กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => ห้องรับแขก => ข้อความที่เริ่มโดย: สายน้ำ ที่ ตุลาคม 12, 2008, 12:45:45 AM



หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ ตุลาคม 12, 2008, 12:45:45 AM
กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงแผ่ปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับมีลมตะวันออกพัดปกคลุมภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเริ่มมีอากาศเย็นในตอนเช้า 
 

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 
 
 
คาดหมาย

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทยเกือบตลอดช่วง ทำให้ร่องความกดอากาศต่ำเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคใต้ และอ่าวไทยตอนกลาง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเป็นแห่งๆถึงกระจาย และเริ่มมีอากาศเย็นในตอนเช้าในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคใต้จะมีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป และคลื่นลมบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในระยะนี้บริเวณภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งจะมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราชสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส  ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมได้บางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังค่อนข้างแรงโดยเฉพาะในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ ตุลาคม 12, 2008, 12:59:35 AM
 ไทยรัฐ


ทะเลปีศาจ                                  :                              ซันเดย์สเปเชี่ยล

มีผู้อ่านถามมาว่า นอกจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอันลือชื่อแล้วยังมีที่ไหนในโลกอีกบ้างไหม ที่มีปรากฏการณ์ ลึกลับสุดพิศวงเช่นเดียว กันนี้

(http://www.thairath.co.th/2551/specialsunday08/Oct/library/12/special1.jpg)

ไทยรัฐซันเดย์ สเปเชียลจึงขอนำเสนอ “ทะเลปิศาจ” อาณาเขตอาถรรพณ์ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ฝั่งเกาะมาดากัสการ์นี่เอง หากมองดูแผนที่ท่าน จะเห็นว่ามาดากัสการ์ เป็นเกาะใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ใกล้ไปทางแผ่นดินใหญ่แอฟริกา ถัดไปทางทิศตะวันออกมีเกาะใหญ่ อีกเกาะหนึ่งคือเกาะ มอริเชียส ถัดมอริเชียสขึ้นไปทางเหนือมีเกาะซีเชลล์ทอดอยู่สง่าภาคภูมิ...บริเวณเกาะทั้งสามในมหาสมุทรอินเดียนี้เอง ที่มีเหตุการณ์ประหลาดๆเกิดขึ้นบ่อยจนน่านน้ำบริเวณนั้นได้รับนามว่า “ทะเลปิศาจ”

ชื่อ “ทะเลปิศาจ” นี่ยังนับว่าเบาะๆนะครับ นักเขียนฝรั่งบางคนเรียกซะเข้าไส้ไปเลยว่า “นรกของคนถูกสาป-Limbo of the Damned” คู่กับ “Limbo of the Lost” อันหมายถึงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอาถรรพณ์ครับ

เช่นเดียวกับบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ทะเลปิศาจแห่งมาดากัสการ์เป็นจุดที่เรือและเครื่องบินสูญหายไปโดยปราศจากร่องรอยหลายสิบลำ นับแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา ได้มีเรือหายไป ณ จุดนี้ถึง 46 ลำ ก่อนหน้านี้ ขึ้นไปก็มีเรือสูญหายอีกมาก บางครั้งหายไปหมดทั้งเรือและกะลาสี บางครั้งหายเฉพาะกะลาสี เหลือแต่เรือเปล่าๆ ฯลฯ จะขอคัดตอนสำคัญๆ ที่น่าเชื่อถือ เพราะผ่านการสำรวจตรวจสอบแล้วมาคุยให้ท่านฟังสัก 3-4 ตัวอย่าง

ปี ค.ศ.1789 เรือฟรีเกตของฝรั่งเศสสองลำชื่อ “ลาบูสโซล” กับ “ลาสโตรลาป” ออกเดินทางจากออสเตรเลียมุ่งสู่มาดากัสการ์ โดยการนำของกัปตันผู้คร่ำหวอดเพียงเพื่อที่จะหายสาบสูญปราศจากร่องรอยแถวๆฝั่งมาดากัสการ์นี่เอง

