|
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 28, 2008, 12:38:04 AM กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนหนาแน่น โดยมีฝนตกหนัก บางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ในระยะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 28-30 ส.ค. ร่องความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนตกหนาแน่น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ส่วนในช่วงวันที่ 31 ส.ค. 3 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำนี้จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนหนาแน่นมากกว่าภาคอื่นๆ ข้อควรระวัง ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ ให้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 28, 2008, 12:49:13 AM ข่าวสด
วอนเรือแล่นอ้อมที่อยู่วาฬ (http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/08/tec03280851p1.jpg) ปัจจุบันมีวาฬตายจากเรือสินค้าชนมากกว่าสมัยก่อน เนื่องจากเส้นทางเรือสินค้าผ่านเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของวาฬ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ติดตั้งลำโพงกระจายเสียงไว้ที่เรือเพราะต้องการให้พวกมันว่ายน้ำหนีไป แต่มันกลับอยากรู้อยากเห็นว่ายน้ำเข้ามาดู จนต้องแลกกับชีวิต แองเจล่า แวนเดอลาน นักศึกษาด้านสมุทรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดัลฮูซี่ ประเทศแคนาดา พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงหาวิธีการใหม่ ด้วยการขอร้องให้เรือสินค้าอ้อมแหล่งที่อยู่ของวาฬตามเดือนที่กำหนด อย่างเช่นที่ "โรสเวย์เบซิน" "โรสเวย์เบซิน" ครอบคลุมพื้นที่ 1,000 ตารางไมล์ ถูกกำหนดให้เป็น "พื้นที่ควรหลีกเลี่ยง" ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นฤดูที่วาฬไม่ได้ว่ายไปยังทะเลทางใต้ที่มีความอบอุ่นกว่า ซึ่งเรือจะเสียเวลาอ้อมเพียง 8.6 นาที และจากการสำรวจด้วยระบบออโตเมติกไอเดนติฟิเคชั่นซิสเทม พบว่าเรือสินค้าส่วนใหญ่ต่างให้ความร่วมมือด้วยดี ********************************************************************************************************************** ปลาหมึกยักษ์ถนัดใช้ 2 หนวดเหมือนกับแขน (http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/08/tec04280851p1.jpg) จำได้ไหมที่อควาเรียมซีออฟไลฟ์เซ็นเตอร์ 16 แห่งทั่วยุโรป เขาได้ทดลองให้หมึกยักษ์พันธุ์ไจแอนต์แปซิฟิก พันธุ์คอมมอน และพันธุ์เลสเซอร์อ๊อกโทพุส เล่นรูบิกและของเล่นอื่นๆ เพื่อดูทักษะการใช้หนวด 8 หนวดว่า ปลาหมึกชอบใช้หนวดใดมากกว่ากัน ผลการศึกษาพบว่า มันใช้หนวดด้านหน้า 2 หนวด เหมือนกับเป็นแขน ส่วนอีก 6 หนวดที่เหลือเหมือนกับขา นายอเล็กซ์ เจอราลด์ เจ้าหน้าที่ซีออฟไลฟ์เซ็นเตอร์ เมืองไบรต์ตัน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า "หมึกยักษ์ใช้ 2 หนวดด้านหลังเพื่อใช้ในการดันและเคลื่อนตัว ส่วน 6 หนวดที่เหลือใช้ในการทำงานต่างๆ โดยเฉพาะหนวดคู่หน้าส่วนใหญ่จะใช้ในการสำรวจเหมือนกับเป็นแขน หมึกยักษ์ก็เหมือนกับคน ที่บางคนถนัดซ้าย บางคนถนัดขวา มันก็ใช้หนวดที่ถนัดเช่นกัน" เจอราลด์ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า "หมึกยักษ์แต่ละตัวมีบุคลิกแตกต่างกันไป พวกมันชอบของเล่นไม่เหมือนกัน อย่างเจ้าป๊อปอาย หมึกพันธุ์เลสเซอร์ ชอบของที่เป็นสีเหลืองมากและเกลียดสีแดงเป็นที่สุด ส่วนหมึกที่มีความสุขนั้น มักจะชอบเล่นทั้งวัน" หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 28, 2008, 12:55:51 AM สยามรัฐ
