กระดานข่าว Save Our Sea.net

หมวดหมู่ทั่วไป => สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล => ข้อความที่เริ่มโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:50:00 PM



หัวข้อ: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:50:00 PM

ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม. - 'ปลานีโม่' ตายนับพันตัว

(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2007/11/p0108021150p1.jpg)

นักวิชาการทางทะเลตะลึงปะการังอ่อนที่เกาะลันตา-เกาะห้าใหญ่-เกาะรอก-เกาะตะรุเตา ตายเป็นแนวยาวกว่า 200 กม. เปรียบเหมือนภูกระดึงถูกระเบิดหายทั้งลูก ปลาการ์ตูนก็ไม่รอด คาดเหตุช็อคตายเพราะกระแสน้ำเย็นจากภาวะโลกร้อน -กระแสคลื่นน้ำเย็นมีต้นกำเนิดจากหมู่เกาะนิโคบา คลื่นน้ำเย็นที่เข้ามาทำให้อุณหภูมิน้ำลดลง ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดต่ำลงด้วยเป็นสาเหตุให้ปะการังอ่อนและสัตว์น้ำช็อคตาย

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน กล่าวสันนิษฐานว่ากระแสคลื่นน้ำเย็นที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ทั้งนี้ ปกติแล้วอุณหภูมิในทะเลอันดามันจะอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส แต่บางช่วงกลับวัดได้เพียง 15 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้กระแสคลื่นน้ำเย็นนี้จะเข้ามาเป็นช่วงๆ ครั้งละประมาณ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ลงไปดำน้ำเก็บข้อมูล และนับจำนวนปลาการ์ตูนส้มขาวในทะเลบริเวณหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ พบว่า ปะการังอ่อนที่เคยขึ้นเกาะโขดหินสีสันสวยงามก่อนหน้านี้ตายหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณเกาะห้าใหญ่ และหินม่วงหินแดงพื้นที่ดำน้ำที่ดีที่สุดของประเทศไทยซึ่งมีปะการังอ่อนหลากหลายสีสัน ไปจนถึงเกาะรอก เกาะตะรุเตา คิดเป็นระยะทางความเสียหายยาวประมาณ 200 กิโลเมตร

'สภาพที่เห็นคือ หินม่วงหินแดง กลายเป็นโขดหินเปล่าๆ ที่เกาะตะรุเตานั้นปะการังอ่อนหายไปมากกว่าครึ่ง ความเสียหายที่เกิดขึ้นในทะเลบริเวณนี้ ถ้าเปรียบกับสิ่งของบนบกก็เหมือนกับภูกระดึงทั้งภูระเบิดหายไปหมด' ดร.ธรณ์กล่าว

ดร.ธรณ์กล่าวว่า นอกจากปะการังอ่อนตายแล้ว ยังพบว่าปลาการ์ตูนส้มขาวที่ตนกับทีมงานเอาไปปล่อยไว้จำนวน 1,100 ตัว และลงไปนับจำนวนการเพิ่มลดเป็นประจำ พบว่าก่อนหน้านี้มีการเพิ่มปริมาณตามสภาพธรรมชาติ แต่ล่าสุดเหลือปลาการ์ตูนส้มขาวอยู่เพียง 50 กว่าตัวเท่านั้น และทุกตัวที่เหลือนั้นอยู่ในสภาพทรุดโทรม ชอกช้ำ มีริ้วรอยที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผ่านการใช้ชีวิตที่ทรมานอย่างแสนสาหัสมาแล้ว ส่วนปลาเล็กอื่นๆ ก็อยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกัน

ดร.ธรณ์กล่าวว่า ทราบดีว่าการออกมาพูดเรื่องนี้อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เพราะเกาะห้าใหญ่และหินม่วงหินแดงนั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญของแหล่งดำน้ำในประเทศไทย หากเสียพื้นที่ดำน้ำอันดามันใต้ หรือบริเวณตรงนี้ไป จะสูญเสียรายได้มหาศาล แต่ที่ต้องพูด เพราะอยากให้รัฐบาลตระหนักถึงเรื่องการรับมือกับปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง เพราะปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งบนบกและในน้ำ ควรจะให้เรื่องโลกร้อนเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจังแล้ว ไม่ใช่รณรงค์เล่นๆ เพียงแค่เปิดแอร์ 25 องศา หรือใช้ถุงผ้าเท่านั้น

ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงของโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กระแสคลื่นน้ำเย็นนั้นเข้ามาในน่านน้ำไทยเป็นระยะ โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน มีต้นกำเนิดจากหมู่เกาะนิโคบา คลื่นน้ำเย็นที่เข้ามาทำให้อุณหภูมิน้ำลดลงจากเดิมประมาณ 5 องศาเซลเซียส และทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดต่ำลงด้วยเป็นสาเหตุให้ปะการังอ่อนและสัตว์น้ำช็อคตาย

นายสมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานสมุทรศาสตร์ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า เพิ่งเดินทางกลับจากการตรวจสอบสภาวะสมุทรศาสตร์ หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา พบว่ามีมวลน้ำจากทะเลลึกข้างนอกเข้ามาในทะเลอันดามัน ทำให้น้ำทะเลที่ความลึก 20 เมตรลงไปเย็นกว่าปกติ รวมทั้งมีค่าออกซิเจนละลายน้ำต่ำกว่าปกติอีกด้วย

