกไว้ในนโยบาย มาตรการ และแผนการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน  พ.ศ.2546-2550  ปี  ต่อมาในปี 2547  เริ่มจัดหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพื้นที่ชุ่มน้ำ ใน รร.จ.เชียงราย พังงา และตรัง และจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ  จัดทำแผนการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในแรมซาร์ไซต์  4  แห่ง ส่วนปี  2548  ได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาภาคีแรมซาร์ สมัยที่ 9 และได้รับคัดเลือกเป็นผู้แทนของภูมิภาคเอชีย ในคณะกรรมการบริหารของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ

และในปี 2551 พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ระดับนานาชาติ  แห่งที่ 11 ของประเทศไทย พร้อมเตรียมเสนอให้กุดทิง  จ.หนองคาย บึงบอระเพ็ด  จ.นครสวรรค์  และเกาะระ-เกาะพระทอง  จ.พังงา  เป็นแรมซาร์ไซต์ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ   ส่วนบึงสำนักใหญ่ จ.ระยอง พรุแม่รำพึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ

พื้นที่ชุ่มน้ำทุกแห่งในโลก จัดว่าเป็นแหล่งน้ำสำคัญในการดำรงชีวิตของทุกหมู่สรรพสัตว์ โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแหล่งน้ำจืดที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากน้ำจืดบนโลกไม่ได้ถูกแบ่งปันอย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่หรือตลอดปี  หรือตามการกระจายตัวของประชากร แต่พื้นที่ชุ่มน้ำจืดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้น้ำหมุนเวียนได้ตามธรรมชาติ   ทำหน้าที่รองรับและเก็บกักน้ำฝนและหิมะ  ให้น้ำแก่แหล่งน้ำ เก็บกักตะกอนทำให้น้ำบริสุทธิ์ รักษาสมดุลของระดับน้ำใต้ดิน ควบคุมการไหลของน้ำและป้องกันน้ำท่วม รวมไปถึงช่วยกักเก็บตะกอน สะสมธาตุอาหาร และดูดซับสารพิษ

พื้นที่ชุ่มน้ำของไทยก็เหมือนกับพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆ ที่ถูกบุกรุกด้วยกิจกรรมของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเทน้ำออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำ  ทำลายพืชพรรณจนก่อเกิดมลพิษในพื้นที่  สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ความสามารถของพื้นที่ชุ่มน้ำในการผลิตน้ำสะอาดเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้นเกือบ  2 เท่าลดลง

บนเวทีการประชุมเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำในที่จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นอีกหนึ่งการรณรงค์ให้ทุกคนในประเทศตระหนักในความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ การไม่ดูแลรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำในวันนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อพวกเราในอนาคตได้.



จาก                  :                   ไทยโพสต์    วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สรรพสิ่ง ที่ มีนาคม 05, 2008, 11:12:13 AM
สวัสดีครับ  ผมอายุ 18 ปี
ผมเป็นว่าที่นายกสมาคม สมาคมหนึ่ง  (กำลังร่างโครงการและก่อตั้งสมาคมอยู่ครับ)  สมาคมของผมมีวัตถุประสงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตอนนี้กำลังหาเครือข่าย 
ซึ่งกำลังเล็งกลุ่มแนวร่วมอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ บริเวรจังหวัดชายฝั่งภาคใต้อ่าวไทยครับ (กลุ่มแนวร่วมปลูกป่าโกงกางและพื้นที่โครงการฟื้นฟูป่าครับ)
ตอนนี้มีกำลังและพันธมิตรมากมายพอควรแล้ว ขาดอยู่บ้างก็ข้อมูลน่ะครับ  ใคร่อยากจะเรียนถามว่า มีศูนย์เพาะพันธุ์ต้นโกงกางสำหรับนำไปปลูกที่ไหนบ้างครับ ที่อยู่ล่ะ แล้วเบอร์โทรศัพท์ล่ะ องค์กรของรัฐหรือชุมชนที่เราสามารถติดต่อขอต้นโกงกางไปปลูกได้น่ะครับ
ขอบพระคุณอย่างสูง
ส่งทางเมล์ครับ gooham_tr@hotmail.com
เว็บไซน์ยังไม่มียังอยู่ระหว่างดำเนินการขอจัดตั้ง

ขอบพระคุณอีกครั้ง....


