กระดานข่าว Save Our Sea.net

ไม่มีอะไรมากหรอก..พักนี้รู้สึกว่า..เรื่องบ้านเมือง..เรื่องศาสนา..เรื่องสิ่งแวดล้อม..ล้วนแต่ร้อนระอุกันทั้งนั้น.. :(

วันว่าง..ก็เลยไปวัดไหว้พระให้ใจเย็นๆ ซักกะหน่อยและผลพลอยได้คือ  :D

วัดแรก - วัดอินทารามวรวิหาร หรือวัดบางยี่เรือนอก วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา วัดแห่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในสมัยกรุงธนบุรี โดยหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี

พระองค์ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแต่จะทรงบูรณะวัดแห่งนี้เท่านั้น พระองค์ยังทรงเสด็จมาประกอบพระราชกุศล และปฏิบัติกรรมฐานอยู่เสมอๆ โดยยังมีพระราชอาสน์ที่พระองค์ทรงประทับทรงศีลอยู่ภายในวัดด้วย

เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2325 ได้อัญเชิญพระบรมราชอัฐิมาบรรจุ ณ พระเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมยอดบัว หน้าพระอุโบสถเก่า ต่อมารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดนี้ใหม่ และพระราชทานนามว่า วัดอินทาราม

หน้าบันพระวิหาร (พระอุโบสถเก่า) เจาะหน้าต่างใหญ่สะท้อนแบบแผนพระราชนิยมในสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางตรัสรู้ ใต้องค์ประดิษฐานพระบรมราชสรีรังคารของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

ส่วนในพระวิหารน้อย หรือพระวิหารพระเจ้ากรุงธนบุรี ประดิษฐานพระแท่นบรรทม ซึ่งเคยทรงใช้ประทับทรงธรรมและทรงกรรมฐาน พระแท่นทำด้วยไม้ พนักแกะด้วยงาช้าง ลายพุดตานประกอบใบ ฝีมือประณีตงดงามมาก

วัดต่อมา วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดแรกหลังจากทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ เพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระอัครมเหสีพระราชเทวี และเจ้าจอมพระสนมเอกของพระองค์

วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 7 (เอิ๊กกก..เพิ่งรู้แฮะ..)

พระพุทธอังคีรส ประดิษฐานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปหล่อปางสมาธิผิวเป็นทองคำทั้งองค์ ภายใต้ฐานชุกชีเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 7

การวางตัวของพระอุโบสถกับพระวิหารเป็นแบบวัดพระปฐมเจดีย์ คือวางแนวทิศตรงกันข้าม โดยด้านข้างจะมีทางเข้าไปในรอบ ๆพระเจดีย์ ข้างในพระเจดีย์มีพระพุทธรูปปางนาคปรกอยู่ด้วย ซึ่งเล่ากันมาว่าขุดพบใต้ต้นตะเคียนริมคลองหลอด ซึ่งเชื่อกันว่าคนที่อยากมีลูกมาขอพรก็จะมีลูกสมใจ ภายในพระเจดีย์ยังมีทางขึ้นไปบนฐานเจดีย์ด้วย ในอดีตสามารถมองเห็นภูเขาทองได้ด้วย

ต่อจากนั้น..เราก็เดินข้ามถนนมาที่วัดราชประดิษฐ์..ไม่น่าเชื่อเลยว่า..อยู่แถวบ้านแท้ๆ..ไม่เคยเข้าไปเลย.. เหมือนที่เค้าว่าไว้.. ใกล้เกลือกินด่าง ..

 วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็น พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ข้างสวนสราญรมย์ เป็นวัดที่รัชกาลที่ 4  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างขึ้น  เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๗   เพื่อเป็นวัดธรรมยุตินิกาย เพื่อให้เจ้านายและข้าราชการทั้งฝ่ายนอก และฝ่ายใน  ได้บำเพ็ญกุศลกันได้สะดวกขึ้น   

ภายในพระวิหารหลวงมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นภาพเขียนด้วยสีฝุ่น เขียนขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

 :-* :-* :-*  โอ๊ย สวยโดนใจอีกแล้น  :-X

ขอบคุณที่น้อง way พาเข้าวัด  ใจจะได้หายรุ่มร้อนเสียบ้าง ....