พบโครงกระดูกปลาวาฬอายุหลายร้อยปี เมื่อ เวลา 11.00 น. วันที่ 27 สิงหาคม 2551 นายมณฑล สติดี เกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้งบ้านเปร็ดในต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด กล่าวว่า ระหว่างที่นำรถแบคโฮมาขุดบ่อกุ้งเพื่อปรับหน้าดิน ปรากฎว่าได้พบโครงกระดูกของปลาขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจึงเข้าไปตรวจสอบและใช้มือขุดขึ้นมาพบว่าเป็นช่วง กระดูกสันหลังของปลาวาฬขนาดใหญ่ จึงได้แจ้งให้นายบุญยิ่งสิงห์พันธ์ สมาชิก อบต.หมู่ 2 ต.ห้วงน้ำขาว ได้รับทราบ จากนั้นได้เชิญให้นายอัมพร แพทย์ศาสตร์ ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในมาร่วมตรวจสอบด้วยพร้อมสมาชิกกลุ่มและช่วยกันขุดซากปลาวาฬขึ้นมาได้จำนวน 25 ชิ้น โดยชิ้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นครีบด้านหลัง 1 ชิ้น ต้นคอล่าง-บน1 ชิ้น กระดูกสันหลัง 1 ชิ้น ชายโครง 2 ชิ้นและเศษกระดูก รวมจำนวน 25 ชิ้น ซึ่งประมาณ ว่าปลาวาฬตัวนี้น่าจะมีความยาวกว่า 10 เมตร และน้ำหนักหลายตัน โดยเฉพาะกระดูกต้นคอมีขนาดใหญ่ นายมณฑล กล่าวว่า ตนเองมีอาชีพเลี้ยงกุ้ง แต่เนื่องจากประสบปัญหาราคากุ้งตกต่ำ ตนจึงได้คิดที่จะเปลี่ยนจากการเลี้ยงกุ้งมาเลี้ยงปลาเก๋าแทน จึงได้ว่างจ้างรถแบคโฮมาทำการขุดบ่อและปรับบ่อดินใหม่ แต่เมื่อรถแบคโฮขุดบ่อลึกลงไปประมาณ1- 2 เมตร ได้พบกับซากโครงกระดูกขนาดใหญ่ฝั่งอยู่ในดินเลน ตนเองจึงได้แจ้งให้ประธานกลุ่มอนุรักษ์ให้เข้ามาดูและตรวจสอล จึงทราบว่าเป็นกระดูกของปลาวาฬ ซึ่งคาดว่า ซากกระดูกปลาวาฬยังคงมีจำนวนมากในบ่อแห่งนี้ ขณะที่นายบุญยิ่ง สิงหพันธ์ กล่าวว่า ในฐานะอบต.ในพื้นที่ได้เข้าไปดูแลและได้นำซากกระดูกปลาวาฬมาเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้าพ่อภายในหมู่บ้าน เพื่อรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำการพิสูจน์ว่าเป็นซากปลาวาฬชนิดใดและมีอายุเท่าไรซึ่งตนเองได้แจ้งไปยังหน่วยงานของกรมทรัพยากรทางทะเลจ.ระยอง ให้มาทำการตรวจสอบแล้ว และได้กำชับกับนายมณฑลว่า อย่าเพิ่งทำอะไรในบ่อที่พบซากกระดูกปลาวาฬเพื่อรอให้เจ้าหน้าที่มาทำการตรวจ สอบก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อปี พ.ศ. 2544 ที่บ้านเปร็ดใน หมู่ 2 ต.ห้วงน้ำขาวอ.เมือง จ.ตราด เคยมีปลาวาฬน้ำหนัก 13 ตัน ่มาเกยตื้นและเสียชีวิต ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์ได้นำซากโครงกระดูกมาทำการสตาฟไว้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้กับ เยาวชน และบุคคลทั่วไปที่สนใจและเข้ามาดูเพื่อการศึกษา.... หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 28, 2008, 12:59:21 AM กรุงเทพธุรกิจ
ปลาหิมะเปื้อนสารปรอท อย่าตกใจ กินปลาไทยดีกว่า (http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/27/thumb/288891_saberthumb3bkk.jpg) ปลาหิมะกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภค กรมอนามัย แนะกินปลาไทย ถูกและได้โอเมก้า 3 ไม่แพ้ปลาน้ำลึก แถมถูก สด ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยกองงานด่านอาหารและยา ได้สุ่มตรวจอาหารแช่แข็งและส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจหาสารอันตราย เช่น สารปรอท ตะกั่ว ฟอร์มาลิน เป็นต้น ซึ่งผลการตรวจพบ ปลาหิมะแช่แข็งที่นำเข้าจากประเทศอุรุกวัย มีสารปรอทสูงเกินมาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้มีสารปรอทได้ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม สำหรับอาหารทะเล และ 0.02 มิลลิกรัม/ อาหาร 1 กิโลกรัม สำหรับอาหารอื่น ๆ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปลาหิมะ (Sable Fish) เป็นปลาที่อาศัยตามก้นทะเลลึก แพร่กระจายอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคเหนือ มีโอกาสปนเปื้อนสารปรอท จากการดูดซึมและสะสมสารปรอทจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย โ ความเป็นพิษของสารปรอทมี 2 