กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => ห้องรับแขก => ข้อความที่เริ่มโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 02:55:11 AM



หัวข้อ: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 02:55:11 AM
..พอดีมีคนส่ง mail มาให้เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อท่านๆที่มีรถใช้กัน...โดยจอดกลางแจ้งหรือที่แดดส่องผ่านเข้าถึงโดยมีขวดน้ำตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม.....ขวดน้ำอาจกลายเป็น..Lens ..รวมแสง..แล้วส่องลงในวัตถุต่างๆภายในรถของท่านโดยจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน...เกิดเปฯไฟลุกไหม้ภายในรถได้....จึงควรระวัง!!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 02:56:48 AM
!!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 02:57:41 AM
!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 02:58:44 AM
!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 02:59:46 AM
!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 03:00:33 AM
!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 03:01:30 AM
!!!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 03:06:29 AM
!!!....ความจริงอาจจะเกิดได้ไม่ยากนัก...แต่เพื่อความไม่ประมาทป้องกันดีกว่าที่จะให้เกิดขึ้น....


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: WayfarinG ที่ สิงหาคม 21, 2008, 03:18:53 AM
ขอบคุณคร๊าบบบ..  :P


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: angel frog ที่ สิงหาคม 21, 2008, 03:40:43 AM
นึกว่าจะพูดถึงน้ำในขวดที่เก่าเก็บในรถร้อนๆซะอีก       มีคนบอกมาว่า  ไม่ควรเอามาดื่ม  เพราะน้ำจะปนเปื้อนพลาสติดที่อาจจะร้อนจนละลาย  ไงนี่แหละ    ไม่รู้จริงหรือเปล่านะ   ไม่มีข้อมูลสนับสนุนจ้า


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 21, 2008, 03:52:33 AM

กรณีที่น้องป้ากบพูดถึงนั่น ... จริงแท้แน่นอนเลยครับ 

ขวดพลาสติคใส่น้ำถ้าทิ้งตากแดด กลิ่นพลาสติคมันจะปนอยู่ในใน้ำที่ดื่มเข้าไปด้วย ขวดพวกนี้ ไม่ต้องตากแดดหรอกครับ  แค่เก็บไว้นานๆ กลิ่นมันก็ผสมลงไปในน้ำด้วยแล้ว

แต่ไอ้ที่มันกรองแสง แบบเลนส์นูนเลนส์เว้านี่ เพิ่งจะเคยได้ยินครับ .... อันตรายใช้ได้เลย

ขอบคุณน้อง Seaman ที่นำเรื่องบำรุงสมองมาเล่าให้ฟังครับ



หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kungkings ที่ สิงหาคม 21, 2008, 04:52:19 AM
เอาออกดีกว่า...ปลอดภัยสุด แต่นู๋เป็นคนหิวน้ำตลอดอะคะ จะทำไงดีอะคะ ง้านซ่อนไว้ใต้เบาะดีกว่าไหมคะ  :-[ :-[ :-[


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ สิงหาคม 21, 2008, 05:17:39 AM
ข้อมูลดีและมีประโยชน์มากเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ พี่ Seaman  :-*


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Pursuit of Happiness~ ที่ สิงหาคม 21, 2008, 06:38:34 AM
เพิ่งรู้นะเนี่ย ทีหลังต้องระวังแล้ว ขอบคุณครับ ;D


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:29:24 AM

ขวดพลาสติคใส่น้ำถ้าทิ้งตากแดด กลิ่นพลาสติคมันจะปนอยู่ในใน้ำที่ดื่มเข้าไปด้วย ขวดพวกนี้ ไม่ต้องตากแดดหรอกครับ  แค่เก็บไว้นานๆ กลิ่นมันก็ผสมลงไปในน้ำด้วยแล้ว

