กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน => ข้อความที่เริ่มโดย: nudie ที่ เมษายน 09, 2009, 01:06:15 AM



หัวข้อ: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 09, 2009, 01:06:15 AM
ได้ยินหลายเสียงว่าเบื่ออัมพวา
ได้รับหนังสือเล่มล่าสุด

คิดว่าคนบ่นว่าเบื่อควรไปหาเล่มนี้มาอ่านแก้ร้อนครับ



มรว ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ใน "มนต์รักแม่กลอง"  ฉบับเดือน เมษายน


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 09, 2009, 01:13:00 AM
ใครไม่เบื่อยี่งน่าหามาอ่าน

หากอยากรู้จักเพศของเกลือ กับปลากระบอก




หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 09, 2009, 01:19:11 AM
ที่อัมพวามีอาทิตย์ละเจ็ดวัน จันทร์ถึงศุกร์คนน้อย ไม่ต้องแย่งอากาศหายใจ
วันเสาร์อาทิตย์รถติด หากไป ก็......ต้องเจอรถติด





"ปัญญาพังก่อน แล้วชายฝั่งจึงพัง"

จาก มนต์รัก แม่กลอง


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 09, 2009, 01:49:12 AM
หากขาดปัญญา และมีความโลภเป็นนายแล้ว อัมพวา ปาย ทะเลไทย หรือแม้แต่ ประเทศไทย ก็อาจมีชะตากรรมเดียวกับมะม่วงรสหวานในเรื่องพระมหาชนก


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: marine_wi ที่ เมษายน 09, 2009, 07:12:55 AM
ยังไม่เคยไป  แต่รู้มาว่า  มีหิ่งห้อยน่าดูมากค่ะ

ไม่รักเมืองไทยแล้วจะให้ใครที่ไหนมารักล่ะ
อีกอย่าง  เราอยู่บ้านเรามาตั้งนานไม่เห็นจะเบื่อตรงไหน

เมืองไทย......มีอะไรมากมายให้ค้นหา


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 09, 2009, 05:34:27 PM
ที่สำคัญ...คนอัมพวาก็อย่าเบื่อนักท่องเที่ยวนะคะ



หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกปีบ ที่ เมษายน 09, 2009, 06:26:23 PM
อัมพวา ก็เป็นสถานที่ใกล้กรุงที่น่าแวะไปเยือนนะครับ ..

แต่เท่าที่ทราบก็มีประเด็นความขัดแย้ง เรื่องผลกระทบจากการท่องเที่ยว ซ่อนอยู่เหมือนกัน เช่น เรื่องเรือชมหิ่งห้อย ส่งเสียงดังรบกวนชาวสวน ริมฝั่งน้ำ จนชาวสวนบางรายตัดสินใจตัดต้นลำพูทิ้ง  ???


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 09, 2009, 06:55:16 PM
อัมพวา ก็เป็นสถานที่ใกล้กรุงที่น่าแวะไปเยือนนะครับ ..

แต่เท่าที่ทราบก็มีประเด็นความขัดแย้ง เรื่องผลกระทบจากการท่องเที่ยว ซ่อนอยู่เหมือนกัน เช่น เรื่องเรือชมหิ่งห้อย ส่งเสียงดังรบกวนชาวสวน ริมฝั่งน้ำ จนชาวสวนบางรายตัดสินใจตัดต้นลำพูทิ้ง  ???

อย่าเริ่มๆๆ เราพิมพ์แล้วก็ลบ อยู่หลายครา
ขณะนี้บ้านเมืองเครียด เดี๋ยวยิ่งเครียด

เราต้องช่วยกันรื่นรมย์ อาทิ ดูรูปที่เขา UPdate ไปดำน้ำกัน >:( >:(

เอ๊ะ....หรือมันจะทำให้เราเครียดขึ้น ด้วยต่อมอิจฉาเจียนแตก >:( >:(




หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกปีบ ที่ เมษายน 10, 2009, 02:59:42 AM
ฮ่าๆ ไม่เริ่มๆ  ;D