(http://www.thairath.co.th/2551/specialsunday08/Oct/library/12/special2.jpg)

ใน ค.ศ.1893 เรืออังกฤษชื่อ “คอร์เนเลียส”ซึ่งรายงานว่า “ได้พบสิ่งประหลาด” ก็หายไปอีกลำ โดยไม่มีใครรู้เลยว่า “สิ่งประหลาด” ที่คอร์เนเลียส ได้เผชิญมานั้นคืออะไรกันแน่?

ถัดมาใน ค.ศ.1901 เรือฝรั่งเศสพร้อมลูกเรือและผู้โดยสารรวม 114 ชีวิต หายสาบสูญไปในบริเวณนี้อีก และในปี 1967 เรือ “อาร์เดน” ของอังกฤษ เจอเข้าให้อีกครั้ง หายไปหมด รวมทั้งชีวิต 98 ชีวิตบนเรือ ส่วนในปี 1968, 1969 ก็ยังคงมีเรือจากฝรั่งเศสและออสเตรเลียหายสูญไปเช่นเดียวกัน

เรื่องการหายของเรือเดินสมุทรนี้ นักวิทยาศาสตร์อาจไม่เห็นว่าแปลกตรงไหน เพราะห้วงมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เรือจะหายไปมั่งปีละลำสองลำเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่มีคนอีกมากไม่เห็นด้วย โดยยืนยันว่า การสูญหายในบริเวณทะเลปิศาจนี้ต้องมีอะไรผิดปกติอยู่ด้วยแน่ๆ

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้พบเรือดำน้ำของญี่ปุ่นลำหนึ่งเกยตื้นอยู่บนฝั่งดีเอโก ซูอาเรส ของเกาะ มาดากัสการ์ เรือดำน้ำขึ้นมาเกยตื้นบนฝั่งน่ะมันก็ธรรมดา แต่ประหลาดอยู่ ตรงที่ว่า เรือยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ลูกเรือพากันหายสูญไปหมด โดยปราศจากร่องรอยน่ะสิ

ปี ค.ศ.1961 เครื่องบินของฝรั่งเศสพร้อมด้วยคน 5 คน ตกที่ชายฝั่งมาดากัสการ์ เครื่องแหลกละเอียดหมด แต่จะหาศพคนทั้ง 5 คน ในซากเครื่องบินนั้น แม้แต่เศษเนื้อเศษหนังสักนิดก็ไม่มี คนทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับที่สุด ราวกับว่าก่อนเครื่องบินตกพวกเขามิได้อยู่บนเครื่องบินเลย

ปี ค.ศ.1964 ตำรวจน้ำพบเรือสำราญขนาด 64 ฟิต ลอยอยู่กลางทะเลใกล้ฝั่งเกาะมอริเชียสโดยไม่มีอะไรบุบสลาย แต่ทว่าไม่มีคนอยู่บนเรือนั้นสักคนเดียว!...ไม่มีร่องรอยว่าได้เกิดการต่อสู้หรือเภทภัยใดๆแม้แต่น้อย ข้าวของทุกชิ้นวางอยู่กับที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขาดก็แต่คนเท่านั้น!

เรือ “ตาร์บอง” ของฝรั่งเศสก็เช่นกัน มันแล่น ออกจากพอร์ตหลุยส์ในเกาะมอริเชียส วันที่ 5 ธ.ค. 1974 สามวันต่อมา เรือบรรทุกน้ำมันฮิวตันมาร์คเกอร์ ได้พบตาร์บองลอยเท้งเต้งอยู่ห่างเกาะราว 90 ไมล์ เสบียงและอุปกรณ์ทุกชิ้นมีสภาพดีเยี่ยม แต่ไม่มีคน!

