|
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 24, 2008, 07:10:39 AM กรมอุตุนิยมวิทยา
ลักษณะอากาศทั่วไป หย่อม ความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ พยากรณ์อากาศสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ส่วนมากในระหว่างบ่ายถึงค่ำ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. คาดหมาย ใน วันที่ 23-24 ส.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับร่องความกดอากาศต่ำยังคงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย โดยมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมในทะเลอันมันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 25-29 ส.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง และร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะมี กำลังอ่อนลง ทำให้ทั่วประเทศจะมีฝนลดลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 23-24 ส.ค. คลื่นลมในทะเลอันมันมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันระมัดระวังในการเดินเรือ หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 24, 2008, 07:18:11 AM ไทยรัฐ
อุแว้!อุโมงค์ผันนํ้า8แสนล. นาย ธีระ วงศ์สมุทร อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงผลการศึกษาโครงการผันน้ำโขง-เลย-ชี-มูล ว่า ควรผันน้ำจากปากน้ำเลย ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย จะมีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะส่งน้ำกระจายให้พื้นที่ชลประทานในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 17.9 ล้านไร่ การผันน้ำจะผ่านอุโมงค์และคลองผันน้ำเป็นคลองชลประทานสายหลักเพื่อชักน้ำโขง เข้ามาด้วยแรงโน้มถ่วง จากนั้นขุดคลองชักน้ำต่อจากแม่น้ำเลยและขุดเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาแยกส่งน้ำ ด้วยระบบคลองส่งน้ำไปยังพื้นที่ชลประทานเป้าหมาย ซึ่งจะมีครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ประมาณ 890,000 ครัวเรือน หรือประชากรประมาณ 3.6 ล้านคน ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้วงเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 806,377 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าก่อสร้างวงเงิน 799,790 ล้านบาท และค่าชดเชยทรัพย์สินตามแนวผันน้ำและในพื้นที่ชลประทานต่างๆ 6,587 ล้านบาท แผนดำเนินโครงการ 10 ปี โดยใน 3 ปีแรกเป็นขั้นตอนการเตรียมการ ส่วนการก่อสร้างใช้เวลา 8 ปี ทั้งนี้ กรมได้แจ้งให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รับทราบว่า ผลการศึกษาโครงการอุโมงค์ผันน้ำโขงเสร็จแล้วระหว่างการประชุมหารือกับข้า ราชการระดับปลัดทุกกระทรวงเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนายสมัครพอใจที่ผลการศึกษาเสร็จแล้วและมอบหมายให้คณะกรรมการที่เกี่ยว ข้องไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป สำหรับโครงการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาลุ่มน้ำยมซึ่งกรมชลประทานได้ศึกษาใหม่เพื่อเสนอให้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณก่อสร้าง 11,000 ล้านบาท. หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 24, 2008, 07:21:53 AM เดลินิวส์