คิดเหมือนกัน แต่เอาแค่สะท้อนประเด็นให้ทราบแค่นั้น นะจ๊ะๆ


เห็นด้วยกับโอโอว่า ตอนนี้ต้องหาอะไรรื่นรมย์ๆทำ อย่างเช่นดูอัพเดทดำน้ำจากแดนตากาล็อค
แต่อารมณ์นี้ไม่เรียก ต่อมอิจฉาแตกแล้ว เค้าเรีนกฝีอิจฉาแตก แตกแล้วยุบ ยุบแล้วบวม บวมแล้วแตกใหม่อยู่ร่ำไป

คิดถึงพวกเราทุกคนเลยนะจ๊ะ  :-*


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกปีบ ที่ เมษายน 10, 2009, 03:13:00 AM
เห็นในข่าว เลยมาช่วยโพสเพิ่มครับ ..
อัมพวา ไม่ได้มีดีแค่หิ่งห้อยอย่างเดียวนะจ๊ะ

ที่มา วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11353 มติชนรายวัน

"ภุมรินทร์กุฎีทอง" วัดดีของ "อัมพวา"

โดย สกุณา ประยูรศุข

ใคร ไปอำเภออัมพวา จ.สมุทรสงคราม ยามนี้ ของดีไม่ได้มีแค่ "หิ่งห้อย" แมลงตัวเล็กๆ ส่องแสงที่ปลายก้นยามค่ำคืนตามต้นลำพู ซึ่งกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปแล้วเท่านั้น

แต่ ยังมี "ของดี" อีกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไทย เป็นเรื่องของหญิงสาวชาวบางช้างที่ ชื่อ "นาค" ภายหลังได้เป็น "พระบรมราชินี" ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1

เรื่อง ของหญิงสาวผู้นี้เกี่ยวข้องกับอัมพวาได้อย่างไร พระครูวิมล ภาวนาจารย์ พระนักพัฒนา เจ้าอาวาส วัดภุมรินทร์กุฎีทอง ซึ่งตั้งอยู่คนละฟากแม่น้ำกับอุทยาน ร.2 ที่ อ.อัมพวา เป็นคนบอกเล่าให้ฟัง- -

พระครูวิมลภาวนาจารย์ ท่านเป็นพระนักคิดและนักทำ (พัฒนา) มองเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ที่ต้องสืบทอดให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และยังเป็นพระนักอนุรักษ์ ชื่นชอบงานศิลปวัฒนธรรมไทย จึงต้องการพัฒนาให้วัดภุมรินทร์กุฎีทอง เป็น "ตลาดวัฒนธรรม" สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยใน จ.สมุทร สงคราม

ไม่ว่าจะ ในเรื่องของดนตรีไทย หุ่นกระบอก หรือ การประดิดประดอยข้าวของแบบชาวบ้านที่อาศัยภูมิปัญญาไทย เช่น เครื่องดนตรีไทย จำพวกซออู้ ซอด้วง หรือ การทำว่าวไทย ฯลฯ

ความคิดของพระครูได้รับการสร้างสรรค์ผ่านทางการจัดสร้าง "พิพิธ ภัณฑ์ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์" ทางหนึ่ง และ "บ้านดนตรีไทย" อีกทางหนึ่ง

พิพิธภัณฑ์ ที่ว่านี้ตั้งอยู่บนชั้นสองของศาลาการเปรียญภายในวัด ใครได้ไปเห็นเป็นต้องตะลึงกับความงดงามของพระพุทธรูปที่หาดูจากที่ไหนไม่ได้ อีกแล้ว เป็นพระพุทธรูปในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่สมบูรณ์อย่างที่สุด งดงามทั้งพระพักตร์และจีวรที่เรียกว่า "ลายดอกพิกุล" ที่แปลกกว่า ที่อื่นก็คือ พระพุทธรูปที่ทำจากไม้ลงรักปิดทองอร่ามไปทั้งองค์ นับจำนวนเป็นร้อย