(http://www.thairath.co.th/2551/specialsunday08/Oct/library/12/special3.jpg)

ทีนี้มาดูเหตุการณ์ที่ทั้งคนและพาหนะรอดกลับมาบอกเล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นให้ ฟังได้ว่าเขาเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้าง

ปี ค.ศ.1976 เรือพิฆาตแห่งนาวีสหรัฐฯ ชื่อ “ลาวี” แล่นมาใกล้ถึงฝั่งดีเอโก ซูอาเรส เหตุร้ายก็เกิดขึ้นรวดเร็ว ท้องน้ำในบริเวณนั้นปั่นป่วนหมุนอย่างบ้าคลั่งเป็นวงมหึมา และแล้วเกลียวน้ำก็ยกขึ้นสูงเป็นคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่เรืออย่างรุนแรง และในท่ามกลางความปั่นป่วนนั่นเอง ลูกเรือทั้งหมดก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากทิศทางต่างๆกัน ในท่ามกลางเกลียวคลื่น

เป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างโหยหวนโดยไม่เห็นตัว ต่อจากนั้นก็มีเสียงคนพูดกันจ้อกแจ้กเหมือนตกอยู่ในสภาวะตระหนกอกสั่น แต่ภาษาที่พูดนั้นลูกเรือสหรัฐฯฟังไม่ออกสักคำเดียว เพราะเหมือนคนหลายสิบคนต่างก็พูดภาษาของตนนับสิบๆภาษาพร้อมๆกัน ข้าวของต่างๆบนเรือล้วนเคลื่อนที่ได้เองเหมือนมีคนจับมันขยับเขยื้อน... เหตุการณ์ผ่านไปนานนับชั่วโมง จึงหยุดลงพร้อมๆกับเรือแล่นผ่านบริเวณอันบ้าคลั่งนั้นออกมาได้

ไม่มีใครให้เหตุผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?

วันที่ 1 มิ.ย. 1970 เรือบรรทุกน้ำมันอังกฤษชื่อ “อินเนอร์เดล” ประสบพายุใหญ่และทะเล บ้าคลั่งขนาดหนักที่ใกล้เกาะซีเชลล์จนถึงกับต้องสละเรือ ลูกเรือ 60 ชีวิตลงเรือชูชีพหนีออกมาได้ ทุกคนเล่าเป็นเสียงเดียวกัน ว่า “เราบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอะไร มันมืดไปหมด มืดสนิทราวกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้ มันเหมือนมีพลังประหลาดมาดึงดูดตัวเราอย่างรุนแรงจนทนไม่ได้” ส่วนกัปตันตอบเคร่งขรึมว่า “มันเป็นประสบการณ์แปลกประหลาด ที่สุดในชีวิตการเดินเรือสามสิบปีของผม”

(http://www.thairath.co.th/2551/specialsunday08/Oct/library/12/special4.jpg)

แต่รายสำคัญได้แก่นักบินผู้ขับเครื่องบินดีซี-3 ของทางการมาดากัสการ์ไปผจญเหตุร้ายในวันที่ 11 ธ.ค. 1969

กัปตันโรแลนด์ แอนตริบี้ พร้อมด้วยนักบินผู้ช่วย หลุยส์ โทลิเวร์ และผู้โดยสารโบยบินไปบนฟากฟ้าที่ได้รับคำพยากรณ์อากาศมาล่วงหน้า แล้วว่าอากาศปลอดโปร่งแจ่มใสตลอดวัน แต่ขณะที่บินอยู่ในระยะความสูง 4,000 ฟุต เหนือเมืองพอร์ตหลุยส์ของเกาะมอริเชียสกับเมืองทามาตาวีในเกาะมาดากัสการ์นั่นเอง ก็เจอเรื่องประหลาด

มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่หมอก ไม่ใช่เมฆ ไม่ใช่ควัน...แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ สีครีมข้นเป็นกลุ่มขนาดใหญ่มหึมาลอยตัวเข้ามาช้าๆ ขณะนั้น ทุกคนมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่ว่าจะท้องฟ้าข้างบนหรือทะเลข้างล่าง เห็นแต่วัตถุสีครีมข้นหนาทึบปกคลุมเต็มไปหมด และแล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อเครื่องบินเคลื่อนเข้าไปอยู่ในวงล้อมของวัตถุสีครีมนั้นอย่างสิ้นเชิง

“มีแสงฟ้าแลบแปลบปลาบเกิดขึ้น” แอนตริบี้ เล่า “เป็นฟ้าแลบจากเบื้องบนผ่านเข้ามาในวัตถุสีครีม มันกระทบปีกเครื่องของเราจนสั่นสะเทือน หลุยส์ผู้ช่วยของผมร้องตะโกนอย่างลืมตัวว่า เรากำลังเจอพายุคลื่นไฟฟ้า'...ซึ่งผมก็คิดว่าจริงของเขา”

ระหว่างนี้ วิทยุติดต่อกับหอบังคับการขัดข้อง เข็มต่างๆที่หน้าปัดเป๋ผิดทิศทางไปหมด มีอย่างเดียวเท่านั้นที่สงบนิ่ง คือ นาฬิกา เพราะว่ามันหยุดเดินทันที ที่เครื่องเข้าสู่กลุ่มวัตถุสีครีมหนานี้

กลุ่มครีมข้นนั้นหนามากขึ้น แสงฟ้าแลบแปลบปลาบรุนแรงขึ้นทุกที ในที่สุดเครื่องบินก็สั่นสะเทือนอย่างแรง แอนตริบี้ไปกระแทกที่นั่งจนเลือดไหลกบปาก แต่เขาก็ประคองเครื่องอย่างสุดความสามารถนานถึง 35 นาทีเต็มๆจึงผ่านออกมาได้ แต่เครื่องก็เสียจนไม่อาจบินต่อไปได้ เคราะห์ดีที่นำเครื่องลงได้โดยปลอดภัย

(http://www.thairath.co.th/2551/specialsunday08/Oct/library/12/special5.jpg)

อะไรเป็นตัวการพาให้เกิดเหตุพิศวงขึ้น ณ บริเวณทะเลปิศาจ?

หนึ่งในคำตอบนั้นเกี่ยวโยงกับยูเอฟโอตามเคย

ในบริเวณทะเลปิศาจมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นสิ่งบินลึกลับอยู่บ่อยๆ และมักพบในลักษณะรูปทรงต่างๆกันไป ผู้ที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ จึงสรุปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ผู้มาจากโลกอื่นแน่นอน ส่วนนักโบราณคดีก็พยายามหาคำตอบด้วยการขุดลึกเข้าไปในอดีตของชาวเกาะมาดากัสการ์และ ก็ได้พบบางอย่างที่น่าสนใจ

เมล โปเบร นักโบราณคดีสหรัฐฯ พบว่าชาวเกาะมีที่มาอันน่าพิศวง พวกเขาไม่ได้เป็นนิโกรหรือชาวพื้นเมืองแอฟริกัน ตามตำนานบอกว่าบรรพบุรุษของเขาเดินทางไกลแสนไกล จากบางส่วนของไมโครนีเซียอันห่างออกไปราว 8,000 ไมล์ นานกว่าห้าพันปีมาแล้ว

เมลบอกว่า การที่บรรพบุรุษของชาวเกาะลงเรือเดินทางรอนแรมมาไกลอย่างนี้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องเป็นนักเดินเรือที่เชี่ยวชาญหาตัวจับยากทีเดียว

ความประหลาดมันอยู่ตรงนี้ละครับ

ชาวเกาะมาดากัสการ์ปัจจุบันไม่มีใครเป็นนักเดินเรือเลยซักคน...พวกเขาเป็นชาวเกาะอยู่กลางน้ำ แต่ไม่มีใครคิดจะหากินทางน้ำเลย เขาไม่ยอมลงเรือไปค้าขายไกลๆ ซึ่งนับว่าผิดปกติมาก

