กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 22, 2024, 06:23:12 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552  (อ่าน 2961 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2009, 03:53:52 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

แผนที่อากาศผิวพื้น







 

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศประจำวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เมื่อเวลา 04:00 น. ว่า บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และคาดว่า ความกดอากาศสูงนี้จะเริ่มมีกำลังอ่อนลงในวันพรุ่งนี้ ( 2 ก.พ. 2552 ) ลักษณะดังกล่าวจะทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า

สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกหนาเกิดขึ้นได้ ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาในระยะนี้ไว้ด้วย

 

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้

 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยจะมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. 

 

ภาคเหนือ  มีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ อากาศหนาวทางตอนบนของภาคอุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศา ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-19 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศา สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศาลมแปรปรวน ความเร็ว 6-12 กม./ชม.

 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา โดยจะมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ สำหรับบริเวณยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

 

ภาคกลาง  มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อากาศเย็นทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

 

ภาคตะวันออก  มีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อากาศเย็นส่วนมากทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา โดยจะมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ตามบริเวณชายฝั่ง ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร

 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)  อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา อ่าวไทยตอนบนจังหวัดสุราษฏร์ธานีขึ้นมาเป็นลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างจังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป เป็นลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

 

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)   อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นประมาณ 1 เมตร


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 12:29:42 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

Saaychol
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2009, 04:10:45 AM »

ไทยรัฐ


งานไม้ดอกไม้ประดับ ผันเศรษฐกิจคืนเกษตร



6 กุมภาพันธ์ 2520....สมเด็จพระเจ้า ลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จทรงเป็นองค์ประธานเปิดงาน สัปดาห์ไม้ดอก ไม้ประดับ ณ จังหวัดเชียงใหม่


...กิจกรรมนี้มีการจัด ขบวนรถบุปผชาติ ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างสวยงาม โดย เอาต้นแบบมาจากเมืองแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจ เป็นอย่างมาก...เพราะบนโลกใบนี้มีการจัดเพียง 5 ประเทศเท่านั้น (รวมทั้งไทยด้วย)


ด้วย กระแส ความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ปีต่อๆมาจึง ได้จัดกันขึ้นอีกเป็นการสืบสาน แต่เปลี่ยนชื่อเป็น งานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ แล้วก็กลายเป็น ประเพณีที่สำคัญอีกงานหนึ่งของเชียงใหม่...


...โดยกำหนดเอาวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แรกของเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงคาบเวลาของมหกรรม ...ปีนี้ (2552) เป็นครั้งที่ 33 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 ถึง 8 กุมภาพันธ์ ณ สวนสาธารณะหนองบวกหาดกับลานอเนกประสงค์ข่วงประตูท่าแพ

ก่อนจะถึงวันงาน นางธารทิพย์ ทองงามขำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงจัดแถลงข่าวสื่อมวลชนทั้งในท้องถิ่นและต่างประเทศ ขึ้น ณ สวนโหน่งพันธุ์ไม้ สมาชิกรายหนึ่งของกลุ่มผู้ปลูกไม้ดอกไม้ประดับจังหวัดเชียงใหม่





นายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าฯ เป็นประธานแถลงข่าวแทน นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ บอกสื่อมวลชนว่า...ได้วางแผนงานให้สอดคล้อง กับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด และ ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐ


โดยเน้น.....เชียงใหม่มนต์ เสน่ห์แห่งธรรมชาติ มหัศจรรย์ แห่งพันธุ์ไม้งาม หรือจะเรียกเป็นสากลว่า Chiangmai Green World Wonderful Bloom กิจกรรมที่สำคัญในงาน ประกอบด้วย การประกวดรถบุปผชาติ ภายใต้ แนวคิดว่า...งามอย่างไทย ทันสมัยในระดับสากล

ประธานแถลงข่าว บอกว่า...นอกเหนือจากการท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่จะ ได้มาอย่างมหาศาลคือผลประโยชน์แก่เกษตรกร ทั้งโดยตรงและทางอ้อม


เพราะ....ตั้งแต่เริ่มแผนงานของแต่ละอำเภอ (รถบุปผชาติ) เกษตรกรจะเตรียมไม้ดอกไม้ประดับเพื่อใช้ตกแต่ง และปัจจัยที่องค์ประกอบเป็นล้านดอกล้านต้น