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มีนาคม 05, 2008, 11:40:31 AM

ลองเข้าไปหาข้อมูลและเบอร์โทรศัพท์จากเว็บไซท์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ กรมป่าไม้ ได้เลยครับ ทั้ง 2 กระทรวงมีหน่วยงานเฉพาะที่ทำหน้าที่ทั้งดูแลป่าชายเลน และเพาะกล้าไม้ชายเลน รวมทั้ง ดูแลพื้นที่ปลูกป่าในโครงการตามพระราชดำริฯ ด้วยครับ



หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มีนาคม 09, 2008, 12:25:41 AM

5 ปีปิดตำนานชายทะเลบางปู ร่องน้ำลึกทำป่าชายเลนหด
 
(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/environment/3/9/156975_70421.jpg) 
 
 "หากเราปล่อยให้เป็นแบบนี้โดยไม่หาทางป้องกัน หรือเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน อีกไม่เกิน 5 ปี ป่าชายเลนบางปู สถานตากอากาศอันสวยงามที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน จะเหลือเพียงแค่ตำนานเท่านั้น”
 
พ.ท.สุรพงศ์ รัตนโกเศรษฐ์ หัวหน้าแผนกส่งกำลัง สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ กล่าวถึงสถานการณ์ป่าชายเลนบางปู ที่ปัจจุบันกำลังเป็นที่วิตกกังวลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก
 
เมื่อเร็ว ๆ นี้ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จึงร่วมกับกองทัพภาคที่ 1 จัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนบริเวณสถานตากอากาศบางปูขึ้นในระยะแรก 5,000 ต้น เพื่อป้องกันการกัดเซาะของคลื่น ฟื้นฟูป่าชายเลนให้เป็นแนวกำแพงธรรมชาติ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ  โดยมีเป้าหมายให้ระบบนิเวศบริเวณนี้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม
 
ปัญหาของป่าชายเลนบางปูเกิดจากคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งในแนว ตั้งฉาก ผิดกับป่าชายเลนที่อื่น ๆ ที่คลื่นจะพัดขนานกับแนวชายฝั่ง ดังนั้นพืชในป่าชายเลนของบางปูจึงจำเป็นต้องมีคุณสมบัติในการยึดเกาะดินได้ดี และต้นแสมขาวก็เป็นพืชที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งเราจะเห็นต้นแสมขาวขึ้นอยู่ทั่วไปในป่าชายเลนแถบนี้
 
ชายทะเลบางปูถูกทำลายมากขึ้น อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการขุดร่องน้ำลึกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยาไปจังหวัดชลบุรีตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2530 เพื่อเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ
 
เพราะก่อนหน้านั้นเรือขนส่งสินค้าจะต้องขับอ้อม โดยจะต้องมุ่งหน้าออกทะเลตั้งฉากกับแนวชายฝั่งก่อนจะเลี้ยวไปจังหวัดชลบุรี เนื่องจากเรือจะกินน้ำลึกกว่า 10 เมตร ขณะที่ชายทะเลบางปูจะมีความลึกไม่ถึง 10 เมตร
       
เมื่อค่าขนส่งสินค้าแพง ทำให้ราคาสินค้าที่ถูกลำเลียงทางเรือแพงขึ้นด้วย รัฐบาลในสมัยนั้นจึงมีนโบายขุดร่องน้ำลึกในแถบบางปูตัดเป็นแนวเฉียงจากบางปูไปชลบุรีโดยตรง เพื่อย่นระยะทางการเดินเรือ ซึ่งก็ทำให้ย่นระยะทางไปได้หลายสิบกิโลเมตร

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/environment/3/9/156975_70423.jpg)
       
ร่องน้ำลึกดังกล่าวจะมีขนาดกว้าง 200 เมตร ลึก 20 เมตร ตลอดระยะทางในแนวเฉียง ทำให้ตัดแนวคลื่น   
ซึ่งเดิมจะพัดเข้าหาฝั่งเปลี่ยนแปลงไป ความแรงของคลื่นเพิ่มมากขึ้น  ขณะเดียวกันการดูดทรายในร่องน้ำลึกเพื่อคงสภาพของร่องน้ำไว้และทิ้งออกมานอกร่องน้ำ ส่งผลให้คลื่นซัดทรายเข้าหาฝั่งมากขึ้น ชายทะเลบางปูซึ่งเดิมเป็นดินโคลนค่อนข้างเหนียวกลายเป็นดินโคลนปนทราย ต้นแสมขาวที่เคยยึดเกาะดินได้ก็เกิดปัญหาเพราะดินร่วนขึ้น ประกอบกับคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งมีกำลังแรงขึ้น
 
ส่งผลให้ป่าชายเลนบริเวณนี้ถูกทำลายลงไปแล้วถึง 70% !!!
 