'ช่วงปกติในระดับน้ำลึก 100 เมตรลงไป ปริมาณออกซิเจนจะอยู่ที่ 5 มิลลิกรัมต่อลิตร ไม่เคยต่ำกว่า 2  มิลลิกรัมต่อลิตรเลย ยิ่งระดับน้ำลึก ปริมาณออกซิเจนก็จะยิ่งน้อยลง เพราะน้ำมีอุณหภูมิต่ำลงด้วย แต่ล่าสุดที่ไปตรวจวัดมา พบว่าในระดับน้ำลึกเพียง 30-40 เมตร ปริมาณออกซิเจนต่ำกว่า 2 มิลลิกรัมต่อลิตร ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจจะมีผลต่อปะการังอ่อนและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวได้ แต่ทีมงานยังไม่ได้ดำน้ำลงไปสำรวจใต้ทะเล เพียงแต่วัดอุณหภูมิและปริมาณออกซิเจนจากผิวน้ำเท่านั้น' นายสมเกียรติกล่าว

เมื่อถามว่า ปรากฏการณ์ที่เกาะสิมิลัน เชื่อมโยงกับเรื่องปะการังอ่อนตายจำนวนมากที่เกาะห้าใหญ่และที่หินม่วงหินแดงหรือไม่ นายสมเกียรติกล่าวว่า ต้องไปตรวจสอบอีกครั้ง แต่เรื่องปรากฏการณ์คลื่นน้ำเย็นนั้น เข้ามาบริเวณกว้าง ส่วนเรื่องปะการังอ่อนตายนั้น อาจจะเป็นผลมาจากปีที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านี้กระแสน้ำเย็นดังกล่าวนี้ทำให้ปะการังอ่อนในบริเวณดังกล่าวเสียหายไปจำนวนมาก มาถึงปีนี้อาจจะยังฟื้นตัวไม่ทัน อย่างไรก็ตาม หากมีปรากฏการณ์เดียวกันเข้ามาซ้ำเติมก็จะยิ่งทำให้การฟื้นตัวของปะการังอ่อนช้ามากขึ้นอีก
นายกวีพล ขจรศิริสิน มัคคุเทศก์ดำน้ำ กล่าวว่า ปีนี้เพิ่งจะเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเล ยังไม่ได้ลงไปดูที่เกาะห้าใหญ่ และหินม่วงหินแดง แต่ปีที่ผ่านมากระแสน้ำเย็นทำให้ปะการังอ่อนในพื้นที่ดังกล่าวหายไปมากพอสมควร นักดำน้ำจึงไปดำน้ำกันที่เกาะเชือก เกาะม้า ที่ จ.ตรังแทน บริเวณดังกล่าวยังมีปะการังอ่อนสวยงามให้ชมอยู่



จาก              :             มติชน  วันที่ 2 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:47:53 PM
ความทรุดโทรมของหินม่วงหินแดงขนาดปะการังอ่อนและสัตว์น้อยใหญ่ตายไปนั้นได้ข่าวว่าเริ่มมาตั้งแต่ต้นปีนี้แล้วไม่ใช่หรือคะ.....

ลองไปอ่านที่นี่นะคะ   http://www.saveoursea.net/boardsmf/index.php?topic=1232.0

จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม....ทราบเรื่องแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ ไม่ทราบจะช่วยได้อย่างไรดี  ได้แต่ภาวนาว่าสภาพแวดล้อมใต้ทะเลที่อันดามันใต้โดยทั่วไปจะดีขึ้นค่ะ  


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:49:59 PM
ส่วนเรื่องปลานีโมที่นำไปปล่อยแล้วหายไปนี่....เห็นเคยออกข่าวว่ามีคนปล่อยไปแล้ว วันรุ่งขึ้นกลับไปดูอีกครั้งปลาก็หายไปเกือบหมดแล้วไม่ใช่หรือคะ.... ;)

เป็นเพราะโลกร้อน.....ปลาใหญ่กินปลาเล็ก.....หรือมีคนจับเอาไปขายจนเกือบหมดกันแน่หนอ.... :-[


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: conundrum ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 05:18:15 AM
เรื่องแบบนี้ เราต้องไปดูไปเห็นด้วยตาของตนเอง  8)  แล้ว  :D มาเป็นหลักฐานครับ พี่สายชล  ::)

... แล้วเราจะไปเมื่อไหร่กันดีอ่ะ! 555555


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 07:31:40 AM
ใช่ค่ะ........น้องconundrum  เราต้องไปเห็นกับตาตัวเอง.... ;)

เมื่อวานเห็นอาจารย์ธรณ์ไปออกทีวีช่อง 3 กับสรยุทธ์เรื่องนี้ด้วย......ต้องให้คนดังไปออกข่าวกับคนดังอย่างนี้แหล่ะ เจ้าใหญ่นายโตทั้งหลายถึงจะสนใจ  ทีเราๆท่านๆร้องเรียนเร่งเร้าอย่างไรก็ไม่สนใจ  รอฟังว่าเหตุเพราะอะไรมาตั้งหลายเดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้คำตอบสักที..... :-[

ตอนนี้กำลังดูวันที่จะไปอยู่ค่ะ.....คุยๆกันไว้แล้วว่าน่าจะเป็นช่วงกลางเดือนและปลายๆเดือนกุมภาพันธ์  โดยทำเป็นโครงการปล่อยสัตว์น้ำ....เก็บขยะ/ตัดอวน ที่อันดามันใต้ จะได้ไปดูว่าสภาพการณ์มันเลวร้ายขนาดไหนกันแน่ค่ะ


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: voldermort ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 08:34:49 AM
เมื่อตอนช่วงเดือนเม.ย. ได้ไปดำน้ำแถวอันดามันใต้ค่ะ
ก็เห็นว่าปะการังที่หินแดงหินม่วงตายไปเยอะเหมือนกัน ที่หินแดงยังเหลือปะการังอยู่เยอะพอสมควรค่ะ
แต่ที่หินม่วงก็ตายค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังพอมีบริเวณที่มีปะการังเหลือนะคะ ไม่ถึงกับเหลือแต่หินโล้นๆอย่างที่ อ.ธรณ์บอก
แต่ตอนนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้วค่ะ

