กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล => ข้อความที่เริ่มโดย: สายน้ำ ที่ พฤษภาคม 23, 2007, 12:01:59 AM



หัวข้อ: วช.หนุนเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤษภาคม 23, 2007, 12:01:59 AM

วช.หนุนเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์  หวังลดการนำเข้า-สร้างรายได้ชุมชน

ศ.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยว่า วช.ได้เห็นความสำคัญของการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์ จึงได้อุดหนุนการวิจัย ปี 2548-2550 ให้แก่ นางนวลมณี พงศ์ธนา จากศูนย์วิจัยและสอบพันธุ์สัตว์น้ำปทุมธานี และคณะกรมประมง ทำการวิจัยโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงทริพลอย์ และผลิตภัณฑ์ของหอยเป๋าฮื้อ เพื่อต้องการพัฒนาภาชนะที่ใช้ในการเพาะอนุบาล และเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อจากระยะวัยอ่อนจนถึงขนาดพัฒนาเทคนิคในการเพาะอนุบาล และเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อจากระยะวัยอ่อนจนถึงขนาดตลาด ศึกษาวิจัยวิธีการเหนี่ยวนำหอยเป๋าฮื้อทริพลอย์ ทดสอบการเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อทริพลอย์ ศึกษาวิธีการเตรียมวัตถุดิบหอยเป๋าฮื้อ เพื่อใช้ในการแปรรูปและศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากหอยเป๋าฮื้อ

“หอยเป๋าฮื้อมีทั้งหมด จำนวน 75 ชนิด และมีเพียง 20 ชนิด ที่สามารถเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ได้ ปัจจุบันประเทศที่ผลิตหอยเป๋าฮื้อได้มากที่สุด ได้แก่ ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น และ เม็กซิโก ส่วนประเทศไทยมีการเพาะลี้ยงหอยเป๋าฮื้อพันธุ์พื้นเมือง 3 ชนิด ซึ่งชนิดที่นำมาบริโภคและประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยง คือ H.asinina เนื่องจากเป็นชนิดที่เจริญเติบโตเร็ว และมีเปอร์เซ็นต์เนื้อต่อเปลือก สูงถึง 80% จึงเป็นชนิดที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงเชิงการค้า แต่การเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อชนิดนี้ มีอัตราการรอดตายและการเจริญเติบโต ระหว่างการเพาะฟักและเลี้ยงยังมีค่าต่ำอยู่ มีค่าระหว่าง 1-5% การตายของลูกหอยส่วนหนึ่ง เกิดจากการเก็บรวบรวมไข่ในการเพาะพันธุ์แบบเดิม ไข่มีการสูญเสียไปกับน้ำในช่วงกลางคืนที่ไม่ได้เพาะพันธุ์ หรือการปล่อยไข่และน้ำเชื้อต่างเวลากัน ระหว่างการเพาะพันธุ์แบบเดิม ไข่ที่ได้จะพัฒนาเป็นตัวอ่อนที่คุณภาพไม่ดี ดังนั้น การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาอุปกรณ์ และเทคนิคการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ จะช่วยเพิ่มจำนวนรอดตาย และคุณภาพลูกหอย ตลอดจนประสิทธิภาพในระบบการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ” ศ.อานนท์ กล่าว ด้าน นางนวลมณี พงศ์ธนา หัวหน้าโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงทริพลอย์ และผลิตภัณฑ์ของหอยเป๋าฮื้อ กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้ มุ่งที่จะพัฒนาอุปกรณ์และเทคนิคการเพาะเลี้ยง คุณภาพลูกหอย ตลอดจนประสิทธิภาพในช่วงวัยอ่อนถึงขั้นส่งออกตลาด เริ่มตั้งแต่การคัดพ่อ, แม่พันธุ์แยกขัง ไม่ให้น้ำเชื้อและไข่ผสมพันธุ์ก่อนเวลา รอช่วงเวลาเหมาะสม และกระตุ้นหอยให้ปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ ในระหว่างเวลา 12.30-13.30 น. ด้วยวิธีการปล่อยน้ำแห้ง เมื่อหอยเกิดความเครียด พ่อพันธุ์จะปล่อยน้ำเชื้อ ส่วนแม่พันธุ์จะปล่อยไข่ออกมาผสมพันธุ์กัน แต่ยังมีบางส่วนที่ปล่อยน้ำเชื้อและไข่ในช่วงกลางคืน ดังนั้น จึงได้มีการออกแบบถังเพาะพันธุ์ใหม่ ที่สามารถเพาะเลี้ยงพ่อ, แม่พันธุ์รวมกันได้ โดยกระแสน้ำในถังจะไหลวน ทำให้น้ำเชื้อไหลจากภาชนะช้าลง ส่งผลให้โอกาสผสมกับไข่ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาวัสดุเกาะแบบยกสูง โดยใช้ถุงพลาสติกแทนวัสดุใสมาเพาะเลี้ยง เพื่อไม่ให้หอยอยู่ใกล้ของเสียที่พื้นมากเกินไป