ส่วน "บ้านดนตรีไทย" นั้น เกิดขึ้นได้ไม่นาน ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ดนตรีไทยของเด็กๆ ในละแวกตำบลสวนหลวง ต่อมาได้ คุณครูปิ๊ก-คชาภรณ์ สำราญใจ ลูกศิษย์ชั้นเหลนของ ครูชื้น สกุลแก้ว มาเปิดการเรียนการสอน "เชิดหุ่นกระบอก" ให้กับเด็กๆ ที่รักและสนใจแบบสอนฟรี!! ไม่มีเก็บสตางค์ ซึ่งจากตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยตามความต้อง การของพระครู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำตัวหุ่น การเขียนหน้าหุ่น การทำหัวโขน หรือการปักผ้า อื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับ "วัดภุมรินทร์กุฎีทอง" ก็มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับประวัติ ศาสตร์ โดยพระครูวิมลฯ เล่าว่า เดิมวัดภุมรินทร์อยู่ติดกับวัดบางลี่น้อย แต่อยู่ลึกเข้ามาทางด้านใน ส่วนวัดบางลี่น้อยอยู่ติดริมแม่น้ำแม่กลอง ทำให้ถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งพังลงเรื่อยๆ พระอธิการเกีย เจ้าอาวาสในตอนนั้นได้รื้อย้ายกุฎีทองของวัดบางลี่มาไว้วัดภุมรินทร์

โดย กุฎีทองนี้มีความสำคัญคือ เป็นกุฎีที่ "สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 1" สร้างถวายแก่พระปลัดทิม เจ้าอาวาสวัดบางลี่น้อยสมัยนั้น เพราะเป็นผู้ทำนายชะตาของนางนาค ธิดาเศรษฐีตระกูลบางช้าง ว่าจะได้เป็นนางกษัตริย์

"เมื่อย้ายมาแล้ว พระอธิการเกีย ได้บูรณะซ่อมแซมเพิ่มช่อฟ้าใบระกาใหม่ทั้งหลัง เพื่อใช้เป็นที่สวดมนต์ หลังจากนั้นวัดบางลี่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งพังทลายหายไปทั้งวัด แล้ววัดภุมรินทร์จึงอยู่ปากคลองบางลี่แทน และมีชื่อเรียกใหม่ว่า "วัดภุมรินทร์กุฎีทอง" ตามที่ได้รื้อกุฎีทองมาไว้"

"กุฎีทอง" มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ตามที่พระครูเจ้าอาวาสเล่าไว้ และที่น่าสนใจยิ่ง คือเป็นกุฏิที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง เมื่อมีการรื้อบูรณะทำให้ค้นพบพระพุทธรูปจำนวนนับร้อยองค์ที่ซ่อนอยู่ใต้ หลังคากุฏิ จึงได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัดนั่นเอง

"อาตมา เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 8 ของวัดนี้ แต่ก่อนสภาพวัดไม่เป็นอย่างนี้ ทรุดโทรมมากจนไม่มีคนทำบุญ เพราะพระยุคนั้นไม่ดีชอบทำเดรัจฉานวิชา ทำน้ำมันพราย ให้หวย มอมเมาชาวบ้าน วัดเลยเสื่อมเรื่อยจนมาถึงสมัยหลวงพ่อพระครูสถิตสมุทรคุณ ราวปี 2500 ชาวบ้านไปนิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส เพราะเห็นว่าวัดจะถูกยุบ เนื่องจากไม่มีคนดูแล ต้นไม้ขึ้นปกคลุมรก ทรัพย์สมบัติในวัดโดนโจรกรรมไปหมด พระครูสถิตฯ ท่านขอมาดูวัดก่อน พอมาเห็นกุฎีทองซึ่งเป็นกุฎีประวัติศาสตร์ ที่สมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 1 สร้างถวาย เห็นมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากเลยมีใจอยากมาพัฒนาวัดภุมรินทร์ กระทั่งวัดเจริญขึ้นเป็นลำดับ ใช้เวลาอยู่ 2-3 ปี"

พระครูวิมลฯ เล่าเสียงสลดเมื่อบอกว่า "พระครูสถิตฯ ท่านเคยพูดตอนมาอยู่ใหม่ๆ นั่งมองขันข้าวโยมผ่านหน้าวัดไป...คือหมายความว่าโยมเอาขันข้าวลงเรือพาย ผ่านหน้าวัดไปทำบุญที่วัดอื่น ก็สลดใจนะ วัดเสื่อมขนาดเขาไม่ทำบุญกัน.."