ตอนนั้นเท่าที่เห็นเนี่ย ปะการังอ่อนตายเยอะพอสมควร sea anemone ก็ตายค่ะ
ไม่ค่อยเห็นปลาการ์ตูนเท่าไหร่ เพราะ sea anemone ตายเลยไม่มีปลาการ์ตูนอยู่ล่ะมั้งคะ
แม้แต่ปลาดาวก็ตายค่ะ มอเรย์ก็ตาย กุ้งตายก็เจอ แต่ตอนนั้นเห็นบอกว่าเป็นเพราะเอลนีโญ่ไม่ใช่เหรอคะ  :(

คงต้องรอติดตามดูข่าวกันต่อไป แล้วถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะเห็นกับตาค่ะ ไม่งั้นทำใจเชื่อลำบากหน่อย
เด๋วจะมาเหมือนข่าวตอนสึนามิที่ออกมาโวยวายว่า ปะการังตายทั้งแถบ แล้วต้องมาออกข่าวแก้กันอีก  ???  ;)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 08:56:13 AM
ได้ยินและได้เห็นภาพอย่างที่น้อง voldermort เล่ามาให้ฟังค่ะ

ถ้าเป็นเรื่องของธรรมชาติ....ธรรมชาติก็น่าจะเยียวยารักษาตัวเองให้ฟื้นคืนตัวขึ้นมาได้เอง แม้จะช้าหน่อย....แต่ก็ไม่ต้องลงทุนลงแรงให้สิ้นเปลืองเงินทอง....แรงกาย...แรงสมอง....

แต่ตอนนี้เห็นว่ามีความพยายามจะทำให้เรื่องนี้เป็น วาระแห่งชาติ..... ;)

เข้าใจว่า....ถ้าเป็น  วาระแห่งชาติ แล้ว ก็คงมีการเดินทางไปสำรวจ....ศึกษา....วิเคราะห์...สรุปผล แล้วก็คงจะมีโครงการฟื้นฟู....พลิกฟื้น....ฯลฯ ตามมา

เงิน....เงิน....เงิน....ก็จะไหลมาเทมา เพื่อการนี้นะคะ 

แต่แนวปะการัง (อ่อน)จะกลับฟื้นคืนมาด้วยฝีมือมนุษย์หรือธรรมชาติเยียวยาตัวเองนั้น.....จะพิสูจน์กันได้อย่างไรหนอ... ;)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: voldermort ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 10:56:16 AM


เข้าใจว่า....ถ้าเป็น  วาระแห่งชาติ แล้ว ก็คงมีการเดินทางไปสำรวจ....ศึกษา....วิเคราะห์...สรุปผล แล้วก็คงจะมีโครงการฟื้นฟู....พลิกฟื้น....ฯลฯ ตามมา

เงิน....เงิน....เงิน....ก็จะไหลมาเทมา เพื่อการนี้นะคะ 

แต่แนวปะการัง (อ่อน)จะกลับฟื้นคืนมาด้วยฝีมือมนุษย์หรือธรรมชาติเยียวยาตัวเองนั้น.....จะพิสูจน์กันได้อย่างไรหนอ... ;)

ฟังแล้วรู้สึกปลงกับระบบทุนนิยมเมืองไทยจังค่ะ   ???


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 11:08:37 AM
หึ่ๆ....มันเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะหนู voldermort..... ;)

อยู่ๆไปหนูก็จะเห็นอะไรๆ ที่บางครั้งก็ทำให้ผะอืดผะอม.....อยากจะอ๊อกซะจริงๆ.... ???


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: นายโพ้นทะเล ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 12:18:31 PM
สวัสดีครับ...กระผมนายโพ้นทะเล(dive leader เกาะห้า หินแดง หินม่วง พ.ค.-เม.ย.ทุกๆปี) หนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในช่วงวันแรกๆ ที่หินแดงหินม่วงล่มสลายเมื่อช่วงต้นปีครับ มันเริ่มจากหินม่วงก่อน แล้วลุกลามมายังหินแดง แล้วก็เกาะห้าครับ คงไม่ต้องท้าวความถึงความเสียหายให้ชอกช้ำกันอีกนะครับ ...... ช่วงที่ไม่ได้ lead ดำน้ำ ก็ประกอบกิจการส่วนตัวทางภาคอีสานครับ เลยไม่ได้ติดตามข่าวสาร ความเปลี่ยนแปลงของ dive site เท่าไรนัก เพียงแต่คาดหมายว่าในช่วง low season หินม่วงน่าจะดีขึ้น พออ่านเจอกระทู้นี้เข้าความหดหู่เข้าครอบงำเลยครับ ก็เลยมีความประสงค์ที่จะขอเป็นอาสาสมัครรายงานความเปลี่ยนแปลงของหินม่วง หินแดง ไม่ว่าจะเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้นหรือว่าเลวร้ายไปกว่าเดิมนะครับ เพราะว่าวันที่ 12 พ.ย.50 นี้ จะเริ่มลงไปประจำการที่เกาะลันตาแล้วครับ จะมีทริป หินแดง หินม่วง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง คิดว่าน่าจะเกาะติดสถานการณ์ได้ดีพอสมควร และคงจะเริ่มรายงานความคืบหน้าได้ก็ประมาณวันที่ 15 พ.ย.ละครับ .....หาก เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หรือนักวิชาการและผู้มีความรู้ และข้อมูล หรือต้องการที่จะให้กระผมนายโพ้นทะเล เก็บข้อมูลเบื้องต้น หรือจะให้สังเกตอะไรเป็นพิเศษ หรือเก็บตัวอย่างอะไรก็ยินดีครับ จะได้ช่วยกันหลายๆฝ่าย


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 01:05:56 PM
 ::)....ยินดีต้อนรับสู่บ้าน  SOS ค่ะนายโพ้นทะเล.... ::)

ขอบคุณในน้ำใจของคุณมากๆ ที่ได้เสนอให้ความช่วยเหลือมาค่ะ....

