|
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 21, 2008, 12:50:02 AM กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อไปอีก และมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้บางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ลพบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรีและตราด ยังคงต้องระวังอันตรายสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดซ้ำขึ้นได้อีกในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังค่อนข้างแรงโดยพาะในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายในการเดินเรือในช่วงวันที่ 21-24 ก.ย.นี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 20-21 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 22-26 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกและมีกำลังแรงขึ้น ประกอบมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นท ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 20-24 ก.ย. ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณพื้นที่ลาดใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากซ้ำได้อีก สำหรับชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือขณะที่มีฟ้าคะนองไว้ด้วย หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 21, 2008, 01:07:30 AM มติชน
เพชฌฆาตหน้าใหม่ "เรือคราดหอย" โดย ภาสกร จำลองราช padsakorn@hotmail.com (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/09/way01210951p1.jpg) เรือหาปลาของสมควรกำลังแล่นสู่ท่าเรือ พอเรือเข้ามาจอดเรียบร้อยแล้ว "สมควร น้อยแสง" กับคู่หูยังต้องสะบัดอวนและปลดปลาเล็กปลาน้อยหรือที่เรียกกันว่าปลาเป็ด ซึ่งไม่ค่อยมีมูลค่าออกจากตาข่ายจนหมด ส่วนปลาเห็ดโคน ปลาจวด และปลาอื่นๆ ที่ขายได้ราคานั้น พวกเขาคัดปลดใส่เข่งระหว่างขับเรือเข้าฝั่งเรียบร้อยแล้ว กว่าจะเสร็จต้องใช้เวลาอีกค่อนชั่วโมงถึงจะได้กลับไปอาบน้ำและพักผ่อน บรรยากาศยามบ่ายของท่าเรือแหลมผักเบี้ย คึกคักไปด้วยเรือประมงที่กลับเข้าฝั่ง สองฟากคลองเต็มไปด้วยเรือ ชีวิตของคนทะเลหากินอยู่กับการจับสัตว์น้ำก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ออกสู่ท้องน้ำไปวางอวนตั้งแต่ฟ้ายังมืดมิด ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าขอบน้ำ กว่าจะกลับเข้าฝั่งอีกทีก็บ่ายคล้อยจนดวงอาทิตย์ข้ามหัวไปอยู่อีกฟากหนึ่งแล้ว ชุมชนแหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี อยู่ริมอ่าวไทยชั้นในที่เรียกว่ารูปตัวกอไก่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งอาหารทะเลที่สำคัญของคนภาคกลาง "อาชีพประมงเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันดวงดีออกเรือไปแค่ชั่วโมงเดียว ได้ปลากลับมาขายเป็นหมื่น แต่บางวันหาแทบตายก็ไม่ได้ปลาสักตัว" สมควรสะท้อนความเป็นจริงของลูกน้ำเค็ม แต่เขาและเพื่อนๆ อีกกว่า 70 ครอบครัวก็ไม่คิดที่จะไปทำอย่างอื่น เพราะผูกพันอยู่กับท้องทะเล