ในแต่ละปีป่าชายเลนแถบนี้จะหายไปปีละประมาณ 10 ไร่ ปัจจุบันเหลือป่าชายเลนเพียง 1 ใน 10 ของที่เคยมี หรือมีอยู่ราว 50 ไร่ จากเดิม 300 ไร่ 
 
 นายพรเทพ  ธัญญพงศ์ชัย ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า นอกจากการปลูกป่าชายเลนเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนที่หายไปแล้ว การไฟฟ้าและกองทัพภาคที่ 1 ยังมีโครงการที่จะปักเสาลดแรงคลื่น เป็นเสาคอนกรีตสามเหลี่ยมขนาดกว้าง 30 ซม. ระยะทาง 1,300 เมตร 
 
โดยเมื่อคลื่นพัดมากระทบแนวเหลี่ยมของเสาคลื่นจะกระจายออกสองฝั่ง ความแรงของคลื่นที่จะกระทบฝั่งก็จะน้อยลง คลื่นส่วนหนึ่งจะย้อนกลับเข้ามาด้านหลังเสาและเกิดตกตะกอนของดินด้านหลังเสา นอกจากลดแรงคลื่นแล้ว เสานี้ยังจะเพิ่มพื้นดินป่าชายเลนที่ถูกคลื่นซัดหายไปให้กลับคืนมาด้วย โครงการปลูกป่าชายเลนและปักเสาลดแรงคลื่นจะสิ้นสุดในปี 2552 โดย กฟน. จะสนับสนุนงบประมาณทั้งหมดรวม 10 ล้านบาท
 
กฟน.ยังมีโครงการที่จะสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนหันมาเอาใจใส่และอนุรักษ์ป่าชายเลน ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ เพราะตระหนักว่า ลำพังเพียงคนเดียวหรือหน่วยงานเดียว คงไม่สามารถช่วยชายทะเลบางปูให้คงอยู่ได้ 
 
และหากไม่เร่งทำตั้งแต่ตอนนี้ สถานตากอากาศบางปูคงเหลือเพียงตำนานจริง ๆ.

 

จาก                  :                   เดลินิวส์    วันที่ 9 มีนาคม 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ เมษายน 29, 2008, 12:48:12 AM

ร่วมแรงร่วมใจคืนชีวิตให้...ป่าชายเลน
 
(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/4/29/162190_74042.jpg) 
 
 ในบรรดาทรัพยากรธรรมชาติที่ไทยยัง คงมีอยู่ “ป่าชายเลน” เป็นอีกหนึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่ไทยเคยมีความอุดมสมบูรณ์ แต่กลับลดจำนวนลงเรื่อย ๆ  รวมถึงการเสื่อมโทรมของป่าชายเลนที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทำให้ปัจจุบันไทยเหลือพื้นที่ป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์เพียง 1 ล้านไร่เท่านั้น จากเดิมที่เคยมีกว่า 2.3 ล้านไร่ อย่างไม่น่าเชื่อ โดยพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่เฝ้ารอการดูแลและคอยการฟื้นฟูมีสูงถึง 1.3 ล้านไร่
 
กระทรวงทรัพยากรฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของป่าชายเลน และเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงได้จัดทำแผนฟื้นฟู โดยเร่งจัดทำแผนฟื้นฟูป่าชายเลน มีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมทั้งหมด 300,000 ไร่ ภายในระยะเวลา  5 ปี
 
ตั้งแต่ปี 2551-2554 โดยเน้นหนักในพื้นที่ป่าชายเลนตามแนวชายฝั่งทะเล 1,600 กิโลเมตร ทั้งทางฝั่งอันดามันตั้งแต่พื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้นไป รวมถึงพื้นที่ทางฝั่ง  อ่าวไทย แถบจ.จันทบุรี ตราด และระยอง ใน       วงเงินงบประมาณทั้งหมด 1,780 ล้านบาท โดย  ล่าสุดได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมทั้งหมดทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อมูลทั้งหมดภายในเดือนเมษายนนี้

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/4/29/162190_74043.jpg)
 
นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า การฟื้นฟูป่าชายเลนถือเป็นภารกิจที่กรมฯ ให้ความสำคัญเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยพื้นที่ป่าชายเลนของไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมทั้งหมดของไทยให้มีความชัดเจนและเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ป่าชายเลนที่ให้สัมปทานไปแล้วแต่ไม่ได้นำ  ไปใช้ประโยชน์ หรือมีการใช้ประโยชน์ที่ผิดประเภท เพื่อเรียกคืนจากหน่วยงานรัฐหรือภาคเอกชน ก่อนที่จะกำหนดแผนฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์อีกครั้ง
 
ทั้งนี้ ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จะนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญในการวางแผนการฟื้นฟูป่าชายเลนอย่างเป็นระบบและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการวางแนวเขตพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการอนุรักษ์ให้คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ เป็นกำแพงธรรมชาติป้องกันคลื่นลมทะเล และลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เกิดขึ้น เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมโดยรอบ รวมถึงช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก บรรเทาภาวะโลกร้อน โดยในเบื้องต้น ปี 2551 มีแผนที่จะฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น 8,500 ไร่   

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/4/29/162190_74044.jpg)
 
“ที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน ภายใต้โครงการการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันปลูกป่าชายเลน พร้อมกับดูแลรักษาและอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน” อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าว
 
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการกำหนดมาตรการและแผนฟื้นฟูอย่างชัดเจนแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าการสร้างผืนป่าชายเลนให้มีชีวิตอีกครั้ง ต้องใช้ระยะเวลานาน การสร้างจิตสำนึกในเด็กและเยาวชนให้ตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ในอนาคตจะเป็นฐานกำลังสำคัญในการดูแลอนุรักษ์ และรักษาผืนป่าชายเลนของไทยให้คงอยู่ต่อไป.
 