จริงๆแล้ว สายชลยังอยากให้คุณซึ่งใกล้ชิดติดหินแดง....หินม่วง...และเกาะห้าใหญ่ เล่าให้เราฟังถึงสภาพเหตุการณ์ในช่วงวันแรกๆ ที่จุดดำน้ำดังกล่าวล่มสลายไปเมื่อช่วงต้นปี ว่ามันมีสภาพตั้งแต่เริ่มต้นจนล่มสลายไปได้อย่างไรค่ะ  หากมีภาพประกอบด้วยก็จะทำให้เข้าใจและเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

สายชลยังเชื่อว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกิดจากธรรมชาติแล้ว ความเสียหายคงจะค่อยเป็นค่อยไป....ตรงข้าม หากเป็นฝีมือมนุษย์แล้ว ความเสียหายคงเกิดขึ้นได้ภายในวันสองวันอย่างแน่นอน 

นอกจากนี้.....สิ่งที่พวกเราหลายๆคนต้องการก็คือ ข้อมูลและภาพ ที่แท้จริงของหินม่วง....หินแดง....เกาะห้าใหญ่ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ค่ะ (ส่วนการเก็บข้อมูลเบื้องต้น และเก็บตัวอย่างทางด้านวิชาการนั้น คิดว่าทางอาจารย์ธรณ์คงดำเนินการไปบ้างแล้ว)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: WayfarinG ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 01:10:51 PM
อ่านข่าวเมื่อเช้าเหมือนกัน...


แย่แล้ว..ทะเลไทย..  (http://www.yenta4.com/msn/emoticon/yoyo/yenta4-emoticon-0134.GIF)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: Plateen ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 01:39:28 AM
อ่านข่าวแล้วเสียใจมากครับ
หินม่วงหินแดงเป็นจุดที่ประทับใจผมมาก เมื่อมามีอันเสียหายแบบนี้เลยเศร้าเลย
จะคอยติดตามข่าวความเป็นไปอยู่เรื่อยๆนะครับ


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 04:57:57 AM
อ่านเรื่องนี้ประกอบด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้ทราบว่ามนุษย์ที่ใจร้ายและเห็นแก่ได้เขาทำลายสรรพชีวิตในทะเลให้ย่อยยับได้ขนาดไหน

http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?topic=85.0


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: voldermort ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 05:09:32 AM
อ่านเรื่องนี้ประกอบด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้ทราบว่ามนุษย์ที่ใจร้ายและเห็นแก่ได้เขาทำลายสรรพชีวิตในทะเลให้ย่อยยับได้ขนาดไหน

http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?topic=85.0
ตอนแรกๆที่ได้ไปดำน้ำที่หินแดง หินม่วง แล้วเจอสภาพแบบที่เลยเล่าไปอ่ะค่ะ
พอขึ้นจาก ไดฟ์แรกที่หินม่วง ก็ขึ้นมาคุยกันว่า เหมือนเจอสารเคมีนะคะ เพราะว่า มันเสียหายเยอะจริงๆ

ยิ่งพอได้อ่านกระทู้ที่อาสายชลลง link ไว้ ก็ยิ่งรู้สึกแย่ค่ะ
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากมือมนุษย์จริงๆ ภาวะโลกร้อนก็ด้วย เกิดจากเทคโนโลยีฝีมือมนุษย์มิใช่หรือ
จะแก้ก็ได้แต่ทำตอนที่มันหมดทางแก้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน
คนที่มีจิตสำนึกที่จะแก้ไข แบบที่ทำด้วยใจ ก็มีน้อยเหลือเกิน คงสู้พวกที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลยาก  ???  :'(


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 06:40:41 AM
คนที่มีจิตสำนึกที่จะแก้ไข แบบที่ทำด้วยใจ ก็มีน้อยเหลือเกิน คงสู้พวกที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลยาก  ???  :'(

เห็นด้วยกับความเห็นของน้อง voldermort ค่ะ....

แต่ถึงแม้ว่าคนที่มีจิตสำนึกที่ทำงานด้วยใจ จะมีน้อยสักเพียงไรก็ตาม  ก็ไม่น่าจะยอมแพ้หรือไม่คิดที่จะสู้กับผู้มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลที่ไร้จิตสำนึกแห่งการอนุรักษ์ทั้งหลายนะคะ

มิฉะนั้นแล้ว....โลกนี้จะมีแต่ผู้แพ้ที่รวมทั้งคนจนและคนรวย  และสิ่งจะเหลือไว้สำหรับผู้แพ้ทุกคนก็คือ.....โลกเน่าๆ  


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 12:12:06 AM

'ทส.' เต้นดึงออสซี่หาเหตุปะการังตาย เร่งฟื้นฟูก่อนเกลี้ยง

ปลัด ทส.ดึงผู้เชี่ยวชาญออสเตรเลียร่วมหาสาเหตุและฟื้นฟูปะการังอ่อนตาย-เร่งตรวจท้องทะเล 3 พื้นที่-ระบุบางแห่งแค่หลุดจากหินยังซ่อมได้ ดร.ธรณ์ชี้นักดำน้ำแห่ขึ้นอันดามันเหนือแทน

นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ถึงกรณี ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่ามีปะการังอ่อนในท้องทะเลอันดามัน โดยเฉพาะบริเวณเกาะลันตา จ.กระบี่ ตายเป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ว่า เมื่อวันที่ 2 ที่ผ่านมาให้หัวหน้าสถานีวิจัยทางทะเลภูเก็ตประสานกับนักดำน้ำและอาสาสมัครในพื้นที่ลงไปสำรวจปะการังอ่อนบริเวณกองหินม่วง-หินแดง ซึ่งยอมรับว่าเกิดความเสียหายบริเวณกว้างขวางอย่างที่ ดร.ธรณ์รายงาน ส่วนบริเวณอื่นก็มีเสียหายบ้าง ซึ่งสภาพดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

นายศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้กำลังประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญประเทศออสเตรเลียซึ่งมีนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องการฟื้นฟูปะการังที่เสียหายจากสภาวะเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ โดยจะเข้ามาทำงานร่วมกับนักวิชาการไทย ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าความเสียหายเกิดจากสภาวะโลกร้อนหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง

'สิ่งที่ทส.ต้องเร่งดำเนินการคือ
1.ตรวจสอบพื้นที่ที่เกิดผลกระทบแล้วว่าเสียหายแค่ไหน และมีสาเหตุมาจากอะไร
2.ตรวจสอบพื้นที่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น ที่ท้องทะเลประจวบฯ ซึ่งสั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพิเศษ
3.ตรวจสอบพื้นที่ที่มีสารอาหารปนเปื้อนในทะเลมากเป็นพิเศษเช่น พื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่มาก'


นายศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า ไม่ปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น แต่ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มาจากอะไร เพื่อที่จะเข้าไปแก้ปัญหาได้ถูกจุด ข้อมูลที่ได้จากนักดำน้ำระบุว่า ปะการังบางแห่งยังไม่ตายเพียงแต่หลุดออกจากโขดหิน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการให้นักปะดาน้ำ นำไปแปะไว้ที่ก้อนหินเหมือนเดิม ถือว่าเป็นการซ่อนแซมในเบื้องต้น

ด้าน ดร.ธรณ์กล่าวยอมรับว่า ปะการังอ่อนที่ตายบริเวณเกาะลันตาถึงเกาะตะรุเตารวมระยะทางยาว 200 กิโลเมตรนั้น ไม่ได้ตายเป็นพรืดติดต่อกันทั้งหมด แต่ตายเป็นหย่อมๆ ความยาวหย่อมละประมาณ 40- 50 กิโลเมตร ทั้งนี้การฟื้นฟูแนวปะการังคงต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งใช้ระยะเวลานานเท่าไรไม่มีใครยืนยันได้

'แนวทางอนุรักษ์คงต้องปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูเอง อาจจะเป็น 10 ปี หรือ 100 ปี ก็เป็นได้ เพราะจากประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นที่หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ผ่านไป 10 ปีแล้ว ปะการังอ่อนยังไม่ฟื้นเลย' ดร.ธรณ์กล่าว และว่า ประเด็นที่น่าสนใจขณะนี้ คือ เมื่อพื้นที่เกาะลันตา จ.กระบี่ โดยเฉพาะบริเวณกองหินม่วงมีปะการังอ่อนตายหมด และกองหินแดงเหลือไม่ถึงร้อยละ 50 นั้น จะทำให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลง และหันไปท่องเที่ยวในแถบฝั่งอันดามันเหนือ เช่น เกาะสิมิลัน เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ที่ยังมีปะการังสวยงามอยู่มาก และเวลานี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ดังนั้น แผนงานที่มีอยู่แล้ว ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดปริมาณนักดำน้ำ ฯลฯ ต้องนำมาใช้อย่างเข้มงวดและจริงจัง เพื่อควบคุมพื้นที่ที่ยังมีปะการังสวยงามให้คงอยู่และป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

ดร.ธรณ์กล่าวว่า หารือกับสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเล และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งแล้ว ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ ต่างมีความเห็นตรงกันว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากคลื่นน้ำเย็นที่ไหลเข้ามาในพื้นที่เป็นเวลานานและปริมาณออกซิเจนมีน้อย ส่งผลให้ปะการังอ่อนไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้และตายในที่สุด

'จะมีการประชุมระดมความเห็นจากนักวิชาการหลายมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพื่อเป็นข้อเสนอแนะและทางออกมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการวิจัยเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง ว่าสาเหตุของปะการังอ่อนที่ตายเกิดจากสาเหตุอื่นด้วยหรือไม่ รวมถึงการศึกษาเรื่องคลื่นน้ำเย็น ซึ่งจะเสนอให้มีการตั้งสถานีตรวจวัดความเย็นของน้ำทะเล'

ดร.ธรณ์กล่าวว่า นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือจากนักประดาน้ำให้ช่วยตรวจวัดอุณหภูมิของน้ำและรายงานกลับมายังสถานีตรวจวัดฯด้วย สุดท้ายจะมีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง



จาก            :          มติชนออนไลน์   วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 01:01:23 AM
อีกสักข่าวหนึ่งนะคะ จากหนังสือพิมพ์มติชน


ทส. รับปะการัง ตายเป็นหย่อม ไม่ถึง 200 กม.

