กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 22, 2024, 04:26:01 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์์ที่ 7 ธันวาคม 2551  (อ่าน 1808 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« เมื่อ: ธันวาคม 07, 2008, 02:14:05 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

ลักษณะอากาศทั่วไป     


บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้
ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นต่อเนื่องโดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา และ มีลมแรง
สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำ
บริเวณประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนหนาแน่นและ
มีฝนหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยตามภูเขาสูงและริมแม่น้ำบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตราย
จากภาวะฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยสูง 2-4 เมตร
ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 7-9 ธันวาคม 2551ไว้ด้วย


พยากรณ์อากาศสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล     

อากาศเย็น และมีเมฆมาก กับมีลมแรง
อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 32 องศา
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.


คาดหมาย

  เดือนมกราคมอยู่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูหนาว บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และจะมีกำลังแรงเป็นช่วงๆ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวเย็นทั่วไป กับจะมีหมอกหนาเกิดขึ้นในบางพื้นที่ ส่วนบริเวณเทือกเขา ยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับจะมีหมอกหนาและอาจเกิดน้ำค้างแข็งได้ สำหรับภาคใต้ทั้งสองฝั่งปริมาณฝนจะลดลงกว่าเดือนที่ผ่านมา โดยจะมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ถึงเป็นแห่งๆ คลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีคลื่นสูงประมาณ 1-2 เมตร และในช่วงที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรง บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกส่วนมากทางตอนล่างของภาคจะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางพื้นที่


ข้อควรระวัง


     ในเดือนนี้อาจมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนจากประเทศพม่า ผ่านประเทศไทยตอนบน ขณะเดียวกันอาจมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ซึ่งจะทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงบางพื้นที่และอาจมีลูกเห็บตกลงมาด้วย คลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง จึงขอให้ประชาชนและชาวเรือติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาต่อไปด้วย







* SEch2_2.jpg (26.33 KB, 246x246 - ดู 256 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2008, 02:24:05 AM »

มติชนออนไลน์




สำนักพระราชวัง     แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ฉบับที่ 2   



คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการประชวรว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้น มีพระปรอท (ไข้) ต่ำกว่าเมื่อวานนี้ ทรงพระกรรสะ (ไอ) เล็กน้อย ผลการตรวจเอกซเรย์พระอุระไม่พบการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) และพระหทัย (หัวใจ) ปกติ ผลการตรวจพระเสมหะโดยกล้องจุลทรรศน์ซ้ำในวันนี้ไม่พบเชื้อแบคทีเรีย ผลการตรวจดีเอ็นเอของไวรัสไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza A and B) และกำลังตรวจสอบเพื่อหาเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ต่อไป นอกจากนั้นยังเสวยพระกระยาหารเหลวได้มากขึ้น คณะแพทย์จึงได้ถวายน้ำเกลือผสมน้ำตาลทดแทนน้อยลง   
จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