" เจ้าอาวาสตอนนั้นท่านเป็นคนเก่ง เป็นนักปกครอง เป็นนักโหรา ศาสตร์ เป็นนักบรรยาย และเป็นหมอรักษากระดูกด้วย คนพื้นที่นี้ขึ้นมะพร้าวกันทุกวัน ตกต้นมะพร้าวก็หามมาให้หลวงพ่อรักษา ท่านก็เลยโด่งดัง เวลาไปหาคนใหญ่ๆ โตๆ ขอเงินมาบูรณะวัด เขาเอาเงินใส่ปี๊บหมากถวายทีละ 2-3 ปี๊บ นับแล้วปี๊บหนึ่งได้ 7-8 หมื่นบาท บางปี๊บเป็นแสน สมัยนั้นเงินหมื่นเงินแสนไม่ใช่น้อยๆ หลวงพ่อจึงสามารถบูรณะวัดได้เป็นอย่างดี ศาลาการเปรียญนี่สร้างแปดเดือนเสร็จ พอเข้าพรรษาชาวบ้านก็มาทำบุญได้เลย" เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเล่าถึงอดีตเมื่อปี 2500

แต่ นั่นเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานมากแล้ว ขณะที่ปัจจุบันวัดภุมรินทร์กุฎีทองได้รับการพัฒนามากระทั่งถึงยุคนี้ พ.ศ.2552 วัดภุมรินทร์กุฎีทอง จะได้รับการยกย่องเป็น "วัดตัวอย่างการพัฒนาดีเด่น" จังหวัดสมุทร สงคราม

วัดภุมรินทร์กุฎีทอง จึงนับเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรมไทย "ของดี" อีกแห่งของสมุทรสงคราม

วัดภุมรินทร์กุฎีทอง แหล่งรวมโบราณวัตถุยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

นอก จาก "กุฎีทอง" ที่สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 1 สร้างถวายวัดบางลี่น้อยไว้แต่เดิมแล้ว ยังมีเครื่องใช้ส่วนพระองค์ถวายไว้ที่วัดจำนวนมาก ต่อเมื่อรื้อย้ายกุฎีทองไปไว้ที่วัดภุมรินทร์ ซึ่งสร้างโดย น.ส.ภู่ เมื่อ พ.ศ.2431 ทำให้วัดภุมรินทร์ มีสร้อยต่อท้ายชื่อเป็น "วัดภุมรินทร์กุฎีทอง" มาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งของโบราณวัตถุมากมายในวัดภุมรินทร์กุฎีทอง ล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าอายุหลายร้อยปี เช่น รอยพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปนับร้อยองค์ ส่วนมากเป็นพระที่ชาวบ้านนำมาถวายวัดเป็นพุทธบูชาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

" พระเนรมิตร นิยมเวช" พระลูกวัดที่ทำหน้าที่วิทยากรประจำพิพิธภัณฑ์ เล่าว่า เดิมชาวบ้านเรียกว่าวัดปากคลอง เพราะอยู่ปากคลองพอดี พอน.ส.ภู่คหบดีมาสร้างวัดก็เลยให้ชื่อเหมือนเจ้าของคนสร้าง

"ว่ากัน ว่าพระพิฆเณศของที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ใครมาขอในเรื่องหน้าที่การงานจะได้สมปรารถนาทุกคน เท่าที่เขามาทำบุญเขาบอกอาตมาเช่นนั้น จนกลายเป็นว่าใครมาทำบุญก็มาขอกับท่านในเรื่องงาน เท็จจริงอย่างไรต้องพิสูจน์เอง"