จาก                  :                   เดลินิวส์    วันที่ 29 เมษายน 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ เมษายน 29, 2008, 12:55:47 AM

ปลุกกระแสอนุรักษ์ พิทักษ์ป่าชายเลนแบบโจ๋ ' World Bank

(http://pics.manager.co.th/Images/551000005416601.JPEG)
โฉมหน้าเยาวชน คนรักป่าชายเลน

      ชมรมเยาวชนธนาคารโลกจัดโครงการทัศนศึกษา “เรียน- รู้-รัก เพื่อพิทักษ์ป่าชายเลน” ครั้งที่ 4 ณ บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ เพื่อปลูกจิตใต้สำนึกให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเรียนรู้วิถีชาวบ้านเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ รวมไปถึงการต่อสู้กับปัญหาภัยธรรมชาติของชาวบ้านที่อาจจะต้องประสบ
       
       ซึ่งในปีนี้มีการจัดกิจกรรมพิเศษให้เยาวชนได้เรียนรู้ อาทิ เช่น ทัศนศึกษาที่วัดขุนสมุทราวาส และเรียนรู้สภาพแวดล้อมของหมู่บ้าน ศึกษาการทำกะปิ การประกอบอาชีพประมง นอกจากนี้ยังได้รับฟังคำบรรยายจากคุณสมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้าน เรื่องผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทย เรื่องป่าชายเลนและวิธีเพาะกล้าโกงก้างจากคุณวิษณุ เข่งสมุทร ที่ถือว่าเป็นการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอีกวิธีหนึ่ง

(http://pics.manager.co.th/Images/551000005416602.JPEG)
ผู้ใหญ่บ้านบรรยายต้นเหตุปัญหาป่าชายเลน
       
       “ป้าสมร” สมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน หัวหน้าแกนนำโครงการอนุรักษ์ป่าชายเลนกล่าวถึงปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่คนทั้งหมู่บ้านได้เผชิญอยู่ ณ เวลานี้ ว่า พยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีที่บรรพบุรุษเคยทำมา
       
       “เราต้องยอมรับว่าไม่มีวิธีไหนที่สมบูรณ์และใช้ได้ดี 100% ตอนนี้เราได้คิดวิธีการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลแบบใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างเขื่อนสลายพลังคลื่น49 A2 ถูกออกแบบมาให้เสามีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม เรียงเป็นสามแถวซ้อนกัน เวลาที่คลื่นซัดมาจะได้แตกตัวออกและช่วยเบาแรงลง มีช่องว่างให้น้ำหมุนเวียนได้ตลอดเวลา กลายเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ทำให้ชาวบ้านสามารถประกอบอาชีพได้เหมือนเดิม แต่ตอนนี้โครงการอยู่ในช่วงทดลอง เนื่องจากไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะสร้างเขื่อนสลายพลังคลื่นได้”
       
       ส่วนสิ่งที่สำคัญในการสร้างเขื่อนปัจจัยหลักอย่างไรก็หนีไม่พ้นเรื่องของงบประมาณ ต่อการสร้างเขื่อน
       
       ป้าสมรบอกแม้จะถือว่าเป็นเงินก้อนโต แต่ กึคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้
       
       “งบประมาณตกอยู่ที่ กิโลเมตรละ 36 ล้านบาท ซึ่งเราต้องการสร้างทั้งหมด 15 กิโลเมตร ถือว่าเป็นเงินก้อนโต แต่ถ้าให้มองถึงประโยชน์ที่ได้ๆ ถือว่าคุ้ม อย่างเวลานี้ น้ำทะเลกัดกินชายฝั่งทะเลไปกว่า 5-6 กิโลเมตร อีกไม่นานคนในกรุงเทพก็จะเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าว เราอยากให้ลองคิดว่าการป้องกันแต่ต้นๆ ป้องกันที่สาเหตุมันจะดีกว่าไหม ดีกว่าให้คน 10 กว่าล้านคน อพยพไปอยู่ที่อื่น”

(http://pics.manager.co.th/Images/551000005416603.JPEG)
เยาวชนถอนต้นกล้าโกงกาง
       
       ส่วนวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ป้าสมรยังอธิบายให้ทุกคนได้ ตระหนักถึงปัญหาด้วยว่า พวกเราต่อสู้กับปัญหานี้มาเป็นสิบๆ ปี พยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่า เลยอยากให้หน่วยงานรัฐบาลยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
       
