กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => ห้องรับแขก => ข้อความที่เริ่มโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:14:52 PM



หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:14:52 PM
กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ตอนบนในวันพรุ่งนี้ (17 ก.พ.52) ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ส่วนบริเวณภาคอื่นๆยังมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศา ส่วนในตอนกลางวันมีอากาศร้อน อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 16-18 ก.พ. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ซึมลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของประเทศไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนบริเวณประเทศไทยยังคงมีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนอบอ้าวใน ตอนกลางวัน หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 19-22 ก.พ. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เสริมลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย และมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 16-18 ก.พ. ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ก.พ. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนให้ระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงไว้ด้วย



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:25:24 PM
เดลินิวส์


เกาะสมุยซ้อนแผนรับอุบัติภัยทางทะเล   สร้างภาพลักษณ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว

ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย มีคู่แข่งขันที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการพัฒนา การท่องเที่ยวและมีการประชาสัมพันธ์ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อมองย้อนอดีตกลับไปจะพบว่าประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นำมาพัฒนาประเทศปีหนึ่ง ๆ หลายแสนล้านบาท แต่ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ทำให้นักท่องเที่ยวจะต้องคิดมากขึ้นในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งนักท่องเที่ยวมีตัวเลือกมากขึ้นจากการที่ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี้
 
เรื่องดังกล่าวนี้ประเทศไทยโดยเฉพาะส่วนงานอย่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไม่ได้นิ่งนอนใจได้มีการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศอย่างต่อเนื่องแต่ก็ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่จะให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยถ้ายังขาดปัจจัยเช่น ความสะดวกสบาย การไม่ถูกเอา เปรียบจากผู้ให้บริการ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะให้แต่ภาครัฐดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ เรื่องดังกล่าวนี้หน่วยงานต่าง ๆ บนเกาะสมุย ที่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติต่างรู้จักกันดี จึงได้เกิดการรวมตัวขึ้นระหว่างหน่วย งานภาครัฐและเอกชนอย่าง อำเภอเกาะสมุย ตำรวจภูธรเกาะสมุย ตำรวจภูธรบ่อผุด ตำรวจ น้ำเกาะสมุย ตำรวจท่องเที่ยวเกาะสมุย โรงพยาบาลเกาะสมุย ร่วมกับโรงพยาบาลไทยอินเตอร์ โรงพยาบาลบ้านดอนอินเตอร์ และกู้ชีพ-กู้ภัยสมาคมสมุย โดยมีโรงพยาบาลกรุง เทพ-สมุย เป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนโครงการซ้อมแผนรับอุบัติภัยทางทะเลขึ้น โดยได้จัดให้มีการซ้อมแผนในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา
 
สำหรับการซ้อมแผนครั้งนี้เป็นที่สนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ทั้งนี้เพราะช่วงปลายปีของทุกปีทะเลด้าน อ่าวไทย จะมีลมมรสุมพัดผ่านที่ทำให้เกิดคลื่นลมในทะเลมีความรุนแรง และด้วยสภาวะของโลกในปัจจุบันที่ธรรมชาติถูกทำลายลงมากจนเกิดความสมดุลทางธรรมชาติเสียหาย สังเกตได้จากพายุที่พัด เข้าประเทศพม่าอย่างไม่คาดฝันจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งนี้ จากการขาดการเตรียมตัวที่จะ รับสถานการณ์ทางธรรมชาติ และ อุบัติภัย การซ้อมแผน รับอุบัติภัยทางทะเล ครั้งนี้ได้จำลองสถานการณ์เรือที่พานักท่องเที่ยวเพื่อชมความงามของท้องทะเลเกิดอุบัติเหตุอับปางจมทะเลจึงทำให้นักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บและต้องลอยคออยู่กลางทะเล และเมื่อได้รับแจ้งหน่วยงานต่าง ๆ จึงได้สนธิกำลังกันเข้าทำการช่วยเหลือ โดยมีระบบสื่อสารที่มีศักยภาพในการประสานงานซึ่งภาพที่ออกสู่สายตานักท่องเที่ยวได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวมากขึ้น
         
 และนี่ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนได้ร่วมมือกันในการสรรค์สร้างภาพลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของ เกาะสมุยให้ได้เห็น และสิ่งนี้ได้ส่งผลถึงภาพรวมทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้นักท่อง  เที่ยวได้เห็นถึงศักยภาพในการช่วยเหลือชีวิต และถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหลายข้อที่นักท่องเที่ยวต้องการในความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งหัวข้อที่เหลือหน่วยงานหลักของประเทศต้องช่วยกันคิดที่จะสร้างหลักประกันทางการท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะไหลเข้าประเทศไทย และเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และเกาะสมุย ให้มีความเข้มแข็งอีกด้วย.