(http://www.thairath.co.th/2551/specialsunday08/Oct/library/12/special6.jpg)

นักโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ชาวเกาะซึ่งสืบเชื้อสายมาจากนักเดินเรือมือเยี่ยมต้องกลัวต่อการเดินเรืออย่างนี้ เมื่อได้ค้นลึกเข้าไปในตำนานบรรพบุรุษ เมลก็คิดว่าพอจะได้คำตอบบ้างแล้ว

ตำนานของบรรพชนกล่าวว่า ท้องทะเลที่พวกชาวเกาะข้ามมานั้นเต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาดอันแสนจะน่าสะพรึงกลัว มันทำลายชีวิตนักเดินเรือไปเป็นอันมาก จนกระทั่งเหลือรอดมาถึงเกาะเพียงหนึ่งในสาม...สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าสยองขวัญเสียจนพวกเขาพากันเข็ดขยาด เมื่อมาถึงฝั่งได้ก็สาบานว่าจะไม่ไปออกทะเลอีกแล้ว จนมีคำสอนอย่างเคร่งครัดว่า ห้ามออกทะเลไม่ว่าด้วยเรือชนิดใดก็ตาม เพราะว่าในทะเลนั้นเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ของปิศาจร้าย

ชาวเกาะมาดากัสการ์จึงจับเจ่าอยู่ที่นั่นมาจนกระทั่งบัดนี้

ครับ-สิ่งที่นักเดินเรือสมัย 5,000 ปีก่อนได้ พบเห็นนั้นจะเป็นอะไรที่เราไม่สามารถรู้ได้ มันจะเป็นฐานทัพมนุษย์ต่างดาวใต้ทะเล-อสูรจากห้วงทะเลลึก-หรือมิติอื่นที่ซ้อนอยู่ในบริเวณนั้น? ล้วนเป็นเรื่องที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้...

*สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจอยากรู้เรื่องอะไรเป็นพิเศษ ก็สอบถามเข้ามาได้นะครับ.
 


หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ ตุลาคม 12, 2008, 01:20:42 AM
มติชน


สีดำ ที่เกาะทรายดำ

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/10/way01121051p1.jpg)
บรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกน้ำบนหาดทรายดำ
 
ยังไม่ทันถึงสองทุ่มบรรยากาศโดยรอบก็มืดสนิท มีเพียงบ้านหลังหนึ่งที่ยังสว่างจ้าจากการกักเก็บและแปลงพลังงานดวงอาทิตย์มาใช้ยามค่ำคืน

บริเวณชานบ้านมีทั้งผู้เฒ่าผู้แก่และคนหนุ่มสาวกว่า 20 คน กำลังนั่งปรึกษากันด้วยสีหน้าหนักใจถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับสมาชิก

"บางคนไม่ได้ถางไม้สักต้น มันก็ยังถูกแจ้งจับ ผมถึงเจ็บใจ ต้องขึ้นไปเอาแผนที่ที่เคยร่วมกันสำรวจถึงกรุงเทพฯ" บังสัน ขุนภักดี ผู้อาวุโสคนหนึ่งของหมู่บ้านหน้านอก อำเภอเมือง จังหวัดระนอง สะท้อนแรงกดดันในวงสนทนา

หมู่บ้านหน้านอกอยู่บนเกาะทรายดำ ห่างจากฝั่งราวครึ่งชั่วโมง มีสมาชิก 49 ครอบครัว ชาวบ้านทั้งหมดเป็นมุสลิมซึ่งอาศัยบนแผ่นดินที่บรรพบุรุษหักร้างถางพงไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อยู่ขั้นกลางระหว่างชายหาดที่ผืนทรายมีสีค่อนข้างดำกับภูเขาสูง