ข่าวจากไทยโพสต์

น้ำขวดพลาสติกทำชายเป็นมะเร็งเต้านม

   แพทย์เตือนชายมีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมได้ง่ายๆ   เหตุเพราะดื่มน้ำจากขวดพลาสติกแล้วรับสารซีโนเอสโตรเจนที่จะไปกระตุ้นมะเร็งให้ทำงาน  ควรหลีกเลี่ยง การดื่มน้ำจากขวดพลาสติก และควรสังเกตฉลากส่วนประกอบถ้ามีเมทิลพาราเบนส์ ต้องหลีกเลี่ยง และไม่ควรใช้ถุงอนามัยแบบฆ่าเชื้ออสุจิ เพราะถุงยางชนิดนี้จะมีสารโนน็อกซีนอล – 9 ซึ่งสารชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นสารซีโนเอสโตรเจนในร่างกาย



หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: conundrum ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:30:35 AM
ระวังอีกอย่างคือ ขวดน้ำจะกลิ้งเข้าไปติดในคันเบรก + คันเร่ง (+ คลัชท์ สำหรับเกียร์แมนนวล)


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:33:06 AM
ปัจจุบันมีการใช้กล่องโฟม ถุงพลาสติกใส่อาหารร้อน และเย็นรวมทั้งขนมและน้ำดื่มที่นิยมบรรจุในขวดพลาสติกขุ่นและใส
นอกจากปัญหาในการกำจัดขยะแล้ว ยังมีอันตรายแฝงมาด้วย ซึ่งผู้คนส่วนมากทั้งผู้ขายและผู้ซื้อไม่รู้
ในบทความนี้จะพูดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคนเรา หากไม่ระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง

พลาสติกที่ผลิตกันทุกวันนี้ แบ่งออกได้ 7 ชนิดด้วยกัน
แต่ละชนิดจะระบุเป็นตัวเลข 1-7 ภายในเครื่องหมายลูกศรสามเหลี่ยมให้คนสามารถดูได้
เช่น หากเป็นขวดหรือน้ำดื่มก็จะอยู่ด้านล่างสุดของขวด

ชนิดที่ 1 เป็น พีอีทีอี (PETE) ชื่อเต็ม คือ polyethylene terephthalate ethylene
เป็นพลาสติกใสใช้บรรจุน้ำดื่ม น้ำอัดลม เครื่องดื่ม น้ำผลไม้ น้ำยาซักผ้า น้ำยาทำความสะอาด และ อาหารบางชนิด

ชนิดที่ 2 เป็น เอชดีพีอี (HDPE) ชื่อเต็มคือ high density polyethylene เป็นพลาสติกสีทึบ ใช้บรรจุนมสด
น้ำดื่ม น้ำยาฟอกขาว น้ำยาซักผ้า แชมพู ขวดยา และถุงพลาสติก

ชนิดที่ 3 เป็นพีวีซี (PVC) เป็นชื่อย่อของ polyvinyl chloride ใช้เป็นพลาสติกสำหรับห่อหุ้ม
เชือกพลาสติก เป็นขวดบรรจุชนิดบีบ มักจะใช้บรรจุน้ำมันพืช น้ำมันซักผ้า น้ำยาเช็ดกระจก ที่ใช้กันมากคือ
ถุงหิ้วที่ใช้ใส่ของกันตามร้านค้า ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านสะดวกซื้อ

ชนิดที่ 4 เป็นแอลดีพีอี (LDPE) ชื่อเต็มเป็น low density polyethylene ใช้เป็นถุงหิ้ว
ใช้ห่อหุ้ม ขวดพลาสติกบางชนิด และที่ใช้กันมากที่สุดก็คือ ถุงเย็นใส่อาหาร ขนม กาแฟเย็น ชาเย็น

ชนิดที่ 5 เป็นพีพี (PP) ชื่อเต็มคือ polypropylene ใช้เป็นยางลบ ใช้ บรรจุภาชนะไซรัป
โยเกิร์ต หลอดดูด ขวดนมเด็ก ถุงร้อนใช้สำหรับบรรจุอาหารร้อน เช่น ก๋วยเตี๋ยว กาแฟร้อน
เป็นถ้วยกาแฟ ชา ชนิดใช้แล้วทิ้ง