 
****************************************************************************************************************************


ปิดอ่าวฝั่งทะเลอ่าวไทยปี 52

 ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงฤดูที่สัตว์น้ำในฝั่งทะเลอ่าวไทยกำลังมีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัววัยอ่อนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก กรมประมงตระหนักถึงความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำเหล่านี้เอาไว้ เพราะปัจจุบันทรัพยากรสัตว์น้ำของประเทศไทยได้ลดจำนวนลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำประมงที่ขาดความสำนึกรับผิดชอบ จึงได้กำหนดให้มีการใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ (ปิดอ่าวทะเลฝั่งอ่าวไทย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์-15 พฤษภาคม ของทุกปี ห้ามชาวประมงใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ทำการประมงในฤดูปลามีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัววัยอ่อนในที่จับสัตว์น้ำบางส่วน ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี 

“หากมีชาวประมงรายใดฝ่าฝืนใช้เครื่องมือต้องห้ามทำการประมงในพื้นที่ที่ได้ประกาศปิดอ่าวฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ ห้าพันบาท ถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่   เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ” ดร.สมหญิงกล่าว.
 


หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:38:53 PM
ผู้จัดการออนไลน์


อส.ดำน้ำกว่า 100 คนเก็บขยะ-ดาวหนามมอบความรักให้ทะเลวันวาเลนไทน์
 
(http://pics.manager.co.th/Images/552000001835301.JPEG)
 
  อาสาสมัครดำน้ำกว่า 100 คน ร่วมมอบความรักในวันวาเลนไทน์สู่ทะเลภูเก็ตดำน้ำเก็บขยะ-ดาวหนามมงกุฎ ตามโครงการ “ชายหาดสะอ้าน บ้านปลาสะอาด” หวัดลดปริมาณขยะ-ดาวหนามมงกุฎสร้างความสวยงามให้แนวปะการัง
      
       วันนี้ ( 14 กุมภาพันธ์ 2552) ที่บริเวณท่าเทียบเรือ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน นายวรรณเกียรติ ทับทิมแสง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน เป็นประธานเปิดกิจกรรมดำน้ำเก็บดาวหนามมงกุฎ และทำความสะอาดแนวปะการัง บริเวณเกาะเฮ เกาะแอว และเกาะไม้ท่อน ภายใต้โครงการบริหารจัดการขยะในทะเล “ชายหาดสะอ้านบ้านปลาสะอาด” ซึ่งทางสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ร่วมกับศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 (จ.ภูเก็ต) จัดขึ้น โดยมีอาสาสมัครจากชมรมดำน้ำกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อาสาสมัครจากชมรมดำน้ำกรีนฟิน สมาคมดำน้ำพระนครเหนือ อาสาสมัครชายเลราไวย์ และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่ รวมจำนวนประมาณ 100 คน ซึ่งเป็นการมอบความรักเนื่องในวันวาเลนไทน์ให้กับทะเลภูเก็ต สำหรับการจัดเก็บขยะและดาวมงกุฎหนามในครั้งนี้จะดำน้ำ 3 ไดฟ์ด้วยกัน และจะกลับเข้าฝั่งในเวลาประมาณ 17.00 น.
      
       นายไพทูล แพนชัยภูมิ หัวหน้าศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 (จ.ภูเก็ต) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อรณรงค์รักษาความสะอาดใต้ท้องทะเล ลดปริมาณขยะและดาวมงกุฎหนามซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญในการทำลายปะการัง หลังการจัดเก็บจะทำให้ปะการังมีโอกาสฟื้นตัว ทำให้ทัศนียภาพใต้ทะเล บริเวณชายหาดมีความสวยงามเป็นที่ประทับใจแก่นักท่องเที่ยว ป้องกัน และฟื้นฟูแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายจากการปกคลุมของขยะ ช่วยสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชน กลุ่มในพื้นที่ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งให้มากขึ้น
      