ชาวบ้านมีอาชีพประมง และส่วนใหญ่มีที่ดินครอบครัวละ 10-20 ไร่ บนเชิงเขาไว้ทำสวนดูซงซึ่งมีทั้งสะตอ ทุเรียน มะม่วง หมาก และไม้อื่นๆ หลากหลาย ไม้ผลบางต้นมีอายุถึงร้อยปี

ปี 2527 มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองหินกอง และป่าคลองม่วงกลวง ซึ่งครอบคลุมที่ทำกินทั้งหมดของชาวบ้าน แต่สถานการณ์ยังคงเป็นปกติสุข จนกระทั่งภาครัฐเริ่มเตรียมประกาศจัดตั้งเป็นเขตอุทยานฯ

"ก่อนหน้านั้นเราเคยปักแนวร่วมกับคนของทางการไปรอบหนึ่งแล้ว" ชาวบ้านยืนยันสิทธิทำกินของตัวเองซึ่งอยู่มาก่อนเขตแดนที่ภาครัฐขีดเส้น

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/10/way01121051p2.jpg)
1. ผู้เฒ่ากำลังชี้ให้ดูสวนของคนที่ถูกจับ ซึ่งเป็นที่ดินสวนดูซงเดิมแต่เปลี่ยนมาปลูกยางพารา    2. การประชุมยามค่ำที่รายล้อมด้วยความมืด

"พวกเราอยู่กันมาก่อน ทำสวนกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จู่ๆ มาจับกัน" เสียงใครอีกคนผสมโรง

"อุทยานฯเข้ามาเมื่อไหร่ก็ปิดกันเมื่อนั้น" บังสันประกาศพร้อมสู้

ชุมชนแห่งนี้เป็นพื้นที่ประสบภัยสึนามิ แม้ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่เรือประมงและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก

ภายหลังภัยพิบัติ พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขบุกรุกพื้นที่รัฐ ได้ลงเก็บข้อมูลในพื้นที่เนื่องจากชาวบ้านร้องเรียนว่าทางการทำท่าจะผนวกเอาที่ดินของชาวบ้านไปอยู่ในอุทยานฯซึ่งกำลังเตรียมประกาศ

ครั้งนั้น พล.อ.สุรินทร์เดินทางไปพร้อมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่างเห็นตรงกันว่าร่วมกันว่าชาวบ้านดูแลเขตป่าอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และมีมติให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกับชาวบ้านปักปันแนวเขตที่ทำกินให้ชัดเจน แต่จนแล้วจนรอด มติดังกล่าวก็ไม่มีหน่วยราชการรับไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

"จู่ๆ มีหมายเรียกตัวให้ชาวบ้าน 3 คนไปที่โรงพัก บางคนถูกตั้งข้อหาก่นสร้างถางป่า บางคนถูกตั้งข้อหาบุกรุก" บังสันบอกถึงข้อกลัดกลุ้มของชุมชน

"นั่นก็ผู้ต้องหาอีกคน" เขาชี้ไปที่นางสะละม๊ะที่กำลังเดินมาร่วมสมทบ "มันน่ะไม่ได้ถางป่าเลยยังโดนด้วย"

ที่ดินของนางสะละม๊ะเป็นสวนดูซง มองจากภายนอกจะเห็นเป็นผืนเดียวกับป่าอันเขียวชอุ่ม แต่หากเดินเข้าไปสำรวจจะพบไม้ผลต่างๆ ขึ้นปนเปอยู่ไม้อื่นๆ

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/10/way01121051p3.jpg)
ส่วนหนึ่งบนฝาผนังพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นบนเกาะ

"ก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมถึงถูกจับ" นางสะละม๊ะยังรู้สึกมึนงงกับข้อกล่าวหา

ขณะที่ผู้ต้องหาอีก 2 คน คือนายวิโรจน์ หลีไมล์ และนางสิริ อักษรกล่อม ถูกตั้งข้อหาก่นสร้างถางป่า เนื่องจากก่อนหน้านั้น มูลนิธิชัยพัฒนาได้ส่งเจ้าหน้าที่มาสอบถามความต้องการของชาวบ้านที่ประสบภัยสึนามิ และในที่สุด ได้สนับสนุนวัวครอบครัวละ 2 ตัว และกล้ายางอีกจำนวนหนึ่ง