แม้ทุกวันนี้น้ำมันแพง แถมต้องออกเรือไกลขึ้น และต้องใช้อวนมากขึ้น เพื่อให้ได้ปลาในปริมาณที่พอเลี้ยงชีพ แตกต่างจากสมัยก่อนซึ่งออกทะเลไปแค่ไม่กี่กิโลเมตรก็ก็ได้ปลามากพอ อวนแค่ไม่กี่ผืน แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญเท่ากับภัยคุกคามจาก "เรือคราดหอย" (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/09/way01210951p2.jpg) นกกินปลาสารพัดกำลังจับจ้องท้องน้ำของชายทะเลแหลมผักเบี้ย ตลอดแนวชายฝั่งทะเลตั้งแต่บ้านแหลมไปยังชะอำเต็มไปด้วย "หอยลาย" ที่ฝังตัวอยู่ใต้ผืนทราย ซึ่งในอดีตชาวบ้านไม่ได้ให้ความสนใจนัก อย่างมากก็ไปดำเอากินบ้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการสำรวจพบว่า ปริมาณหอยลายในย่านนี้มีจำนวนมหาศาล ทำให้นายทุนต่างถิ่นนำเอาเรือมาดัดแปลงโดยใช้เครื่อมือที่คล้ายตะแกรงขนาดใหญ่ยาว 2-3 เมตร "เรือลากตะแกรงขนาดใหญ่ มันกินลึกลงไปในทรายแล้วตะกุยทุกอย่างขึ้นมาหมด เขาได้หอยลายไป แต่สัตว์น้ำอยู่ไม่ได้เลย ระบบนิเวศพังยับเยิน" สมควรเล่าถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่ชาวประมงกำลังเผชิญอยู่ "เขาลากตะแกรงไม่กี่ชั่วโมงก็ได้หอยลายเป็นตันๆ แต่มันทำลายหมดทุกอย่าง แม้แต่อวนเครื่องมือหากินของชาวบ้านที่ไปวางทิ้งไว้ในทะเลก็ถูกลากไปไม่มีเหลือ พวกเรามันคนหาเช้ากินค่ำ พอไม่มีเครื่องมือก็ไม่รู้ทำอย่างไร คนของทางการก็ไม่ได้เอาจริงเอาจัง" การหากินแบบทำลายล้างของเรือคราดหอย และความไม่เอาไหนของทางการ ได้สร้างแรงกดดันและความไม่พอใจของชาวประมงพื้นบ้านทุกหย่อมหญ้าเพิ่มขึ้นทุกวัน บางพื้นที่ประท้วงด้วยการรวมตัวใช้เรือปิดท่าเรือ บางพื้นที่รวมกลุ่มกันไปต่อรองกับผู้บริหารในจังหวัดและจัดเวรยามคอยดักจับเรือคราดหอยกันเอง สมควรและเพื่อนๆ ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตำบลแหลมผักเบี้ยขึ้นมา มีสมาชิกกว่า 30 คน "เรือคราดหอยชอบเข้ามาหากินใกล้ฝั่ง ทั้งๆ ที่กฎหมายห้ามเข้ามาในระยะ 3 พันเมตร แต่เขาไม่สนใจเพราะมีหอยอยู่มาก เมื่อไม่กี่วันก่อนก็จับได้อีก 6 ลำ" สมควรและเพื่อนๆ ร่วมกันพิทักษ์บ้านเกิด โดยมีเจ้าหน้าที่กรมประมงซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนคอยหนุนเสริม (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/09/way01210951p3.jpg) เรือคราดหอย ปัญหาเรื่องเรือคราดหอยลายเคยถูกนำไปหารือกันในจังหวัด ซึ่งได้มีการเรียกตัวแทนทุกฝ่ายมาหารือถึงทางออก และตกลงกันว่าเรือคราดหอยลายจะไม่รุกเข้ามาหากินในเขต 3 พันเมตร แต่สัญญาปากเปล่านี้ก็ถูกแหกกติกาเรื่อยมาจนชาวบ้านทนไม่ไหว "ตอนนี้เขาเข้ามาเหมือนขโมย ชอบมาตอนกลางคืน ชาวบ้านที่ออกเรือเห็นก็โทร.