และการประกวดกล้วยไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ ฯลฯ ถือว่าเป็นกิจ-กรรมในการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ และการพัฒนา สายพันธุ์ไม้เพื่อคุณภาพ


ประโยชน์ทางตรง อีกอย่างคือ สมาชิก เกษตรทำสวนป่าตัน ผู้ปลูกกุหลาบเชียงใหม่ ผู้ปลูก โกศลเชียงใหม่ กลุ่มเอื้องเวียงพิงค์ ชมรมบอนไซเชียงใหม่ ผู้ปลูกโป๊ยเซียนเชียงใหม่ ผู้เลี้ยงหน้าวัวเชียงใหม่ ชมรมแคตตัสเชียงใหม่ กลุ่มกล้วยไม้ล้านนา ฯลฯ ซึ่งจะได้ด้วยการนำผลผลิตมาจำหน่าย แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ


อีกทั้ง....เกษตรกรชาวไร่ ชาวสวน ก็ได้มีโอกาส นำพันธุ์ไม้ต่างๆ ทั้งในท้องถิ่นหรือบนเกษตรที่สูง ผลิตผลการเกษตร สินค้าแปรรูปของเกษตรกรรม สินค้าวิสาหกิจชุมชน สินค้าโอทอป ที่กำลังจะลืมมา รื้อฟื้นสู่สังคมกันใหม่...


สวนที่ได้มาโดยทางอ้อมและได้ อย่างแน่นอนคืออาหาร ซึ่งส่วนใหญ่กับปัจจัยนี้ มาจากผลผลิตทางการเกษตรทั้งนั้น ตั้งแต่ข้าวนึ่งหนึ่งปั้นก็ด้วยหยาดเหงื่อของเกษตรกร น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ฯลฯ วัตถุดิบทุกอย่างเกษตรกรเป็นผู้ผลิต


งานมหกรรมนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมงานนับเป็นแสนคน ซึ่งพวกเขาจะไม่ใช่เฉพาะจะบริโภคความสวยอย่างเดียว เรื่องปากเรื่องท้อง สำคัญมากคือจะต้องกิน


ปัจจัยนี้จะเป็นรายได้ไหลคืนกลับสู่กระแสเศรษฐกิจของครอบครัวเกษตรกรอย่างแน่นอน ส่วนรายใดจะได้มากได้น้อย นั่น ก็แล้วแต่ความสามารถ ตามวิถีแห่งพอเพียง


...รอง ชูชาติ กีฬาแปง กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น..!!!


ปัญญา เจริญวงศ์[/coor]


-------------------------------------------------------------------------------------


ชวนชมหิ่งห้อย ชวนฝันที่จันทบุรี


 กุมภาพันธ์ วันนี้ยังอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ผมจึงขออวยพรย้อนหลังให้ท่านทั้งหลายจงมีสุขภาพดี ปราศจากโรคาพาธ อุปัทอันตรายทั้งหลายทั้ง ปวง คิดสิ่งใดให้ได้สมมาดปรารถนา ค้าขายร่ำรวย ซินเจี่ยยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้


ตรุษจีนปีนี้ หลังจากวันไหว้เมื่อวันอาทิตย์ ก็จะเป็นวันรับแต๊ะเอียแล้วออกท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ใกล้ไกลสุดแต่เงินในกระเป๋า ที่ไปต่างประเทศก็มี แต่คนส่วนใหญ่จะเที่ยวกันในประเทศ ตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งมีอากาศเย็นสบาย ถึงแม้จะไกลกรุงเทพฯสักหน่อยก็มีผู้คนไปเที่ยวกันมากกว่าที่อื่น




 ปีนี้ผมไม่ได้ไปไหนไกลเหมือนปีก่อนๆ อย่างไกลก็ไปจันทบุรี ช่วงปีใหม่ผมไปเมืองจันท์มาหลายหน ปีนี้ต้องไปรับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งย้ายมาใหม่ คือ คุณพูลศักดิ์ ประณุทนรพาล บุตรชายของ พล.ต.ท.พงศ์ศักดิ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งมีความผูกพันกับผมเหมือนญาติสนิท ในฐานะที่อยู่ เมืองจันท์คุ้นเคยกับชาวจันทบุรีมากว่า 50 ปี ก็แนะนำให้บุคคลสำคัญหลายคนให้พบปะผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อจะได้ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาเมืองจันท์ ให้ก้าวหน้าสืบไป