ชีวิตด่านหน้า'สตอมเซอจ' 'ชาวบ้านขุนสมุทรจีน'กลัวน่ะกลัว...แต่หนีไม่ได้ !! (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/witeecheewit/8/24/174452_82695.jpg)(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/witeecheewit/8/24/174452_82696.jpg)(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/witeecheewit/8/24/174452_82697.jpg)(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/witeecheewit/8/24/174452_82698.jpg) “ขุนสมุทรจีน” หมู่บ้านเก่าแก่เล็ก ๆ แต่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 500 ปี ตั้งอยู่บนปลายแหลมขนาดเล็กติดอ่าวไทยในพื้นที่ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เป็นพื้นที่ซึ่งเกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงจนผืนดินจมหายไปกับน้ำทะเล แล้วกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งท่ามกลางความวิตกกังวลของคนกรุงเทพฯ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ “สตอมเซอจ” น้ำทะเลยกตัวสูงเข้าสู่ชายฝั่งด้านสมุทรปราการ อันเนื่องจากพายุที่รุนแรง จะเกิดหรือไม่เกิดเร็ว ๆ นี้ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ถ้าเกิด “ขุนสมุทรจีน” จะอยู่ด่านหน้า ๆ ..... “ฉันไม่กลัวหรอก !” เป็นเสียงของ สมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน โดยผู้ใหญ่สมร บอกว่า เหตุที่ไม่กลัวเพราะคนที่นี่ผจญกับภัยธรรมชาติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นพายุลินดา พายุเกย์ สารพัดพายุ หนักบ้างเบาบ้างตามสภาพ ส่วนเรื่องสตอมเซอจนั้น ชาวบ้านที่นี่ก็มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ มีทั้งกลัวและไม่กลัว แต่ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าคงมีโอกาสเกิด เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิด ขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง “ข่าวคราวมันค่อนข้างสับสน แต่ก็ไม่ได้ประมาท เฝ้าระวังตลอดเวลา แต่จะให้ย้ายไปที่อื่น หลายคนเขาก็คงจะไม่ไป จะให้ไปอยู่ไหน ไปทำอะไร หลายคนขอสู้ตายอยู่ที่นี่ดีกว่า นี่คือความคิดวันนี้นะ เพราะเรื่องสู้กับน้ำ สู้กับลม คนขุนสมุทรฯเจอกันมาตลอดอยู่แล้ว อีกอย่างเราเกิดกับน้ำ โตมากับน้ำ ถ้าจะตาย เราก็ตายอยู่กับน้ำ กับบ้านของเราดีกว่า” ผู้ใหญ่สมรกล่าว ด้าน วิลพ เข่งสมุทร อดีตไต้ก๋งเรือแห่งบ้านขุนสมุทรฯ เล่าชีวิตให้ฟังว่า เลิกทำอาชีพไต้ก๋งมาได้ 20 กว่าปีแล้ว เพราะปลาเริ่มลดน้อยลง ตั้งแต่เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ปัจจุบันประกอบอาชีพทำนากุ้งอย่างเดียว แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการดูลม ดูฝน ก็ยังคงพอมีอยู่บ้าง วิธีดูว่าจะมีพายุหรือเปล่า ลมจะแรงจนออกเรือได้-ไม่ได้ คนเรือ คนทะเล ดูลมดูฟ้าก็รู้แล้ว อย่างเช่นถ้ามีลมแรง ๆ พัดวูบมายาว ๆ ตลอด ที่ชาวเรือเรียกกันว่า “ลมหางม้า” ก็รู้เลยว่าให้รีบเก็บข้าวของ ใครออกเรืออยู่ก็ต้องรีบเข้าฝั่ง เพราจะมีพายุแน่ ๆ สำหรับปรากฏการณ์สตอมเซอจนั้น วิลพมองว่าโอกาสที่จะรุนแรงแบบที่เป็นข่าวคงเกิดได้ยาก แต่ก็ไม่ปฏิเสธเสียทีเดียวว่าโอกาสเกิดจะไม่มี “เพราะขึ้นชื่อว่าธรรมชาติมักจะอยู่เหนือการคาดเดาเสมอ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ ก็เชื่อว่าต้องมีสัญญาณบอกเหตุก่อนล่วงหน้า และถ้าจะรุนแรงขนาดนั้น ลางบอกเหตุก็ต้องชัดมากกว่าพายุธรรมดา แต่ตอนนี้ถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ ก็คงไม่อยากทิ้งบ้านไปไหน ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาว่ากันว่าจะทำอย่างไร” อดีตไต้ก๋งเรือชาวบ้านขุนสมุทรจีนกล่าว ขณะที่ผู้เฒ่าชาวประมง-พรานทะเลรุ่นใหญ่ อย่าง สมจิตร ไม้น่วม วัย 75 ปี บอกกับทีมวิถีชีวิตว่า อยู่ที่พื้นที่นี้มากว่า 50 ปีแล้ว ช่วงชีวิตที่ผ่านมาก็ต้องย้ายบ้านหนีน้ำมา 8 หน “เรียกว่าย้ายจนเบื่อ สู้กับน้ำจนเป็นเรื่องธรรมดา” ภัยธรรมชาตินั้นเคยโดนมาทุกรูปแบบ เรือจมจากการโดนพายุถล่มก็เคยโดนมาแล้ว ส่วนกับเรื่องของสตอมเซอจที่อาจเกิดหรือไม่เกิดนั้น ผู้เฒ่าบอกว่า ไม่ได้กลัวอะไรมาก เพราะเดี๋ยวนี้การสื่อสารดี มีข่าวให้ติดตามตลอด จึงไม่ต้องไปกลัว และจากประสบการณ์ที่เป็นชาวประมงมาเกือบทั้งชีวิต ส่วนตัวแล้วก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นข่าวขึ้น และถึงแม้จะเกิดก็คิดว่าไม่น่าร้ายแรง เพราะแถบนี้เป็นทะเลน้ำตื้น “ถ้ามันจะเกิดจริง