ชนิดที่ 6 เป็นพอลีสไตรีน (polystyrene) เป็นพลาสติกที่ใช้เรียกทั่วไปว่าโฟม ใช้บรรจุรองรับการกระแทกพวกอุปกรณ์
ตู้เย็น วิทยุ วิทยุ โทรทัศน์ฯลฯ ในกล่องกระดาษอีกที ใช้ทำกล่องสำหรับบรรจุอาหารที่เรียกว่า ข้าวกล่อง ที่ใส่ไข่
ถ้วยที่ใช้แล้วทิ้ง ช้อน ส้อม มีดพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้ง

ชนิดที่ 7 เป็นชนิดอื่นๆ เช่น พอลีคาร์บอนเนต (polycarbonate) ทำเป็นขวดน้ำ เหยือกน้ำ ขวดนม
ขวดน้ำบรรจุ 5 ลิตร ขวดน้ำนักกีฬา ใช้บุกระป๋องโลหะสำหรับใส่อาหาร เป็นถ้วยใส ช้อนส้อม มีดชนิดใส

ขณะนี้เริ่มมีพลาสติกชนิดใหม่ คือพลาสติกชีวภาพ (bio-based plastics) เป็นพลาสติกที่ทำจากวัตถุดิบที่เป็นของธรรมชาติ เช่นแป้งมัน ข้าวโพด

ทุกวันนี้จะเห็นว่ามีการใช้ถุงพลาสติกใส่อาหารหิ้วกลับบ้านกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารร้อนและ เย็น
เช่น น้ำเต้าหู้ ก๋วยเตี๋ยว แกง หรือผัดต่างๆ กาแฟเย็น ชาเย็น โอเลี้ยง ขนมหวาน ผลไม้ปอก และ
อาหารสำเร็จรูปเป็นต้น

สำหรับอาหารประเภทที่ไม่มีน้ำ จะนิยมใส่กล่องโฟมเป็นภาชนะที่นิยมใช้กันมากมาย เช่น ข้าวผัด ผัดไทย ข้าวแกง
ข้าวไข่เจียว โรตี รวมทั้งถ้วยที่ใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เพียงแค่ใส่น้ำร้อนก็พร้อมกินได้

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาห้ามใช้พวกพลาสติกที่เป็นโฟมที่ทำจากสไตรีนมาเป็นภาชนะที่จะบรรจุอาหารร้อนและเย็น
หากจะใช้ต้องไม่ใช้กับของร้อน เพราะสารสไตรีนมีโอกาสหลุดออกมา สารเคมีตัวนี้จะไปทำลายฮอร์โมนในร่างกายของเรา
มีผลต่อสมอง ระบบประสาท เม็ดเลือดแดง ตับ ไต

ในพลาสติกพวกโพลีคาร์บอนเนตจะมีสาร BPA ออกมา ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน
(estrogen) ของเพศหญิง ทำให้สเปริม์ลดลง เปลี่ยนพฤติกรรมเพศ ต้านทานอินซูลิน (insulin) มีโอกาสเกิดเป็นมะเร็ง

พลาสติกชนิดที่ 3 ที่เป็นพีวีซี สารไวนิลคลอไรด์ (vinyl chloride) เป็นสารพิษต่อคนพบว่ามีคนงานที่สัมผัสกับ
สาร พีวีซี เป็นมะเร็งตับ นอกจากนี้จะปล่อยสาร DEHA ออกมาด้วย พบว่านิยมใช้ถุงหิ้วขนาดเล็กใส่ปาท่องโก๋
กล้วยแขก ซึ่งเป็นอันตรายดีที่บางรายใช้กระดาษขาวรองรับแต่ก็มีส่วนสัมผัสกับอาหาร

พลาสติกทุกชนิดยกเว้นที่เป็นพลาสติกชีวภาพล้วนแล้วแต่มีพิษมากน้อยต่างกัน รวมทั้งที่เป็นขวดน้ำดื่มชนิดใส
ชนิดทึบ อย่างเช่นมีสาร DEHA เป็นสารที่เติมลงไปในการผลิตพลาสติก ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำว่า
ไม่ควรเอากลับมาใช้แล้วใช้อีกเพราะว่าการใช้แบบนี้จะทำให้สารเคมีค่อยๆ ถูกชะละลายออกมาทีละน้อย
ตามอายุการใช้งาน