มาแจ้งข่าวกัน บางทีพอเจ้าหน้าที่ไปจับ เขาก็อ้างว่าไม่ได้อยู่ในเขต 3 พันเมตร" สมควรเล่าถึงอุปสรรคอีกขั้นหนึ่งที่เจ้าหน้าที่มักอ้างเป็นเหตุที่ไม่สามารถจับกุมคนทำผิดได้ แต่เขาลืมไปว่าเดี๋ยวนี้เรือประมงของชาวบ้านเองก็มีจีพีเอสอยู่ด้วย จึงสามารถตรวจจับได้ว่าอยู่ห่างจากฝั่งเท่าไหร่ ชาวบ้านเห็นตรงกันว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังอ่อนแอเกินไป แถมถูกตั้งข้อสงสัยว่าเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนเรือคราดหอยอีกต่างหาก เพราะหลายครั้งที่สังเกตว่าเรือคราดที่ทางการอ้างว่าจ้างมาสำรวจหอย แต่คล้อยหลังจากนั้นอีกเพียงวันเดียว เรือคราดหอยของนายทุนก็เข้ามาหากินในบริเวณสำรวจ ตอนนี้กลุ่มอนุรักษ์กำลังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อขอให้ขยายเขตคุ้มครองจากชายฝั่ง 3,000 เมตร เป็น 5,400 เมตร เพื่อรักษาระบบบนิเวศให้กว้างขวางขึ้น เช่นเดียวกับชายฝั่ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ที่ได้ประกาศขยายเขตไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่คนของทางการเมืองเพชรกลับบอกว่าให้ชาวบ้านไปคุยกับตัวแทนเรือคราดหอยให้รู้เรื่องก่อน ซึ่งเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้ "หากสัตว์น้ำยังมีอยู่ชาวบ้านก็อยู่ได้ ช่วงก่อนที่เรือคราดหอยเข้ามามากๆ ปลาลดลงไปเยอะ เพราะหน้าดินที่ถูกขุดขึ้นมาเหมือนถูกไถ ทำให้น้ำขุ่นและมีก๊าซด้วย ไม่มีปูปลาที่ไหนอยู่ได้หรอก พอเรือพวกนี้หายไปสักพัก ปูปลาก็กลับมา" สมาชิกกลุ่มอนุรักษ์เข้าใจถึงวิถีของทรัพกยากรในท้องทะเลดี ทุกวันนี้ท้องทะเลในอ่าวรูปกอไก่ตั้งแต่สมุทรปราการ มหาชัย แม่กลอง บ้านแหลมไปจรดชะอำ ซึ่งเป็นระบบนิเวศสามน้ำ กำลังถูกคุกคามอย่างหนัก ทั้งๆ ที่เป็นคลังอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของประชากรในย่านนี้ ภัยคุกคามทั้งจากนายทุนที่เห็นแก่ตัว คิดแต่จะกินใช้กันให้หมดเพียงแค่ชั่วโคตรเดียว ภัยคุกคามตามธรรมชาติที่กัดเซาะชายฝั่งและป่าชายเลนอย่างหนัก ภัยคุกคามจากภาครัฐที่คิดแต่จะสร้างโครงการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยไม่สนใจถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศเลย รัฐไม่เคยมีแผนรวมในการดูแลและจัดการคลังอาหารแหล่งนี้ให้อยู่อย่างยั่งยืน แถมในทางปฏิบัติกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม อาจถึงเวลาแล้วที่ชาวบ้านรอบๆ อ่าวกอไก่ต้องลุกขึ้นมาถักทอกันเป็นเครือข่ายปกป้องและจัดการทรัพยากรท้องถิ่นกันเอง ******************************************************************************************************** เยือน"พัทยา"หน้าฝน กับโลกใต้อ่าวไทย : คอลัมน์ บันทึกเดินทาง (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/09/tra01210951p1.jpg) "ลมกลางฤดูฝน" ที่พัทยายามนี้ ฝนตกชุกหนาเม็ดเป็นพิเศษ สลายความร้อนอบอ้าวยามเที่ยงวันที่เคยมีเหงื่อเม็ดโป้งชุ่มตัว หากใครคิดจะไปเที่ยวพัทยาในช่วงฤดูอย่างนี้ ในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร นับว่าเหมาะที่สุด โดยเฉพาะคนไทยที่ไปเป็นครอบครัว เพราะจะได้ไม่เดินชนพวกฝรั่งผมทองที่หนาแน่นเต็มหาด และช่วงเวลาอย่างนี้ยังมีพื้นที่ว่างให้ละเลียดความงาม สงบ ของท้องทะเลที่หาได้ยากยิ่ง บรรยากาศอาจจะเหงาบ้างสำหรับคนที่ชอบความอึกทึก แต่ก็เป็นความเหงาที่เจือปนด้วยความสุขสงบ ในอดีตผมเคยทำงานอยู่ที่พัทยาเมื่อสามสิบปีก่อน