       ในขณะที่นายวรรณเกียรติ กล่าวว่า เป้าหมายของการจัดกิจกรรมเพื่อกำจัดดาวมงกุฎหนาม ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญที่ทำลายแนวปะการัง ซึ่งขณะนี้กำลังระบาดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นหากไม่มีการทำลายก็จะทำให้แนวปะการังในบริเวณดังกล่าวเสื่อมโทรม เพราะดาวมงกุฎหนามจะดูดกินเนื้อเยื่อปะการังที่มีชีวิต ส่งผลให้ปะการังตาย และไม่มีโอกาสฟื้นฟูกลับได้อย่างเดิม วิธีการเดียวที่เป็นวิธีที่ดีและได้ผลมากที่สุดที่สามารถทำลายสัตว์ชนิดนี้ได้ คือ การนำดาวมงกุฎหนามขึ้นจากใต้ทะเล และตากแดดบนฝั่ง ก่อนที่จะนำไปทำลายซากโดยการฝัง เพราะหากไปทำลายในทะเล เท่ากับเป็นการเพิ่มจำนวนของดาวมงกุฎหนาม เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้เติบโตด้วยการแบ่งตัวและแตกหน่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการการเก็บดาวมงกุฎหนามแล้วประมาณ 300 ตัว

 
***********************************************************************************************************************


จ.ชุมพร เข้มตรวจพื้นที่ปลาชุกชุม หลังประกาศปิดอ่าววันแรก  
 
       นายจรูญศักดิ์ เพชรศรี หัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลภาคใต้ตอนบน จ.ชุมพร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกของประกาศปิดอ่าว โดยมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ถึง 15 พฤษภาคมของทุกปี

        ส่วนการบังคับใช้กฎหมายตามประกาศดังกล่าว ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลภาคใต้ตอนบน จ.ชุมพร ได้ใช้เรือตรวจการณ์ประมง 19 ลำ ออกปฏิบัติงาน โดยจะกระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ และจะออกตรวจในพื้นที่ๆ มีปลาชุกชุม ซึ่งมักจะมีเรือประมงฝ่าฝืนเป็นประจำ


******************************************************************************************************************************


ไต้หวันจำลองเรือการค้าโบราณ ล่องทะเลรำลึก “โคซิงกา”

(http://pics.manager.co.th/Images/552000001913703.JPEG)
เรือรบของแม่ทัพโคซิงกา

เอเอฟพี – ไต้หวันสร้างเรือสำเภาโบราณติดอาวุธจำลองขนาดเท่าของจริงสำหรับล่องเส้นทางการค้าโบราณ รำลึกถึงแม่ทัพเจิ้ง เฉิงกง หรือโคซิงกา ผู้พลิกประวัติศาสตร์เกาะไต้หวัน โดยขับไล่เจ้าอาณานิคมดัชต์ออกจากดินแดน ในศตวรรษที่ 17
      
       หลังเสร็จพิธีวางกระดูกงูสร้างเรืออู่ต่อเรือเมืองท่าไถหนัน ทางภาคใต้ของไต้หวันเมื่อวันอาทิตย์(15 ก.พ.) โดยมีนายกเทศมนตรีเมืองไถหนัน นาย สีว์ เทียนไฉเป็นประธาน คนงานก็ได้เริ่มลงมือสร้างเรือ

(http://pics.manager.co.th/Images/552000001913701.JPEG)
นายกเทศมนตรีเมืองไถหนัน สีว์ เทียนไฉ กำลังผูกริบบิ้นระหว่างพิธีวางกระดูกงูสร้างเรือการค้าติดอาวุธจำลองเมื่อวันที่ 15 ก.พ. เพื่อล่องเส้นทางการค้า รำลึกถึงวีรบุรุษ โคซิงกา ผู้ขับเจ้าอาณานิคมดัชต์ออกจากไต้หวันในศตวรรษที่ 17-ภาพเอเอฟพี
      
       เรือสำเภาไม้ลำนี้ยาว 29.5 เมตร สร้างจากแบบพิมพ์เขียวเรือโบราณในปี ค.ศ. 1706 ที่เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ฮิราโดะจังหวัดนางาซากิ บ้านเกิดของโคซิงกานั่นเอง รัฐบาลท้องถิ่นไถหนันใช้เวลากว่า 10 ปี ศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างเรือค้าขายโบราณที่ติดอาวุธ โดยเรือจำลองนี้ มีน้ำหนักประมาณ 300 ตัน และสามารถติดอาวุธเปืนใหญ่ 12 กระบอก ขนส่งคนได้ราว 100 คน
      
       เรือดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นประเมินค่าใช้จ่ายราว 80 ล้านเหรียญไต้หวัน ( 2.35 เหรียญสหรัฐ)
      