อันตรายอีกประการหนึ่งก็คือพลาสติกหลายชนิดโดยเฉพาะพวกที่เป็นแผ่นฟิลม์หุ้มห่อ จะต้องไม่เอาไปทำให้ร้อนด้วยไมโครเวฟ โดยเฉพาะอาหารที่เป็นไขมัน เพราะว่าจะทำให้ชะละลายสารเคมีออกมา ต้องเป็นชนิดที่ระบุว่าปลอดภัยกับไมโครเวฟเท่านั้น เช่นพวกเอสดีพีอี และ พีพี

ขวดน้ำดื่มพลาสติกทุกชนิดจะต้องไม่ใส่น้ำร้อน เพราะว่ามันจะไปเพิ่มความสามารถในการชะละลายสารเคมีออกมาได้มากขึ้น

ขวดนมเด็กจะต้องไม่เป็นพอลีคาร์บอนเนต หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้ใช้อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
ถ้ามีรอยขีดข่วนต้องทิ้งไปต้องอุ่นนมนอกขวดแล้วจึงเทใส่เข้าไป อย่าอุ่นทั้งขวด

พลาสติกเกือบทุกชนิดก่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพราะว่าเมื่อนำไปฝังกลบแล้วมันจะไม่ย่อยสลาย ถึงจะเบาแต่ก็
มีปริมาณมากทำให้สิ้นเปลืองเนื้อที่ ส่วนการเผาขยะที่เป็นพลาสติกชนิดพีวีซี จะเป็นตัวก่อให้เกิดสารไดออกซิน (dioxin)
ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ยกเว้นต้องเผาที่เตาอุณหภูมิสูงถึง 1300 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ยังพบว่ากระบวนการทำพลาสติกจะต้องใช้พลังงานมากกว่าการทำแก้ว ดังนั้นควรจะกลับมาใช้
ขวดแก้วบรรจุน้ำดื่ม น้ำอัดลม และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การผลิตพลาสติกแต่ละชนิดมีการปล่อยสารพิษ
เข้าไปในอากาศ ในน้ำทำให้เกิดภาวะมลพิษ รวมทั้งต่อสุขภาพของคน และต่อสิ่งแวดล้อม

มีพลาสติกชนิดที่ 1 และ 2 เท่านั้นที่นำมา รีไซเคิล(recycle) ได้ จะต้องไม่นำพลาสติกทุกชนิดกลับมาใช้ใหม่ (reuse)

ในกรณีที่จะต้องใช้บรรจุอาหาร จะต้องเป็นพลาสติกชนิดที่ 1, 2, 4 และ 5 เท่านั้น ต้องหลีกเลี่ยงพลาสติกพวก
3 , 6 และ 7 ยกเว้นพลาสติกจากสารธรรมชาติเท่านั้น หลีกเลี่ยงดื่มน้ำจากขวดพลาสติก ยกเว้นการเดินทาง
น้ำประปานั้นดื่มได้หากไม่ค่อยมั่นใจก็ให้กรองอีกครั้งด้วยคาร์บอนกัมมันต์

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพควรจะปฏิบัติดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่เป็นพลาสติกในการทำให้อาหารร้อนด้วยไมโครเวฟ โดยเฉพาะอาหารที่เป็นพวกน้ำมันและ
ไขมัน เพราะว่าจะไปชะละลายสารเคมีออกมามากขึ้น
2. ระวังไม่ใช้แผ่นพลาสติกห่อหุ้มอาหาร ควรใช้กระดาษที่เป็นไข หรือกระดาษเช็ดมือปิดอาหาร และอย่าให้พลาสติกสัมผัสอาหาร
3. ใช้ภาชนะอื่นๆ แทนพลาสติก เช่น กล่องกระดาษ หม้อปิ่นโต กระทงใบตอง


