กระดานข่าว Save Our Sea.net

ความเดิมตอนที่แล้ว.......
http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?topic=221.0

กลับมาแล้วค่ะ หลังจากต้องหัวฟู หลายวัน...
ติดตามกันแบบบนบกแห้งๆๆ นะคะ... :D

 :)
ก่อนมา SNR    ได้วางแผนสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวไว้เยอะมาก แต่เมื่อได้คุยพี่ปูตู แท๊กซี่กิตติมศักดิ์ของเราแล้ว  ความเป็นไปได้ มีถึง 70-80% ดังนั้น เราจะต้องวางแผนการเที่ยวให้ รัดกุมเป็นเส้นทางเดียวกัน และ ในแต่ละที่ใช้เวลาไม่เยิ่นเย่อ เกินไป จึงได้พยายามจัดการเที่ยวออกเป็น 2 วันตามสภาพคือ

วันแรก จะขึ้นไปทางเหนือของอุบุด ไกลสุดที่ Kitamanee และไล่ลงมา

ส่วนอีก 1 วัน ก็จะลงมาที่ ด้านใต้ มาทางอุลูวาตู ทานาล็อต และ เท่าที่สภาพจะเอื้ออำนวย

แต่ข้อแม้ของเรา ก็ ไม่เน้นสถานที่ เป็นที่แหล่งผลิตและขายของ   ซึ่งเราได้บอกพี่ปูตูไว้ก่อนแล้ว แต่หากเป็นวัด หรือโบราณสถานที่น่าสนใจ ก็จะเข้าไปโลด  :-[

 ;D
ดังนั้น เราสองสหาย จึงได้หลับอย่างสุขสบาย  บนเตียงที่มีที่นอนที่อ่อนยวบ แถมมีน้ำอุ่นให้อาบด้วย สังเกตได้ว่าน้ำอุ่นที่นี้ ใช้ระบบแก๊ส ไม่ใช้ระบบไฟฟ้า และแถมไฟฟ้า ก็น่าจะเป็นหลอดที่ให้แสงสีเหลืองนวลไม่ใช่ เดย์ไลท์ แบบบ้านเรา
(http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?action=dlattach;topic=221.0;attach=4293;image)

 :)
เช้าตรู่ เราสองสหาย ตื่นนอน 6.30 น.  เมื่อเสร็จจาก ภารกิจจาก ล้างหน้าสีข่อย ก็คือ
การออกไปตระเวน หาที่พักใหม่แทน Artini1

 ก่อนออกมาพี่โร่ได้ชี้จุดน่าสังเกตให้เราดู คือ ทางเข้าบ้าน แต่ละหลัง จะมีลักษณะ เหมือน ฉากหิน วางต่อจากประตู ตามหลักฮวงจุ้ย ของพี่โร่ แกบอกว่าเหมือน เป็น ปราการด่านกั้น ความชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาประทะกับตัวบ้านตรงๆ และ เมื่อเข้ามาในบริเวณบ้านแล้ว จะกระจายไปตามเรือนหลังเล็กๆ เป็นที่พักของสมาชิกในบ้าน ที่อยู่รายล้อมบ้านหลังหนึ่งที่เป็นเหมือนท้องพระโรง  ที่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจส่วนกลาง
สังเกตได้ว่า แต่ละหลังจะมี โทรทัศน์ 1 หลังเท่านั้น  ซึ่ง ผิดกับแบบบ้านสมัยใหม่ของเรา

 :)
เมื่อออกจากนอกบ้านแล้ว เราเลี้ยวขวา ผ่านกองขี้หมา กระเล-กระราดประมาณ 10 กอง ก็เห็น การเคลื่อนย้าย อะไรสักอย่าง รีบเรียกพี่โร่ เข้ามาดูเลย ปรากฏว่า เป็นรูปปั้น วัวสีดำ เขาโง้ง ตัวมหึมา และ ที่นั่งแบบพระ ที่เรียกกันว่า”ธรรมาสน์”  ขนาดใหญ่พอควร เห็นแล้ว ก็ร้องอ๋อเลย เพราะจำได้ว่าเป็นลักษณะของงาน Cremation    ณาปนกิจศพ นั่นเอง