       ไต้หวันจะล่องเรือดังกล่าวไปตามเส้นทางการค้าทางทะเลในอดีต ผ่านประเทศญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ และเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เส้นทางการค้าดังกล่าว เป็นเส้นทางที่ท่านแม่ทัพโคซิงกา ล่องเรือติดอาวุธทำการค้าหาเงินทองมาสนับสนุนกองกำลังต่อสู้อำนาจราชวงศ์ชิง

(http://pics.manager.co.th/Images/552000001913702.JPEG)
โคซิงกา ค.ศ. 1624-1963 แม่ทัพปลายราชวงศ์หมิง เป็นลูกครึ่งจีน-ญี่ปุ่น ผู้นำกำลังโค่นล้มอำนาจเจ้าอาณานิคมดัชต์ในไต้หวัน และนำเรือติดอาวุธทำการค้าต่อสู่อำนาจราชวงศ์ชิง
      
       เจิ้ง เฉิงกง หรือโคซิงกา มีบิดาเป็นพ่อค้าและโจรสลัดชาวจีน และแม่เป็นชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อปีค.ศ. 1624 และเติบโตที่เมืองฮิราโดะ ญี่ปุ่น กระทั่งอายุ 7 ขวบ จึงย้ายมาอาศัยและร่ำเรียนที่เฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ต่อมา เป็นแม่ทัพในยุคปลายราชวงศ์หมิง เป็นผู้นำคนสำคัญที่โค่นล้มอำนาจเจ้าอาณานิคมดัชต์ ซึ่งยึดครองเกาะไต้หวันในเวลานั้น กองทหารของโคซิงการบชนะดัชต์ในปี ค.ศ. 1662 จากนั้น เขาก็ปกครองดินแดนไต้หวัน
      
       โคซิงกาใช้เกาะไต้หวันเป็นฐานการค้าทางทะเล หาเงินทองมาสนับสนุนกองกำลังเพื่อทำการโจมตีชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์ชิง แต่ด้วยกำลังที่ไม่พร้อม จึงต้องล่องเรือถอยร่นมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองไถหนัน กองกำลังโคซิงกายังสู้ต่อไปแต่ก็ไม่อาจเอาชนะทหารชิง และเสียชีวิตในปี 1663.



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:46:29 PM
มติชน


"พลิกผืนน้ำ คืนผืนป่า" เคปราชาร่วมสร้างพื้นที่ป่าชายเลน

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2009/02/pra02170252p1.jpg)
 
ป่าชายเลน เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากป่าชายเลน ทั้งที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต เป็นถ่าน ไม้ฟืน

นอกจากนี้ยังได้ใช้บริการด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมด้วย โดยเป็นแหล่งอาหารและอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนในอากาศ ช่วยป้องกันพายุ คลื่นลม และป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง

แต่ปัจจุบันเนื้อที่ป่าชายเลนได้ถูกเปลี่ยนสภาพไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้แก่ การทำนากุ้ง การขยายเมืองและแหล่งที่อยู่อาศัย การสร้างท่าเรือ ถนน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ

ทำให้เนื้อที่ป่าชายเลนลดลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด จากตัวเลขในช่วง 35 ปี ประเทศไทยมีป่าชายเลนเหลืออยู่เพียง 47 เปอร์เซ็นต์ จาก 2.219 ล้านไร่ ในปี 2504 เหลือเพียง 1.047 ล้านไร่ ในปี 2539

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงเล็งเห็นและตระหนักถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จากสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมโทรมของทรัพยากรและจำนวนพื้นที่ป่าไม้ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2536 จึงมีพระราชดำริที่จะพระราชทานป่าไม้แก่ปวงชนชาวไทยทั่วทุกภาค
 
(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2009/02/pra02170252p2.jpg)

เพื่อการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในปี พ.ศ.2539

ในวาระครบรอบ 1 ปีของโรงแรมเคปราชา นอกจากจะมีกิจกรรมขอบคุณลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรวมทั้งสื่อมวลชนที่ได้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด จึงเป็นโอกาสที่ บริษัท เกษมกิจ จำกัด ผู้บริหารโรงแรมในเครือเคปโฮเต็ล กรุ๊ป คันทารี่ กรุ๊ป และคามีโอ กรุ๊ป จัดกิจกรรมดีๆ ที่โรงแรมเคปราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นการขอบคุณชุมชนโดยรอบ