สำนักพระราชวัง   6 ธันวาคม 2551



คนไทยเตรียมรับสุขเฝ้าชม"จันทร์ยิ้ม"อีกที23 เม.ย.52


นายนิพนธ์ ทรายเพชร  ราชบัณฑิตทางด้านดาราศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)เปิดเผยเมื่อวันที่  6 ธ.ค. ว่า หลังจากคนไทยทั่วประเทศได้เห็นปรากฎการณ์ “จันทร์ยิ้ม” หรือ “การร่วมทิศของดวงจันทร์กับดาวเคราะห์” หรือชาวบ้านเรียกว่า “ดาวเคียงเดือน” ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยเห็นดวงจันทร์เป็นริมฝีปากของคนกำลังยิ้ม มีดาวศุกร์เป็นตาซ้ายที่สว่างกว่าดาวพฤหัสบดีที่เป็นตาขวา ในเวลาหัวค่ำของวันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น   คนไทยจะได้เห็นปรากฏการณ์ “จันทร์ยิ้ม” อีกครั้งในวันที่ 23 เมษายน 2552 เวลา 05.10 น.  ซึ่งดาวศุกร์จะเป็นดาวรุ่งอยู่ใกล้ดาวอังคารและดวงจันทร์ เสี้ยวข้างแรมแก่ ๆ อยู่ด้านล่าง ดูเป็นรูปคนยิ้ม เหมือนกันทางทิศตะวันออก โดยตาซ้ายยังเป็นดาวศุกร์และตาขวาเป็นดาวอังคาร ในขณะที่ดาวพฤหัสบดีสว่างอยู่สูงกว่า   ทางด้านอาจารย์เบ็ญจวรรณ ศรีเจริญ ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศึกษา สสวท. กล่าวว่า ปรากฏการณ์ “จันทร์ยิ้ม” เป็นปรากฏการณ์ที่สดใสและเป็นที่สนใจแก่ทุกคนที่มองท้องฟ้า ดังนั้น ครูวิทยาศาสตร์น่าจะใช้โอกาสนี้ ให้ “จันทร์ยิ้ม” เป็นแหล่งเรียนรู้จากท้องฟ้า เพื่ออธิบายการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่าง ๆ ในท้องฟ้า โดยเฉพาะดาวเคราะห์ (ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี) ดวงจันทร์ เนื่องด้วยดาวแต่ละดวงจะมีอัตราการเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันตกต่างกัน โดยดวงจันทร์เท่านั้นที่เคลื่อนที่รอบโลก ในขณะที่ดาวเคราะห์เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ โอกาสที่จะเคลื่อนที่มาพบกัน หรือร่วมทิศ จึงเป็นปรากฏการณ์นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง ดังเช่น “จันทร์ยิ้ม”   ขณะที่ดร.เทพกัญญา พรหมขัติแก้ว นักวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษา ของ สสวท. กล่าวว่า สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปรากฏการณ์จันทร์ยิ้มสามารถนำไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในเรื่องข้างขึ้น-ข้างแรม และปรากฏการณ์การขึ้นตกของดวงดาว ในช่วงชั้นที่ 2 ระดับชั้น ป.5-ป.6 ได้ โดยอาจเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องการบอกวันทางจันทรคติและลักษณะของดวงจันทร์ในแต่ละวัน เช่น ตั้งคำถามกับนักเรียนว่าในวันที่เกิดปรากฏการณ์จันทร์ยิ้มเป็นวันข้างขึ้น หรือข้างแรม เป็นต้น



มหัศจรรย์วันพ่อ แมวน้ำ-เก้งเผือกออกมาดูโลกพร้อมกัน



เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 ธ.ค. นายบัญญัติ อินทร์สุวรรณ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์นครราชสีมา เปิดเผยว่า พ่อแมวน้ำเคปเฟอร์ซีลชื่อ"อ้วน" และแม่แมวน้ำชื่อ"แป๋ว" อายุ 13 ปีได้ให้กำเนิดลูกเพศเมีย 1 ตัว น้ำหนักแรกเกิด 6 กิโลกรัม เมื่อเวลา 05.00 น. ซึ่งถือว่าเป็นแมวน้ำตัวที่ 7 ของสวนสัตว์ นอกจากนี้สวนสัตว์นครราชสีมายังได้สมาชิกใหม่ คือลูกเก้งเผือกเพศผู้ ลักษณะขนมีสีขาวทั้งตัว น้ำหนัก 3.5 กิโลกรัม ออกมาดูโลกเมื่อเวลา 08.00 น. โดยลูกสัตว์ทั้งสองตัวอยู่ในการดูแลของนายสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด 
นายบัญญัติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมตั้งชื่อลูกแมวน้ำเพศเมีย และลูกเก้งเพศผู้  โดยส่งเป็นไปรษณียบัตรมาได้ที่สวนสัตว์นครราชสีมา เลขที่ 111 หมู่ 1 ถ. ราชสีมา – ปักธงชัย ต.ไชยมงคล อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 มีรางวัลเป็นทุนการศึกษา, บัตรเที่ยวชมสวนสัตว์ฟรี 1 ปี และบัตรเข้าการแสดงความสามารถของแมวน้ำ อย่างไรก็ตาม มีกำหนดตัดสินการประกวดตั้งชื่อในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2552

บันทึกการเข้า
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2008, 02:36:27 AM »