สำหรับความต้องการของตลาดขณะนี้ยังมีอีกมาก แต่การเพาะเลี้ยงในไทยยังมีน้อย ปัจจุบันไทยมีการผลิตได้ ประมาณ 300-500 กก./เดือน หรือประมาณ 1 ตันต่อปี มูลค่าการตลาดของผู้บริโภคในประเทศยังมีน้อย เนื่องจากผลิตได้น้อย ส่งผลให้ราคาหอยเป๋าฮื้อพุ่งสูง ประมาณ 800-2,000 บาท/กก. ซึ่งไทยต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์หอยเป๋าฮื้อ ปีละ 30 ล้านบาท จากอเมริกาใต้ และชิลี ทั้งนี้ แนวทางแก้ปัญหาการผลิต จึงเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่มีคุณภาพ เพื่อลดอัตราการตายของลูกพันธุ์ และลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการผลิตอยู่ที่ ตัวละ 20 บาท นอกจากนี้ ภาครัฐยังต้องเร่งหาตลาดจำหน่าย โดยไม่ต้องผ่านระบบคนกลาง และสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มผลิตในรูปสหกรณ์ หรือจัดทำโครงการเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ โดยนำไปปล่อยในพื้นที่เกาะ และให้ชุมชนเป็นผู้ดูแลตามธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การกระจายรายได้ และเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้วย


จาก     :     สยามรัฐ    วันที่ 23 พฤษภาคม 2550


หัวข้อ: Re: วช.หนุนเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์
เริ่มหัวข้อโดย: zmax ที่ พฤษภาคม 23, 2007, 03:57:56 AM
กรณีนี้น่าเห็นด้วยนะครับ เพราะว่าเราจะได้มีหอยอร่อยๆกินกันโดยไม่ต้องไปเบียดเบียนหอยตามธรรมชาติอ่ะ


หัวข้อ: Re: วช.หนุนเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 05, 2007, 12:32:29 AM

เพิ่มอัตรารอดตาย "เป๋าฮื้อ" ลดราคาอาหารขึ้นเหลาเข้าท้องตลาด

(http://pics.manager.co.th/Images/550000005542001.JPEG)
หอยเป๋าฮื้อเกาะอยู่กับวัสดุหลบซ่อน

ขึ้นชื่อว่าอาหารทะเล ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ยิ่งสดใหม่ยิ่งขายได้ราคาแพง โดยเฉพาะ “หอยเป๋าฮื้อ” อาหารระดับจักรพรรดิ ไม่ว่าจะด้วยรสชาติอันโอชาหรือเพราะหายากยิ่ง จึงส่งผลให้หอยชนิดนี้มีราคาต่อกิโลกรัมสูงถึงหลักพัน แต่ถ้าหากเพาะเลี้ยงให้ลูกหอยมีอัตรารอดตายได้มากขึ้น อาจมีหอยเป๋าฮื้อตัวโตๆ สดจากฟาร์มวางขายอยู่ในตลาดใกล้บ้านท่านในราคาย่อมเยาว์กว่าเดิมก็เป็นได้
       