ชาวบ้านบางคนนำกล้ายางไปปลูกในที่โล่งสลับกับไม้ผลเดิมในสวนดูซง แต่สำหรับนายวิโรจน์และนางสิริ ได้โค่นไม้ผลในสวนของตัวเองที่เห็นว่าหมดสภาพแล้วเพื่อลงกล้ายาง

"ผมคิดว่าเขาเอารายชื่อคนที่รับกล้ายางไปดู เขาใช้ฮอลิคอปเตอร์บินสำรวจ แล้วมาตั้งข้อหากับชาวบ้าน" บังสันตั้งข้อสันนิษฐาน "เชื่อว่าต่อไปใครที่เอากล้ายางมาคงโดนกันหมดแหละ"

ความกังวลใจของคนในหมู่บ้านเกิดมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งนับวันแรงกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานฯหยิบเอาตัวบทกฎหมายมาเล่นงานชาวบ้าน เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการทำงาน

หลังจากที่ชาวบ้านทั้ง 3 คนไปให้ปากคำที่โรงพัก อีกไม่กี่วันต่อมาก็มีหนังสือจากสำนักงานอัยการจังหวัดระนอง เรียกให้ไปพบในวันที่ 15 ตุลาคมนี้

"คนจนอย่างเรา เงินจะขึ้นศาลก็ไม่มี ตอนนี้ไม่รู้จะว่าอย่างไร ที่ดินมันเป็นที่มรดกของเราแท้ๆ" 1 ใน 3 ชาวบ้าน ที่โชคร้ายโอด เขาไม่มีความรู้เรื่องขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมเลย ทำให้รู้สึกกังวลใจมาก ทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ว่าอัยการจะส่งฟ้องหรือไม่

"สงสัยต้องไปร้องพันธมิตรด้วย" เสียงใครอีกคนหนึ่งแซวเรียกเสียงฮาผ่อนคลายบรรยากาศ

"เราไม่เคยแผ้วถางป่าเพิ่มเลย แนวเขตที่เคยตกลงกันไว้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม" ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านอดไม่ได้ที่ต้อตั้งคำถามคาใจ แม้รู้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบ แกยึดมั่นในคำสอนของพระเจ้ามาทั้งชีวิตจึงไม่เคยเบียดเบียนทั้งคนและธรรมชาติ แต่แกคงไม่ได้คิดว่าสังคมนี้มีคนที่จ้องจะเบียดเบียนคนอื่นอยู่มากมาย แม้แต่คนของรัฐที่กินเงินเดือนจากภาษีชาวบ้าน

ปัจจุบันผืนดินแผ่นน้ำในท้องทะเลอันดามันถูกคนภายนอกเข้ามาจับจองเป็นเจ้าของหมด ถ้าไม่เป็นนักธุรกิจเอกชนก็มาในรูปแบบรัฐ โดยเฉพาะการประกาศเขตอุทยานฯ ชาวบ้านดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นชาวเลเผ่าต่างๆ ไปจนคนไทยพื้นถิ่นต่างถูกรุกไล่และได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เพราะไม่มีการกันแนวเขตสำหรับพวกเขา

ท้องทะเลอันดามันกลายเป็นแหล่งรองรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น แต่ไม่มีที่อยู่ให้คนพื้นถิ่น แถมวันดีคืนดีผู้บริหารอุทยานฯยังตั้งท่าเอาพื้นที่ที่เบียดเบียนมาจากชาวบ้านไปให้นายทุนเช่าประกอบธุรกิจอีก

เราจะทำอย่างไรกับอุทยานฯกันดี???