โดยเลือกการปลูกป่าโกงกางเพื่อสืบสานปณิธานในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

ได้เชิญคณะผู้สื่อข่าวร่วมปลูกป่าชายเลน ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ และอนุรักษ์ป่าชายเลน จ.ชลบุรี โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติฯ และคณะนักเรียนจากโรงเรียนชลกันยานุกูล

ภูมิภัทร นาวานุเคราะห์ ผู้อำนวยการกลุ่มโรงแรมในเครือเคปโฮเต็ล กรุ๊ป เล่าถึงการเลือกปลูกป่าชายเลน เป็นกิจกรรม "พลิกผืนน้ำ คืนผืนป่า" วาระครบรอบ 1 ปี โรงแรมเคปราชา ว่า ปัจจุบัน บริษัท เกษมกิจ จำกัด มีโรงแรม และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด 10 แห่ง กระจายอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศทั้งที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี และระยอง
 
(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2009/02/pra02170252p3.jpg)

ที่ผ่านมาถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากชุมชน รวมทั้งจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ในปี 2552 จึงเตรียมจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง คือ ที่จังหวัดระยอง พระนครศรีอยุธยา และที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จึงจัดงานนี้ขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนชุมชน ขอบคุณลูกค้า พร้อมทั้งสื่อมวลชน

"เราต้องการตอบแทนสังคม ซึ่งสิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยได้ คือการร่วมเป็นอีกเสียงหนึ่งที่ช่วยรณรงค์เรื่องของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากป่าชายเลนของภาคตะวันออกมีอัตราการลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันลดลงไปแล้วกว่า 60-70% โดยเลือกศูนย์ศึกษาธรรมชาติ และอนุรักษ์ป่าชายเลน จังหวัดชลบุรี เป็นสถานที่ทำกิจกรรม แล้วชวนเจ้าหน้าที่ของโรงแรม คณะผู้สื่อข่าว และนักเรียนที่จังหวัดชลบุรี ร่วมกันปลูกป่าชายเลน"

ภูมิภัทร บอกอีกว่า ปีนี้ปลูกต้นโกงกางไปแล้วทั้งสิ้น 400 ต้น แต่ไม่ใช่ว่าโครงการนี้จะเสร็จสิ้นไปเลยในทีเดียว เพราะในปีหน้าและปีต่อๆ ไปจะยังคงสานต่อกิจกรรมนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อผืนป่าชายเลนของภาคตะวันออกในอนาคต

ด้าน น.ส.กนกวรรณ สกุลทรงเดชนักเรียนชั้น ม.5 จากโรงเรียนชลกันยานุกูล ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ กล่าวว่า วันนี้มาร่วมกิจกรรมเพราะเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ยิ่งทุกวันนี้สภาพแวดล้อมเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าหน่วยงานเอกชนให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับโลกของเรา

ขณะที่ น.ส.เบญญา กำบุญเลิศ นักเรียนชั้น ม.5 จากโรงเรียนเดียวกัน กล่าวว่า สนุกกับกิจกรรมครั้งนี้ ถึงแม้จะมีฝนตกบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ได้ความรู้ ได้ทำประโยชน์ให้ชุมชน มีวิทยากรคอยบรรยายประโยชน์ของป่าชายเลน ทำให้เราตระหนักได้ถึงภาวะที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน ซึ่งถ้ามีการจัดกิจกรรมลักษณะนี้บ่อยๆ ก็จะส่งผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

"เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ส่งผลดีมากๆ และยิ่งภาคเอกชนซึ่งมีกำลังงบประมาณให้ความสำคัญ ก็จะทำให้ปัญหาได้รับการแก้ไข และเยียวยาได้เร็วยิ่งขึ้น" เบญญา บอกเหมือนจะจุดประเด็นให้คิด



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:49:37 PM
ข่าวสด


เพนกวินจักรพรรดิ                                       :                                    คอลัมน์ เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์

(http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2009/02/you04170252p1.jpg)
 
สิ้นศตวรรษนี้ "เพนกวินจักรพรรดิ" ที่เป็นตัวดำเนินเรื่องในหนัง "มาร์ช ออฟ เดอะ เพน กวินส์" ที่ได้รางวัลออสการ์ประเภทสารคดีเมื่อพ.ศ.2548 อาจเกือบสูญพันธุ์ เนื่องจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