 :)
นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเตรียมการแห่ ศพ ช่วงบ่าย และเผาศพเลย เจ้าวัวตัวนี้ ใช้สำหรับ
บรรจุศพไว้ที่ท้อง และเวลาเผา ก็เผาทั้งตัวเลย

เราใช้เวลาถ่ายภาพสักครู่ แล้วก็ เดินย้อนจากถนนหนุมาน ขึ้นไปทางอุบุดพาเลซ เพื่อหาที่พักตามเป้าหมายของเรา หากเราเห็นป้ายโฆษณา แบบนี้ ก็เดินเลี้ยวเข้าไปดูได้เลย จะพบกับ บ้านประเภท Home Stay มากมาย เจ้าของบ้านแต่ะละที่ ก็ใจดีแสนดี ให้เราดูก่อนได้ หากไม่ชอบ ก็จะแสดงอาการ หน้าหงิกงอ ให้เราเห็น (เหมือนบ้าน ครายหว่า......)

 :)
ตระเวนเดินเข้าตามตรอกซอกซอยไปมา เราจะพบถนนที่เป็นลักษณะ แบบเทปูน และ ทำเป็นปฎิมกรรม แบบสลักรายชื่อ ผู้อุปการะคุณ แบบนี้ มากมายตามซอยเล็กๆๆ

และเราก็มาพบ น้องวายัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้าน Sadru House ซึ่งเป็นที่พวกเราตกลงใจที่จะพักอยู่ที่นี้
เพราะ ราคาคืนละ 50,000 Rp (อยากรู้ราคาไทย ก็ x 100/4  เท่านั้นเอง) ซึ่งรวมอาหารเช้า 
และฟรีกาแฟหรือชา ตลอดวันด้วย ซึ่งในรายการอาหารก็มีมาให้เราเลือกหลากหลายเช่นกัน 

เราตกลงกันว่าจะเข้ามาช่วงเย็น เพราะเราจะต้อง Check-out ออกก่อน และ ตระเวนเที่ยวก่อนนั่นเอง น้องวายัน รับปากว่าจะเก็บห้องพักให้เราแน่นอน เฮ้อ สบายใจไป หนี่งเปราะ   

 ;)
ขากลับก็รีบ พรึดจ้ำพรึด รีบกลับมาอาบน้ำ เก็บสัมภาระ กินอาหารเช้า และ รีบจรลี ออกมาทันที 

พี่ปูตูมานั่งรอแล้ว ไม่ผิดเวลาเลยสักนิดเดียว...

ลาก่อน Artini1ที่พักคืนแรกของเรา 8)  8)  8)

 ;D

เดินมางแล้ว..

ตามแผนของเราในวันนี้ ต้องมีรถเก๋งสภาพดี มาให้เรานั่งแทน สีแดงคันเมื่อวาน
และแล้ว โตโยต้า อินโนว่า สีขาว คันใหม่เอี่ยม (http://tbn0.google.com/images?q=tbn:5r4bCMXqzmH1PM:http://www.dancewithshadows.com/images/innova2.jpg)ก็เคลื่อนล้อ ออกไปทางด้านทิศเหนือ
ที่หมายที่แรก คือ กัว กะจา Gua Gajah ;D

 :)
Gua Gajah

กัว กะจา Gua Gajah หรือถ้ำช้าง  ซึ่งอยู่ย่านเกียนย่าร์  ถ้าถามว่าเกียนย่าร์อยู่ไหน  แฮะๆๆ ตอบไม่ได้แฮะ.... ณ ที่นี้เราต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตู คนละ@6,000 Rp เมื่อเข้ามาด้านในก็จะเจอเนินลาดลงไป