 สิ่งแรกที่ท่านผู้ว่าฯได้ลงมือคือ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งใหม่ คือ ชมหิ่งห้อยที่ป่าชายเลน ปากแม่น้ำเวฬุ (ที่ชาวบ้านเรียกขานกันสั้นๆ ว่าแม่น้ำเวน)  สานต่อโครงการที่  ท่านผู้ว่าฯประจักษ์ สุวรรณภักดี ที่ย้ายไปอยู่โคราช  โดยร่วมมือกับ  คุณสมหมาย สรรพคุณ หัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 2 (ท่าสอน จันทบุรี) จัดงาน “คืนแสงหิ่งห้อยชวนฝันที่จันทบุรี” เมื่อ 16 มกราคมที่ผ่านมา ผมได้นำทีมครอบจักรวาลไปถ่ายทำรายการไว้แล้ว ทั้งหิ่งห้อย  ป่าชายเลน  และงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง บนเขาคิชฌกูฏ ซึ่งเป็นงานสำคัญประจำปีของพุทธศาสนิกชน




หลายคนคงแปลกใจที่จันทบุรีมีหิ่งห้อยเพราะเท่าที่รู้กันนั้น ถ้าเอ่ยถึงหิ่งห้อยทุกคนจะนึกถึง “แม่กลอง” สมุทรสงคราม ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก มีนักวิชาการ นักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาชมจนหิ่งห้อยแม่กลองรู้จักกันดีในบรรดานักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งและไทย


มีคำถามว่าหิ่งห้อยที่อื่นมีบ้างหรือไม่ ผมขอยืนยันว่าที่อื่นซึ่งมีป่าชายน้ำที่ไม่มีน้ำเค็มขึ้นถึงก็มีทั่วไป แต่ไม่มากเป็นต้นไม้คริสต์มาสเหมือนแม่กลองเท่านั้น


ทุกวันนี้หิ่งห้อยแม่กลองมีน้อยจนแทบจะสูญพันธุ์ เป็นเพราะการท่องเที่ยวที่ผู้คนหลั่งไหลมาชมเป็นจำนวนมาก ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยเสียงเรือ ควัน คลื่นซัดชายฝั่ง ทำให้หิ่งห้อยที่อาศัยอยู่ต้องอพยพย้ายถิ่นหนีไปที่อื่น

จนหิ่งห้อยแม่กลองน้อยลง ไม่มีแสงไฟคริสต์มาสธรรมชาติให้เห็นอีกแล้ว จะกะพริบแสงอยู่บ้าง ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆให้เห็นพอชื่นใจบ้าง


 

ในขณะที่หิ่งห้อยแม่กลองหายไป ก็มีหิ่งห้อยที่เมืองจันท์มาแทนที่ ป่าชายเลนลุ่มน้ำเวฬุ มีเนื้อที่ถึง 120,000 ไร่ มีส่วนที่ถูกทำลายไปบ้าง และมีการปลูกใหม่ขึ้นมาทดแทน ป่าชายเลนที่มีหิ่งห้อยมากมายนับแสนอยู่ในบริเวณป่าชายเลน 2,000 ไร่ มีไม้ป่าชายเลนอย่างโกงกาง ลำพู แสม เติบโตอย่างหนาแน่น เป็นที่อาศัยของหิ่งห้อย ซึ่งไม่มีสิ่งรบกวนเหมือนแม่กลอง นับวันหิ่งห้อยก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลจนกลายเป็น “อุทยานหิ่งห้อย” ในอนาคต


 สมัยที่ผมอยู่เมืองจันท์เมื่อห้าสิบปีก่อน ไม่เคยเห็นหิ่งห้อยสักตัว คงเป็นเพราะสวนบ้านแก้วห่างจากทะเลหลายสิบกิโลเมตร การไปชมหิ่งห้อยคราวนี้จึงมีความตื่นเต้นพอดู