วัดแห่งนี้มีเนื้อที่ 52 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา เก็บพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธรูปเชียงแสน ทวารวดี ศรีวิชัย แต่พระยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นมากที่สุด เดิมมีมากกว่านี้แต่ถูกโจรกรรมสมัยที่มีข่าวขโมยพระตามวัดต่างๆ พระที่วัดก็โดนด้วย อย่างองค์ที่เป็นพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา โจรขนไปไม่ไหวทิ้งไว้ริมตลิ่งข้างแม่น้ำ เอากลับมายังเปื้อนโคลนอยู่ ไม่กล้าขัดออกเพราะกลัวรักปิดทองจะลอกออกหมด

หรือตู้เก็บพระไตรปิฎก ก็สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นของดั้งเดิม ลายลบเลือนแทบจะหายหมดแล้ว ของทั้งหมดในนี้กรมศิลปากรมาสำรวจแล้ว บางส่วนก็ขึ้นทะเบียนแล้ว แต่บางส่วนก็ยัง

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องถ้วยลายคราม เครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ และตราประจำรัชกาลที่ 1 เป็นตราที่ทำจากงาช้าง ซึ่งเจ้าอาวาสเป็นผู้เก็บรักษาไว้

ตลาดวัฒนธรรม ศูนย์เรียนรู้"หุ่นกระบอก"

ร่วมพิธีไหว้ครูใหญ่ 12 เมษายน 2552


เพียง เวลาไม่ถึงสองเดือน "ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทย ชฎานางหุ่นกระบอก" ของ ครูปิ๊ก-คชาภรณ์ สำราญใจ บัณฑิตจากเพาะช่างสาขาศิลปะประจำชาติ ที่ดั้นด้นมาเปิดสอน "การเชิดหุ่นกระบอก" ให้กับลูกหลานของชาวบ้าน ต.สวนหลวง อ.อัมพวา ก็คืบหน้าไปมากมายจนคนเป็นครูอดปลื้มใจกับลูกศิษย์ตัวน้อยไม่ได้

" ครูปิ๊ก" เธอเล่าความเป็นมาให้ฟัง ว่ามาเปิดสอนที่นี่ โดยมาติดต่อกับเจ้าอาวาส เพราะทราบว่าท่านเป็นพระที่รักในศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งเมื่อมาถึงก็ไม่ผิดหวังได้รับการสนับสนุนอย่างดี และยังช่วยประกาศไปยังผู้ปกครองที่อยากให้ลูกหลานมาเล่าเรียนการเชิดหุ่น และยังเป็นผู้หาทุนมาสนับสนุนในโครงการ โดยติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ ทั้ง อบจ. อบต. และหน่วยงานเอกชนอื่นๆ จนได้เงินงบประมาณจำนวนหนึ่งมาทำโครงการ

" โครงการมีชื่อว่า โครงการร่วมศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทยสร้างสายใยให้เยาวชน เป็นการสอนฟรี เด็กๆ ให้ความสนใจมากและตั้งใจจริง สอนไม่นานก็จับหุ่นกันได้แล้ว อาจเป็นเพราะเด็กๆ มีพื้นเดิมอยู่แล้วในเรื่องของจังหวะ เพราะเขาเรียนดนตรีไทยที่บ้านดนตรีไทยมาก่อนแล้ว จึงไม่ยากในการสอน ส่วนมากเป็นเด็กในพื้นที่ ในชุมชน มาจากโรงเรียนต่างๆ ละแวกนี้ ซึ่งเรารับสอนตั้งแต่ 8 ขวบก็สามารถเล่นได้แล้ว การสอนก็ฟรี เสียแต่ค่าครู 12 บาท"

"วันที่ 12 เมษายนนี้ เราจะจัดพิธีใหญ่เป็นการไหว้ครูประจำปี จะมีพราหมณ์มาทำพิธีและครอบครูให้กับเด็กๆ ที่เรียน มีพิธีบายศรี มีคนสำคัญๆ มาร่วมงานทั้งจากจังหวัด อบต. และ อบจ. เป็นงานใหญ่ของเรา" เสียงครูปิ๊กเล่าอย่างร่าเริง