       “อยากจะขอบคุณทุกคนที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะดังกล่าว ก็อยากให้เด็กๆ นำปัญหาต่างๆ ไปเผยแพร่ ยิ่งคนรู้มากเท่าไร เราก็จะมีวิธีการแก้ไขปัญหากันมากเท่า พวกเราต่อสู้กับปัญหานี้มาเป็นสิบๆ ปี พยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อยากให้หน่วยงานรัฐบาลยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้มากกว่านี้ อย่าคิดว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องไกล เวลานี้ไม่ใช่มาหาว่าใครผิด น่าจะมาช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาจะดีกว่า มองถึงว่าสิ่งที่กำลังจะทำคือมรดกให้ลูกหลาน”
       
       ขณะเดียวกันทางด้านหัวหน้ากลุ่มการจัดการที่ดินชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บอกการดำเนินงานของรัฐบาลจริงๆ แล้วรัฐไม่ได้ปล่อยหรือเพิกเฉยต่อปัญหาของชาวบ้านในเวลานี้รัฐก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน
       
       “เรากำลังหาวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่การสร้างเขื่อนที่ชาวบ้านได้นำเสนอ ยังไม่มีผลการทดลองยืนยันว่าใช้ได้ผลจริงแต่ประการใด และขั้นตอนกระบวนการอนุมัติก็ค่อนข้างยุ่งยาก ต้องส่งเรื่องไปยังหน่วยงานต่างๆ เนื่องจาก ใช้งบประมาณสูง แต่ในเวลานี้รัฐก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน นำไส้กรอกทรายมาให้ช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง ตอนนี้เราก็พยายามศึกษาปัญหาดังกล่าวกันอย่างเต็มที่ ลงพื้นที่มาคุยกับชาวบ้านหาเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ใหม่”

(http://pics.manager.co.th/Images/551000005416606.JPEG)
เอ้า..ช่วยกันคนละไม้ละมือ
       
       ส่วนมุมมองจากเยาวชน นักอนุรักษ์ป่าชายเลน “แพท” ณัฐฐา ทองมณี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนหอหวัง หนึ่งในคณะกรรมการ World Bank Youth Club แพทเอ่ยความรู้สึกหลังจากที่ฟังบรรยายถึงปัญหาการกักเซาะชายฝังทะเล ว่าได้สัมผัสสถานที่จริงๆ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงปัญหาและประสบการณ์ตรงทั้งคนในหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของภาครัฐ
       
       “ทำให้เรามีสำนึก รักธรรมชาติ อยากจะปลูกป่าชายเลน เมื่อเรามาร่วมโครงการนี้ได้สัมผัสกับสถานที่และเห็นการดำรงชีวิตจริงๆ ของชาวบ้านในบางมุมที่ไม่เคยเห็นจากรายการโทรทัศน์”
       
       ปิดท้ายเมื่อ ถามถึงความคิดเห็นต่อการสร้างเขื่อนสลายพลังคลื่นว่า เห็นด้วยหรือไม่ แพทบอกคงออกความคิดเห็นไม่ได้ เนื่องจากยังขาดความรู้ในเรื่องดังกล่าวอยู่
       
       “เพราะเราไม่รู้ว่าว่าเขื่อนสลายพลังน้ำใช้ได้จริงหรือเปล่า แต่ก็อยากให้รัฐบาล ผลักดันให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมดังเป็นวาระแห่งชาติ เพราะปัญหาดังกล่าวก็สำคัญไม่แพ้กับปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาเรื่องอื่นๆ เช่นกัน อย่างน้อยถ้าเราร่วมมือกันก็ช่วยให้ชาวบ้านมีแหล่งทำกิน มีบ้านอยู่ ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ไม่ต้องเข้าไปทำงานในกรุงเทพ ช่วยลดปัญหาการแออัด ปัญหาอาชญากรรมได้”...




จาก                  :                   ผู้จัดการออนไลน์   วันที่ 29 เมษายน 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 03, 2008, 12:27:35 AM

ทำแผนฟื้นฟูป่าเลนไทย   เรียกคืนผืนป่าใช้ผิดประเภท

นายไพศาล กุวลัยรัตน์ รองปลัด  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูป่าชายเลนโดยมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมทั้งหมด 300,000 ไร่ ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2554 โดยเน้นหนักในพื้นที่ป่าชายเลนตามแนวชายฝั่งทะเล 1,600 กิโลเมตร ทั้งทางฝั่งอันดามันตั้งแต่พื้นที่จ.นครศรีธรรมราชเป็นต้นไป รวมถึงพื้นที่ทาง ฝั่งอ่าวไทย แถบ จ.จันทบุรี ตราด และระยอง ในวงเงินงบประมาณทั้งหมด 1,780 ล้านบาท โดยล่าสุดได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนที่เสื่อมโทรม ทั้งหมดทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อมูลทั้งหมดภายในเดือนเมษายนนี้
 