แม้ตอนหลังไม่ได้อยู่แล้วแต่ก็แวะเวียนไปบ่อยครั้ง ได้เห็นการเติบโตของเมืองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีคนอยู่อาศัยอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนแออัด แต่ในความแออัดก็ยังมีมนต์เสน่ห์ สิ่งที่ยังคงเป็นความงามของพัทยาและดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เดินทางไปอยู่เสมอ จะเปลี่ยนไปตามความเจริญของวัตถุและความทันสมัยของเทคโนโลยี จนพัทยาได้ชื่อว่าเป็น "สวรรค์" ของนักท่องราตรี ถึงกระนั้นความงามของหมู่เกาะตามธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายมากนักก็เป็นหนึ่งในสิ่งดึงดูดให้ผู้คนไปเยือนอย่างได้ผล แม้จะไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่ผมก็เห็นนักท่องเที่ยวในแถบเอเชียหลายชาติเดินกันเกร่อ ทั้งจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเวียดนาม พัทยายังคงมีโรงแรมใหม่ๆ ผุดขึ้นมาให้เห็นอยู่เป็นประจำหลายโรงแรม รองรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไม่มีลดน้อยถอยลงไป แหล่งท่องเที่ยวในพัทยายังคงเป็น "เกาะล้าน" ที่ต้องนั่งเรือจากท่าเรือพัทยาออกไป 45 นาที แต่เวลานี้มีแหล่งให้ท่องเที่ยวเพิ่มมาอีกแห่งแถมออกแนวผจญภัยให้ตื่นเต้นเล็กน้อย เป็น "แพลอยน้ำกลางทะเล" ซึ่งเอาเข้าจริงก็คือแพสำหรับให้เรือจอดเพื่อถ่ายเทคนลงเรือดำน้ำที่จะพาท่องใต้ทะเลอ่าวไทย แพลอยน้ำกลางทะเลที่ว่านี้อยู่ใกล้ๆ กับเกาะสาก มีเรือดำน้ำจอดเทียบอยู่ ผมเองแวะไปที่นั่นได้เห็นสีหน้าแววตาของนักท่องเที่ยวไม่ว่าฝรั่ง ไทย จีน ดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาดี บรรยากาศผิดกับไปดูสัตว์ใต้ทะเลในอควาเรียมลิบลับ เรือดำน้ำที่นี่ดูจากด้านนอกมีสีเหลืองสะดุดตา ลักษณะคล้ายเรือดำน้ำทั่วไป แต่ลำเล็กกว่า จุคนได้ประมาณ 48 คน และสามารถดำลงไปได้ลึกถึง 100 เมตร ความยาวของเรือ 22.2 เมตร ความสูง 7.2 เมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮโดรอิเล็กทริค ผู้โดยสารสามารถอยู่ในเรือดำน้ำได้ 72 ชั่วโมง ขณะที่เรืออยู่ใต้น้ำ เมื่อไปถึงเขาแจกคู่มือของการนั่งเรือว่าต้องทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย ศึกษาดูแล้วก็โล่งใจ เพราะจะว่าไปนับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมจะได้ลงเรือดำน้ำของจริง ผมจึงเดินลงไปในเรือด้วยความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เรือลำนี้มีทางลงได้สองทาง คือด้านหัวเรือและท้ายเรือ นักท่องเที่ยวทั้งชายหญิงทยอยลงบันไดค่อนข้างสูงชันสู่ด้านล่าง ภายในเรือมีเบาะยาวตรงกลางตั้งแต่ด้านหัวเรือจนถึงท้ายเรือ มีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา มีหน้าต่างเท่ากับจำนวนที่นั่งประมาณ 30 ที่นั่ง เมื่อผู้โดยสารเข้านั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว พนักงานประจำเรือจะมาอธิบายว่าเมื่อดำถึงระยะกี่เมตร จะเห็นสัตว์ทะเลชนิดไหนบ้างในอ่าวไทย ทุกคนบนเรือเริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง (http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/09/tra01210951p3.jpg) สัตว์ทะเลหลายชนิดที่นักประดาน้ำจับมาให้ดู เมื่อจบคำอธิบายชี้แนะ ได้เวลาที่เรือเริ่มออกสตาร์ต หัวเรือดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ มองไปที่ช่องกลมหน้าต่างด้านข้างเรือ ไม่ค่อยเห็นสัตว์ทะเลเท่าใดนักเพราะน้ำขุ่นมาก แต่ก็พอเห็นปลาตัวเล็กๆ ว่ายวนเวียนอยู่ข้างเรือ พอดำลงไปได้ 20 เมตรจำนวน 1 ใน 4 ของความลึกของอ่าวไทย ซึ่งมีความลึกจากพื้นทะเลถึงผิวน้ำประมาณ 80 เมตร เรือสีเหลืองก็จอดอยู่นิ่งๆ พนักงานในเรือบอกให้ทุกคนคอยดูที่หน้าต่างช่องกลมๆ ด้านข้างเรือ เพราะจะมองเห็นนักประดาน้ำอยู่กับสัตว์ทะเล บางครั้งนักประดาน้ำก็จับปลามาให้ดูจนชิดหน้าต่างเรือ "แม้ว่าคนอื่นจะตื่นเต้นที่เห็นสัตว์และคนในทะเลลึก แต่ใจผมมันทะแม่งๆ พิกล ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่ต้องนั่งเรือดำน้ำลงไป โดยหวังว่าจะเห็นสัตว์ทะเลว่ายน้ำผ่านหน้าเราไป แต่กลายเป็นว่ามีคนลงไปดำน้ำจับปลามาให้ดู" "มันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก" ค่อนข้างเป็นเรื่องของธุรกิจเสียมากกว่า ตรงนี้หากปรับปรุงได้ การท่องเที่ยวที่มาจากความคิดดีๆ แบบนี้น่าจะดำเนินต่อไปได้นานๆ แต่ถ้าเป็นแบบที่เป็นอยู่นี้ ความเห็นผมมันเหมือน "หลอก" คนดูมากกว่า สิ่งที่เราเห็นในมือของนักประดาน้ำสิ่งแรกผ่านทางหน้าต่างเรือ เป็น "ปลาปักเป้า" ตัวใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 นิ้ว หน้าตาบ้องแบ๊ว ผมรีบบันทึกภาพมาให้ดูกัน จากช่องหน้าต่างแรกนักประดาน้ำเคลื่อนตัวไปช่องที่สอง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ คนดูในเรือก็แห่ตามไปออกันอยู่ที่หน้าต่างนั้นๆ จนพนักงานในเรือต้องประกาศขอให้ทุกคนนั่งอยู่ประจำที่ของตัวเอง เพราะหากมีการเคลื่อนย้ายกันแบบนี้มากๆอาจจะทำให้เรือเสียการทรงตัวได้ ซึ่งก็ได้ผลแต่ละคนกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองแล้วนั่งดูแต่ตา ไม่ต้องเดินย้ายไปย้ายมา สัตว์ชนิดต่อมาที่ได้เห็นเป็น "หอยเม่น" ตามด้วย "ปลิงทะเล" จากนั้นเรือดำน้ำเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งดำลงไปที่ความลึก 30 เมตร อากาศภายในเรือเริ่มร้อนขึ้น บางคนแสดงสีหน้าอึดอัด พนักงานในเรือประกาศว่าความลึกขนาดนี้จะทำให้หน้าเขียว ทุกคนในเรือหันไปมองหน้ากันและกัน ต่างส่งเสียง "เขียวจริงๆ ด้วย" แต่พนักงานประจำเรือรีบบอกว่าไม่ต้องกลัวเพราะร่างกายกำลังปรับตัว การโชว์ของนักประดาน้ำในรอบความลึกนี้ เป็นการนำเหยื่อไปให้ปลากิน โดยถือเหยื่อไว้ในมือ พวกปลาชนิดต่างๆ จะมารุมกินโต๊ะเหยื่อ ทำให้คนในเรือมองเห็นปลามากมายหลากหลายสี สวยๆทั้งนั้น และยังมองเห็นปะการังเต็มไปหมด เป็นวิวใต้ทะเลที่สวยงามไม่น้อยทีเดียว ก่อนเรือจะกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ พนักงานประกาศว่าจะมีหิมะตกใต้ทะเล สักพักคนในเรือดำน้ำจะเห็นฟองอากาศเล็กๆ จำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างของเรือเต็มไปหมด