ๆ ก็ไม่กลัวอยู่แล้ว ชีวิตฉันเจอพายุมาไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก เจอลมเจอฝน เรือล่มเกือบตายมาก็มี อะไรจะเกิดก็เกิด แต่คงไม่ย้ายไปไหนด้วย ตายเป็นตาย ถอยไม่ได้ จะขออยู่ที่นี่จนวินาทีสุดท้าย” ผู้เฒ่าชาวประมงย้ำเสียงหนักแน่น หลังจากลาผู้เฒ่าชาวประมง ทีมวิถีชีวิตเดินลัดเลาะตามคันดินข้างนากุ้งไปเรื่อย ๆ จนเจอคู่สามี-ภรรยา ถวิลย์-บุญนาก เข่งสมุทร ที่กำลังขมีขมันแผ่ตัวเคยตากแดดให้แห้ง เคยคือวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ทำกะปิของดีขึ้นชื่อของชุมชน โดยบุญนากเล่าว่า เธอและสามีอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด และไม่เคยคิดย้ายไปอยู่ที่ไหน แม้ว่าหลายคนจะมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง ไกลปืนเที่ยงไปสักนิด เดินทางลำบากไปสักหน่อย แต่ก็มีความสุขตามอัตภาพ ปัญหาหนักอกหนักใจที่สุดของเธอเวลานี้ไม่ใช่เรื่องสตอมเซอจ แต่เป็นปัญหาเก่าที่คาราคาซังเรื่อง “น้ำทะเลไล่ที่” ที่ดินเกือบ 30 ไร่จมหายไปกับน้ำ ปัจจุบันเหลือที่ดินผืนสุดท้าย 4-5 ไร่ ใช้เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา ทางฝ่ายถวิลย์ผู้เป็นสามีก็เล่าว่า ที่ผ่านมาย้ายบ้านหนีน้ำเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ถมดินพื้นบ้านทุกปีจนโอ่งน้ำฝนหลายใบใต้ถุนบ้านเหลือโผล่มาไม่ถึงครึ่งใบ ซึ่งกับข่าวเรื่องสตอมเซอจที่มีข่าวว่าอาจจะเกิดกับชายฝั่งด้านสมุทรปราการ เทียบกับเรื่องที่เขาเผชิญอยู่ ใจของเขากลัวเรื่องที่ดินสูญไปกับทะเลมากกว่าพายุร้ายเสียอีก “โดนพายุมาแล้วหลายลูกนะ บ้านหลังแรกก็เจอหางเลขจากพายุแหลมตะลุมพุก หลังที่สองก็พายุเกย์ จะเรียกว่าชิน ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น พูดว่ารู้ทางกันดีกว่าว่าจะต้องปรับตัวยังไง เราเหมือนเป็นหน้าด่าน แต่แถวนี้เป็นน้ำตื้น ถ้าจะโดนจริงคงไม่รุนแรงนัก ก็คงมีเสียหายบ้าง แต่จะให้ย้ายหนี คงไม่ไป ถ้ามันจะเกิดจริง ๆ ก็จะขออยู่จนวินาทีสุดท้าย” หนึ่งใน “ชาวบ้านขุนสมุทรจีน” กล่าวอย่างมุ่งมั่น ในวันที่มีข่าวคราว “ภัยธรรมชาติ” จากผืนน้ำหน้าบ้าน...อาจรุนแรงระดับวิกฤติ ?!?!?. 'แผ่นดินหาย...ร้ายกว่าพายุ' จากภาวะโลกร้อน ชุมชนที่อาศัยตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งจน แผ่นดินค่อย ๆ จมอยู่ใต้น้ำทะเล ที่พักอาศัยถูกน้ำท่วม ซึ่งชาวบ้านที่บ้าน “ขุนสมุทรจีน” น่าจะเป็นคนกลุ่ม แรก ๆ ในประเทศไทยที่เผชิญกับผลกระทบนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บ้านขุนสมุทรจีน หมู่ที่ 8, 9, 10 และ 11 ต้องพบกับวิกฤติปัญหาเรื่องนี้อย่างรุนแรง จนต้องสูญเสียพื้นที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยไปแล้วมากกว่า 1,000 ไร่ ผู้ใหญ่สมรบอกว่า ในอดีตที่นี่มีประชากรประมาณ 177 ครัวเรือน แต่ตอนนี้ เฉพาะหมู่ 8 ล่มสลายไปแล้ว ขณะนี้มีเหลือในทะเบียนอยู่เพียง 34 ครัวเรือน และที่อยู่อาศัยกันจริง ๆ มีแค่บ้าน 10 กว่าหลัง เพราะไม่มีที่ทำกิน ไม่มีที่อยู่อาศัย บางคนย้ายแล้วย้ายอีกจนทนไม่ไหว ย้ายไปอยู่ที่อื่น หรือบางรายก็ต้องเช่าที่คนอื่นอยู่ “ตั้งแต่ ปี 2520 พื้นที่หายไปเรื่อย ๆ กิโลเมตรหนึ่งหมดไป ตามมาอีกหลายกิโลเมตร ถามว่าเกิดอะไรขึ้น โลกร้อน น้ำทะเลกัดเซาะ แผ่นดินทรุด ใช่หมด ถามว่าระหว่างพายุกับทะเลรุก กลัวอย่างไหน ก็ต้องตอบว่ากลัวอย่างหลังมากกว่า เพราะพายุเราหลบได้ หนีได้ แต่ถูกน้ำทะเลรุกที่ดินนี่ หนีเท่าไหร่ถึงจะพอ”. "ดร.