ด้านนางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า การฟื้นฟูป่าชายเลนถือเป็นภารกิจที่กรมฯ ให้ความสำคัญเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  ที่ทรงห่วงใยพื้นที่ป่าชายเลนของไทยที่อยู่   ในภาวะวิกฤติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมทั้งหมดของไทย ให้มีความชัดเจนและเป็นปัจจุบันมาก ที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ป่าชายเลนที่ให้สัมปทาน    ไปแล้วแต่ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ หรือมีการ  ใช้ประโยชน์ที่ผิดประเภท เพื่อเรียกคืนจากหน่วยงานรัฐหรือภาคเอกชน ก่อนที่จะกำหนดแผนฟื้นฟูให้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์   อีกทั้ง
 
“ที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน ภายใต้โครงการการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ โดยร่วมมือ   กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันปลูกป่าชายเลนพร้อมกับดูแลรักษาและอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน” อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าว.
 



จาก                     :                    เดลินิวส์   วันที่ 3 มิถุนายน 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 17, 2008, 12:59:29 AM

ทช.นำร่องฟื้นป่าชายเลน ปลูกต้นไม้ควบทำประมง

นายสำราญ รักชาติ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีพื้นที่ป่าชายเลนที่หมดอายุสัมปทานให้เข้าใช้ประโยชน์ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและนากุ้ง แต่ยังมีสภาพเป็นพื้นที่น้ำทะเลท่วมถึงและสามารถปลูกป่าชายเลนได้ 123,750 ไร่ ล่าสุด ทช.ทำโครงการนำร่องฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลนในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ ต.บางจาก ต.ท่าไร่ ต.ปากนคร และ ต.ปากพูน พื้นที่ 15,000 ไร่ โดยฟื้นฟูป่าชายเลนควบคู่ไปกับการส่งเสริมอาชีพการทำประมงแบบธรรมชาติ และเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ

นายสำราญกล่าวว่า เนื่องจากการอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเดิมเป็นความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ในเบื้องต้น ทช.จะทำหนังสือถึงกรมป่าไม้เพื่อขอให้ส่งมอบพื้นที่ป่าชายเลนที่สิ้นสุดการอนุญาตเข้าทำประโยชน์เหล่านั้นเพื่อดำเนินการฟื้นฟูป่าชายเลน ขณะนี้ได้เสนอเรื่องให้ปลัด ทส.เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพิจารณาแล้ว คาดว่าจะสามารถเข้าไปดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้

"สำหรับแผนการฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนั้น ทช.ร่วมกับชุมชนสำรวจและจัดทำแผนที่การใช้ประโยชน์ ซึ่งจะมีการแยกพื้นที่ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนและพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นจะเร่งดำเนินการปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลนชนิดต่างๆ ตามหลักวิชาการให้เต็มพื้นที่ ขณะเดียวกันจะประสานกรมประมงอบรมและถ่ายทอดความรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติ เพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคงทางเศรษฐกิจและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน ทั้งนี้จะมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่องทุก 6 เดือน เพื่อจัดทำฐานข้อมูลและปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น" นายสำราญกล่าว และว่า จ.นครศรีธรรมราช มีพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกเปลี่ยนสภาพและสิ้นสุดการอนุญาตรวมทั้งหมด 3 หมื่นไร่ ขณะนี้ชุมชนในพื้นที่กำลังเดือดร้อนเพราะจำนวนสัตว์น้ำลดลง และเกิดการกัดเซาะชายฝั่ง



จาก                     :                    มติชน  วันที่ 17 มิถุนายน 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 16, 2008, 01:47:39 AM

รักษ์ป่าชายเลนกับการท่าเรือฯ   เราช่วยไทย...เราช่วยโลก...ลดโลกร้อน...


 ปัจจุบันภาวะโลกร้อน (Global Warming) กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลกเรา อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งบนแผ่นดินและในมหาสมุทร และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกดิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และทวีความรุนแรงมากยิ่ง

 เรื่องดังกล่าว คือ สัญญาณที่ชี้ชัดว่า ถึงเวลาที่เราต้องหันมามองโลกอย่างใส่ใจ ให้ความสำคัญกับ "สภาวะโลกร้อน” พร้อมช่วยกันรับมืออย่างจริงจัง ด้วยการช่วยกันลดการใช้พลังงานและร่วมมือกันเพิ่มพื้นที่ป่า เพื่อคืนความสมดุลให้กับธรรมชาติโดยเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้เช่นกัน