สเตฟานี เฌอนูเวรียร์ นักชีววิทยา จากสถาบันสมุทรศาสตร์วู้ดโฮล (WHOI) กล่าวว่า อากาศที่ร้อนขึ้นทำให้แผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกาละลาย ส่งผลให้เพนกวินจักรพรรดิซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 3,000 ตัว เหลืออยู่เพียง 400 ตัว

แผ่นน้ำแข็งมีบทบาทอย่างมากในระบบนิเวศของแอน ตาร์กติก เพราะไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่ ที่กิน ที่ผสมพันธุ์ของ เพนกวินเท่านั้น แต่พวกเคย กุ้ง สัตว์มีเปลือกต่างๆ ยังอาศัยกินสาหร่ายที่อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งนี้ด้วย



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:56:18 PM
แนวหน้า


ทส.เช็คข้อมูลดาวเทียม"ธีออส" สำรวจปัญหารุกป่าเมืองประจวบ    

 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งแก้ปัญหาบุกรุกป่าประจวบคีรีขันธ์ เตรียมประสานขอภาพถ่ายทางอากาศพิสูจน์แนวเขตจากดาวเทียมธีออส มาร่วมในการตรวจสอบพื้นที่ที่เสียหายจากการบุกรุก

 นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ นายปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระบุถึงปัญหารุกพื้นที่ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ทางด้านทิศเหนือ ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ กว่า 50,000 ไร่ เพื่อทำสวนยางพาราและพืชผลการเกษตรว่า กรมอุทยานฯได้ติดตามปัญหาการบุกรุกพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นป่ารอยต่อที่มีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ก่อนประกาศเขตรักษาพันธุ์และอยู่ระหว่างการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิ์อยู่

 อย่างไรก็ตาม ทางกรมอุทยานฯ รายงาน เนื่องจากมีกำลังเจ้าหน้าที่น้อย ประกอบกับเป็นพื้นที่กว้างและมีความลาดชันสูง ทำให้การลาดตระเวนไปไม่ทั่วถึง และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบพื้นที่และดำเนินคดีกับผู้บุกรุกมาเป็นระยะๆ แต่หลังจากมีข่าวเกิดขึ้นอีกครั้งทาง ทส. ได้มีการประสานกับทางทหาร ตำรวจ และทางจังหวัดในพื้นที่รอยต่อออกเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งมอบหมายให้ นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ รองปลัด ทส. และนายเกษมสันต์ ลงตรวจสอบพื้นที่ทันที

 นอกจากนี้ ยังประสานกับทางสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเตรียมขอภาพถ่ายทางอากาศ จากดาวเทียมธีออส มาร่วมในการตรวจสอบพื้นที่ที่เสียหายจากการบุกรุกว่ามีเท่าไหร่ เพราะขณะนี้ตัวเลขที่ได้รับรายงานยังไม่ตรงกันมีทั้ง 1,000 ไร่ และ 10,000 ไร่ คาดว่าถ้าดาวเทียมธีออสมีภาพถ่ายในพื้นที่บริเวณป่าแถบนี้จริงก็จะสรุปได้ภายใน 3-5 วัน



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2009, 11:58:54 PM
เนชั่นทันข่าว


เรือดำน้ำนิวเคลียร์ชนในแอตแลนติค

เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสต่างออกมายอมรับเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ว่า ได้เกิดเหตุชนกันขึ้นจริงระหว่าง "HMS แวนการ์ด" ซึ่งเป็นเรือดำน้ำพลังานนิวเคลียร์รุ่นเก่าที่สุดของอังกฤษ กับเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์"ลา ตรีอองฟองต์"ของฝรั่งเศส ในมหาสมุทรแอตแลนติคเมื่อต้นเดือนนี้ โดยทั้งสองฝ่ายไม่เปิดเผยรายละเอียด รวมทั้งวันเวลาและสาเหตุของการชนกัน แต่ระบุว่าเป็นการชนกันขณะที่เรือดำน้ำใช้ความเร็วต่ำ จึงไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และขีปนาวุธ รวมทั้งไม่เกิดการรั่วไหลของรังสีนิวเคลียร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งระบุว่าเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงสุดในรอบเกือบ 10 ปี และกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์บอกว่า เป็นสิ่งเตือนใจอย่างน่ากลัว ถึงความเสี่ยงจากเรือดำน้ำที่เพ่นพ่านอยู่ทั่วมหาสมุทร โดยขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ และติดอาวุธนิวเคลียร์



หัวข้อ: Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2009, 12:03:14 AM
สถาบันวิจัยและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง  กรมประมง