อาจอง"เตือนซํ้าเรื่อง"สตอม เซอจ" อาจจะเกิดขึ้นจริง “อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซ่า แนะ ภายใน 6 ปีรัฐบาลต้องเริ่มคิดย้ายเมืองหลวงได้แล้ว คาดอีก 30 ปีข้างหน้า ภาคกลางของไทยจมใต้ทะเล ตรงกับข้อมูลนาซ่า ที่ระบุว่าระดับน้ำทะเลของไทยจะสูงขึ้น 7 เมตรจากภาวะโลกร้อน ชี้คนไทยต้องฟังคำเตือนของ “สมิทธ” เรื่องสตอร์ม เซิร์จ เพราะอาจเกิดขึ้นจริง ย้อนคำเตือนเขื่อนเมืองกาญจน์แตก ตามรอยแผ่นดินไหว น้ำจะบ่าถึงกรุงเทพฯ ย้ำใช้สติแก้ปัญหา เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะโลกร้อน (Global Warming) กล่าวในงานสัมมนาของบริษัท เฮงเค็ล (ประเทศไทย) จำกัด ว่า ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น การเคลื่อนไหวของสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จะทำให้เกิดพายุมากขึ้น ดังนั้นประชาชนจึงควรฟังคำเตือนของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ที่ได้ประกาศเตือนไว้ก่อนหน้านี้ ตนเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสตอมเซอจ (Storm Surge) หรือคลื่นพายุหมุน เพราะปัจจุบันธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น โลกของเราเต็มไปด้วยน้ำถึง 3 ใน 4 ส่วน ครึ่งหนึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งผลให้น้ำหนักของโลกไม่เท่ากัน เปลือกโลกจะเริ่มเคลื่อนไหว จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวมากขึ้น โดยเฉพาะตามรอยต่อของเปลือกโลก ทะเลอันดามัน ประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง กล่าวต่อว่า ภายใน 6 ปี ประเทศไทยควรเริ่มย้ายเมืองหลวง เพราะ 30 ปีข้างหน้า ภาคกลางของประเทศไทยจะจมอยู่ใต้ทะเล ตรงกับแผนที่ขององค์การนาซา (The National Aeronautics and Space Administration-NASA) หรือองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่าระดับน้ำทะเลในประเทศไทยจะสูงขึ้น 7 เมตร ดังนั้น เมืองหลวงควรอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 40-50 เมตร การที่เปลือกโลกร้าวจะทำให้ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก และกาญจนบุรี เกิดแผ่นดินไหว ก่อนหน้านี้ตนเคยเตือนว่าเขื่อนที่ จ.กาญจนบุรี จะแตกเพราะอยู่ตามแนวที่จะเกิดแผ่นดินไหว แต่วิศวกรแย้งว่าการออกแบบก่อสร้างเขื่อนทนต่อแผ่นดินไหวได้ 8 ริคเตอร์ แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือการเคลื่อนที่ของดิน ซึ่งอาจเคลื่อนไปคนละทิศละทาง จึงอาจทำให้เขื่อนแตกได้ และจะส่งผลให้เมืองกาญจน์จมน้ำ แล้วน้ำจะไหลมาสู่ จ.นครปฐม และกรุงเทพฯ ในที่สุด “ผมอยากฝากถึงรัฐบาลว่า ควรเริ่มคิดจะย้ายเมืองหลวงได้แล้ว เพราะการย้ายเมืองจะใช้ ระยะเวลายาว ผมไม่ได้บอกว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ภายใน 6 ปี แต่ควรจะเริ่มวางแผนย้ายเมืองหลวง และต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 40-50 เมตร สิ่งที่ ดร.สมิทธ ออกมาเตือนทุกอย่างมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะโลกได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน สิ่งที่จะเตือนประชาชนคือ ต้องระมัดระวังเรื่องพายุต่าง ๆ จะรุนแรงมากขึ้น น้ำจะท่วมฉับพลัน แต่ทุกคนต้องมีสติ ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ สติที่ดีจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เราต้องฟังเหตุผลของทุกคน” ดร.อาจอง กล่าวตอนท้าย สำหรับ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นนักวิชาการ นักวิจัยที่มีผลงานมากมาย ผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งคือ เคยเป็นหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ร่วมโครงการอวกาศไวกิ้ง ขององค์การนาซา สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ออกแบบและสร้างอุปกรณ์ควบคุมการร่อนลงของยานอวกาศไวกิ้ง 2 ลำ ลงสู่พื้นผิวดาวอังคารได้สำเร็จ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี. ไทยเจ๋งผลิตรถพลังนํ้า แปลงไฮโดรเจนผสมกับเบนซินลองวิ่งไร้ปัญหา (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/technology/8/22/174325_82600.jpg)(http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/technology/8/22/174325_82602.jpg) (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/technology/8/22/174325_82603.jpg) ผลิตรถเติมน้ำคันแรกสำเร็จ!! คนไทยอดีต