ผู้เชี่ยวชาญด้านปะการัง ยอมรับบริเวณกองหินม่วง ปะการังอ่อนตายเกือบทั้งหมด แต่กองหินแดงที่เป็นแหล่งแม่พันธุ์ปะการังตาย 50% เท่านั้น เชื่อธรรมชาติจะฟื้นตัวกลับมาใหม่ได้ แจงไม่ได้ตายหมดตลอด 200 กม. แค่เป็นหย่อมๆ จ.กระบี่รอ 15 วัน ว่าจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเกาะลันตา-พีพีหรือไม่

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน นายนิพนธ์ พรหมสุวรรณ นักวิชาการประมง สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ (ทส.) ผู้เชี่ยวชาญปะการัง ให้ความเห็นกรณีที่ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุสาเหตุแนวปะการังอ่อนบริเวณเกาะลันตา จ.กระบี่ ตายเป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2550 เนื่องจากกระแสน้ำเย็นจากส่วนลึกของมหาสมุทรไหลขึ้นมาแทนที่น้ำทะเลปกติ น้ำจากทะเลทางด้านตะวันออกของมหาสมุทร อินเดียลงมาก และระดับน้ำไปสูงอยู่ที่ฝั่งทะเลตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย ทำให้กระแสน้ำเย็นในใต้ทะเลซึ่งมีปริมาณออกซิเจนอยู่น้อยไหลเข้ามาแทนที่

นายนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อกระแสน้ำมีออกซิเจนน้อยแช่อยู่นานๆ ทำให้ปะการังอ่อนที่ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ โดยเฉพาะพื้นที่กองหินม่วง ต้องยอมรับว่าตายเกือบทั้งหมด แต่ กองหินแดง ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งแม่พันธุ์ของปะการังตายประมาณ ร้อยละ 50 เท่านั้น และพื้นที่กองหินม่วงมีความกว้างหากวัดเป็นรูปทรงกลมก็มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 500 เมตร

นายนิพนธ์กล่าวว่า จากการทำงานพบว่า ปะการังในพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน จากเกาะช้าง จ.ระนอง ผ่านพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ที่พูดกันว่ามีแหล่งปะการังกว่า 700 กิโลเมตรนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะมีปะการังติดกันตลอด อย่างเช่นมีที่เกาะช้าง จ.ระนอง 1 หย่อม และหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา 1 หย่อม หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา 1 หย่อม

"การให้ข้อมูลในการนำเสนอเรื่องการตายของปะการังอาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหรืออาจจะเข้าใจผิดหรือสื่อความหมายผิดว่าปะการังอ่อนตาย 200 กิโลเมตร ความเป็นจริงอาจจะพูดถึงระยะทางจากกองหินม่วงไปเกาะตะรุเตาระยะทาง 200 กิโลเมตร" นายนิพนธ์กล่าว

นายนิพนธ์กล่าวว่า การตายของปะการังอ่อนที่กองหินม่วงเชื่อว่าสามารถที่จะฟื้นตัวกลับมาเกิดใหม่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากกองหินแดงที่เป็นพ่อแม่พันธุ์ของปะการังอ่อนกองหินม่วงยังคงอยู่ และแนวทางที่จะช่วยกันให้การฟื้นตัวอย่างเร็วนั้นคืออย่าปล่อยของเสียหรือตะกอนลงในพื้นที่ เชื่อว่าธรรมชาติจะสร้างปะการังกลับมาได้ใหม่ เพราะงานวิจัยกว่า 20 ปี เป็นตัวชี้ว่าปะการังที่เสียหายเกิดขึ้นมากบริเวณชายฝั่ง แต่ปะการังหลายพื้นที่ในทะเลเกิดใหม่ได้ดี ส่วนประเด็นการตายของปะการังอ่อนเนื่องจากสภาวะโลกร้อนหรือไม่นั้นต้องถามนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องนี้

น.ส.ลดาวัลย์ ช่วยชาติ หัวหน้าศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า สอบถามผู้ประกอบการดำน้ำจำนวน 20 รายในพื้นที่ที่ ดร.ธรณ์ระบุปะการังตาย ผู้ประกอบการยอมรับมีปะการังตายบ้าง แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวหรือไม่อย่างไร คาดว่าหลังจากนี้ 15 วัน น่าจะรู้ว่ามีผลกระทบต่อการเดินทางมาเกาะลันตาและพีพีของนักท่องเที่ยวหรือไม่

นายเสรี ถนัดสอนสาร ผู้ประกอบการธุรกิจเรือนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำในพื้นที่ทะเลอันดามันและอ่าวไทย กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่ปะการังตายเป็นระยะทาง 200 กิโลเมตร แต่หากบอกว่า ปะการังเป็นหย่อม ระยะทาง 200 กิโลเมตร อาจจะเป็นไปได้ หรือระยะทางของทะเลจากกองหินม่วงไปยังเกาะตะรุเตา จ.สตูล ระยะ 200 กิโลเมตร อาจจะมีความเป็นไปได้

"ผมไม่เชื่อข่าวว่าปะการังตายเป็นระยะทาง 200 กิโลเมตร แต่หากพื้นที่ปะการังอ่อนบริเวณกองหินม่วงตายอาจจะมีความเป็นไปได้ ซึ่งจะได้ติดตามเรื่องนี้เพื่อข้อเท็จจริงกันต่อไป" นายเสรีกล่าว


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 01:07:22 AM
มาช้า.....ดีกว่าไม่มา......

แหม....แต่ถ้ามาสำรวจตรวจสอบกันตั้งแต่ตอนต้นปี ตอนที่หินม่วงหินแดงเริ่มเหี่ยวเฉาเหมือนถูกทิ้งระเบิดเคมี ก็คงจะรู้สาเหตุและช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้ไปแล้วนะคะ....เฮ้ออออ..... :-[


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 02:04:07 AM
คุณเสรี ถนัดสอนสาร  ผู้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ในนามผู้ประกอบการธุรกิจเรือนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำ เป็นเจ้าของ เรือโชคศุลี ที่พวกเราชาว SOS และนักวิชาการทางทะเลหลายรายชอบใช้กันเป็นประจำค่ะ

สองสายจะโทรไปถามข่าวคราวคุณเสรีค่ะว่าไปสำรวจจุดต่างๆหรือยัง ถ้าสำรวจแล้วผลเป็นอย่างไร.....  


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: WayfarinG ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 02:48:15 AM
พี่คนนึงที่พิงค์ไปดำน้ำด้วย เค้าว่า หินม่วง มันไม่ม่วงแล้วอะคะ..ปะการังอ่อน ตาหมดเลย.. :'(


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 02:56:38 AM
มันหมด ตั้งแต่ Season ที่แล้ว นะจ๊ะ

เดี่ยวไปค้นรูป มาให้ดูนะคะ....