       หอยเป๋าฮื้อ (abalone) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “หอยโข่งทะเล” เป็นหอยฝาเดียว อาศัยอยู่บริเวณกองหินหรือแนวปะการังใต้น้ำบริเวณที่น้ำทะเลใส และพบมากที่ความลึกระหว่าง 2-8 เมตร กินสาหร่ายสีน้ำตาล สีเขียว สีแดง และพวกไดอะตอมเกาะติด (sessile diatom) เป็นอาหาร มักออกหากินรวมทั้งผสมพันธุ์ในเวลากลางคืน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วลูกหอยมีอัตราการรอดตายที่ต่ำมาก บางครั้งไม่ถึง 1%ด้วยซ้ำ   
   
       เนื่องจากเป็นหอยที่มีรสชาติดีและราคาแพง ทำให้ต่างชาตินิยมบริโภคกันมาก โดยเฉพาะญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และสหรัฐฯ ส่วนการบริโภคในประเทศไทยมักเป็นภัตตาคารหรือโรงแรมใหญ่ ซึ่งส่วนมากเป็นหอยเป๋าฮื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศ มูลค่าการนำเข้าแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และประเทศที่มีการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อส่งออกหลักๆ แล้วได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเม็กซิโก โดยมีประมาณ 20 ชนิด ที่นิยมเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ เพราะมีขนาดใหญ่และให้ราคาสูง

(http://pics.manager.co.th/Images/550000005542003.JPEG)
หอยเป๋าฮื้อขนาดตลาด ประมาณ 6-8 เซนติเมตร

       
       เหนี่ยวนำหอยให้เป็นหมันเพิ่มอัตรารอดตาย
       
       สำหรับหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยมีอยู่ 3 ชนิด แต่มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่นิยมบริโภค ได้แก่ Haliotis asinine (ฮาลิโอทิส อาซินีน) และ H. ovina (เอช. โอวินา) ส่วนอีกชนิดหนึ่ง คือ H. varia (เอช. วาเรีย) มีขนาดเล็กจึงไม่เป็นที่นิยม ซึ่งฟาร์มเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 11 ฟาร์ม ส่วนใหญ่เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงเพื่อส่งออก เพราะการบริโภคในประเทศยังไม่ค่อยแพร่หลายเท่าใดนัก
       
       สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงให้ทุนสนับสนุน “โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงทริพลอยด์ (triploid) และผลิตภัณฑ์ของหอยเป๋าฮื้อ” เพื่อพัฒนาระบบและเทคนิคการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ตั้งแต่เริ่มเพาะพันธุ์จนได้หอยขนาดตามที่ตลาดต้องการ ตลอดจนวิธีการเตรียมและการแปรรูปหอยเป๋าฮื้อเป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานที่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานหลายเดือน ซึ่งคณะวิจัยได้เลือกใช้หอยเป๋าฮื้อชนิด Haliotis asinine Linnaeus (ฮาลิโอทิส อาซินีน ลินเนียส) เป็นตัวอย่างในการศึกษา
       
       นางนวลมณี พงศ์ธนา นักวิชาการของศูนย์วิจัยและทดลองพันธุ์สัตว์น้ำปทุมธานี หัวหน้าโครงการ และรับผิดชอบงานวิจัยการเหนี่ยวนำให้หอยเป๋าฮื้อเป็นหมัน คือ มีโครโมโซม 3 ชุด (3n) โดยใช้สารเคมี 6-ไดเมทิลอะมิโนพิวรีน (6-Dimethylaminopurine: 6-DMAP) เผยว่า นำไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วเป็นเวลา 5 นาที มาแช่ในสารละลาย 6-DMAP ที่ความเข้มข้น 150 ไมโครโมลาร์ นาน 10 นาที เพื่อเหนี่ยวนำให้หอยเป๋าฮื้อมีโครโมโซม 3 ชุด จากนั้นอนุบาลลูกหอยเป็นเวลา 90 วัน จึงเก็บตัวอย่างเลือดของลูกหอยที่รอดตายไปตรวจวัดปริมาณดีเอ็นเอ พบว่าได้ลูกหอยที่มีโครโมโซมเป็น 3n เฉลี่ยประมาณ 25.4±19.9%
       
       “เมื่อเปรียบเทียบอัตราการรอดตายและการเจริญเติบโตของลูกหอย พบว่าลูกหอย 3n มีอัตราการรอดตายสูงกว่าลูกหอย 2n แต่ขนาดของลูกหอยอายุ 270 วัน ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าใดนัก” นางนวลมณีอธิบาย