ลักษณะคือ พิษเฉียบพลัน เกิดจากการได้รับ สารปรอทคราวเดียวกันในปริมาณมาก จะทำให้มีอาการไข้ หายใจลำบาก ปอดอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ภาวะไตวาย ถ่ายเเป็นเลือด การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อผิดปกติ ซึ่ หากบริโภคสารปรอทในปริมาณ 1 กรัม อาจทำให้เสียชีวิตได้ และอีกลักษณะหนึ่งคือ พิษเรื้อรัง เกิดจากการได้รับสารปรอทสะสมทีละน้อย เป็นเวลานาน จนเกิดพิษทางสมอง ไต ผิวหนัง ทำให้มีอาการสั่น ชัก ปวดปลายมือปลายเท้า ปวดศีรษะ หงุดหงิด ขี้ลืม ประสาทหลอน เลือดออกง่าย มีอาการทางตับและไต อย่างไรก็ตาม รมช.สาธารณสุขบอกว่า ผู้บริโภคอย่าได้ ตื่นตระหนกไป เพราะโดยปกติ การรับประทานปลาหิมะในแต่ละครั้งจะไม่เกิน 200 กรัม อาจมีการ ปนเปื้อนปรอทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดการสะสมจนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภค อีกทั้ง ร่างกายมนุษย์มีกลไกที่สามารถขับสารปรอทออกได้ตามธรรมชาติ กระทรวงฯได้สั่งการให้ อย. สุ่มตัวอย่างอาหารส่งวิเคราะห์เพื่อหาสารพิษ ในเขต กทม. แล้ว ปรากฏว่าไม่พบสารปรอทเกินปริมาณที่กำหนดแต่อย่างใด ผู้ประกอบการรายนี้ อย. ได้ดำเนินการทางกฎหมาย โดยการเปรียบเทียบปรับบริษัทและผู้ประกอบการแล้ว ซึ่งการตรวจพบอาหารนำเข้าที่มีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานที่กำหนด ดังเช่นกรณีดังกล่าว อย. จะขึ้นบัญชีการจับตาตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ (Black list) กับผู้ประกอบการ รายนั้นทันที โดยหากจะนำเข้าครั้งต่อไป จะต้องถูกสุ่มตรวจอย่างละเอียดจนกว่าพบว่าปลอดภัย 3 ครั้ง จึงจะหลุดจากบัญชีการจับตาตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษได้ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การกินปลามีประโยชน์ โดยปลาแบ่งเป็นหลายประเภท ทั้งปลาน้ำจืด ปลาทะเล และปลาน้ำลึก ซึ่งมีความเชื่อว่า เนื้อปลาน้ำลึกจะมีประโยชน์มากต่อร่างกาย และมีสารอาหารมากกว่าปลาประเภทอื่น โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่มีปริมาณสูง ซึ่งปลาหิมะเป็นปลาชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มปลาประเภทนี้ แต่เมื่อเราเทียบปริมาณสารอาหารที่ได้รับกับราคานั้น เรียกว่าเป็นราคาที่สูงพอสมควร ทั้งนี้คนนิยมกินปลาหิมะน่าจะมาจากรสนิยม และรสชาติของเนื้อปลาที่แตกต่างจากบ้านเรา คือ จะนิ่ม ไร้ก้าง และมีความมัน แต่หากเปรียบเทียบในเรื่องคุณค่าทางอาหารแล้ว ปลาในบ้านเราก็มีคุณค่ามากมายไม่แพ้กัน และยังมีรสชาติที่ดี ซึ่งหากกินเป็นประจำก็จะเสริมร่างกายได้ไม่แพ้กัน นอกจากเมื่อเปรียบเทียบในเรื่องความสด ปลาในบ้านเรายังมีความสดและปลอดภัยมากกว่า เพราะไม่ต้องผ่านการขนถ่าย นำเข้าจากต่างประเทศ ที่ต้องผ่านกระบวนการคงความสดเพื่อให้ปลาไม่เน่าและอยู่ได้นาน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ส่วนปลาน้ำจืดนั้น อย่างเช่น ปลาดุก ปลาช่อน ก็มีโอเมก้า 3 เช่นกัน แต่อาจมีปริมาณไม่มากเท่าปลาจากทะเลน้ำลึก แต่ถ้าความสดและความปลอดภัยคงมีมากกว่า ปลาบ้านเรา มีราคาถูก และรสชาติดี อย่างเช่น ปลาทู ที่หาได้ง่าย หากกินคู่กับน้ำพริกกะปิแล้ว ก็มีรสที่ดี และเมื่อกินกับผักด้วยแล้ว ก็จะทำให้เราได้สารอาหารจำพวกวิตามินด้วย อย่างเช่น ใบบัวบก ซึ่งกินแล้วจะช่วยเสริมความจำเช่นเดียวกับใบแปะก๊วย อธิบดีกรมอนามัย กล่าว และว่า อย่างไรก็ตามหากกินปลาหิมะนานๆ ครั้ง ก็ได้ แต่หากกินเป็นประจำไม่แนะนำเพราะมีราคาที่สูงเกินไป โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจทีกำลังประสบปัญหา หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Bluefin ที่ สิงหาคม 28, 2008, 04:17:09 AM :-X :-X สงสัยเจ้าของบ่อกุ้งจะแอบเลี้ยงปลาวาฬอยู่ในบ่อนะเนี๊ย...
|