|
หัวข้อ: "กินปลา" ต้าน "เบาหวาน" เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 01:16:35 AM "กินปลา" ต้าน "เบาหวาน" องค์การอนามัยโลกประเมินว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวาน 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2568 ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานแล้วกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เบาหวานมี 2 ชนิด โดยเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นชนิดที่มีความรุนแรงและมักเกิดกับเด็ก เกิดจากความผิดปกติของการอักเสบของตับอ่อนที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ส่งผลให้อินซูลินที่ควบคุมน้ำตาลทำงานบกพร่อง ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 มาจากความอ้วนเกิดจากพฤติกรรมการบริโภค ส่งผลให้ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินต้องทำงานหนักมากขึ้น การบริโภคเนื้อปลาช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคเบาหวานทั้ง 2 ชนิดได้ เพราะโอเมก้า 3 ในปลาจะช่วยลดการอักเสบของตับอ่อนลงได้ นอกจากนี้ปลายังมีคุณภาพโปรตีนที่สูงกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู เรียกว่าเป็นโปรตีนชั้นเลิศ ช่วยให้อิ่มเร็วและย่อยง่าย ป้องกันการเกิดโรคอ้วน ดังนั้นควรกินปลาอย่างสม่ำเสมอ โอเมก้า 3 มีสารอาหารที่มีอยู่ทั้งในปลาน้ำจืดและปลาทะเล มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานและหัวใจได้ และช่วยในการพัฒนาเซลล์สมอง ลดไขมันในเลือด และช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติได้ ทั้งนี้มีรายงานการวิจัยของกรมประมงยืนยันว่า ผู้ที่กินปลาน้ำจืดจะไม่มีอาการแพ้ ต่างจากการกินปลาทะเลที่บางคนอาจเกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายควรเลือกกินปลาน้ำจืดแทน นพ.ฆนัท ครุฑกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ควรกินปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ แต่คนไทยกินปลาน้อยมาก เพียง 32 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่คนอเมริกันกินปลา 50 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และคนญี่ปุ่นกินถึง 69 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบคุณค่าสารอาหารในปลาทะเลและปลาน้ำจืด พบว่าไม่แตกต่างกันมาก แต่จะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อปลามากกว่า โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ปลาที่มีไขมันมากก็จะมีปริมาณโอเมก้า 3 มากกว่า เช่น ปลาแซลมอน และปลาสวาย ส่วนปลากลุ่มที่มีไขมันน้อยก็จะมีโอเมก้า 3 น้อยกว่า แต่จะมีปริมาณโปรตีนมากกว่า เช่น ปลากะพง ปลานิล เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวว่าปลาทะเลจะมีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืดเสมอไป ต้องดูลักษณะของเนื้อปลาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามผู้บริโภคสามารถกินปลาได้จากทั้ง 2 แหล่ง และกินได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด ข้อดีของปลาทะเล คือ มีโปรตีนและไอโอดีนสูง ช่วยป้องกันภาวะขาดสารไอโอดีน แต่มีข้อเสีย คือ อาจมีสารตกค้างจำพวกปรอทและตะกั่วได้ เพราะอาจมีการปนเปื้อนจากน้ำทะเล จากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล ขณะที่ปลาน้ำจืดสามารถควบคุมได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยง ในฟาร์ม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบไข่ปลา ในไข่ปลาแม้ว่าจะมีโอเมก้า 3 สูง แต่ก็มีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรระมัดระวังไม่ควรกินในปริมาณมาก ส่วนการกินปลาดิบก็ไม่ได้ให้คุณค่าสารอาหารมากกว่าปลาที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว เป็นเพียงค่านิยมที่เชื่อว่ามีรสชาติที่ดีกว่า ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากพยาธิได้ ในบ้านเรามีปลาสวายมาก และราคาถูก แต่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม เมื่อเปรียบกับปลาแซลมอนพบว่ามีปริมาณโอเมก้า 3 น้อยกว่า โดยอยู่ที่ 1,000-1,700 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ขณะนี้ปลาสวายเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมาก โดยเฉพาะยุโรป เนื่องจากเป็นปลาเนื้อขาว ซึ่งปลาเนื้อขาวถือว่ามีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าปลาเนื้อสี ดังนั้นปลาสวายจึงมีราคาสูงมากในยุโรป และมีแนวโน้มการส่งออกที่มากขึ้น แต่ในประเทศกลับไม่เป็นที่นิยม. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 หัวข้อ: Re: "กินปลา" ต้าน "เบาหวาน" เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 06:18:24 AM สรุป....ปลากินแล้วป้องกันและลดความเสี่ยงไม่ให้เป็นโรคเบาหวานได้
แต่....กินปลาไม่ได้แก้โรคเบาหวาน เพราะ....เบาหวานเป็นโรคที่ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ เพียงแต่บันเทาไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นได้ กินปลาน้ำจืดดีกว่าปลาทะเล....เพราะปลาทะเลมีสารตกค้างประเภทปรอทและตะกั่วมากกว่าปลาน้ำจืด (ที่ได้จาการเลี้ยง) หัวข้อ: Re: "กินปลา" ต้าน "เบาหวาน" เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 12:45:16 AM 'โอเมก้า 3' มีถมเถไป 'กินปลาไทยๆ 'ต้านโรคภัยแถมไร้พุง' (http://ads.dailynews.co.th/column/images/2008/politic/11/3/65247_60607.jpg) " เกิดในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ที่มักออกแรงหรือออกกำลังน้อยเกินไป ปัจจุบันพบว่าเกิดในเด็กด้วย ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ตลอดจนการไม่ออกกำลังกาย ต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น” ...เป็นการระบุโดย ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส. กับภัย “โรคเบาหวาน” ที่นับวันยิ่งป่วยกันมากขึ้น และปัจจัยหรือต้นเหตุที่สำคัญก็คือ “ความอ้วน !!” ทั้งนี้ จากสถานการณ์ “โรคเบาหวาน” ที่คุกคามผู้คนทั่วโลก รวมถึงคนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีส่วนสัมพันธ์กับ “ความอ้วน” และเนื่องในวันเบาหวานโลก 14 พ.ย. ที่กำลังจะมาถึง ทางโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กรมประมง สสส.-สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กระทรวงพาณิชย์ เครือข่ายคนไทยไร้พุง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ “กินปลาไร้พุง ต้านโรคเบาหวาน” ซึ่งก็น่าสนใจ จากการสำรวจผู้ป่วยที่โรงพยาบาลรามาธิบดีที่มีปัญหา “โรคอ้วน” เฉพาะโรงพยาบาลเดียว ในปี 2551 ยังไม่ทันสิ้นปีก็พบแล้ว กว่า 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นหญิง สัดส่วนราว 79-80% ขณะที่ผู้ป่วย โรคอ้วนที่เป็นชาย ที่พบในโรงพยาบาลแห่งนี้ในช่วงเดียวกัน มีประมาณ 20-21% อายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่พบ ทั้งหญิง-ชาย คือ 44.5 ปี โดยพบคนอ้วนที่รับพลังงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือต่ำกว่า 1,600 กิโลแคลอรีในเพศหญิง ร้อยละ 31.6, ต่ำกว่า 2,000 กิโลแคลอรี ในเพศชาย ร้อยละ 33.3 ซึ่งผู้ป่วยโรคอ้วนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ “บริโภคอาหารที่มีโปรตีนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน” คือต่ำกว่าร้อยละ 15 ของพลังงานที่ได้รับ และออกกำลังกายในระดับต่ำ “จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่อ้วนไม่ได้เกิดจากบริโภคอาหารเกินความจำเป็นเท่านั้น แต่ยังอาจเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน มีปริมาณโปรตีนน้อยเกินไป” และโรคภัยอื่นที่จะเกิดตามมาอีกจากการเป็นโรคอ้วนก็คือ “โรคเบาหวาน” ซึ่งองค์การอนามัยโลกประเมินว่าปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วย เบาหวานอย่างน้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2568 หรือในอีก 17 ปีข้างหน้า