ทันใดนั้นก็มีหนุ่มที่ไม่น้อย เข้ามาแนะนำตัว และอาสาเป็นไกด์ โดยขอรับค่าตอบแทนเล็กน้อย แต่เราสองคน ตกลงกันว่า จะไม่เอาไกด์ เพราะ เราอยากได้เวลา ถ่ายรูป มากกว่ามีคนมารอเรา 

เมื่อเราตกลงเดินกันต่อ...มองลงมาก็เจอ กองหินอยู่ด้านซ้ายเป็นซากหินเก่า  ด้านขวาเป็นสระน้ำพุศักดิ์สิทธิ์

 ;)
ก่อนทางเข้าถ้ำมีศาลาเล็กๆ ที่มีเทวรูป เป็นเหมือนพระคเณศร์ ประทับอยู่ ถัดมาเป็นถ้ำขนาดเล็ก ที่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมุ่งมั่นเข้ามาเยี่ยมชม  ถ้ำนี้เดิมเป็นที่ปฎิบัติวิปัสสนาของพระภิกษุและฤาษี ส่วนด้านในถ้ำเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของ พระศิวะ

 :D

 :)

 ;)
บริเวณรอบข้างมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ให้ความร่มเย็นแก่ผู้มาเยี่ยมชม

 ;)
Gunuang kawi

เข็มทิศต่อไป ก็กระโดดไป Gunuang kawi@6,oooRp ก่อนทางเข้ามีร้านขายของเยอะมาก เหมือนกับ ร้านขายของแถวๆ อยุธยา ถิ่นเก่าเลย เดินต่อมาสักพัก ก็เจอบันไดหินขนาดเล็ก เป็นทางลงเข้าไปสู่ด้านล่าง

 ;)
นี่เป็นที่แรกที่เราเจอ นาขั้นบันได แต่ก็ยังไม่เป็นชั้นๆ สักเท่าไรนัก เราติดใจที่จะถ่ายรูปทุ่งนา มากกว่าจะลงไปวัด ที่หุบเขาด้านล่างค่ะ

 ณ เวลานั้น ร้อนพอสมควร เราใช้เวลาที่นี่ไม่นากนัก ก็จรลี จากมา 

จริงๆ แล้ว หากไม่มาที่นี่ ก็ไม่เสียหายอะไร หรอกค่ะ

 ;)

มองไปทางไหนก็จะมีแต่ ศาล หรือสถานที่เค้าไว้บูชาตามหลักศาสนาฮินดูกันทั้งนั้นเลย ไม่เว้นแม้แต่คันนา

แต่ที่นี่ ก็มีงานแกะสลักที่ขึ้นชื่อและมีความละเอียดละออ พอสมควร ทำมาจากกระดูกสัตว์ และ กะลามะพร้าว

สองสหายไม่ซื้ออะไรสักอย่างเลยค่ะ ดูแต่ตาเฉยๆเจ้าค่ะ

 :)
Tirta Empul

เป้าหมายต่อไป เป็น Tirta Empul หรือเราเรียกกันสั้นน้ำพุศักดิ์สิทธิ์  วัดนี้อยู่ในเมือง Tampak Siring ซึ่งเหมือนเดิม คือเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้า คนละ@6,000 Rp ณ ที่นี้ มีผู้คนเข้าไปต่อคิว ในสระ เพื่อที่จะรอรดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์  ด้วยศรัทธา 

 :)

รูปสวยดีครับ
เห็นบ้านเมืองเค้ามีแต่รูปเคารพเยอะแยะแบบนี้นึกถึงฉากหนังการ์ตูนเรื่องSpirit away เลย

 :)
ถัดจากสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นทางเข้าสู่ ปุรา เตอร์ต้า เอมปุล ที่ใช้สำหรับทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เช่นกัน เราพบเห็นผู้คนที่มากับเป็นกลุ่มเพื่อเข้ามาทำพิธีเซ่นไหว้ ตามหลักศาสนาฮินดู
แต่ว่าเราไม่รู้เลยว่า เค้ามาทำพิธีอะไรกันบ้าง เฮ้อ....น่าเสียดาย

 :D

 ;)
สระน้ำที่นี้ สีเขียวมรกตจ้า.....