"เราตั้งความหวังไว้ว่าสิ้นเดือน เมษายนนี้เราจะมีคณะหุ่นกระบอกบ้านดนตรีไทย ตั้งใจแบบนั้นจริงๆ ละครที่นำมาเล่นจะเน้นละครนอก เพราะชาวบ้านสามารถดูได้ เช่น สังข์ทอง พระอภัยมณี นำมาดัดแปลงบท ใส่คำพูดที่ปรับให้เข้ากับชาวบ้าน ให้บรรยากาศเข้ากับพื้นที่ ทุกอย่างเราทำเองหมด เขียนบทเอง ซ้อมเอง สอนเด็กๆ ให้เล่น ทำหมดทุกอย่าง"

สำหรับตัวครูปิ๊กเองนั้น เธอว่า "เพราะใจรักถึงมาทำที่นี่ อยู่ที่นี่ แม้ว่าจะไม่ได้เงินทองมากมายอะไร ก็ไม่คิดที่จะเลิกทำ

" ชีวิตที่ผ่านมาเคยทำธุรกิจ ได้เงินเยอะแยะแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขเลย-เลยถอยหลังมาคิดใหม่ มาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ทุกครั้งที่ได้จับตัวหุ่นสอนเด็กๆ เหมือนมีวิญญาณครูเข้าสิง มีความสุขมาก"

หน้า 20



หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 10, 2009, 05:09:56 AM
รื่นรมย์และร่มรื่น

มีรูปของกินที่อัมพวามาฝากกกกก


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 10, 2009, 05:19:16 AM
ถึงคนจะเยอะ แต่ก็มีพี่สายตรวจจักรยาน ทำหน้าที่ดูและความปลอดภัย


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 10, 2009, 05:22:30 AM
มุมเงียบๆ ก็มี  


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 10, 2009, 05:25:55 AM
พายยางเล่น


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: WayfarinG ที่ เมษายน 10, 2009, 05:26:41 AM
เคยไปอัมพวา เมื่อหลายปีก่อน รู้สึกว่าเป็นที่ที่น่ารักมากๆ .. หลายปีให้หลัง ไปอีกรอบ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่อย่างว่า ความเจริญไปที่ไหน ความเสื่อมโทรมก็ตามไปติดๆ ..

รถจากที่ขับกันสบายๆ ติดยิ่งกว่า กทม เพราะ เป็นถนนเลนเดียว ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการรอและรอ ..  :-[

เคยพูดเสมอๆ ว่า คนท้องถิ่น ถ้าไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อบ้านตัวเอง การจะมาเรียกร้องให้คนอื่นช่วย มันก็ยังงัยๆ อยู่อะจ๊ะ ..  :)


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 10, 2009, 08:13:29 AM
นอกจากหาอาหารรับประทานแบบจานด่วนริมน้ำและทัวร์ตลาดน้ำแบบทัวร์ชะโงกแล้ว

อัมพวาและพื้นที่ใกล้เคียงก็มีความน่าสนใจทางวัฒนธรรม และสัมผัสธรรมชาติอย่างยั่งยืนอีกหลายอย่าง


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 10, 2009, 08:17:24 AM
พอมี พอ กิน พอ เพียง มานาน แสนนาน ก่อนจะเห่อ กระแส พอเพียงแต่ปาก


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 10, 2009, 08:21:14 AM
ทั้งสองศาสนา พร่ำสอนให้คนทำความดีมานับพันปี



หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 10, 2009, 08:23:07 AM
ไม่รู้ไปเอาความคิด ชอบโกงมาจากใหน หรือเป็นธรรมชาติ ที่ต้องไหลลงสู่ที่ต่ำ ที่เรียกว่า ใฝ่ต่ำ


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 10, 2009, 08:25:53 AM
ก่อนจะเบื่ออัมพวา ขอถามว่า รู้จักอัมพวาดีแล้วหรือ

และได้ทำอะไรให้อัมพวา และบ้านตัวเองดีขึ้นแล้วหรือยัง

สวัสดีปีใหม่


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 10, 2009, 09:32:28 AM
ชอบรูปสุดท้ายค่ะ คุณ NUdie