 ป่าชายเลนที่มีหิ่งห้อยนี้อยู่ที่ถนนสุขุมวิท  จันทบุรี-ตราด  กม.374  แยกเข้าไปบ้านท่าสอน อำเภอขลุง มีที่จอดรถกว้างขวางก่อนจะเข้าป่าชายเลน การชมหิ่งห้อยที่นี่ไม่ต้องลงเรือ เพราะมีถนนคนเดินยาว 2 กิโลครึ่ง วกวนเข้าไปในป่าชายเลน ซึ่งมีหิ่งห้อยนับแสนเปล่งแสงระยิบระยับ งดงามเหมือนฝันอยู่ลึกเข้าไปทั้งสองข้างทาง


 การไปชมนั้นควรจะไปในช่วงบ่าย 3 โมง จะได้ดูเหยี่ยวแดงนับพันตัวถลาลม โฉบลงกินปลาที่กลางทะเล มีเรือรับนักท่องเที่ยวอยู่เป็นประจำ ขากลับท่านจะได้ชมพระอาทิตย์อัสดงที่งดงามเหลือที่จะพรรณนา


 บริเวณอุทยานหิ่งห้อยมีร้านอาหารของชาวบ้านมาบริการด้วยอาหารทะเลสดๆ หลังจากอิ่มหนำสำราญก็เตรียมตัวเข้าชมหิ่งห้อย โดยเดินชมตามทางเดินไม่ต้องลงเรือ บางคนที่ไม่อยากเดินก็มีจักรยานให้เช่า (ผมเสนอให้เอารถซาเล้งมาบริการสำหรับ ส.ว. คือ ผู้สูงวัย) จะได้ชมหิ่งห้อยด้วยความสบายไม่เหน็ดเหนื่อย ค่าเข้าชมเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น

 

หิ่งห้อยที่เมืองจันท์มีให้ชมตั้งแต่ 16 มกราคมไปจนถึง 31 มีนาคม หลังจากนั้นจะเข้าหน้าร้อนต่อด้วยหน้าฝน บรรยากาศไม่เอื้ออำนวย ร้อนไปบ้าง เปียกฝนบ้าง สู้ช่วงมกราคมถึงมีนาคมไม่ได้


 เกือบลืม ของดีที่อุทยานหิ่งห้อยคือ “ประสักกวน” กับ “แยมลำแพน”




ประสักนั้นเป็นพืชที่มีฝัก เอาเนื้อในมาปัั่นแล้วกวนแบบเผือกกวน รสชาติหวานมัน เนื้อเหนียวไม่ร่วนเหมือนเผือก ส่วนลำแพน เป็นลูกชื่อคล้ายลูกลำพูซึ่งกินไม่ได้ ลูกลำแพนมีรสเปรี้ยวอมหวานตามธรรมชาติ เมื่อนำมาผสมกับน้ำตาลก็จะทำให้ “แยมลำแพน” มีรสแปลกน่ารับประทาน  ของหวานทั้ง  2อย่างนี้ สมเด็จพระเทพรัตนฯรับสั่งให้ทำขายเป็นของพื้นบ้าน

 
เวลาไปชมหิ่งห้อย อย่าลืมซื้อกลับมา อร่อยมาตรฐานเชลล์ชวนชิมจริงๆ


 ยังมีงานสำคัญอีกงานหนึ่งคือ งานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวงเขาคิชฌกูฏ เริ่ม 16 มกราคม ถึง 24 มีนาคม ต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 2 กิโลเมตร


 เหนื่อยแต่ได้บุญ บนยอดเขามองเห็นทั่วจันทบุรี หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง.

 

ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 01, 2009, 04:16:55 AM โดย สายชล » บันทึกการเข้า

Saaychol
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2009, 04:25:54 AM »


เดลินิวส์


โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะแกงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ



เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2545 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร  เสด็จทอดพระเนตรโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ (อาข่าเก่า) ในการนี้นายศรีนวล อินต๊ะไชยวงค์ กำนันตำบลป่าแดดได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานความช่วยเหลือในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยมะแกง เพื่อช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรของตำบลป่าแดด และตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้พระราชทานพระราชดำริ ให้กรมชลประทานทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ หากเหมาะสมให้พิจารณาช่วยเหลือราษฎรดังกล่าว กรมชลประทานพิจารณาแล้วมีความเหมาะสมเห็นสมควรดำเนินการ
 
วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ คือเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค และการเกษตรในพื้นที่โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะแกง และเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกในฤดูฝนประมาณ 2,000 ไร่ และฤดูแล้งประมาณ 500 ไร่ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
 