น้ำพุก็แสนจะศักดิ์สิทธิ์

นึกว่าหนีไปซะแล้ว.. :)..
สมกะที่รอคอย..วันหลังจะตามรอยเท้าผู้ใหญ่บ้างเด้อ..

 ;)
ด้านในก็มีสระน้ำ ที่ใส และเขียวจนเห็นต้นไม้น้ำ และฝูงปลาเล็ก น้ำที่พุงออกมาจากใต้ดิน ทำให้เรารู้ว่า เป็นน้ำที่มีแร่ธาตุเจือปน แต่ในสระนี้ได้ถูกกำแพงสูงเกือบระดับศีรษะ ห้อมล้อมไว้ แสดงว่า ห้ามผู้ใด กระโดดลงไปแน่นอน 

เมื่อได้เวลา เราก็อำลา จากสถานที่นี้ออกมา แต่ทางก่อนออกนี่ซิ ร้านค้าทั้งนั้นเลย ไม่ผ่านก็ไม่ได้ และ ก็ได้ยินเสียงร้องชวนเชิญให้ซื้อหา ทั้งภาษา ญี่ปุ่น ภาษาจีน และสุดท้ายเป็นภาษาไทย ซึ่งผู้ขายก็น่าจะรู้ว่า ไม่ได้แอ่มเงินของสองสหายหรอก...อิอิ

 :)
  :  เจ๊ ๆๆ ซื้อมะ

  : สองสหาย เซย์ โน No  โน และ โน และ non ตลอดเลยจ้า...

 ;)
หิวข้าวแล้ว

เมื่อมาถึงรถก็เป็นเวลาประมาณ เที่ยงแล้ว
ท้องเริ่มร้องจ็อกๆๆๆ เสบียงที่เราตุนมาเริ่มถูกลำเลียง กินในรถ พี่ปูตู บอกเราว่า จะพาไปทานข้าวที่ คินตามาณี

เอาล่ะซิ เข้าล็อก..... เพราะเราทราบมาว่า คนที่มาที่นี้ จะต้องทานอาหารประเภท บุบเฟ่ต์ 
แบบว่า กินข้าวเคล้าบรรยากาศของเทือกเขา นี้นี่เอง...ถึงจะพูดได้ว่ามาเยือนคินตามณีแล้ว

แต่ SNR ว่า หากมีโอกาสอีก จะมาเจาะ คิตามณีแบบในหนัง ดีก่า  เอาเป็นว่า วันนี้ เท่านี้ ก็หรูเริ่ด อลังกาแล้วล่ะ...

 ;)
รถเราวิ่งมาได้สัก ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึง บริเวณตีนเขา Kintamanee
ณ ที่นี้ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมผ่านด่านอีกเหมือนเดิม  คนละ @10,000 Rp 

พี่ปูตูพารถมาจอดที่หน้าร้านอาหารที่มีมากมาย แต่เราจำชื่อร้านไม่ได้ค่ะ
ด้วยอารามหิวแบบแทบจะทานช้างได้ 1 ตัว ...... ต่อรองราคากันเสร็จสรรพ ประมาณ คนละ 110,000 Rp ก็ไปเดินตักอาหารมารับประทาน  อาหารก็มีทั้งพื้นเมือง และ ผักชุบแป้งทอดซึ่งก็ทานได้ค่ะ แถมมีซุปผักร้อนๆ
พร้อมน้ำชา หรือกาแฟ ก็ได้ค่ะ แต่หากจะดื่มน้ำเปล่า ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม

ที่สำคัญ ระดับสองสหายก็ได้ที่นั่งติดระเบียงด้วย ทำให้ได้ชื่นชมบรรยากาศของ เทือกเขา คินตามาณี อย่างเต็มอิ่ม

 :)
หน้าตาของอาหารที่ไปตักมาค่ะ...