และไม่เคยเบื่ออัมพวาเลย
4 ปี จากที่ขับรถหลงไปเที่ยว แบบชนิดอัมพวาเริ่มต้น โคตรเงียบบบ
จนไปนอนค้าง ไปเที่ยวรอบๆ
และพาคนอื่นไป ตอนนี้ก็นับครั้งไม่ถ้วน...เป็นไม้ตายไม่มีอะไรก็ไปเดินเล่น

ถึงแม้จะเปลี่ยนไปเยอะมาก
บ้านสวยๆ เงียบๆ หายไป
ต้นไม้ริมคลองน้อยลง
ถึงคนจะเยอะจนเบียดเสียด

แต่ก็เห็น ชุมชนคนรักอัมพวา
พยายามที่จะพัฒนาและแก้ไขปัญหาตลอด

ไม่เบื่อค่ะ เห็นความเจริญแล้วเครียด แต่ไม่เบื่อ
รักอัมพวา และเป็นกำลังใจให้ชุมชนค่ะ :-* :-* :-* :-* :-*



 


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 10, 2009, 09:36:03 AM
แถมท้าย
วารสาร มนต์รักแม่กลอง
นอกจากที่อัมพวา และสมัครสมาชิก
หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์  :-* :-*

จะได้รู้ว่า ....คนอัมพวาเขานึกคิดกันอย่างไร


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: วาฬเผือก^^ ที่ เมษายน 10, 2009, 10:53:47 AM
เคยไปอัมพวาเมื่อ 2 ปีก่อนค่ะ
ไปแล้วก็ได้ตกหลุมรักอัมพวาเข้าอย่างจังเลยค่ะ

ชอบบรรยากาศสบายๆและเป็นกันเองของที่นั่นมากๆเลย

นี่ยังคิดๆอยู่เลยค่ะว่า จะหาโอกาสไปอีกซักรอบ  :)

(http://images.mantafamily.multiply.com/image/6/photos/3/500x500/40/AMPHAWA-40.jpg?et=EK9vgt9G9Ld1kMqFC5jgmQ&nmid=68648505)


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: milo 15 ที่ เมษายน 10, 2009, 11:12:20 AM
     เมื่อ จันทร์ที่ ๖ เม.ย.ที่ผ่านมานี้ ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่อัมพวา  บ้านเป็นเรือนไทยหลังใหญ่ อยู่ตรงข้ามกับวัดภุมรินทร์กุฎีทอง โดยมีถนนกั้นกลาง  หน้าบ้านติดคลองบางลี่   รอบบ้านเป็นสวนลิ้นจี่ และไม้ผลประจำถิ่น อื่น เช่น ส้มโอ พันธุ์ขาวใหญ่ ที่ขึ้นชื่อของ แม่กลอง  แต่ก็ยังมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้วย  คือเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ผมเอา มะม่วงยายกล่ำ ซึ่งเป็นมะม่วงดังเก่าแก่  ประจำถิ่นของ อ.บางใหญ่  นนทบุรี  ไปให้เพื่อนปลุกไว้ริมรั้วบ้าน  ไปตอนนี้เพื่อนบอกว่า ออกลูกให้ทานแล้ว ๙ ลูก  ผมถามว่ารสชาดเป็นอย่างไรบ้าง ( เพราะเกรงว่ารสจะเพี้ยน เพราะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน อากาศ และ น้ำฯ )  เพื่อนก็อธิบายให้ฟัง  สรุปว่ารสชาดใช้ได้ ไม่เพี้ยน  ถ้าจะให้แน่ ปีหน้าต้องมาชิม
      เพื่อนเป็นนักดนตรีไทย ศิษย์เอกคนหนึ่ง ของท่านพระยาภูมีเสวิน ( จิตร จิตรเสวี ) ด้านซอสามสาย   สามี ก็เป็นนักดนตรีไทยเช่นกัน   ที่ไปคราวนี้เพราะเพื่อนให้ไปเอาลิ้นจี่  และมะพร้าวซอ ที่เพาะไว้ให้ ๓ ต้น  รวมทั้งชำมะเลียงขาว อีก ๒ ต้น  ทั้งหมดนี้ผมจะเอาไปปลูกที่ บ้านที่พะเยา ครับ
      เพื่อนได้ชี้ให้ดู บ้านเรือนไทยชั้นเดียว ค่อนข้างเก่า เพราะร้างคนอยู่ มานานแล้ว แต่สภาพดี ติดริมน้ำข้างบ้าน ว่าเป็นบ้านเดิมของ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์  ปรมาจารย์ด้านดนตรีไทย คนหนึ่งที่คนแม่กลองภูมิใจมาก    ว่าได้ซื้อไว้แล้ว และกำลังวางแผนปรับปรุงใหม่ อาจจะทำเป็นโฮมสเตย์  เพราะทำเลเหมาะมาก  รวมทั้งมีต้นลำพู ซึ่งหิ่งห้อยจะมาเกาะมากมายทุกคืน ไม่ต้องพายเรือไปดูที่ไกลๆ  ให้เป็นที่รำคาญของชาวบ้านใกล้เคียงด้วย  
      ผมคุ้นเคยกับ แม่กลอง มานานแล้ว  ปี ๒๔๙๗  เคยตามพี่ชายและพี่สะไภ้ไดยนั่งรถไฟ จากวงเวียนใหญ่ ไปแม่กลอง ไปบ้านพี่สะไภ้ ซึ่งอยู่บางจะเกร็ง  โตขึ้นก็ไปบ่อยๆเพราะมีเพื่อน อยู่แม่กลอง หลายคน    จนทุกวันนี้ก็ไปปีละหลายครั้งครับ.....