จนท. “องค์การนาซ่า” จับมือนักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีร่วมคิดค้นศึกษาประดิษฐ์อุปกรณ์ แยกก๊าซ “ไฮโดรเจน” จากน้ำเปล่านำมาเป็นเชื้อเพลิงผสมใช้กับรถยนต์คันแรกของประเทศสำเร็จ เผยซิ่งรถต้นแบบโดยผสมเบนซิน หรือ LPG 40 เปอร์เซ็นต์ กับไฮโดรเจน 60 เปอร์เซ็นต์ จากกรุงเทพถึงอุดรฯ ใช้น้ำมันเพียง 10 ลิตร ระบุวิ่งทดสอบมาแล้วกว่า 40,000 กิโล ไร้ปัญหา ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ส.ค. ผศ.จรูญ ถาวรจักร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ผศ.วิเชียร จันทะโชติ อ.ประจำ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี นายสมชาย ไตรสุริยธรรมา ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีช่างเครื่องบิน ร่วมกันแถลงข่าวในความสำเร็จของเรื่องการคิดค้นรถเติมน้ำแทนน้ำมันว่า เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีกับภาคเอกชนคือ นายสุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อดีตเจ้าหน้าที่ “นาซา” ประจำอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา และนายศักดิ์ชัย ตันคงจำรัสกุล นักธุรกิจ จ.อุดรธานี ผศ.จรูญ กล่าวว่า การคิดริเริ่มโครงการนี้เกิดขึ้นจาก นายสุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์แยกก๊าซ “ไฮโดรเจน” จากน้ำแล้วนำมาเป็นเชื้อเพลิงใช้กับรถยนต์สำเร็จ โดยเริ่มแรกทางมหาวิทยาลัยฯ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในความร่วมมือที่จะประดิษฐ์อุปกรณ์ แยกก๊าซ โดยทางมหาวิทยาลัยฯ ได้ให้การสนับสนุนเครื่องมือประกอบชิ้นส่วน ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และปรึกษาหารือกับ ผศ.วิเชียร จันทะโชติ ตลอดเวลา เมื่อ มีโอกาสก็จะช่วยประดิษฐ์อุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมกับนำเครื่องมือไปช่วยทำจนกระทั่งได้เครื่องต้นแบบออกมาเป็นรูปเป็น ร่างและเป็นที่พอใจจึงได้นำไปติดตั้งกับรถยนต์ แล้วจึงได้ทดลองวิ่งดู สำหรับรถต้นแบบ “รีแอคเตอร์ 1” นั้นใช้รถเก๋งนั่ง 4 ประตู ขนาด 2,000 ซีซี เป็นรถทดลองใช้ชื่อว่าเป็น “H2O เทคโน โลยีแห่งอนาคต” หรือ “HGV Hydrogas Vehicle” ซึ่งเป็นรถที่ใช้พลังผสมระหว่างเบนซินกับไฮโดรเจน หรือแอลพีจีกับไฮโดรเจน โดยในสัดส่วนของเบนซินหรือแอลพีจี 40 เปอร์เซ็นต์ กับไฮโดรเจน 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง ในการทดสอบที่ผ่านมา รถวิ่งจากกรุงเทพฯ มาอุดรธานี ระยะทาง 560 กม. ใช้น้ำมันเบนซินไปประมาณ 10 ลิตร ขณะที่น้ำใช้ผลิตไฮโดรเจน ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้านนายสุมิตรกล่าวถึงการใช้อุปกรณ์ว่า เริ่มต้นที่น้ำบริสุทธิ์เหมือนน้ำกลั่น (ดีไอโอไนซ์) เติมเข้าไปในเครื่องรีแอคเตอร์ที่จะแยกไฮโดรเจนและออกซิเจนออกมาเป็น HH-O ผ่านออกมายังเซฟตี้วาล์วเพื่อส่งตรงไปที่เครื่องยนต์ หากรถมีหัวฉีดก็ผ่านหัวฉีด โดยทั้งหมดจะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์คอนโทรลที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวรถเพื่อให้ เครื่องผลิตไฮโดรเจนออกมาเท่าที่เอาไปใช้เท่านั้น จะไม่มีการเก็บรักษาไว้ หากอุณหภูมิความดันผิดปกติ ก็จะมีระบบป้องกันตัวเอง สำหรับ อุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมาใช้กับไฮโดรเจนแทนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะติดตั้งอยู่ใน ที่เก็บของท้ายรถประกอบไปด้วย กล่องคอนโทรลจุดระเบิดอัจฉริยะ แบตเตอรี่ 12 v. มอเตอร์ อินเวอเตอร์ ขวดบรรจุน้ำกลั่นพิเศษไมโคคอนโทรล และอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง โดยควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์คอนโทรลที่อยู่บริเวณแผงหน้าปัดเหนือพวงมาลัย