กล่าวโดยสรุป ภาชนะที่เป็นพลาสติกมีหลายชนิดไม่เหมาะสม ที่จะนำมาบรรจุอาหาร ขนม รวมทั้งไม่เหมาะสมนำมาบรรจุน้ำดื่ม เพราะว่าร่างกายมีโอกาสที่จะได้รับสารพิษทีละน้อยๆ โดยเฉพาะกล่องโฟมที่นิยมใช้กันทุกวันนี้ ซึ่งจะปล่อยสไตรีนโมนอเมอร์ออกมาเป็นสารก่อมะเร็ง ต้องไม่ใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารร้อน ต้องไม่ใช้พลาสติกที่ทำด้วยพีวีซี ใส่อาหารของกินต่างๆ จึงควรใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็น และไม่ควรบริโภคอาหารและน้ำจากภาชนะพวกนี้เป็นประจำ

ที่มา: วารสารเชียงใหม่ปริทัศน์ฉบับเดือนตุลาคม 2549, หน้า19
[/color]


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:34:37 AM


หุๆ....สงสัยผู้ชายที่บ้านและแถวบ้านสองสายเป็นมะเร็งกันไปหมดแล้ว เพราะดื่มน้ำจากขวดพลาสติกมาหลายปี รวมใช้พลาสติกห่อหุ้มอาหารอีก..... ;)


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:45:42 AM
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ฟังงานวิจัย(ในไทย) ที่ศึกษาเกี่ยวกับ ซีโนเอสโตรเจน(xeno-estrogen)
พบว่า ผลิตภัณฑ์พลาสติก แทบทุกชนิด เมื่อได้รับ ความร้อนประมาณ 50 องศาเซนติเกรด ขึ้นไป
ที่ผิวพลาสติกนั้น จะเกิด สารซีโนเอสโตรเจน(xenoestrogen) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็ง

และก็ได้เตือนถึงน้ำขวดพลาสติก ที่เก็บไว้ในรถ ว่า.....ไม่ควรทิ้งน้ำไว้ในรถ ที่มีอุณหภูมิสูง
เมื่อซื้อมาแล้วควรรีบดื่มให้หมด ไม่ควรเก็บไว้นาน

นอกจากนี้ยังได้พูดถึง การนำภาชนะพลาสติกอื่นๆ เช่น ถ้วย ชาม ถุง ฯลฯ เมื่อนำมาใส่ของร้อน
ที่มีอุณหภูมิ มากกว่า 50 องศาเซนติเกรด ว่า ล้วนก่อให้เกิดสาร ซีโนเอสโตรเจน(xeno-estrogen)


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:47:59 AM

โอเคครับ.....ต่อไปนี้ผมจะไม่ดื่มน้ำที่บรรจุในถุงยางอนามัย....เอ๊ยไม่ใช่น้ำในขวดพลาสติกอีกแล้ว

เพราะผมกลัวจะเป็นมะเร็งปากมดลูก......เอ๊ยไม่ใช่.....มะเร็งรังไข่.....เอ๊ยไม่ใช่.....มะเร็งเต้านมอันอวบอั๋นของผม.... :-X

เฮ้ออออ.....ทิดวิทย์นี่ เอาสองเรื่องมาปนกัน จนทำใหผมชักจะแปรปรวน..... ;)



หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:48:27 AM
ชายควรหมั่นตรวจ มะเร็งเต้านม(ด้วยตนเอง)!!!

เพราะพบมะเร็งเต้านมในผู้ชายเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากสารซีโนเอสโตรเจนไปกระตุ้นยีนมะเร็งในร่างกายให้ทำงาน
โดย สารชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกาย เช่น การดื่มน้ำเย็นจากขวดน้ำพลาสติก พลาสติกที่ใช้ห่ออาหาร  
อาหารกระป๋อง การใช้เครื่องสำอาง ลิปสติก โลชั่นทาผิว ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของเมทิลพาราเบน
รวมไปถึงการใช้ถุงยางอนามัยแบบฆ่าเชื้ออสุจิ   :-X


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 07:56:13 AM
อัตรตายด้วยโรคมะเร็งประเทศไทย 
2545        จำนวน      46,874     คน     ต่อแสนประชากร        อันดับ 1
2546        จำนวน      49,682    คน     ต่อแสนประชากร         อันดับ 1
2547        จำนวน       60,818    คน     ต่อแสนประชากร        อันดับ 1
2548        ???
2549        ???
2550        ???