จนดูเหมือนหิมะตกจริงๆ เขาจะใช้เทคนิคอะไรนั้นไม่มีเฉลยไว้ การนั่งเรือดำน้ำชมใต้ทะเลใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบชั่วโมง จากเดิมที่ลงเรือราวบ่ายโมงกลับขึ้นมาผิวน้ำอีกทีนาฬิกาบนข้อมือผมบอกเวลาบ่ายสองโมง ได้เวลาอาหารว่างพอดี เรือพาทุกคนกลับเข้าฝั่ง พร้อมกับรับแจกน้ำผลไม้เย็นๆ คลายเหนื่อย ผมนั่งมองทะเลพัทยาขณะที่เม็ดฝนกำลังโปรยลงมาอย่างช้าๆ "เหงาบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็สุขใจ" คำอำลาของผมที่มีต่อพัทยาหน้าฝน หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 21, 2008, 01:09:50 AM ข่าวสด
ดินถล่ม-สั่งระงับ ทำบ้านตากอากาศ ภูเก็ต - นายสุรพงศ์ ปัญญาไวย์ นายกอบต.สาคู อ.ถลาง กล่าวถึงกรณีกลุ่มชาวบ้านในทอนรวมตัวร้องเรียนโครงการสร้างบ้านพักตากอากาศ ก่อสร้างโครงการจนเกิดปัญหาการพังทลายของหน้าดินลงมาขัดขวางเส้นทางการจราจรจนทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเดือดร้อนในการสัญจรไปมาว่า ทางอบต.รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านหมู่ 4 ต.สาคู ว่ามีดินสไลด์จึงให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ พบว่าเป็นจริงตามที่ชาวบ้านร้องเรียนมา ทางอบต.จึงมีหนังสือระงับการก่อสร้างเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะโครงการดังกล่าวไม่มีมาตรการป้องกันการพังทลายของหน้าดินและป้องกันเหตุจากการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นตามมา นายสุรพงศ์ กล่าวต่อว่า การดำเนินการระงับการก่อสร้างทางอบต. ไม่มีการกลั่นแกล้งผู้ประกอบการ แต่เป็นการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นโครงการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศให้กับชาวต่างชาติราคาหลังละ 100-150 ล้านบาท จำนวน 12 หลัง และทางโครงการเลี่ยงการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาจำนวน 1 หลัง ทางอบต.ระงับการก่อสร้างแล้ว หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กันยายน 21, 2008, 01:14:52 AM คม ชัด ลึก
ปลูกป่าชายเลน-ลุยฟาร์มหอย ค่ำคืนเสวนาเล่าตำนานคลองโคน (http://www.komchadluek.net/2008/09/21/images/rim4.jpg) ตลอดแนวยาวสองฟากฝั่งของคลองช่องที่ทอดยาวขนานคู่กับคลองโคน ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ซึ่งอยู่ทางปีกขวาของแม่น้ำแม่กลองนั้น จะเต็มไปด้วยบ้านเรือนของชาวประมงชายฝั่ง หรือชาวประมงพื้นบ้านที่ปักหลักหากินอยู่กับทะเลโดยการจับสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นการจับปลาดุทะเลตามลำคลอง การจับปูทะเล ปูแสมตัวใหญ่ๆ ที่อาศัยตามแนวป่าชายเลน การตักปลากระบอกในยามค่ำคืน ตลอดการจับกุ้ง ปู ปลา นอกชายฝั่งมาขายและมาแปรรูปยาวนานหลายชั่วอายุคน และที่มีชื่อเสียงเรียงนามของชุมชนแห่งนี้คือกะปิคลองโคนนั่นเอง ปัจจุบันคลองช่องและคลองคงไม่แตกต่างไปจากพื้นที่อื่นของประเทศไทย นั่นคือสภาพแวดล้อมถูกทำลาย สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ผู้คนในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ทรัพยกรธรรมชาติ รวมถึงสัตว์น้ำที่ชาวบ้านจับมาขายเริ่มน้อยลง ทำให้ชาวคลองช่องหารายด้วยวิธีการใหม่ขึ้นมา ที่เป็นรูปธรรมคือการเลี้ยงหอยแครง หอยแมลงภู่ และหอยนางรม (http://www.komchadluek.net/2008/09/21/images/rim3.jpg) ล่าสุดเมื่อ 2 เดือนก่อน ชาวคลองช่อง ต.