 :D ภาพสวย เรื่องเจ๋ง ฝีมือสุดยอด....

ขอคารวะ ด้วย กาแฟดำ 1 จอก เอื๊อกกกกกกก....

จากแฟนคลับหมายเลข 1""" 
 :-*

กรุณาอ่าน ด้วยเทคนิคพิเศษ 5555555 :)

หายร้อนทั้งกายและใจเลยเนอะ ฝนตกแล้วเมื่อวาน ค่อยยังชั่วหน่อย  :o

สวย....ถูกใจ...ได้สาระ....ใกล้พระใกล้วัด ทำให้จิตใจชุ่มชื่นดีแท้

ขอบคุณน้อง  WayfarinG มากๆค่ะ

 :-* :-* พี่พี่น้องน้องว่ามะว่า นับวันศาสนาเราจะถอยหลังเข้าคลอง



..ที่เค้าว่า 'river is no return.' ก็ไม่จริงอะซิ..เพราะ..ศาสนาเรามีเกียร์ถอยหลังด้วยหละ..มิได้มีเจตนาลบหลู่หรือดูหมิ่นนะจ๊ะ..อย่าได้เข้าใจผิด.. เพียงแต่สงสัยว่าทำไม..เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถึงได้เป็นอย่างงี้..

..เข้าใจว่า..ทุกสังคม..มีทั้งคนดีและคนไม่ดี..แต่ทำไมตอนนี้คนไม่ดีมันเยอะแยะเต็มไปหมดขนาดนี้หละ... :( :'(

อยู่แถวๆปากแม่น้ำที่ติดทะเล มีน้ำขึ้นน้ำลง น้ำจืดลงยังไม่พ้นปากอ่าว....River could be returned ได้จ้ะหนูพิงค์

สมัยนี้...."คนปากว่า ตาขยิบ"  และ ประเภท "มือถือสาก ปากถือศิลป"  อยู่กันเต็มบ้านเต็มเมืองไงคะ บ้านเมืองถึงได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่

ขอบคุณน้อง WayfarinG สำหรับภาพวัดสวย ๆ ที่นำมาฝากกัน องค์ประกอบภาพและแสงเจ๋งมาก ๆ ครับ มีอีกไหมล่ะครับ  :D

เดี๋ยวขออนุญาตไปค้นภาพและข้อมูลเก่าเกี่ยวกับวัดในกทม. มาลงต่อในกระทู้ของน้อง WayfarinG ด้วยนะครับ จะได้เป็นเรื่องราวในหมวดหมู่เดียวกัน   ;D

ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยจ้า พี่เสือดาว..เอาภาพสวยๆ และเรื่องราวดีๆ มาให้อ่านเร็วๆ นะจ๊ะ.. :)

   :( >:( :'( :'( :'(

ถ่ายรูปเก่งจัง คุณ Wayfaring สวยทุกภาพเรยยยย
ขอปรบมือให้จ้า  :D :-*

สวยดีครับ เล่นภาพมุมต่ำทำให้เห็นความสวยงามซึ่งปกติจะไม่ค่อยได้เห็น
วางตำแหน่ง PL ตัดแสงท้องฟ้าออกมาได้สวยมากครับ

หนูติ่งเข้าใจเล่นสีตัวอักษรนะเหมือนเล่นกระดาษที่เขียนด้วยหมึกล่องหนเลย ;)

ขอบคุณคร๊าบบ.. :-*

พระศรีศากยมุนี(หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริดสมัยสุโขทัยอายุกว่า ๖๐๐ ปี ซึ่งชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย  

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

อยู่ที่ถนนสนามไชย ข้างพระบรมหาราชวัง เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม วัดนี้ถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ทั้งหมด และได้นำเอาตำราวิชาการด้านต่างๆ มาจารึกไว้โดยรอบ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน

พระวิหารพระพุทธไสยาส เป็นพระวิหารที่สร้างเพื่อประดิษฐานพระพุทธไสยาส รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้าลดาวัลย์)ทรงกำกับช่างสิบหมู่สร้างพระพุทธไสยาสขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลังองค์พระพุทธไสยาสก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองด้านพระพักตร์สูง ๑๕ เมตร ทอดพระองค์ยาว ๔๖ เมตร ที่พระบาทสูง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตรพระบาทประดับมุกภาพมงคล ๑๐๘ ตรงกลางเป็นรูปกงจักรตามตำรามหาปุริสลักษณะ นับเป็นพระพุทธไสยาสที่งดงามที่สุดในประเทศไทย  

เรามาปิดท้ายวัดโพธิ์ ท่าเตียน กันที่ภาพจากนอกกำแพงขาว หน้าซุ้มประตูทางเข้าซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน มีตุ๊กตาหินจีนประจำอยู่ประตูละคู่ มองเห็นส่วนหนึ่งของพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสองเพิ่มมุมสูง ๔๒ เมตร ประดับกระเบื้องเคลือบและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่าง ๆ งดงามมาก ประกอบด้วย

1. องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว นามว่า พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เพื่อครอบพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่สูง ๑๖ เมตร ได้ชะลอมาจากพระราชวังที่กรุงศรีอยุธยา ภายในบรรจุพระบรมธาตุ นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑
2. องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว นามว่า พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชอุทิศถวายแด่พระบรมราชชนก คือรัชกาลที่ ๒ นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๒
3. องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง นามว่า พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชถวายอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระองค์
4. องค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือน้ำเงินเข้ม เป็นพระมหาเจดีย์ที่รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างขึ้นตามแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย กรุงศรีอยุธยา นามว่า พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 

วัดอรุณราชวราราม พระปรางค์องค์ใหญ่ที่สุดของประเทศ

เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ตามชื่อ ต. บางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ชื่อ "วัดมะกอกใน" ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น "วัดแจ้ง" เพราะเป็นจุดซึ่งสามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าได้ชัดเจนและงดงาม และเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง   

พระปรางค์วัดอรุณ เป็นศิลปะขอมโบราณ คือมีปรางค์ใหญ่ตรงกลาง และมีปรางค์เล็กรายล้อมข้าง ๆ ซึ่งมีความหมายถึง เขาพระสุเมรุอันเป็นที่ประทับของพระอินทร์

ตัวพระปรางค์สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ “กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” เป็นแม่กองในการสร้าง แต่จากหลักฐานที่ปรากฏ มีการสร้างเพิ่มโดยขยายความสูงจาก ๘ เป็น ๓๔ วาในสมัยรัชกาลที่ ๓ จึงถือได้ว่ารูปแบบปรางค์ที่เห็นในปัจจุบัน เป็นงานที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ อย่างแท้จริง

รูปแบบของปรางค์วัดอรุณ จัดได้ว่าเป็นวิวัฒนาการที่สำคัญที่สุดของสายเจดีย์ทรงปรางค์ เพราะเป็นรูปแบบเดียวที่เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๓) คือ เพิ่มขนาดและความสูง และจัดว่าเป็นปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย     

องค์พระปรางก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ และลายอื่น ๆ กระเบื้องเคลือบสีที่ใช้ประดับนี้ บางแผ่นเป็นรูปลายที่ทำสำเร็จมาแล้ว บางแผ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนำมาประกอบเข้าด้วยกัน บางลายใช้กระเบื้องเคลือบธรรมดา บางลายใช้กระเบื้องเคลือบสลับเปลือกหอย และบางลายใช้จานชามของโบราณที่มีลวดลายงดงามเป็นของเก่าหายาก เช่น ชามเบญจรงค์ เล็กบ้างใหญ่บ้างมาสอดสลับไว้อย่างเป็นระเบียบ   

แล้วก็ถึงเวลาลาจากแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี ข้ามแม่น้ำกลับฝั่งพระนคร

ยังมีอีก ๑ วัดสำคัญรออยู่ที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำ ไว้มีโอกาสและเวลาจะไปนำภาพกลับมาลงให้ได้ชมกัน  :D

ป.ล. ภาพอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ  :)   

ขอบคุณมากครับ น้องเสือดาว ที่มาช่วยพาพี่ๆน้องๆเข้าวัดเข้าวาสงบจิตใจกัน ....