ซึ่งหลังจากที่กรมชลประทานได้ทำการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยมะแกงอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรบ้านห้วยมะแกง หมู่    ที่ 20 ต.20 ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย มีสภาพดีขึ้นสามารถใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคได้ตลอดทั้งปี และสามารถทำการเพาะปลูกพืชได้ปีละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะการปลูกข้าว  นาปรัง นาปี และการปลูกกระเทียม กะหล่ำ ฟักทอง ขิง ผักกาดขาวปลี พริก ลำไย และการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สร้างรายได้ให้แก่ราษฎร มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ราษฎรในพื้นที่มีงานทำตลอดทั้งปีไม่อพยพเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ เช่นอดีตที่ผ่านมา


 
นายแปลง มหาวุฒิ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 ห้วยมะแกง ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ได้เล่าให้ฟัง    ว่าเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีอ่างเก็บน้ำ เกษตรกรจะทำนา      ทำสวนแค่ปีละ 1 ครั้ง แต่พอมีอ่างเก็บน้ำ ปีหนึ่งจะทำนา 2 ครั้ง ผลผลิตก็ได้เยอะเพราะว่ามีน้ำอุดมสมบูรณ์ เมื่อก่อนจะแย่งน้ำกันเพราะนาเยอะกว่าปริมาณของน้ำซึ่งเป็นน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียว พอมีอ่างเก็บน้ำจะแบ่งปันกันเฉลี่ยเท่า ๆ กัน ผลผลิตแต่ก่อนได้ประมาณ 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ ตอนนี้มากถึง 600-700 กิโลกรัมต่อไร่ วิถีชีวิตของชาวบ้านก็ดีขึ้น มีอาหารเยอะขึ้น มีปลาจากอ่างให้จับมาบริโภคตลอดทั้งปี
 
“นอกจากนี้ทางชาวบ้านช่วยกันสร้างฝาย มีฝายคอนกรีตอยู่ 6 ฝาย ฝายไม้อีก 2 ก็เป็น 8 ฝาย ผมก็จะเปิดน้ำให้ท้ายฝายก่อน ตัวท้ายจะได้รับน้ำก่อน ถัดมาก็เป็นตัวที่ 2 ที่ 3 ซึ่งน้ำก็จะเกิดการแบ่งปันที่ถูกต้อง ไม่มีการแย่งกันเลย และเราก็มีการอนุรักษ์ป่าด้วย คือ จะทำการปลูกต้นไม้ทุกปีเพราะเมื่อก่อนนี้ป่ามันหาย       ไปเยอะ ระยะหลังเราก็ปลูกป่าเพิ่มเพื่อให้อ่างไม่ตื้นเขิน   เวลาไม่มีต้นไม้ดินมันจะไหลลงในอ่างทำให้อ่างตื้นเขินได้” นายแปลง กล่าว


 
ทางด้าน นายสิงห์ ลิคำ อายุ 50 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 20 ห้วยมะแกง ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย บอกว่า แต่ก่อนผลผลิตไม่ค่อยดี ตอนนี้ปลูกพืช 20 ไร่ ปลูกข้าวโพด ทำนา 3 ไร่ ปลูกพืชผักอีกไร่กว่า รายได้เฉลี่ย 70,000-80,000 ต่อปี ข้าวโพดปลูกเอาไว้ขายในตลาดพันธุ์ตองแปด พ่อค้าเข้ามารับซื้อถึงไร่ ส่วนข้าวปลูกเอาไว้กิน
 
สำหรับหมู่บ้านแห่งนี้แม้จะอยู่ไม่ไกลจากอำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายแหล่งท่องเที่ยวอันลือชื่อของภาคเหนือก็ตาม แต่สภาพความเป็นอยู่ของประชาชน   ในพื้นที่ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่ายากจนแสนเข็ญทีเดียว เนื่องจากการเพาะปลูกทุกชนิดจำต้องอาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว เมื่อมีโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยมะแกง    อันเนื่องมาจากพระราชดำริเกิดขึ้นและแล้วเสร็จชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  แบบดีวันดีคืนทีเดียว ที่สำคัญได้เป็นที่มาแห่งความสามัคคีปรองดองของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดีในนามและกิจกรรมของกลุ่มผู้ใช้น้ำอีกด้วย.