       
       ถังเพาะพันธุ์แบบใหม่เก็บลูกหอยได้มากกว่า

(http://pics.manager.co.th/Images/550000005542004.JPEG)
นายธเนศ พุ่มทอง นักวิจัยพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อให้มีอัตราการรอดตายสูงขึ้น
       
       ทางด้าน นายธเนศ พุ่มทอง นักวิจัยของศูนย์วิจัยประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ ได้ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการเพาะพันธุ์และการเลี้ยงหอยในภาชนะแบบเดิมและภาชนะแบบใหม่ เริ่มจากการเพาะพันธุ์ด้วยวิธีการและภาชนะแบบเดิม โดยกระตุ้นให้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์หอยปล่อยน้ำเชื้อและไข่ออกมาผสมพันธุ์ในช่วงเวลา 12.30-13.30 น. แต่พบว่ายังมีพ่อแม่พันธุ์บางส่วนปล่อยไข่และน้ำเชื้อในช่วงกลางคืน ทำให้สูญเสียไข่และน้ำเชื้อไปกับกระแสน้ำ จึงได้มีแนวคิดออกแบบภาชนะเพาะพันธุ์ขึ้น
       
       “ถังเพาะพันธุ์นี้ถูกออกแบบให้ดักกระแสน้ำในถังให้ไหลวน เพื่อชะลอการไหลของไข่และน้ำเชื้อให้ออกจากถังช้าลง ซึ่งหากพ่อแม่พันธุ์มีการปล่อยน้ำเชื้อและไข่ในเวลากลางคืน จะทำให้เซลล์สืบพันธุ์ทั้งสองมีโอกาสผสมพันธุ์กันมากขึ้น” นายธเนศอธิบาย
       
       ไข่ที่ถูกผสมภายในถังเพาะพันธุ์จะพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะก่อนว่ายน้ำ (early veliger) ภายใน 5 ชั่วโมง และจะถูกกระแสน้ำพัดพาออกสู่ถังรวบรวมที่มีกระชังไนล่อนตาถี่ดักอยู่ ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้เก็บรวบรวมลูกหอยได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น เมื่อมีการผสมพันธุ์ในเวลากลางคืน

(http://pics.manager.co.th/Images/550000005542002.JPEG)
พ่อแม่พันธุ์หอยเป๋าฮื้อมีขนาดราวฝ่ามือเด็ก

       
       ปรับปรุงภาชนะและวัสดุเลี้ยง ลดความเครียด หอยโตเร็ว
       
       หลังจากที่ได้ลูกหอยมาแล้ว จะต้องอนุบาลลูกหอยระยะลงเกาะ โดยใช้แผ่นพลาสติกใสพับให้ยับแล้ววางลงในถังเลี้ยงเป็นวัสดุล่อลูกหอย แต่พบว่าลูกหอยมีปริมาณรอดตายต่ำมาก เนื่องจากเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ปริมาณอาหารบนวัสดุล่อจะลดลง เนื่องจากภาชนะอนุบาลเป็นแบบทึบแสง ทำให้แสงส่องไม่ทั่วถึง และทำให้สังเกตจำนวนลูกหอย ปริมาณอาหาร และความสะอาดของถังอนุบาลได้ไม่ดี เมื่อสภาพแวดล้อมในถังอนุบาลไม่ดีพอ ลูกหอยก็จะเติบโตช้าและตายในที่สุด
       
       “ภาชนะอนุบาลแบบเดิมเป็นแบบทึบแสง ลูกหอยรอดตายน้อยมาก เราจึงต้องคิดหาภาชนะแบบใหม่ที่ไม่ทึบแสง ซึ่งก็คือถุงพลาสติกใส” นายธเนศกล่าว ทั้งนี้เขาได้ทดลองอนุบาลลูกหอยในถุงพลาสติกใสโดยการเพาะเลี้ยงไดอะตอมรอบๆถุงและวัสดุล่อก่อนเป็นเวลา 5 วัน จึงนำลูกหอยลงเกาะ ถุงใสนี้ทำให้แสงสามารถส่องได้ทั่วถึงรอบด้าน ไดอะตอมสามารถสังเคราะห์แสงและเติบโตเป็นอาหารของลูกหอยได้อย่างต่อเนื่อง
       