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ ตุลาคม 12, 2008, 01:24:10 AM
ข่าวสด


โวยน้ำดินโคลน-ขยะเกลื่อน"พีพี" ชายหาดถึงวิกฤต-ชาวเกาะสุดทนขอแก้ไขด่วน

กระบี่ - นายสหัส ศรีสุขไส อายุ 49 ปี ชาวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวว่า ขณะนี้ที่บริเวณ ชายหาดโละมุดี เกาะพีพี ม.7 ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ กลายเป็นสีแดงและสกปรกเนื่องจากน้ำดินโคลนจากบริเวณยอดเขาไหลลงมาสู่บริเวณหน้าหาดจำนวนมาก โดยเฉพาะเวลามีฝนตกลงมากระแสน้ำจะพัดพาดินโคลนที่เกิดจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบนยอดเขาซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านพักผู้ประสบภัยสึนามิ ไหลลงสู่บริเวณชายหาดโละมุดี ทำให้น้ำบริเวณดังกล่าวขุ่นมัวเป็นสีแดง และทรายที่บริเวณชายหาดก็ได้รับความเสียหาย จากหาดสีขาวกลายเป็นสีดินโคลน นอกจากนั้นก็มีเศษขยะปะปนมาด้วย ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวไม่มาเที่ยวพักผ่อนบริเวณดังกล่าว เพราะเมื่อลงเล่นน้ำก็เกิดอาการคันตามผิวหนัง เนื่องจากมีสิ่งสกปรกปะปนมา และไม่สามารถดำน้ำดูปะการังได้ เพราะน้ำขุ่นมัวจนไปถึงด้านล่าง

นายสหัสกล่าวอีกว่า ชายหาดดังกล่าวเดิมทีมีความสวยงามมาก หาดทรายขาวละเอียด มีความยาวประมาณ 300 เมตร แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนบริเวณชายหาดจำนวนมาก เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้ที่พัก ประมาณ 200-300 ห้อง ทั้งบังกะโล และโรงแรม แต่เมื่อถึงหน้าฝนก็มีดินปนโคลนไหลลงมาที่หน้าหาด ทำให้ได้รับความเสียหาย เป็นระยะทางกว่า 100 เมตร และขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขโดยด่วน

"ที่ผ่านมาได้แจ้งให้ผู้ดูแลพื้นที่บนยอดเขาดังกล่าวเพื่อดำเนินการแก้ไขแล้ว แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหาย ทั้งนี้เมื่อปีที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดำเนินแก้ไขในระยะยาว ครั้งนี้กลับมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไข เพราะจะส่งผลกระทบธรรมชาติบนเกาะพีพี เพราะส่งผลต่อการท่องเที่ยวในระยะยาว" นายสหัสกล่าว



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2551
เริ่มหัวข้อโดย: a-bad ที่ ตุลาคม 12, 2008, 11:06:03 AM
ฝากอีกข่าวครับ
 
ทะเลบางแสนเปลี่ยนสี-สัตว์น้ำลอยตาย

ชลบุรี 12 ต.ค.- ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพของน้ำทะเลชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี ซึ่งเช้าวันนี้ (12 ต.ค.) พบว่าน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงขุ่นและมีกลิ่นเหม็น อีกทั้งกุ้งหอย ปู ปลา ยังลอยตายเกยชายหาดจำนวนมาก ทำให้นักท่องเที่ยวที่พาครอบครัวมาพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์รับปิดเทอมต่างผิดหวังไม่ได้ลงเล่นน้ำตามที่ตั้งใจ แต่ใช้วิธีเดินเล่นริมทะเล ส่วนสาเหตุคาดว่าปริมาณแพลงตอนบริเวณดังกล่าวขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ออกซิเจนในทะเลลดลงไปมาก ซึ่งต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเทศบาลตำบลแสนสุขมาตรวจสอบอีกครั้ง.

ที่มา -สำนักข่าวไทย

(http://news.mcot.net/_images/MNewsImages_59742.jpg)