เตือนสินามิถล่มอีก สมิทธชี้ปี 52 ร้อนจัด

ฤดูฝนมาเร็วผิดปกติ
               
"สมิทธ"เตือนไทยอาจถูก"คลื่นยักษ์สึนามิ"ถล่มอีกระลอก ชี้ปี 52 ไทยร้อนจัดอุณหภูมิทะลุ 42 องศา เหตุแกนโลกสวิงเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว กระทบเกษตรจำนวนผลผลิตลดลง อาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากภาวะคลื่นความร้อนมากขึ้น ขณะที่ฤดูฝนปีนี้มาเร็วผิดปกติ เจอแน่ทั้งพายุ มรสุมเพียบ ซ้ำเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก
 
ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เมื่อวันที่ 29 ม.ค. นายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยถึงแนวโน้มการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติในปี 52 ว่า ขณะนี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยากำลังจับตาดูอยู่ เพราะอากาศที่ปกคลุมประเทศไทยปีนี้มีความผิดปกติพอสมควร โดยเฉพาะฤดูหนาวที่มีลมมรสุมจากตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังพัดแรงที่มาพร้อมกับอากาศเย็นจากประเทศจีนส่งผลถึงไทย ทำให้ช่วงฤดูหนาวไทยมีความเย็นผิดปกติ และต่อเนื่องระยะยาว และยังทำให้เกิดคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยที่เรียกว่า สตอมเซอจขนาดเล็ก ทำให้บ้านเรือนริมชายฝั่งได้รับผลกระทบตั้งแต่ จ.เพชรบุรี ถึง จ.สตูล ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติจากปีก่อน ๆ และมีความรุนแรงมากกว่า     
 
นายสมิทธ กล่าวต่อว่า นักวิทยาศาสตร์ ทั่วโลกกำลังดูอยู่ว่า ทำไมปีนี้อากาศเย็นจากขั้วโลกเหนือจึงเย็นลงมาจนถึงพื้นที่เส้นศูนย์สูตร ซ้ำยังหนาวเย็นเป็นระยะยาวต่อเนื่องมากผิดปกติ ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศในแถบยุโรป และอเมริกา ซึ่งพบว่าบางแห่งเกิดปรากฏการณ์พายุหิมะตกผิดปกติ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่า ภาวะดังกล่าวเกิดจากแกนโลกหมุนเอียงออกจากดวงอาทิตย์มากกว่าปกติหรือไม่ โดยอยู่ที่ประมาณ 23.5 องศา ส่งผลให้ประเทศที่อยู่ซีกโลกเหนือจะมีความหนาวเย็นมากผิดปกติ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง แกนโลก จะสวิงกลับ โลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์มาก กว่าปกติเช่นกัน ส่งผลให้หน้าร้อนที่กำลังมาถึงร้อนมากขึ้น
 
อดีตประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติฯ กล่าวอีกว่า ภาวะดังกล่าวจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยจะมีอากาศร้อนมากกว่าปกติ กระทบต่อภาคการเกษตร จำนวนผลผลิตลดลง ตั้งแต่ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และพืชการเกษตรส่งออกทั้งหมด ขณะเดียวกันศัตรูพืชก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากภาวะคลื่นความร้อนมากขึ้น ซึ่งที่อินเดียมีคนเสียชีวิตทุกปี และประเทศไทยอาจมีผู้เสียชีวิตได้ในพื้นที่ร้อนจัด เช่นที่ จ.ตาก และอุตรดิตถ์ แต่ทั้งนี้ฤดูร้อนอาจมีระยะเวลาที่สั้นกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา ต่อจากนั้นจะเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งมีมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอันดามัน จะทำให้มีพายุมากขึ้น ซ้ำยังรุนแรงมากกว่าปกติ ซึ่งในช่วงนี้ประเทศ ไทยจะประสบภัยพิบัติจากพายุ ทั้งจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ทำให้บ้านเรือนเสียหายอย่างมาก
 