 ดังนั้นเพื่อสนองนโยบายรัฐบาล และเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ ร่วมลดภาวะโลก อีกทั้งเพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงให้ความสนพระทัยและห่วงใยทรัพยากรป่าชายเลนของชาติเป็นอย่างยิ่ง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จึงได้จัดทำโครงการ “รักษ์ป่าชายเลนกับการท่าเรือฯ” ขึ้น ระหว่างวันที่ 7 ส.ค. – 6 ก.ย. 2551 ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี จ.สมุทรปราการ

 ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 ส.ค. 2551 โดยได้เชิญบรรดานักแสดง อาทิ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ อเล็กซ์ เรนเดลล์ และก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ พร้อมทั้งนักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ กว่า 200 คน เข้าร่วมปลูกป่าชายเลน จำนวน 14 ไร่

 โดยมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกแก่ชุมชนผ่านการจัดแสดง “พิพิธภัณฑ์รักษ์ป่าชายเลน” เพื่อน้อมรับพระราชดำริ แสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรป่าชายเลนให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่จะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน เพื่อประเทศ และโลกของเรา โดยประชาชน เยาวชน และผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯ ได้ภายในวันที่กำหนด ระหว่างเวลา 09.00–17.00 น.

 นายอนุรักษ์ กล่าวว่า แต่เดิมบางปูมีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันความอุดมสมบูรณ์นั้นค่อยๆ จางหายอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นทาง กทท. จึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อปลุกกระแสให้ประชาชนได้หันกลับมามอง และช่วยเหลือเกื้อกูลธรรมชาติ ให้เหมือนกับที่ธรรมชาติได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเรา ซึ่งการปลูกป่าชายเลนในครั้งนี้ได้มีการเชิญชวนทั้งน้องๆ นักเรียน และดารานักแสดง เพื่อเข้ามาร่วมเป็นแบบอย่างที่ดี ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มีเพิ่มขึ้น และเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ออกสู่สายตาประชาชน

 “เราทุกคนมีจิตสำนึก และคงไม่ใช่จะเป็นหน้าที่ของใคร หรือองค์กรใด แต่คือหน้าที่ของทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ จึงอยากเชิญชวนประชาชนทุกๆ ท่านเข้ามาร่วมกัน ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีศักยภาพ เพราะเพียงแค่ขยะในมือท่านทิ้งให้เป็นที่ ก็ถือว่าช่วยลดการเบียดเบียนธรรมชาติได้แล้ว ดังนั้นเราต้องร่วมมือกันเพื่อลูกหลานในอนาคต เพื่อประเทศไทย และเพื่อโลกของเรา”

 ด้านนางสุนิดา สกุลรัตนะ ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า การจัดทำโครงการดังกล่าว นอกจากเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อคืนความสมดุลให้กับธรรมชาติแล้ว ยังจัดทำพิพิธภัณฑ์รักษ์ป่าชายเลน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ กระตุ้นและสร้างจิตสำนึกในกลุ่มเยาวชนให้มีความรู้ด้านอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของ กทท. ในการบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งเป็นกิจกรรมสาธารณประโยชน์ที่ กทท. ได้ดำเนินการช่วยเหลือสังคม และส่วนรวมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแสดงความรับผิดชอบสังคมขององค์กร และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ตามแนวทาง Corporate Social Responsibility (CSR)

 โดยพิพิธภัณฑ์รักษ์ป่าชายเลนประกอบด้วยกิจกรรมที่สร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ โดยจัดเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย อาทิ บอร์ดความรู้เกี่ยวกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ภาวะโลกร้อน ระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในป่าชายเลน สารคดีมัลติมีเดีย ฯลฯ



จาก                      :                     แนวหน้า   วันที่ 16 สิงหาคม 2551


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: Bluefin ที่ สิงหาคม 17, 2008, 08:57:21 AM
 :D ช่วยๆกันปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะป่า ป่าชายเลน หรือที่บ้านเราเองก็ตาม ยิ่งปลูกเยอะยิ่งดีครับ


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ สิงหาคม 25, 2008, 10:14:14 AM

แม่นแล้วค่ะ....น้อง Bluefin..... :-*

ปลูกต้นไม้ช่วยต้านโลกร้อน.....ผ่อนความรุนแรงการกัดเซาะชายฝั่งทะเล..... :P  


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: myjoefiend ที่ ตุลาคม 25, 2008, 02:51:04 AM
 :-* ร่วมกันปลูกป่าปลูกต้นไม้ เก็บขยะออกจากแหล่งธรรมชาติ เพื่อประเทศเพื่ออนาคต และเพื่อความสุขของตัวเรา อิอิ สู้ๆ ใครไม่เห็นใครไม่รู้ยังไงตัวเราก็รู้ก็เห็น


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: marine_wi ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:22:07 AM
ใช่ๆค่ะคุณmyjoefiend
ปลูกป่าแล้วโลกเย็นเนอะ