       เมื่อลูกหอยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ขนาดประมาณ 0.1 ซม. จะต้องย้ายลูกหอยลงไปอนุบาลในถังจนมีขนาด 1.5 ซม. และต้องมีวัตถุหลบซ่อนให้ลูกหอยด้วย ซึ่งวัสดุหลบซ่อนที่ออกแบบใหม่ ลักษณะเป็นภาชนะทรงกรวยสูงเจาะรูแล้ววางคว่ำลงบนพื้นถังอนุบาล พบว่าลูกหอยเจริญเติบโตได้ดีกว่าและเครียดน้อยลง เนื่องจากภาชนะหลบซ่อนทรงสูงนี้ มีพื้นที่มากกว่า อากาศและน้ำถ่ายเทสะดวก ซึ่งเมื่อเทียบกับวัตถุหลบซ่อนแบบเดิมที่เป็นแผ่นพีวีซีทำมุม 120 องศา วางคว่ำกับพื้นคล้ายหลังคาบ้าน ลูกหอยจะเกาะใต้แผ่นหลบซ่อนกันอย่างแออัด ทั้งยังอยู่สูงจากพื้นน้อยกว่า ทำให้ลูกหอยเครียด โตช้า และสัมผัสกับสิ่งสกปรกบริเวณก้นบ่ออนุบาลมากกว่าอีกด้วย
       
       หลังจากที่อนุบาลลูกหอยเป๋าฮื้อจนเติบโตมีขนาด 1.5 ซม. ต้องเลี้ยงต่อไปจนได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการ ประมาณ 6-8 ซม. ซึ่งใช้เวลาถึง 2 ปี นายธเนศจึงปรับปรุงวิธีการเลี้ยงแบบเดิมที่เลี้ยงหอยบนพื้นบ่อคอนกรีตโดยตรง เปลี่ยนมาเป็นเลี้ยงในกระชังที่อยู่ในบ่อคอนกรีตอีกทีหนึ่ง วิธีนี้หอยไม่ต้องสัมผัสกับพื้นบ่อและสิ่งสกปรกบริเวณนั้น ทำให้หอยอยู่กันอย่างสบายและง่ายต่อการรักษาความสะอาดของบ่อเลี้ยง ซึ่งลูกหอยเป๋าฮื้อที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงในโครงการวิจัยนี้ได้จำหน่ายให้แก่เกษตรกรเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อจำหน่ายสู่ตลาดต่อไป

(http://pics.manager.co.th/Images/550000005542005.JPEG)
น.ส.วราทิพย์ สมบุญญฤทธิ์ กับผลิตภัณฑ์จากหอยเป๋าฮื้อแปรรูป

       
       แปรรูปเพิ่มมูลค่า อิ่มอร่อยคุ้มราคา
       
       นอกจากงานวิจัยดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการศึกษาวิจัยพัฒนาวิธีการและเทคนิคการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหอยเป๋าฮื้อเพื่อเพิ่มมูลค่าในรูปของอาหารพร้อมบริโภคหลากชนิด
       
       ทีมวิจัยได้ทดลองแปรรูปหอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารสำเร็จรูปที่มีอายุการเก็บรักษาได้นานและคงคุณภาพ ทั้งชนิดบรรจุกล่องแช่แข็งและชนิดบรรจุในถุงรีทอร์ทเพาช์ (Retort Pouch) ที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน โดยนำเอาเนื้อส่วนเท้าของหอยเป๋าฮื้อมาเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งขณะนี้คิดค้นและผลิตออกมาได้ 12 รูปแบบแล้ว เช่น ข้าวอบเป๋าฮื้อ โจ๊กเป๋าฮื้อ หอยเป๋าฮื้อน้ำแดง หอยเป๋าฮื้อตุ๋นยาจีน เป็นต้น ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 80-100 บาทต่อถุงหรือต่อกล่อง
       