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: marine_wi ที่ เมษายน 16, 2009, 09:06:29 AM
หลากหลายคนก็หลายความประทับใจ
ดีใจจังค่ะ  ที่อัมพวาเป็นที่อบอุ่นของหลายคน

ถ้ามีโอกาสจะไปแน่ๆค่ะ :-*


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกปีบ ที่ เมษายน 16, 2009, 09:33:54 AM
คิดขึ้นมาลอยๆว่า "อืมม์ .. น่าจะนัดกันไปเที่ยวอัมพวา นอนค้างที่นั่นกันซักคืนเนอะ"  :P

ไปท่องเที่ยวถ่ายรูป
ไปเยี่ยมชมตลาดยามเย็น
ไปนั่งเรือชมหิ่งห้อย
ไปพักบ้านริมฝั่งน้ำ

 ;D


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: Oo ที่ เมษายน 16, 2009, 02:02:39 PM
ไปดิ


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๊กแกผา ที่ เมษายน 18, 2009, 04:44:14 AM
ไปด้วยๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 20, 2009, 07:53:06 AM
ไปร่วมฉลอง Easter ที่อาสนวิหารแม่พระบังเกิด ที่มีอายุกว่าร้อยปี
เป็นศิลปะแบบโกธิคประดับกระจกสี ผนังฉาบด้วยปูนตำกับน้ำเชื่อมจากอ้อย


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 20, 2009, 08:00:41 AM
หากไปเยี่ยมอัมพวา อยากได้บรรยากาศไม่พลุกพล่านมาก
 
ลองเลยไปอีกหน่อยที่วัดเกาะแก้ว ชุมชนคลองบางน้อย

ที่บางน้อยคอยรัก จะมีงานแสดงภาพวิถีชุมชน เปิดวันที่ ๙ พค นี้ เวลา ๑๕ ๐๐ น


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: nudie ที่ เมษายน 20, 2009, 08:39:16 AM
......


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกปีบ ที่ เมษายน 20, 2009, 11:36:22 AM
บางน้อยคอยรัก น่าไปจริงๆ  ;D


หัวข้อ: Re: เบื่ออัมพวา
เริ่มหัวข้อโดย: ตุ๊กแกผา ที่ พฤษภาคม 01, 2009, 02:47:31 AM
 :) :) :)
อยากไปๆๆๆๆๆๆๆ ไปชวนพี่น้องสามเกลอ&ท่านหัวหน้าก่อนดีกว่า5555555
ว่าแต่ว่า...จะว่างพร้อมกันเมื่อไหร่หล่ะเนี่ยยยย
อยากไปๆๆๆๆๆๆๆ