“ขอให้ติดตามดูฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง จะเริ่มช่วงปลายเดือน ก.พ. ต้องดูว่า อากาศร้อนมีความร้อนจัดจนอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นผิดปกติหรือไม่ เชื่อว่าประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ 42 องศา ผลที่ตามมาคือทำให้ฤดูฝนผิดปกติไปด้วย กระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่ทำให้โลกเอียง คือ 1. เป็นไปโดยธรรมชาติ 2. เป็นเพราะการกระทำของมนุษย์ เนื่องจากมีการวิเคราะห์ว่า การที่ประเทศจีน และอีกหลาย ๆ ประเทศสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำไว้เหนือเส้นศูนย์สูตรเป็นปริมาณมหาศาล จำนวนล้าน ๆ ลูกบาศก์ เมตร เมื่อน้ำถูกเก็บไว้ในเขื่อนจนเต็ม ส่งผลให้โลกเสียสมดุลทำให้แกนโลกเอียงผิดปกติได้ แต่ทั้งนี้ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน”

 
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ หรือแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นอีก นายสมิทธ กล่าวว่า อาจมีความเป็น ไปได้ เพราะเมื่อโลกเอียงเข้าเอียงออก ปริมาณ มวลโลกจะมีการเคลื่อนตัว เกิดการเคลื่อนตัวแผ่นเปลือกโลกทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง และบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็เกิดแผ่นดินไหวเป็น ระยะ ๆ แล้ว แต่ยังไม่เคลื่อนตัวมากพอที่เกิดสึนามิได้ อย่างไรก็ตามปกติการเกิดแผ่นดินไหวมีวัฏจักร อาจไม่เกิดในมหาสมุทรอินเดีย แต่อาจเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก
 
นายสมิทธ กล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติขึ้นอยู่กับรัฐบาล ซึ่งสิ่งที่เรากลัวกันมาก ๆ คือ น้ำท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งคาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี จึงจะเห็น แต่หากอุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับโลกเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ อาจเกิดเร็วภายใน 10-15 ปี เพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็ว จึงควรมีนโยบายป้องกัน แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมการอะไรเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติ เนื่องจากนักการเมืองต่างห่วงเก้าอี้มากกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ถ้าหน้าร้อนปีนี้ อุณหภูมิร้อนมากผิดปกติแสดงว่า ทฤษฎีของตนถูก ต่อมาจะมีฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่า โอกาสที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯแบบถาวรจะมาเร็วขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนพูดไม่ได้ต้องการสร้างความตื่นตระหนก แต่อยากให้มีการเตรียมความพร้อมไว้เท่านั้น
 
ที่อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน “118 ปี ศาลาแยกธาตุ-กรมวิทยาศาสตร์บริการ” เนื่องในโอกาสคล้ายวันสถาปนากรมวิทยาศาสตร์บริการ จัดระหว่างวันที่ 29-31 ม.ค. โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า การวางแผนพัฒนาประเทศจำเป็นต้องเข้าใจสภาวะแวดล้อมของโลกเพื่อปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาไทยก็ทำได้ดี แต่ในด้านขีดความสามารถวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของไทยมักถูกประเมินให้อยู่ในระดับต่ำอยู่ แม้เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ถ้าปล่อยให้สะสมยาวนาน ก็จะบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ดังนั้นการจะให้ประเทศแข่งขันอย่างยั่งยืนต้องผลักดันการวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และระดมความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ งานวิจัย เศรษฐกิจ ภาคเอกชน ภาคประชาชน สนับสนุนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
 
ขณะที่ นายเมธา รัชตะปีติ ผู้ทรงคุณวุฒิ และที่ปรึกษาศูนย์ฝนหลวงหัวหิน กล่าวว่า ขอเตือนผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของประเทศว่าควรเตรียมแผนรับมือฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนมาก่อนหน้าคือการมีอากาศหนาวเย็นนาน คาดว่าจะทำให้ฤดูแล้งปีนี้จะยกระดับเป็นภัยแล้งในที่สุด ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะยาวนานแค่ไหน และสิ่งที่เป็นห่วงมากก็คือ เขื่อนทั่วประเทศขณะนี้หลายเขื่อนมีปริมาณน้ำกักเก็บไม่ถึง 70% เนื่องจากในฤดูฝนที่ผ่านมา เกรงเขื่อนพังต้องเร่งระบายน้ำทิ้งทะเล ซึ่งทำให้เห็นว่าระบบบริหารทรัพยากรน้ำไม่มีมาตรฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้อาจกระทบกับปริมาณน้ำที่จะนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้งได้.

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 01, 2009, 04:32:21 AM โดย สายชล » บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.364 วินาที กับ 20 คำสั่ง