ไม่เคย ดำน้ำไป ร้องไห้ไปเลย ปีที่แล้ว เศร้ามาก เหมือน สุสาน อย่างไร อย่างนั้นเลย

บนผิวน้ำ มันเหมือนกับ ผงเคมี มีปลาเล็กปลาน้อย ตาย กออะนีโมน ไม่มีเหลือเลย ที่หินม่วง ...


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: voldermort ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 03:51:48 AM
มาช้า.....ดีกว่าไม่มา......

แหม....แต่ถ้ามาสำรวจตรวจสอบกันตั้งแต่ตอนต้นปี ตอนที่หินม่วงหินแดงเริ่มเหี่ยวเฉาเหมือนถูกทิ้งระเบิดเคมี ก็คงจะรู้สาเหตุและช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้ไปแล้วนะคะ....เฮ้ออออ..... :-[

จริงด้วยค่ะ...ปะการังตายตั้งกะต้นปี เพิ่งจะมาวิจัยเอาตอนนี้  :-X
แล้วไงล่ะ สุดท้ายมาแก้ข่าวอีก เรื่องตายเป็นแนวยาว 200 กิโลเมตร มาพูดใหม่ว่า ตายเป็นหย่อมๆ ยาว 200 กิโลเมตร
ทำไมชอบพูดให้เวอร์ไว้ก่อนทุกทีเลยนะ ไม่เข้าใจคนนี้จริงๆ  >:(


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 06:05:12 AM
อุ๊ยยยย.....หลาน voldermort ที่รักของเดี๊ยนนี่ ร้อนได้ใจทีเดียว..... :-[

ใจเย็นๆ....หลานรัก....จริงๆแล้วเมื่อวันที่อาจารย์ธรณ์ไปออกทีวีกับสรยุทธ์นั้น เขาก็แก้ข่าวแล้วว่าไม่ได้หมายความว่าแนวปะการังอ่อนเสียหายเป็นพรืดติดกัน 200 กม. อย่างที่เป็นข่าวหร๊อก เพราะแนวปะการังแถวนั้นมันเป็นหย่อมๆ มันก็เลยเสียหายเป็นหย่อมๆ..... ;)

ในวันก่อนหน้านั้น....ก็นั่งประชุมเรื่องอยู่ห้องเดียวกันค่ะ แต่อาจารย์ธรณ์ไม่ได้คุยให้ฟังเรื่องนี้ มัวแต่พูดกันเรื่อง กุ้ง...กั้ง....ปู กับเรื่องขายหนังสือชุดใหม่ที่เพิ่งออก ไม่อย่างนั้นก็คงจะช่วยแก้ข่าวให้ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะค่ะ

อิๆ....ข่าวที่ออกมาเว่อร์ๆนี่ บางทีก็ช่วยกระตุ้นให้พวกชอบหลับอยู่ใต้ต้นไม้ตื่นตูมมาวิ่งกันได้ดีเหมือนกันนะคะ.... :-X




หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: angel frog ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 06:10:26 AM
 :'(   คงต้องไปดูให้เห็นกะตาเองแล้ว   มันจริงรึเปล่า  SNR รีบเอารูปมาดูหน่อยนะ   อยากเห็นจัง


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 06:31:29 AM
ไหนๆก็จะไปวิเคราะห์วิจัยกันแล้วนะคะ สายชลฝากขึ้นไปที่อันดามันเหนือด้วยก็แล้วกัน เพราะที่นั่น ทั้งที่เมื่อช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปีนี้ โดนฤทธิ์เดชของทั้งน้ำเย็นๆ (จนสั่น) สลับกับร้อนๆ (จนอยากถอด Wet Suit) ......แถมด้วย Plankton Bloom ชนิดน้ำเขียวน้ำแดงขุ่นข้น  ยิ่งกว่าที่หินม่วงหินแดง

แต่ไหง๋ ยังสวยสดงดงามอยู่ได้

 (http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?action=dlattach;topic=25.0;attach=750;image)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 06:41:46 AM
ที่อ่าวช่องขาด หน้าที่ทำการอุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ก็น่าไปสำรวจ....วิเคราะห์....วิจัย เหมือนกันค่ะ ไม่ทราบว่าเพราะโลกร้อนหรืออย่างไร  สาหร่ายเห็ดหูหนู ขึ้นเป็นดง

แถมหอยที่เรานำไปปล่อยไว้ 200 ตัว ยังหนีหายจากจุดที่ปล่อยไว้ไปจนเกือบหมด ที่เหลือก็ขึ้นไปอยู่บนแนวปะการังเขตน้ำตื้น (มาก)  เพิ่งรู้นะคะว่า หอยมือเสือก็คลานและปีนขึ้นที่สูงได้.....

เห็นแล้วสายชลก็มีอาการ โรคร้อน ขึ้นมาเหมือนกันค่ะ..... :-[


(http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?action=dlattach;topic=14.0;attach=378;image)

(http://www.saveoursea.net/boardapr2007/index.php?action=dlattach;topic=14.0;attach=386;image)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: zmax ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 11:14:15 AM
เอ สงสัยว่าหอยมือเสือชนิดเดินได้นี่มีสองขาด้วยป่าวครับ  อิอิ (เข้ามาแซวเล่นๆนะครับ อย่าซีเรียส)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 11:40:13 AM
โลกมันร้อน....อะไรๆก็ชักจะเพี้ยนๆไปซะหมดแล้วจ้ะน้อง  zmax..... :-[

หอยมีขาหรือไม่ ต้องไปถามน้องแม่หอยค่ะ....คิกๆ.... :-X


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: แม่หอย ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 02:13:39 PM
 :P หอยมือเสือที่เกาะสุรินทร์ เขาว่ามันบินได้ค่ะ .. ฮี่ๆ..