มีข้อมูลแค่ 3 ปี ข้อมูลล่าสุดหายากมาก
แต่ดูแนวโน้มแล้วน่ากลัวครับ...........ในปี 2547 คนไทยทุกๆ 10 คน เป็นมะเร็ง 6 คน !!


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 08:05:19 AM
        นพ.ดุสิต ศรีสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลานนา เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นปัญหาใหญ่ของสาธารณสุขโลก
โดยแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งถึง 6.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 12.6 ของสาเหตุการตายทั้งหมด
ซึ่งมากกว่าการตายด้วยโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย

         นอกจากนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ยังได้วิเคราะห์จากข้อมูลสถิติของมะเร็งที่พบบ่อยและมีผลกระทบต่อการสาธารณสุข
ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม แล้วประมาณการอนาคต
โรคมะเร็งในประเทศไทยไว้ด้วยว่า แนวโน้มของมะเร็งที่จะคุกคามชีวิตของสตรีไทยมากขึ้น คือมะเร็งเต้านม แตกต่างจากอดีต
ที่พบว่ามะเร็งปากมดลูกมาเป็นอันดับ 1 ในขณะที่มะเร็งเต้านมอยู่ในอันดับรองลงมา

โดยในปี 2551 นี้ คาดว่า จะมีผู้ป่วยใหม่ด้วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ราย มากกว่า มะเร็งปากมดลูก
ที่คาดว่าจะมีผู้ป่วย 8,000 ราย และผู้ป่วยส่วนใหญ่มีช่วงอายุระหว่าง 30-50 ปี

ที่มา:เชียงใหม่นิวส์ /Update วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Plateen ที่ สิงหาคม 21, 2008, 08:57:13 AM

โอเคครับ.....ต่อไปนี้ผมจะไม่ดื่มน้ำที่บรรจุในถุงยางอนามัย....เอ๊ยไม่ใช่น้ำในขวดพลาสติกอีกแล้ว

เพราะผมกลัวจะเป็นมะเร็งปากมดลูก......เอ๊ยไม่ใช่.....มะเร็งรังไข่.....เอ๊ยไม่ใช่.....มะเร็งเต้านมอันอวบอั๋นของผม.... :-X

เฮ้ออออ.....ทิดวิทย์นี่ เอาสองเรื่องมาปนกัน จนทำใหผมชักจะแปรปรวน..... ;)




ก๊ากกก....
เอผมว่าชักยังไง ย้ายไปไว้ห้องนั่งเล่นดีกว่าไม๊ครับ :-X


ขอบคุณเฮียซีแมนที่สรรหาข้อมูลมาฝากกันเสมอ
คราวนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่น่ากลัวเหมือนคราวที่เรื่องมือถือระเบิด เล่นเอาต้องวิ่งหาซื้อซองมาใส่ซะให้วุ่น

แต่ผมสงสัยว่าพออ่านเรื่องของทิดวิทย์แล้วผมอาจต้องหิ้วปิ่นโตติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเผื่อซื้ออาหารกลับเข้าบ้านจะได้ให้ร้านเค้าใส่ให้เลย ???


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vita ที่ สิงหาคม 21, 2008, 09:01:07 AM
ทำซองใส่มือถือกันระเบิด ดีไหมครับ
ผลิตจากเส้นใยเคฟล่า(ที่ใช้ทำเสื้อเกราะ มีความเหนียวเป็นพิเศษ)  :-X


หัวข้อ: Re: เมื่อขวดน้ำเป็นภัยใน.....รถยนต์..!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ สิงหาคม 21, 2008, 09:39:00 AM
....จ๊ากๆๆๆๆ.......... :-X