 ;)
บริเวณเทือกเขาก็จะเห็นเป็นร่องรอยของลาวา ที่มีการไหลผ่านบริเวณที่ทำกินของชาวบ้านด้วย 
ดูจากร่องรอยแล้ว SNRคิดว่า อีกนานกว่า จะมีการระเบิดของเขาลูกนี้อีก

เมื่อขึ้นมาถึงที่สูงก็พบว่าบริเวณนี้ อากาศค่อนข้างร้อน แต่ก็เย็นสบาย เป็นเพราะลม ที่พัดผ่าน และอากาศในวันนี้ที่ไม่มีเค้าเมฆฝนนี่เอง  ส่วนยอดเขาสูงอีก 2 ลูก ที่อยู่ข้างๆ กัน มีเมฆลอยปกคลุมอยู่ทำให้ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง ด้านล่างเป็นทะเลสาบน้ำจืดบาร์ตู สีเขียวและมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่รายล้อม แต่น่าเสียดายว่า เราไม่มีโอกาสได้ลงไปเยี่ยมชมหมู่บ้านนั้นๆ   (เสียดายอีกแล้วนิ....)

 ;)
มีบางภาพได้บันทึกไว้ ซึ่งเป็นตอนขามา เราได้ถ่ายจากเครื่องเจ้าจำปี ทำให้ได้อีกบรรยากาศ

โดยเป็นมุมสูง เทียม นกเขาเหิน เชียวค่ะ

  :D
เห็นว่า ยอดเขาบางลูก ยังมีควัน ครุกรุน อยู่เลยค่ะ...

 :D
Pura Ulandanu Batur

หลังจากนั้นเราได้ไปแวะที่วัด Pura Ulandanu Batur วัดนี้อยู่บนที่สูง ซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขา 3 ลูกติดต่อกัน ทราบในภายหลังว่าชื่อ แมงกุ เขาเตรา ไตบัง และ เขาโปฮัน  อากาศวันนั้น ร้อนเปรี้ยงๆ ทีเดียว เราก็ยังคงต้องนุ่งโสร่ง เคียนผ้าคาดเอว ไว้เหมือนเดิม เดินเข้าเดินออก ไม่รู้ว่าหรอกว่าตรงไหนที่ต้องห้ามบ้าง ก็เค้าไม่เขียนบอกนี่ เราสองสหายก็สบายโลด

 :D

 :D
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เราถึงถ่ายรูปที่วัดนี้ เยอะมากกกกก

 :D
อาจเป็นได้ที่ วัดนี้ ฟ้าแจ่มมม มาก และอยู่บนที่สูง
ถึงจะร้อนแดด แต่ก็ให้ความรู้สึก ที่เยือกเย็น...

 :D
หรือไม่ก็ ได้เล่นกับแสงแฉกๆ ของพระอาทิตย์...

 :D
และแล้ว ก็ได้ถึงเวลาเดินทางกลับแล้วล่ะ...
เราต้องคืน ผ้าเคียนเอวไว้ที่ประตูทางเข้าเหมือนเดิม อิอิ  ดูเพื่อนเรานุ่งโสร่งซิ อิอิ

 :D
หลังจากนั้น พี่ปูตู พาเรา วนไปดูนาขั้นบันได ที่ไหน ก็ไม่รู้
เนื่องจาก อากาศร้อน เมื่อเข้ามานั่งในที่เย็นๆ ในรถพวกเราก็หลับปุ๋ยไปเลย
ตื่นขึ้นมา ก็ ลงมาถ่ายรูปซะแล้ว อิอิ