กฎระเบียบว่าด้วยการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU)              โดย  สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรประจำสหภาพยุโรป     

สหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม หรือกฎระเบียบ IUU (Illegal, Unreported and Unregulated Finishing) ซึ่งคณะมนตรียุโรปได้ประกาศการบังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป 

ประเทศไทยในฐานะประเทศที่ทำการประมงและเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าประมงที่มีความสำคัญรายหนึ่งของโลก โดยมีตลาดยุโรปเป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออกสินค้าประมงของไทยด้วย จึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบใหม่นี้และปรับตัวให้สอดคล้องเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ว่าสินค้าประมงที่จะส่งออกมายังตลาดสหภาพยุโรปจะต้องมีใบรับรองการจับสัตว์น้ำที่ออกโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบของประเทศเจ้าของสัญชาติ (ประเทศเจ้าของธง) ของเรือประมงที่ใช้จับสัตว์น้ำกำกับมาด้วย เพื่อรับรองว่าการจับสัตว์น้ำดังกล่าวได้กระทำถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการการอนุรักษ์และการบริหารจัดการระดับนานาชาติ ที่สำคัญ แผนการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำดังกล่าวจะครอบคลุมทั้งสินค้าประมงแปรรูปและไม่แปรรูป ยกเว้นสัตว์น้ำจืด ปลาสวยงาม สินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยง ซึ่งเกิดมาจากลูกสัตว์น้ำหรือตัวอ่อน หรือหอยสองฝาบางชนิด

สหภาพยุโรปเห็นว่าการทำการประมงแบบ IUU เป็นปัญหาระดับโลกซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่ง ซึ่งชุมชนบางกลุ่มของประเทศเหล่านั้นยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการประมงแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น การมีกลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศที่สามเพื่อขจัดการทำการประมงแบบ IUU และเพื่อสร้างโอกาศดีให้แก่ชาวประมงและผู้ปฏิบัติตามมาตรการเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการ จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง นอกจากนั้น การทำประมงแบบ IUU ยังถือเป็นภัยร้ายแรงต่อการพัฒนาอย่างอย่างยืนของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารประเภทโปรตีนที่สำคัญของประชากรโลก ดังนั้น การร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งมีชีวิตทางทะเลให้คงไว้จะเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ประชากรโลกได้อย่างยั่งยืน

คณะกรรมาธิการยุโรปได้ต่อสู้กับการประมงแบบ IUU มาเป็นระยะเวลากว่าทศวรรษ โดยความพยายามหลักในการผลักดันนโยบายดังกล่าวเริ่มต้นจากการออกแผนปฏิบัติการปี 2545 (Action Plan, 2002) ซึ่งได้รับแนวคิดโดยตรงจากแผนปฏิบัติการระหว่างประเทศปี 2544 ขององค์กร FAOs ว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการประมงแบบ IUU (FAOs International Plan for Action, 2001) อย่างไรก็ตาม ความพยายามขององค์กรระหว่างประเทศยังไม่ส่งผลสำเร็จในการลดขอบเขตของการดำเนินกิจกรรมการทำประมงแบบ IUU ซึ่งปัจจุบันกำลังส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำมากมายหลายชนิดยิ่งขึ้นในทุกภาคพื้นมหาสมุทรทั่วโลก

สถิติภาพรวมแสดงให้เห็นว่าปริมาณกิจกรรมการประมงแบบ IUU ทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านยูโร/ต่อปี ซึ่งทำให้สามารถนับได้ว่าการทำประมงแบบ IUU เป็นผู้ผลิตสินค้าประมงที่มากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ที่สำคัญ ประชาคมยุโรปเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีกองเรือประมงใหญ่ที่สุดในโลกและมีกำลังการจับสัตว์น้ำมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก นอกจากนี้ ประชาคมยุโรปยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าประมงมากเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย โดยในปี 2550 ประชาคมยุโรปนำเข้าสินค้าประมงเกือบ 16,000 ล้านยูโร และคาดว่าการนำเข้าดังกล่าวนั้นเป็นการนำเข้าจากการทำประมงแบบ IUU ประมาณ 1,100 ล้านยูโร ตามสถิติของปี 2548