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก


อนุรักษ์ "กระเรียน" พันธุ์ไทย เร่งเพาะเลี้ยงคืนสู่ธรรชาติ



เพื่อเป็นการอนุรักษ์ "นกกระเรียนไทย" ที่สูญพันธุ์ไปจากบ้านเรานานแล้วให้กลับถิ่นมาตุภูมิอีกครั้ง สวนสัตว์เมือง "โคราช" นครราชสีมา ภายใต้การนำของ "ผอ.บัญญัติ อินทร์สุวรรณ" จึงได้เร่งฟื้นชีวิตนกชนิดนี้ ด้วยการเพาะเลี้ยง-ขยายพันธุ์ ทั้งตามธรรมชาติและการผสมเทียม กระทั่งปัจจุบันมีสมาชิกถึง 99 ตัว


 ผอ.บัญญัติ เล่าให้ฟังถึงโครงการเร่งฟื้นชีวิตของเหล่านกสายพันธุ์ไทยแท้นี้ว่า สืบเนื่องจากภายหลังที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต แล้ว ก็ได้นำเอาความสำเร็จดังกล่าวมาปรับใช้ในสวนสัตว์เพื่อขยายพันธุ์เอง โดยนำพ่อพันธุ์มาเพียง 1 คู่ เมื่อปี 2532 และสามารถเพาะขยายพันธุ์ด้วยการผสมเทียมสำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2540

 "จากนั้นเราก็เร่งขยายพันธุ์เรื่อยมา ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วถึง 99 ตัว โดยวิธีนั้นมีทั้งตามธรรมชาติและผสมเทียม ซึ่งในจำนวนนี้เป็นความสำเร็จจากการผสมเทียมถึง 5 ตัว  ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยที่เคยสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยก่อนหน้านี้ ให้กลับมาคงอยู่คู่ธรรมชาติและผืนป่าของประเทศต่อไป" ผอ.บัญญัติ เล่าถึงความสำเร็จที่ได้รับ
 ผลจากความสำเร็จดังกล่าว ผอ.บัญญัติ บอกว่า ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุด

เพราะการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยของสวนสัตว์เมืองโคราช นับเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศ

  พร้อมกันนี้ ผอ.สวนสัตว์เมืองโคราชยังได้ระบุถึง แผนงานในอนาคตอันใกล้ว่า หลังจากนี้ทางสวนสัตว์มีโครงการจะเพาะพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์นี้เพื่อปล่อยกลับคืนสู่ป่าธรรมชาติอีกด้วย

 นกกระเรียนพันธุ์ไทยเป็นนกขนาดใหญ่ ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน คอยาว ขายาว คอครึ่งบนไม่มีขน เป็นหนังสีแดง ขนตัวสีเทา เวลาบินคอเหยียดยาวไปข้างหน้า ขาเหยียดยาวไปข้างหลัง คล้ายพวกนกสตอร์ก ชอบอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูงเล็กๆ ในครอบครัว พ่อแม่และลูกอีกตัวหรือสองตัว ชอบหาปลากินตามบึงหนอง หรือไม่ก็หาตั๊กแตนและสัตว์เล็กกินตามทุ่งนา และบนโคกเนิน บางครั้งก็พบหากินตามทุ่งบนเนินเขาสูง

 "พวกนี้จะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศพม่า ลาว เขมร เวียดนาม และไทย สำหรับประเทศไทยมีทางภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ดังที่กล่าวว่าเคยสูญพันธุ์จากประเทศไทยไปเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ขณะนี้เรากำลังเพาะพันธุ์และจะเร่งปล่อยสู่ธรรมชาติอีกครั้ง" 

 ส่วนท่านที่ผ่านไปแถวเมืองโคราช ผอ.บัญญัติ บอกว่า อย่าลืมแวะชมกลุ่ม "นกกระเรียนไทยฝูงนี้" เพราะทางสวนสัตว์เปิดให้ชมทุกวัน พร้อมมีวิทยากรคอยให้ความรู้ถึงขั้นตอนการเพาะเลี้ยง รวมถึงพฤติกรรม เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้รับรู้ถึงธรรมชาติของนกกลุ่มนี้ อันจะเป็นการกระตุ้น สร้างความรู้สึกรักหวงแหน ร่วมกันอนุรักษ์นกกระเรียนสายพันธุ์ไทยให้คงอยู่คู่ธรรมชาติและประเทศไทยตราบเท่านานแสนนาน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.095 วินาที กับ 19 คำสั่ง