คลองโคน รวมตัวขึ้นมาปรับปรุงบ้านที่อาศัยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในรูปแบบของโฮมสเตย์ในนามกลุ่ม "วิสาหกิจชุมชนศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนเรือนริมเลโฮมสเตย์" โดยมีสมาชิก 14 หลังคาเรือน และมี สุภาพ พุ่มไทร ชาวประมงชายฝั่ง วัย 39 ปี เป็นประธาน การรวมตัวครั้งนี้พวกเขาบอกว่า อย่างน้อยเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน หลังจากที่รายได้จากการจับสัตว์น้ำหดหายไป สุภาพ ย้อนถึงวิถีชีวิตของชาวคลองช่องและคลองโคนว่า เดิมทีทรัพยากรน้ำบริเวณปากแม่น้ำแม่กลองสมบูรณ์มาก ชาวบ้านหามาขายไม่มีคนยากจน ตอนนี้แม้ว่าชาวบ้านยังพอที่จะหากุ้ง ปู ปลาได้อยู่บ้าง แต่คนในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น อาชีพจับสัตว์ต้องแย่งกันหา และที่สำคัญราคาน้ำมันแพงเกินไป ไม่คุ้มกับการที่จะออกหาปลา พวกเขาจึงมองว่า ถ้าไม่หางานอื่นสำรองจะลำบากแน่นอน แต่ก็ยังโชคดีที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งหันมาเลี้ยงหอย ถ้าไม่มีน้ำเสีย ก็พอมีกำไรอยู่บ้าง อย่างของตนเองมีฟาร์มหอยถึง 3 แปลง แปลงละ 15 ไร่ เลี้ยงหอยแครงกับหอยแมลงภู่อย่างละครึ่ง สิ้นปีเก็บหอยขายก็พอมีกำไรเลี้ยงครอบครัว เพราะการเลี้ยงหอยลงทุนครั้งเดียว จากนั้นปล่อยให้กินเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องดูแลมาก เขาบอกถึงการลงทุนเลี้ยงหอยว่า หอยแครงพื้นที่ 1 ไร่ ลงทุนซื้อลูกหอยมาปล่อยไร่ละ 200 กก.เป็นเงิน 2 หมื่นบาท เลี้ยงได้ 1 ปี หอยโตขึ้นมีลูกมีหลานก็จะได้ 3,000 กก. เป็นหอยใหญ่ ขายกิโลกรัม 20 บาท มีรายได้ไร่ละ 6 หมื่นบาท อย่างน้อยก็ 4 หมื่นบาท ส่วนหอยแมลงภู่ลงทุนไร่ละราว 1.5 หมื่นบาท กำไรราว 30% ขณะที่หอยนางรมจะได้กำไรอย่างน้อย 50% โดยจะมีพ่อค้าจากที่ต่างๆ รวมถึงมาจาก จ.ชลบุรีมาซื้อถึงที่ (http://www.komchadluek.net/2008/09/21/images/rim2.jpg) "ผมมองว่าทุกวันนี้การท่องเที่ยวในบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงมาก คนนิยมหันมาเที่ยวเชิงอนุรักษ์และท่องเที่ยวเชิงเกษตรมากขึ้น จะเห็นได้ว่าใน จ.สมุทรสาคร โดยเฉพาะแถวอัมพวา บางคนที มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามาก ชาวบ้านปรับบ้านมาเป็นโฮมสเตย์ เราคิดว่าที่คลองช่อง คลองโคนก็น่าจะทำได้ และเรามีจุดขายชัดเจนกว่าด้วย" สุภาพ กล่าวอย่างมั่นใจ หลังจากที่ตกลงกันแล้ว เขาและเพื่อนบ้านจึงไปจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมขึ้นเพื่อดำเนินกิจการด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ผสมผสานกับท่องเที่ยวเชิงเกษตรครบวงจร คือจัดโปรแกรมท่องเที่ยวพร้อมที่พัก ชูจุดขายคือรวมกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บริเวณปากคลองช่อง จากนั้นนั่งเรือชมและศึกษาวิธีการเลี้ยงหอยชนิดต่างๆ ซึ่งระหว่างนั้นสามารถลงทะเลไปงมหอย เพื่อนำมาเป็นอาหารมื้อค่ำได้ โดยอาหารมื้อค่ำจะเน้นของสดจากทะเลที่หาได้ในท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปลากระบอก ปูทะเล ปลาดุกทะเล ปลากะพง หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม ที่ขาดไม่ได้คือน้ำพริกกะปิคลองโคน ปลาทูแม่กลอง (คอหัก) เป็นต้น กลางคืนมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ออกปากอ่าวไปช้อนปลากระบอก ดักปลาดุกทะเล หรือตกปลาหน้าโฮมสเตย์ พอรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้าข้าวต้มทะเล กาแฟ ล่องเรือชมวิถีชีวิตของชาวบ้าน ชมทัศนียภาพของธรรมชาติป่าชายเลนอันสวยงามที่เต็มไปด้วยลิงแสม เป็นต้น แล้วขึ้นฝั่งหาซื้อของฝาก อาทิ กะปิคลองโคน ปลากระบอก และอื่นๆ สนใจสอบถามได้ที่คุณสุภาพ โทร.0-3473-1044 หรือ 08-9932-7193 (http://www.komchadluek.net/2008/09/21/images/rim1.jpg) อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ยังไม่มีกลุ่มและต้องการไปหากลุ่มเอาดาบหน้าเพื่อร่วมกิจกรรมนี้ ศูนย์ทัศนศึกษาฯ กำหนดจัดโครงการ "ทัศนศึกษาปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ-ลดภาวะร้อน" ขึ้นในวันที่ 25-26 ตุลาคม 2551 นอกจากกิจกรรมภาคกลางวัน ที่พาเยี่ยมชมศูนย์ผลิตและจำหน่ายเบญจรงค์ "ปิ่นสุวรรณเบญจรงค์" ชมตลาดน้ำอัมพวา อุทยาน ร.2 (บ้านเรือนไทยย้อนยุค) ปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ อิ่มอร่อยกับอาหารหลากเมนูแล้ว ยามค่ำคืนจะมีการเสวนาหัวข้อ "เล่าขานตำนานคลองโคน" สลับความเพลิดเพลินเสียงดนตรีโฟล์กซอง จากศิลปินแนวเพลงเพื่อชีวิตหลายคน สนใจสอบถามที่ศูนย์ทัศนศึกษาฯ โทร.0-2517-7265-6 หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2551 เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ กันยายน 21, 2008, 04:31:23 AM มาอีกแล้ว ว ว ว ว......เรือดำน้ำที่ทะเลหน้าเมืองพัทยา..... ;)
แล้วก็เหมือนเดิม จับสารพัดสัตว์ทะเลมาให้ชมกันถึงหน้าต่าง....ช่างไร้จิตสำนึกและหลอกลวงสิ้นดี.... :-[ แล้วเรื่องนี้...."ความลึก 30 เมตร อากาศภายในเรือเริ่มร้อนขึ้น บางคนแสดงสีหน้าอึดอัด พนักงานในเรือประกาศว่าความลึกขนาดนี้จะทำให้หน้าเขียว ทุกคนในเรือหันไปมองหน้ากันและกัน ต่างส่งเสียง "เขียวจริงๆ ด้วย" แต่พนักงานประจำเรือรีบบอกว่าไม่ต้องกลัวเพราะร่างกายกำลังปรับตัว" ใครก็ได้ช่วยอธิบายหน่อย.....มันเป็นไปได้อย่างไร..... ;) หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2551 เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ กันยายน 21, 2008, 06:41:46 AM พี่ขา น้องว่า เราต้องลองไปเป็นนักท่องเที่ยวแบบนี้ บ้างดีกว่าไหมค่ะ
เห็นเรื่องแบบนี้ เยอะแยะ เป็นไปอย่างที่เค้าเขียนหรือเปล่านะ หรือว่า สาหัส กว่านี้ แต่คนที่ไม่ได้ดำน้ำก็คงจะไม่รู้สึกเหมือนนักดำน้ำเองหรอกนะคะ :( :( :( |