หัวข้อ: Re: ป่าชายเลน
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ เมษายน 06, 2009, 12:56:52 AM

ฟื้นฟูป่าชายเลน 1.47 ล้านไร่   อนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่งทะเลไทย

(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2009/agriculture/4/6/195387_96627.jpg)

"โลกร้อน” กลายเป็นประเด็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตก หลังเกิดเหตุภัยธรรมชาติที่รุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ในส่วนพื้นที่ชายฝั่งทะเลเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังเช่นเหตุคลื่นทะเลซัดฝั่ง     ในแถบพื้นที่ จ.ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ เหตุ    การณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยที่คนไทยคงต้องให้ความสนใจ และร่วมกันหาแนวทางการป้องกัน โดยเฉพาะการร่วมแรงร่วมใจกันในการฟื้นฟู-ปลูกป่า ทั้งป่าบก และป่าชายเลน เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศให้ลดน้อยลง
 
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเล ได้วางแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนของไทยที่มีอยู่ราว 1.47 ล้านไร่ ทั่วประเทศ ตลอดแนวชายฝั่งทะเลมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เกิดวิกฤติพื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างมาก จากเดิมที่เคยมีอยู่ไม่น้อยกว่า 2 ล้านไร่ ด้วยการรักษาพื้นที่ป่าชายเลนที่เหลืออยู่ให้คงความอุดมสมบูรณ์ ควบคู่กับการฟื้นฟูในพื้นที่ที่ประสบปัญหาป่าเสื่อมโทรม ด้วยการจัดทำ โครงการปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เพื่อสนองพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงสนพระทัยและห่วงใยทรัพยากรป่าไม้ชายเลนของชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยทรงขอไม่ให้ทำลายป่าชายเลน เพื่อให้เป็นแหล่งอนุรักษ์และอนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็ก ช่วยให้คนไทยได้มีแหล่งอาหารทะเลได้บริโภคอย่างยั่งยืน
 
นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญการฟื้นฟูป่าชายเลนของไทย รวมถึงการอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนที่เหลืออยู่ราว 1.47 ล้านไร่ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่าของไทยต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะการดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา ที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 จนถึงปี พ.ศ. 2551 รวมระยะเวลากว่า 5 ปี เพื่อฟื้นฟูและดูแลพื้นป่าชายเลนตลอดแนวชายฝั่งทะเลของไทยทั้ง 22 จังหวัด      โดยมีเป้าหมายในการดำเนินงาน 720,000 ไร่
 
(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2009/agriculture/4/6/195387_96628.jpg)

ณ วันนี้ โครงการปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติฯ ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว นับเป็นความสำเร็จอันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่ร่วมกันดำเนินการ โดยสามารถฟื้นฟูป่าชายเลนของไทยได้ถึง 722,446 ไร่ สูงกว่า      เป้าหมายที่กำหนดไว้คือ 720,000 ไร่ และคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบร้อยละ 50 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดของไทย ที่มีประมาณ 1.47 ล้านไร่ โดยใช้เงินงบประมาณตลอดทั้งโครงการราว 1,075 ล้านบาท
 
ขณะนี้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อยู่ระหว่างการจัดทำสรุปรายละเอียดข้อมูล       การดำเนินงานของโครงการทั้งหมดเพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบ ก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรายงานแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปีนี้
 
นอกจากนั้น กรมยังได้เตรียมแผนการ     ฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรม ในพื้นที่นากุ้งร้าง ด้วยการจัดทำแปลงสาธิตฟื้นฟูป่าชายเลนในนากุ้งด้วยระบบประมง-ป่าไม้ นำร่องในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช งบประมาณดำเนินการ 10 ล้านบาท เน้นการสร้างความร่วมมือกับชุมชน และการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ลดปัญหาความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้น มุ่งหวังให้ชาวบ้านเห็นประโยชน์ของการฟื้นฟูป่าชายเลน คาดว่า หากการดำเนินงานดังกล่าวประสบความสำเร็จ กรมฯ จะใช้เป็นรูปแบบในการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรม ที่เคยเป็นพื้นที่นากุ้งร้าง ที่มีจำนวนไม่น้อยกว่า 3-4 แสนไร่ ซึ่งสามารถฟื้นฟูพื้นที่นากุ้งร้างได้อย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มีมากขึ้นถึง 1.7 ล้านไร่
 
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชายเลน สิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ คือ ความร่วมมือของชุมชนเอง เพื่อเป็นน้ำหนึ่ง      ใจเดียวกันในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนการปลูกฝังจิตสำนึกเด็ก และเยาวชนในชุมชนได้รู้รักษ์สิ่งแวดล้อมอัน      จะเป็นกำลังสำคัญในการปกป้องและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในอนาคต.
 


จาก                                   :                                เดลินิวส์     วันที่ 6 เมษายน 2552