ขณะที่ในเมืองไทยจากการสำรวจในปี 2547 พบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คนไทยไม่ควรวางใจ องค์การอนามัยโลกระบุว่า เบาหวานเป็นโรคที่มีอันตรายสูงสุด ยิ่งกว่าโรคเอดส์ เพราะขณะนี้ ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละประมาณ 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์เสียชีวิตเพียงประมาณ 3 ล้านคนต่อปี โดยเบาหวานที่พบบ่อยคือเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดในผู้ที่อ้วน-อ้วนลงพุง ออกแรง-ออกกำลังกายน้อย ขอบอก-ขอเน้น... วิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาโรคอ้วน ซึ่งหมายถึงต้านโรคเบาหวานได้ด้วย คือการบริโภคปลามากขึ้น เพราะปลาเป็นแหล่ง “โปรตีน” คุณภาพดี-ราคาถูก ซึ่งมีหลายงานวิจัยที่สนับสนุน ว่าการบริโภคปลาหรืออาหารที่มี “โอเมก้า-3” หรือ “โอเมก้า-ทรี” สูง สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานทั้งแบบชนิด ที่ 1 และชนิดที่ 2 ได้ และสำหรับโปรตีนจากปลา โอเมก้า-3 จากปลานั้น ก็ใช่ว่าจำเพาะเจาะจงอยู่ที่ปลาทะเลเท่านั้น “ปลาน้ำจืดของไทย” เราก็มีเพียบ-มีถมเถไป !! อย่างที่ นพ.ฆนัท ครุฑกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจ หลอดเลือดและเมแทบอลิซึม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิก และโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ความรู้ความเข้าใจไว้ว่า... เปรียบเทียบคุณค่าสารอาหารระหว่างปลาทะเลกับปลาน้ำจืดแล้ว ไม่ได้แตกต่างกันมาก จะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อปลามากกว่า โดยเนื้อปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาสวาย ก็จะมีโอเมก้า-3 มากกว่าเนื้อปลาที่มีไขมันน้อย เช่น ปลานิล ขณะที่เนื้อปลาที่มีไขมันน้อยก็จะมีปริมาณโปรตีนมากกว่าเนื้อปลาที่มีไขมัน มาก ตรงนี้ก็อยู่ที่การรู้จักเลือกบริโภค “ปลาสวาย ที่เมืองไทยเรามีมาก มีโอเมก้า-3 ถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อเนื้อปลา 100 กรัม ขณะที่เนื้อปลาแซลมอน 100 กรัม มีโอเมก้า-3 เพียง 1,000-1,700 มิลลิกรัมเท่านั้น” ...นพ.ฆนัท กล่าว พร้อมทั้งบอกด้วยว่า... จากที่มีการพบข้อมูลบ่งชี้ว่าการบริโภคอาหารเกินความจำเป็นต่อร่างกายไม่ใช่ ปัจจัยเดียวที่ทำให้ “อ้วนลงพุง-เป็นโรคอ้วน” แต่การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโปรตีนน้อยเกินไป การบริโภคอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน ก็ทำให้อ้วน-เกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้น “การบริโภคปลาก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม” ทางด้าน ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ อีกหนึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิก และโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็ระบุว่า... ในช่วงนี้หลายหน่วยงาน อาทิ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรมประมง กรมการค้าต่างประเทศ สหกรณ์ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ, สสส. จัดกิจกรรม “กินปลาไร้พุง ต้านโรคเบาหวาน” โดย วันที่ 21-22 พ.ย. ก็จะมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้อีกครั้งที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ซึ่งการบริโภคปลา ทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด ช่วยให้อิ่มเร็ว ย่อยง่าย และเป็นแหล่งโอเมก้า-3 แถมจะได้โปรตีนคุณภาพสูงกว่าเนื้อวัว เนื้อหมู “การบริโภคปลาช่วยป้องกันการเกิดโรคอ้วน มีส่วนช่วยป้อง กันการเกิดโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ รวมถึงช่วยในการพัฒนาและเสริมสร้างเซลล์สมองด้วย” ...แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวแนะนำ “ปลาน้ำจืด” ไทย ๆ เราก็ได้...ไม่จำเป็นต้องปลาแพง ๆ กินเยอะ ๆ “ต้านโรคภัย” แถม “ไร้พุง” หุ่นดีด้วย !!!. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 |