มีรูปยักษ์ 2 วัดให้ดูด้วย คือ ยักษ์วัดแจ้ง ซึ่งเป็นยักษ์ไทยแบบรามเกียรติ์  และยักษ์วัดโพธิ์ เป็นยักษ์จีน ..... ตามตำนานเล่าว่า ยักษ์ 2 วัดนี้ ถือคนละสัญชาติ อยู่กันคนละฝั่งแม่น้ำ ไม่ค่อยถูกกัน ทะเลาะกันเป็นประจำ วันหนึ่งทะเลาะกันถึงขั้นยกพวกตีกันอย่างหนัก ปลุกปล้ำกันพัลวัน จนอะไรต่อมิอะไรพังเสียหายหมด บริเวณที่ต่อสู้กันนั้นราบเตียนไป จึงได้ชื่อว่า "ท่าเตียน"

จริงๆแล้ว ยักษ์จีนนั้นคือ ตุ๊กตาหินอับเฉา ที่เรือสินค้าไทยเมื่อนำสินค้าไปส่งเมืองจีนแล้ว สินค้าที่นำกลับมาอาจจะน้อย จึงต้องซื้อพวกตุ๊กตาหินใหญ่บ้างเล็กบ้าง มาถ่วงห้องอับเฉาท้องเรือให้หนักไว้  เวลาใบเรือโดนลมจัดๆจะได้ไม่โยกจนล่ม พอกลับมาถึงบางกอกแล้วไม่รู้จะนำไปไว้ไหน ก็นำมาถวายวัดซะเลย

หน้าที่หลักๆของยักษ์ทั้งหลายที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าวัดหรือโบสถ์หรือวิหารคือ ทำหน้าที่เป็นทวารบาล หรือ ผู้เฝ้าประตู ไม่ให้สิ่งชั่วร้ายผ่านเข้าไปได้นั่นเองครับ
 

 :-* ขอบคุณพี่เสือดาวมากๆ เลยค่า..ที่เอารูปงามๆ มาให้น้องๆ และ พี่ๆ ได้ชมกัน.. :D


งั้นเราเอามาตั้ง..ตามด่านทั่วประเทศไทยเลยดีมั๊ยคะ..พวกสิ่งชั่วร้าย..จะได้เข้ามาไม่ได้.. :P

หนับหนุน ๆ ๆ ๆ ๆ ด้วย หากมีไม่พอ จะขอภาษีเราที่เสียไป เอาไปซื้อเพิ่มให้ดีไหมจ๊ะ

ภาพวัดสวยๆทั้งนั้นเลย....ขอบคุณน้องเสือดาวค่ะ

เห็นแล้วอยากไปทำบุญอีกแล้วนะคะ... :)

น่าหาเวลาไปทำบุญกันเนอะ..ถามทิดวิทย์..ดีกว่า.. 8)

ขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกท่านที่แวะเขามาชมภาพวัดใน กทม. กันนะครับ...  ;D

พาทัวร์วัดทั้งที่ ขอฝากภาพดอกของต้นสาละ ต้นไม้ในพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพานไว้ให้ชมกัน ถ้ามีเวลาและโอกาสจะหาภาพจากวัดอื่น ๆ มาให้ได้ชมกันอีกครับ  8)  

ไปวัดกันดีก่า   ;D ;D ;D

เร่งปลูกต้นสาละกันดีกว่า..เผื่อ..คนไม่มีสาระ จะได้มีสาระกะเค้าบ้าง... :(

 :-X :-X :-X

สาละ.....สาระ....อ๊ะเข้าที