       น.ส.วราทิพย์ สมบุญญฤทธิ์ นักวิจัยจากกลุ่มวิจัยและพัฒนาภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ กองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง ผู้รับผิดชอบงานวิจัยในส่วนนี้ เปิดเผยว่า ทางทีมวิจัยและโครงการไม่ได้ประสงค์จะทำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหอยเป๋าฮื้อเหล่านี้ออกจำหน่ายในท้องตลาด แต่วิจัยเพื่อจะถ่ายทอดเทคนิคการแปรรูปหอยเป๋าฮื้อให้แก่กลุ่มเกษตรกรเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อตลอดจนประชาชนผู้สนใจนำไปประกอบอาชีพต่อไป ซึ่งผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ น.ส.วราทิพย์ โทร. 0-2940-6130-45, 0-2561-1400 ต่อ 4218


จาก     :     ผู้จัดการออนไลน์   วันที่ 5 มิถุนายน 2550


หัวข้อ: Re: วช.หนุนเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ สิงหาคม 13, 2007, 01:01:35 AM

วช.แนะรัฐหนุนเพาะ"หอยเป๋าฮื้อ" พัฒนาเชิงพาณิชย์เพิ่มรายได้ชุมชน


หอยเป๋าฮื้อ หรือหอยโข่งทะเล ถือเป็นหอยทะเลฝาเดียวที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดใหม่ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากเกษตรกรไทย เนื่องจากหอยชนิดนี้เป็นที่นิยมบริโภคของชาติต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน ยุโรปและอเมริกา ทำให้ให้ปัจจุบันราคารับซื้อจากภัตตาคารและโรงแรงต่างๆ สูงถึงกิโลกรัมละ 1,000-2,000 บาท ซึ่งความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ปริมาณหอยเป๋าฮื้อในธรรมชาติลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นหากสามารถสนับสนุนให้เกษตรกรไทยสามารถพัฒนาการเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์ด้วยเทคนิคการเลี้ยงที่เหมาะสม นอกจากจะนำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงแล้ว ยังจะนำไปสู่การขยายตลาดส่งออกไปต่างประเทศได้อีกด้วย

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) เห็นเล็งความสำคัญของการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์ เพื่อที่จะสนับสนุนให้เกษตรกรมีทางเลือกในอาชีพที่มั่นคง จึงได้ให้ทุนอุดหนุนการวิจัย แก่ ดร.นวลมณี พงศ์ธนา จากศูนย์วิจัยและทดสอบพันธุ์สัตว์น้ำปทุมธานี และคณะ ทำการวิจัยเรื่อง "โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงทริพลอยด์ และผลิตภัณฑ์ของหอยเป๋าฮื้อ" (Haliotis asinna Linnaeus, 1758) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาภาชนะที่ใช้ รวมทั้งเทคนิคต่างๆในการเลี้ยงทั้งระบบตั้งแต่การเพาะ อนุบาลและเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อจากระยะวัยอ่อนจนถึงขนาดตลาด ตลอดจนศึกษาวิธีการเตรียมวัตถุดิบหอยเป๋าฮื้อเพื่อใช้ในการแปรรูป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆของหอยเป๋าฮื้อ

ดร.นวลมณี พงศ์ธนา หัวหน้าโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงทริพลอยด์ และผลิตภัณฑ์ของหอยเป๋าฮื้อ กล่าวว่า หอยเป๋าฮื้อทั่วโลกมีทั้งหมด 75 ชนิด แต่มีเพียง 20 ชนิดเท่านั้นที่สามารถนำมาเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งปัจจุบันประเทศที่ผลิตหอยเป๋าฮื้อได้มากที่สุดคือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและเม็กซิโก ส่วนประเทศไทยมีการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อพันธุ์พื้นเมือง 3 ชนิดได้แก่ Haliotis asinna, H.ovina และ H.varia ซึ่งพันธุ์ที่เหมาะสมในนำมาเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้แก่ Hasinna เนื่องจากเป็นชนิดที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วและมีเปอร์เซ็นต์เนื้อต่อเปลือกสูงถึง 80%