ส่วนในห้องเครื่องรถจะติดตั้งมอเตอร์ควบคุมระบบแยกน้ำไว้ อดีตเจ้าหน้าที่องค์การนาซากล่าวอีกว่า เทคโนโลยีไฮโดรเจนเกิดหลังการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า ซึ่งจะได้ก๊าซไฮโดรเจน 2 อะตอมกับออกซิเจน 1 อะตอม โดยรีแอคเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของเรา ถ้านำมาใช้กับยานยนต์โดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่รถยนต์เพื่อแยกโมเลกุล น้ำให้ได้ไฮโดรเจนออกมาเป็นเชื้อเพลิงเข้าไปใช้สันดาปของเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องใช้ถังเก็บก๊าซไฮโดรเจนเลย ซึ่งการควบคุมอุณหภูมิปกติการแยกน้ำโดยรีแอกเตอร์ทั่วไปทำให้ความร้อนสูงยาก แก่การควบคุมซึ่งอาจจะเป็นอันตราย แต่รีแอกเตอร์ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถควบคุมความร้อนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ประการที่สาม วัตถุดิบที่ใช้เป็นต้นกำเนิดเชื้อเพลิงคือ น้ำซึ่งหาได้ง่าย ราคาถูก และไอเสียที่ได้จากการสันดาปจะกลับมารวมตัวกับออกซิเจนได้น้ำ เป็นไอเสียที่บริสุทธิ์ “สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ผมคิดมาเมื่อ 4 ปีก่อน เมื่อครั้งยังทำงานอยู่ที่องค์การนาซา แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้รถต้นแบบซึ่งเป็นรถใหม่ป้ายแดงมาทดลองโดยการสนับสนุนงบประมาณ จาก นายศักดิ์ชัย ตันคงจำรัสกุล นักธุรกิจ จ.อุดรธานี และได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยรถคันดังกล่าวนี้จะเป็นรถที่มีระบบเชื้อเพลิง 3 ประเภท คือ น้ำมันเบนซิน, ก๊าซ LPG. และก๊าซไฮโดรเจน และทดลองวิ่งมาแล้ว กว่า 4 หมื่นกิโลเมตร ก็ยังไม่พบปัญหาอะไร”อดีตเจ้าหน้าที่องค์การนาซากล่าวและว่า ขณะนี้ ได้ขอจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว เพราะต้องการให้เทคโนโลยีชิ้นนี้เป็นสมบัติของชาติไทย คนไทยสามารถนำเอามาต่อยอดในแนวความคิดให้มีความหลากหลายมากขึ้นไป แม้จะประสบกับความสำเร็จไปแล้วแต่ก็ต้องการที่จะพัฒนาให้ก้าวไกลไปอีก. หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 24, 2008, 08:17:15 AM มติชน
ทะเลไทยใน e-LEARNING โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/08/way03240851p1.jpg) "อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดคงเกิดผล" ใครได้ยินกลอนบทนี้ คงคิดถึงมหากวีสุนทรภู่ ท่านช่างเข้าใจและแต่งกลอนได้ถึงแก่นชีวิต น่าเสียดาย กลอนบทนี้ไม่ใช่ของสุนทรภู่ครับ เป็นกลอนจาก "นิติสารสาธก" แต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ในรัชกาลที่ 5 แต่เราได้ยินว่า "ศรีสุนทรโวหาร" เราก็นึกถึงท่านสุนทรภู่ ทั้งที่ท่านเป็น "พระสุนทรโวหาร" (อีกจุดที่เราชอบผิดกัน คือ อันความรู้รู้กระจ่าง "เพียง" อย่างเดียว ของจริงต้องเป็น อันความรู้รู้กระจ่าง "แต่" อย่างเดียวจ้ะ) นอกจากกลอนไม่ใช่แล้ว อีกอย่างที่อาจจะเริ่มไม่ใช่ คือความหมายของกลอน เพราะโลกในยุคปัจจุบัน ทุกอย่างช่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คนที่รู้แจ้งรู้ลึก ยังดำรงชีวิตอยู่ได้ หลายคนได้ดีด้วยนะ ปัญหาคือยุคสมัยกำลังต้องการคนรู้เรื่องไขว้ไปมา เช่น จบวิศวะ เรียนต่อบริหาร สมัครงานง่ายขึ้น หรือต้องการเห็นตัวอย่างของจริง ก็ผมไงครับ แม้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่เขียนหนังสือขาย แต่งนิยายก็เป็นนะ ผมยกคำกลอนมาอ้าง เพื่อโยงเข้าสาระที่จะเล่าสู่กับชาว "มติชน" เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อประมาณหนึ่งปีมาแล้ว สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เค้าติดต่อมา บอกผมว่า อาจารย์คะ เรามาทำคอร์ส e-LEARNING เกี่ยวกับทะเลไทยกันเถิดจะเกิดผล ผมตบอกผาง ฮึ่มแฮ่...