 ;)
ตกเย็นหน่อยก็พาเราสองคน ไปที่ ที่กูต้า ในเมือง ซึ่งเป็นแหล่งของเสื้อผ้าสปอร์ตเช่น Rip cure,  Roxy ,O'Neil และยี่ห้อที่เกี่ยวกับกีฬา Surfe มากมาย ณ ที่นี้ เราได้แวะไปที่ อนุสาวรีย์ที่รัฐบาลบาหลีได้สร้างขึ้นเพื่อระลึกผู้เสียชีวิต เนื่องจากการวางระเบิด เมื่อหลายปีที่ผ่านมาด้วย

ก่อนแยกจากกับพี่ปูตู เราได้กำชับเรื่องการท่องเที่ยวของพรุ่งนี้ ในราคาที่ 300,000Rp อีกด้วย เพราะไม่มีเวลาไปหา
บริการที่อื่นอีกแล้ว และพี่แก ก็น่ารักเชียว ไม่บ่น ไม่หือ ไม่อือ ด้วยนะเนี่ย...

 :D

 :D
และในที่สุด เวลาประมาณ 1 ทุ่มครึ่งเราก็มาถึงที่พักของเรา กลับมาด้วยความสะบักสะบอมสุดฤทธิ์

แถมยังได้มีโอกาสไปกินข้าว ที่ร้านอาหารสไตล์บาหลี อีกด้วย เราได้ฝากฝีมือการทำต้มยำสูตรต้นตำรับ ไว้ที่นี้ด้วย
เพราะ เค้าทำได้ไม่เหมือนต้นตำรับ   ตอนแรกเค้าก็ถามเราว่ารสชาติเป็นอย่างไร เราก็บอกว่าไปลองทำมาดูก่อน แล้วจะติให้ฟัง ชั่วไม่ถึงอึดใจ ต้มยำกุ้งตำรับบาหลี ก็มาถึง

รสชาติเค้า จืดมาก ไม่มีเปรี้ยว เผ็ด หรือมีกลิ่น ตะไคร้  ข่า ใบมะกรูดเลย  SNR เล่นประเคนเครื่องเคราและเติมรสชาดให้เค้า และ บอกเค้าว่า นี่เป็นต้นตำรับ ต้มยำกุ้งเชียวนะ  น้องคนเสริฟ์ ก็นำกลับไปบอกแม่ครัว และเราก็ say goodbye

 :Dราตรีนี้ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเรียวแรงของสองสหายที่เหนื่อยอ่อน  พรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไรน๊ะ :D

รออ่านต่อนะจ๊ะ     ผจญภัยสองคน  มันดีนะน้อง 8)

Wow, it's so cool ka.   :-*  :-*

"ว้าวววว...มันเย็นอะไรเช่นนี้...."

ฮิๆ...แปลตามที่น้องMermaid อุทานข้างบนปู้นนน...

สนุกจัง....รออ่านต่อจ้ะ

สำหรับตอนต่อไป จะตามมาในเร็ววันค่ะ
คงจะขึ้นเป็นภาค 3 นะคะ
ขอบพระคุณ ท่านผู้ชมทุกท่านค่ะ น้องพิงค์ พี่เล้ง พี่กบ พี่น้อย พี่จ๋อม น้องเงือกคนสวยค่ะ... :-*

 :) ;) :-*

ต้มยำกุ้ง ต้นตำรับ ที่ไม่เหมือนต้นตำรับ ฮ่าๆ เจอตำรับ Sri_Nuan.Ray เข้าไป อร่อยเลย  :-X

ออกทริปเที่ยวหน้าต้องขอชิมฝีมือต้มยำกุ้งน้องสีนวลหน่อยแล้ว
ส่งภาค3มาต่อเลยนะจ๊ะ ;D

  :D  :-*  :-*