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์ของไทย มีอัตราการรอดตายและการเจริญเติบโตระหว่างการเพาะฟักและระหว่างการเลี้ยงค่อนข้างต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ยเพียง 1-5% เท่านั้น ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าพบว่า สาเหตุการตายของลูกหอยส่วนหนึ่งเกิดจากการเก็บรวบรวมไข่ในการเพาะพันธุ์แบบเดิม ซึ่งทำเป็นภาชนะคล้ายหลังคาบ้านเป็นแผ่นหลบซ่อน ซึ่งลูกหอยอาศัยเกาะกันอย่างหนาแน่น จนเกิดความเครียดทำให้ลูกหอยเจริญเติบโตช้า ประกอบกับช่วงเวลาที่ผสมพันธุ์ควรจะเป็นเวลากลางคืน จึงทำให้เกิดปัญหาการปล่อยไข่และน้ำเชื้อต่างเวลากัน

จากปัญหาข้างต้น ทีมงานวิจัยจึงได้นำข้อมูลดังกล่าวมาพัฒนาอุปกรณ์และเทคนิคการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อวิธีใหม่ เพื่อหาทางเพิ่มจำนวนอัตราการรอดตายและเพิ่มประสิทธิภาพในช่วงวัยอ่อน จนถึงขั้นตอนการส่งออกสู่ตลาด โดยเริ่มจากการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์แยกขัง ไม่ให้น้ำเชื้อและไข่ผสมพันธุ์ก่อนเวลา จากนั้นรอเวลาที่เหมาะสมจึงทำการกระตุ้นให้หอยปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ด้วยวิธีการปล่อยน้ำแห้ง เมื่อหอยเกิดความเครียดพ่อและแม่พันธุ์จะทำการปล่อยน้ำเชื้อและไข่ออกมาผสมกัน

อย่างไรก็ตามพบว่า มีพ่อแม่พันธุ์หอยบางส่วนที่จะทำการผสมพันธุ์ในช่วงเวลากลางคืน ทีมวิจัยจึงได้ออกถังเพาะพันธุ์ชนิดใหม่ที่สามารถเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หอยให้อยู่ร่วมกันได้ โดยกระแสน้ำในถังจะไหลวนตลอดเวลา ทำให้น้ำเชื้อไหลจากภาชนะช้าลง ช่วยให้น้ำเชื้อมีโอกาสที่จะผสมพันธุ์กับไข่ได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนาเป็นกระชังตาข่ายพลาสติกแบบยกสูงโดยใช้พลาสติกแทนวัสดุใส เพื่อป้องกันไม่ให้หอยอยู่ใกล้กับของเสียที่พื้นเกินไปอีกด้วย ซึ่งจากการนำอุปกรณ์ และเทคนิคดังกล่าวไปทดสอบ รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรบางกลุ่มทำการผลิต พบว่า มีอัตราการรอดและคุณภาพของลูกหอยที่ได้ดีกว่าการเพาะเลี้ยงด้วยวิธีเดิม

ท้ายสุด ดร.นวลมณี กล่าวว่า ถึงแม้ความต้องการหอยเป๋าฮื้อในตลาดต่างประเทศยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อในประเทศมีจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่น ทำให้ไทยสามารถผลิตหอยเป๋าฮื้อได้เพียงเดือนละ 300-500 กิโลกรัม หรือประมาณปีละ 1 ตันเท่านั้น ขณะที่ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่สามารถผลิตหอยเป๋าฮื้อเพื่อการส่งออกได้ไม่น้อยกว่าปีละ 3,000-3,500 ตัน นอกจากนี้ในแต่ละปีประเทศไทยยังต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์หอยเป๋าฮื้อถึงปีละ 30 ล้านอีกด้วย ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภาครัฐควรสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่มีคุณภาพ เพื่อลดอัตราการตายของลูกพันธุ์ และลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนจัดทำแผนบริหารจัดด้านตลาดส่งออกโดยไม่ต้องผ่านระบบพ่อค้าคนกลาง ด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ผู้ผลิต หรือทำโครงการเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อในพื้นที่เกาะให้ชุมชนเป็นผู้ดูแล ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การกระจายรายได้ และเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศอีกทางหนึ่งด้วย


ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
โทร.0-2579-0431,0-2561-2445 ต่อ 473 www.nrct.net E-mail: info@nrct.go.th 


จาก     :     แนวหน้า   วันที่ 13 สิงหาคม 2550