ตรงต่อความต้องการครับ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกผมว่า มีคนสนใจเรื่องทะเลเยอะเชียว พากันถามไถ่ บ้างถึงขั้นอยากมาเรียนต่อปริญญาโท แต่ติดขัดที่พื้นฐานด้านปริญญาตรีไปคนละทาง บ้างติดขัดเรื่องเวลา เรื่องเงินทอง ฯลฯ จึงพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่พวกเขาพวกเธอมีใจอยากต่อยอด จะเพื่อหน้าที่การงานของตัวเอง เพื่ออยากรู้เพิ่มขึ้น หรือเพื่ออะไรก็ตามเถอะ แต่มีคนรู้เรื่องทะเลเยอะๆ ย่อมดีกว่ามีน้อยๆ e-LEARNING จึงเป็นคำตอบสำหรับการศึกษาประเภทไม่บังคับ แต่เพื่อให้หลักสูตรเกิดประโยชน์จริงจัง สมกับที่ข้าพเจ้าหวังไว้ ผมจึงสอบถามรายละเอียดหลายประการ เริ่มตั้งแต่หน่วยงานที่จัดทำ สวทช.เป็นองค์กรระดับชาติ เชื่อถือได้เต็มร้อย ใครอยากดูหลักฐานให้เห็นคาตา ขอเชิญไปทัศนาอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยที่คลองหลวง ปทุมธานี แล้วคุณจะตกใจ เมืองไทยมีอย่างนี้ด้วยหรือ หลักสูตรทะเลไทยไม่ใช่หนูลองยา เพราะก่อนหน้านี้ สวทช.ได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาวิชาชีพ หรือ LEARN เพื่อรับผิดชอบด้านนี้โดยเฉพาะ มีการทำเว็บไซต์ www.learn.in.th ก่อนพัฒนาหลักสูตรต่างๆ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ เช่น เมืองนักสำรวจ เมืองอุตสาหกรรม แต่ละเมืองหรือหมวดหมู่ จะมีวิชาเปิดสอนผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น เมืองนักสำรวจมีวิชาความหลากหลายทางชีวภาพ กล้วยไม้ ฯลฯ สำหรับคอร์สทะเลไทย จัดอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน อีกอย่างที่ต้องถามคือเรื่องเงิน อย่างว่า ยุคนี้ทำอะไรก็ขัดสน เคราะห์ดีที่ภาครัฐสนับสนุนองค์กร ค่าใช้จ่ายจึงกล่าวได้เต็มปากว่าน้อยจัง ลงทะเบียนเรียนเสียเงินแค่ 1,400 บาท สิ่งที่ได้รับคือได้เข้าร่วมปฐมนิเทศ ได้เรียนผ่านอินเตอร์เน็ต มีเนื้อหามีข้อสอบมีเว็บบอร์ดให้พูดคุยถามไถ่ จบแล้วได้ประกาศนียบัตรจาก สวทช. นำไปเป็นหลักฐานเพื่อใช้งานในชีวิตจริงได้แน่นอน นอกจากนี้ เรายังมีทริปนอกสถานที่ด้วยนะ ผมหูผึ่งเมื่อได้ยินคำนี้ จึงรีบถามเค้าให้ชัด จะพาคุณๆ เค้าไปเที่ยว เอ๊ย ไปทัศนศึกษาด้วยเหรอครับ เค้ายืนยันว่าไปแน่ ด้วยราคาแค่นี้แหละ (รถก็ฟรีที่พักก็หาได้ เค้าจึงทำได้ไงครับ แฮ่ม) ว่าแต่...อาจารย์อยากพาไปไหน? ผมยิ้มกระหยิ่มใจ เมื่อเราไม่ต้องคิดเรื่องกำไรขาดทุน เราต้องไปกันให้สะใจ ผมอุบไว้ไม่ยอมบอกคุณว่าไปไหน แต่เผยไต๋นิดหน่อย เงินพันสี่ร้อย แค่ไปทัศนศึกษาก็คุ้มแล้วเอย เมื่อคิดเบ็ดสะระตี่ ผมยินดีพัฒนาหลักสูตรให้ สวทช. แต่ต้องขอเวลาหน่อยนะครับ จวบจนเกือบหนึ่งปีผันผ่าน ผมทำหลักสูตรให้เค้าเสร็จเรียบร้อย แบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลัก เริ่มต้นด้วย "สมุทรศาสตร์" เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับทะเลและมหาสมุทร โดยเฉพาะกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้ทะเลเป็นทะเล เช่น คลื่นลม กระแสน้ำ น้ำขึ้นน้ำลง ฯลฯ ถือเป็นการปูพื้นฐาน ก่อนเจอฉากสอง "ทะเลไทย" ว่าด้วยการกำเนิด ธรณีสัณฐานทั้งชายฝั่งและหมู่เกาะ ต่อเนื่องมาถึงเขตแดนต่างๆ อ่าวไทยรูปตัว ก.เป็นอย่างไร คุณจะได้รู้แน่ครับ เมื่อเราปูพื้นเรียบร้อย ถึงเวลาสร้างบ้าน ผมจะพาไปพบกับระบบนิเวศต่างๆ ทั้งแนวปะการัง ป่าชายเลน แหล่งหญ้าทะเล ตลอดสิ่งมีชีวิตพิสดารหลายชนิด จากนั้นเราเข้าสู่ฉากสุดท้าย "มนุษย์กับทะเลไทย" ทั้งเรื่องการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ประมงเอย ท่องเที่ยวเอย ต่อเนื่องถึงทรัพยากรแร่ธาตุและปิโตรเลียม ที่มาของพลังงานมหาศาลที่ใช้ในบ้านเรา อยากจะใช้ธรรมชาติ ต้องใช้ให้เป็น เราจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของทะเล ทั้งจากสาเหตุตามธรรมชาติ เช่น สึนามิ โลกร้อน บวกเพิ่มไปด้วยผลการกระทำของพวกเรา ก่อนปิดท้ายด้วยแนวทางการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ ผมพยายามอ้างอิงข้อมูลตัวเลขทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ ยังตีกรอบให้กว้างเพื่อครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายดีชะมัด ก่อนปิดท้ายด้วยการนำบทความที่เคยเขียนมารวมไว้ น่าจะเปิดมุมมองที่กว้างขึ้นให้แก่คุณๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ ทันกับกำหนดการที่เขาวางไว้ เราจึงเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1-30 สิงหาคม โดยใช้วิธีออนไลน์ คลิกเข้าไปดูรายละเอียดทั้งหลายใน www.learn.in.th หลักสูตรทะเลไทยลอยเด่นอยู่หน้าเว็บไซต์ ผมลงทุนทำวิดีโอคลิปปะไว้ เห็นทั้งภาพได้ยินทั้งเสียง หากคุณหลงคารมของผม ขอเชิญสมัครในนั้น ก่อนโอนเงินผ่านวิธีการที่เขาบอกไว้ โอนแล้วไม่หนีไปไหน เพราะ สวทช.เป็นหน่วยงานลงทุนไปแล้วหลายพันล้านบาท เค้าไม่เชิดเงินพันกว่าบาทแน่ครับ ข้อดีอีกประการคือหน่วยงานนี้เป็นของรัฐ ไม่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ข้าวกลางวันอาหารว่างก็รวมไว้ในค่าใช้จ่ายเสร็จสรรพ แถมถ้าคุณเป็นข้าราชการ มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนตามระเบียบกระทรวงการคลังทุกประการ เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ถือเป็นวันลาอีกต่างหาก สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดมากกว่านี้ ลองคลิกไปดูที่เว็บไซต์ หรือโทรศัพท์สอบถามจากสถาบันพัฒนาวิชาชีพ 0-2564-7000 ต่อ 1422, 1427 นี่คือวิชาเรียนเกี่ยวกับทะเลไทยเป็นครั้งแรกผ่าน e-LEARNING เชื่อว่าคงเกิดประโยชน์ต่อคุณและต่อทะเล หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Bluefin ที่ สิงหาคม 24, 2008, 08:23:41 AM ถ้ารถพลังงานไฮโดรเจนใช้ได้จริง ก็ขอให้รัฐจริงใจช่วยเร่งแก้ปัญหา วางนโยบายศึกษาและพัฒนาอย่างจริงจัง เพื่อนำร่องให้เกิดการผลิตและใช้งานได้จริง อย่ามัวเร่งแต่ตอบแทนกลุ่มทุนค่ายยานยนต์ที่ช่วยเป็นทุนตอนเลือกตั้งอยู่เลย
เอทานอลที่คนไทยสามารถผลิตได้เอง มีวัตถุดิบเอง โดยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ รัฐยังไม่สนใจ มัวแต่บล็อกเพื่อให้อีโก้คาร์เกิดและขายได้ ความหวังของรถพลังงานไฮโดรเจนอาจอยู่ไกลเกินแสงที่ปลายอุโมงค์ หากผู้มีอำนาจในรัฐนาวานี้มัวแต่ฉกฉวยแย่งจับปลาใส่กระเป๋าตนเองในขณะที่เรือต้องวิ่งฝ่าคลื่นลมพายุซัพพรามและสตรอมเสิร์จลูกใหญ่ หากยังคิดไม่ได้เช่นนี้มิช้าเรือลำนี้ที่เรานั่งอยู่คงมิพ้นจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเป็นแน่... :'( :'( หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 24, 2008, 08:40:20 AM แอบไปสมัครเรียน วิชา ทะเลไทยของ E-learning แล้วล่ะ แต่ไม่ได้ไปจ่ายเงิน เลย
ได้เรื่องอย่างไร จะนำมาบอกต่อ นะคะ ;D ;D หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Plateen ที่ สิงหาคม 24, 2008, 12:09:44 PM เป็นจุดเริ่มต้นและนิมิตหมายที่ดีสำหรับทะเลไทย
อย่างน้อยก็เชื่อได้ว่าอนาคตที่ดีสำหรับทะเลไทยรออยู่ไม่ไกล ผมล่ะแปลกใจกับค่าลงทะเบียนเรียนซึ่งครอบคลุมทุกอย่างรวมทั้งเนื้อหามากมายออกขนาดนั้น เค้าทำได้ไง หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 24, 2008, 03:55:24 PM เค้าเรียน On-Line อ่ะ อาเจ็ก..... แบบว่า มีอะไรก็ใส่ในเวปอ่ะ
แบบนี้ก็น่าจะเรียนได้ เพราะอยู่ที่ไหน ก็ทำได้เหมือนกัน ยกเว้น ตอนไปออกรอบ เอ๊ย ไปทัศนศึกษา หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: marina ที่ สิงหาคม 25, 2008, 07:29:04 AM พี่ SNR. ขอไปเรียนด้วยคนน่ะค่ะ ไปลงทะเบียนไว้แล้ว
หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ สิงหาคม 25, 2008, 09:53:21 AM ได้เลยค่ะ ยินดีค่ะ ที่เป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันค่ะ อิอิอิ :-* :-*
หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ สิงหาคม 25, 2008, 10:28:53 AM ขอบคุณผู้สื่อข่าว....ทั้งน้องติ่งและน้องเต้จ้ะ..... :-* :-* :-* |