สหภาพยุโรปจึงได้ออกกฎระเบียบ IUU นี้ขึ้น อันเป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กับเรือประมงทุกลำที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า กฎระเบียบ IUU มุ่งป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการค้าสินค้าประมงทุกประเภทที่มาจากการประมงแบบ IUU ที่จะเข้าสู่ประชาคมยุโรป ในทั่วทุกน่านน้ำ และการเข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมการประมงแบบ IUU ของประเทศสมาชิกประชาคมยุโรป ไม่ว่าเป็นเรือประมงที่ถือธงสัญชาติใดก็ตาม

เพื่อบรรลุความสำเร็จของเป้าหมายดังกล่าว ประชาคมยุโรปได้จัดทำระบบการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (a European Community catch certification scheme หรือ the certificate scheme) เพื่อปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับของสินค้าประมงทุกประเภทที่มีการค้าขายกับประชาคมยุโรป โดยไม่คำนึงว่าจะผ่านการคมนาคมขนส่งรูปแบบใด และใช้ครอบคลุมทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต นับได้ว่าจากอวนจับปลาสู่จานอาหารเลยก็ว่าได้

กฎระเบียบดังกล่าวยังมีมาตรการลงโทษทั้งเรือประมงที่ทำการประมงแบบ IUU และประเทศที่สามที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับการทำประมงแบบ IUU ด้วย

- สำหรับเรือประมงที่ทำการประมงแบบ IUU: ประเทศเจ้าของธงของเรือที่ใช้จับสัตว์น้ำซึ่งถูกต้องสงสัยว่าทำการประมงแบบ IUU จะได้รับการแจ้งผ่านข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการเพื่อตั้งข้อกล่าวหาว่าดำเนินการประมงแบบ IUU ซึ่งหากประเทศเจ้าของธงนั้นๆ ไม่ดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว เรือประมงนั้นๆ จะถูกใส่ชื่อไว้ในรายชื่อของเรือประมงที่ทำการประมงแบบ IUU โดยไม่มีการคำนึงว่าเป็นธงของชาติใด โดยจะมีมาตรการลงโทษเรือที่ฝ่าฝืนกฎ ได้แก่ การเพิกถอนใบอนุญาตการจับสัตว์น้ำ การระงับการดำเนินการค้าสินค้าประมงจากเรือดังกล่าวกับประชาคมยุโรป และการห้ามไม่เรือประมงนั้นๆ เข้าสู่ท่าเรือของประเทศสมาชิก EU (ยกเว้นกรณีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือการขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน)

- สำหรับประเทศที่สามที่ไม่ให้ความร่วมมือ: คณะกรรมาธิการยุโรปจะระบุรายชื่อประเทศที่สามที่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับการทำประมงแบบ IUU หากประเทศที่สามไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐเจ้าของท่าเรือ รัฐชายฝั่งทะเล และรัฐเจ้าของตลาด โดยประชาคมยุโรปจะห้ามการค้าสินค้าประมงไม่ว่าทางตรงและทางอ้อมกับประเทศที่สามที่ไม่ให้ความร่วมมือ และห้ามการดำเนินกิจกรรมการประมงร่วมกันระหว่างประชาคมยุโรปกับเรือประมงที่ถือธงของประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือเหล่านี้ รวมทั้งการขาย/ซื้อเรือประมงให้แก่/หรือจากผู้ประกอบการของประชาคมด้วย

นอกจากนั้น กฎระเบียบดังกล่าวยังมีมาตรการลงโทษที่ใช้ทั้งกับเรือประมงและผู้ประกอบการหรือผู้ที่ให้การสนับสนุนการทำประมงแบบ IUU ของประชาคมยุโรปเองและของประเทศที่สาม เพื่อให้บุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงแบบ IUU ดังกล่าวไม่สามารถได้รับประโยชน์จากการประมงแบบนี้ได้อีก

ผู้ส่งออกสินค้าสัตว์น้ำจากประเทศไทยมาสหภาพยุโรปและผู้ประกอบการประมงที่ทำการประมงทั้งในน่านน้ำและนอกน่านน้ำคงจะต้องมีการเตรียมพร้อมและปรับตัวเพื่อจะปฏิบัติตามกฎระเบียบสหภาพยุโรปฉบับนี้ ที่จะบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2553

โดยกรมประมงจะจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่ดังกล่าวของสหภาพยุโรปและผลกระทบที่อาจมีต่อประเทศไทย ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ที่โรงแรมรามาการ์เดนท์ กรุงเทพฯ

 ผู้สนใจ ติดต่อกองประมงต่างประเทศ กรมประมง ได้ที่ Tel: 02-562-0529 และ 02-579-7939 หรือ http://www.fisheries.go.th/fish/web/