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 01:08:42 AM
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้ออกมาชี้แจงแล้วครับ .... ตามนี้



 ทช.ยืนยันปะการังในแหล่งดำน้ำลึกจังหวัดกระบี –สตูล ยังสมบูรณ์อยู่

                   นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กล่าวว่าตามที่มีข่าวทางหนังสือพิมพ์เรื่องปะการังอ่อน และปลาการ์ตูนตายเป็นจำนวนมากที่หมู่เกาะลันตา เกาะรอก จังหวัดกระบี่ ไปจนถึงเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล นั้น

                   ทช.ได้สั่งการให้นักวิชาการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน หาข้อมูลและสอบถามจากผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำในแถบจังหวัดกระบี่ที่ทำทัวร์ดำน้ำในแถบหมู่เกาะลันตา – หินแดง – หินม่วง แล้วในเช้าวันนี้ ได้รับทราบว่า ไม่มีวิกฤตการณ์ปะการังอ่อน และสัตว์น้ำตายเพิ่มเติมจากเดิมแต่อย่างใด วิกฤตการณ์ปะการังอ่อน และสัตว์น้ำตายได้เกิดขึ้นเมื่อตอนต้นปี 2550

                   สาเหตุหลักเนื่องจากมวลน้ำเย็นผุดมีปริมาณออกซิเจนต่ำมาก โดยวิกฤตการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่ช่วงนั้น ยังไม่พบวิกฤตการณ์สัตว์น้ำตายเกิดซ้ำ แหล่งที่เสียหายมากจากวิกฤตการณ์ตอนต้นปีคือที่กองหินม่วง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการฟื้นตัว ซึ่งการฟื้นตัวของปะการังอ่อนที่หินม่วงสามารถเกิดได้ถ้าไม่มีผลกระทบรุนแรงเกิดซ้ำ เนื่องจากยังมีแหล่งกระจายพันธุ์จากหินแดงซึ่งอยู่ใกล้กัน ส่วนที่อื่นซึ่งได้รับผลกระทบตอนต้นปี เช่น หมู่เกาะห้าใหญ่ ก็ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ตามปกติ เพราะผลกระทบเมื่อตอนต้นปีไม่รุนแรงมากนัก ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า ที่เกาะเชือก และเกาะแหวน ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดตรัง มีปะการังอ่อนลดลงบ้างเล็กน้อยในช่วงฤดูมรสุมนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในแหล่งที่มีน้ำขุ่น



จาก               :              กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง   วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: แม่หอย ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 01:33:02 AM
 :( นั่น.. นั่น.. เฮ้อ.. :(


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: angel frog ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 03:50:27 AM
no comment


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 04:01:21 AM
เอิ้กกกกกก...... :( ???


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 06:50:11 AM
พี่น้อยจ๋า  น้องหารูปที่เคยถ่ายให้พี่น้อยดู ไม่เจอ  ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน กว่าจะค้นเจอ...

ไม่แน่ใจว่าเซฟให้พี่น้อย หรือเปล่าจ๊ะ อยากเห็นอีกครั้งจ๊ะ  รบกวนพี่น้อย สำรวจหน่อยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 07:12:07 AM
ไม่ได้ save ไว้จ้ะหนูติ่ง.....จำได้ว่า พี่ขอให้หนูมาโพสเล่าเรื่องประกอบภาพด้วยตัวเอง แต่หนูยุ่งๆอยู่เพราะต้องออกทริปติดๆกันเกือบทุกอาทิตย์

อย่าเป็นกังวลไปเลยจ้ะ....เดี๋ยวพี่จะลองถามผู้ที่ได้ไปเห็นภาพสะเทือนใจทั้งที่หินม่วง - หินแดง และหินแปดไมล์ดูนะคะ


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: voldermort ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 07:18:58 AM
ไม่มีวิกฤตการณ์ปะการังอ่อน และสัตว์น้ำตายเพิ่มเติมจากเดิมแต่อย่างใด วิกฤตการณ์ปะการังอ่อน และสัตว์น้ำตายได้เกิดขึ้นเมื่อตอนต้นปี 2550
นึกแล้วว่าสรุปจริงๆต้องมาอีหร่อบนี้ แล้วไม่รู้จะลงข่าวให้แตกตื่นทำไม  :)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: boat sick forever ที่ พฤศจิกายน 12, 2007, 04:02:53 PM
อืมมมม ขนาดอยู่ที่สตูลยังหาโอกาสลงน้ำไม่ได้ซักแอะปีนี้มรสุมคาดเดายากเหลือเกิน แล้วเค้าเอาเวลาตอนใหนไปสำรวจกันน้อ ? แล้วเอาข้อมูลเมื่อไหร่มาเสนอเนี่ย? หมดมรสุมปีนี้ลองสำรวจดูใหม่นะครับเผื่อว่าที่ผ่านมาจะเป็นแค่ฝันร้าย


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 12, 2007, 05:22:10 PM
อืมมมม.....เจ้าถิ่นมาพูดเองอย่างนี้แล้ว  น่าคิดค่ะ....น่าคิด.... ;)


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ พฤศจิกายน 13, 2007, 04:57:41 AM
มีนักดำน้ำเพิ่งไปดำน้ำที่หินม่วงหินแดงและเกาะห้าใหญ่มาเมื่อเสาร์ - อาทิตย์ ที่ผ่านมา ได้เล่าไว้ใน Pantip.com ว่าปะการังอ่อนเริ่มขึ้นที่หินม่วง เกาะห้าใหญ่ก็ยังสวยงามด้วยปะการังอ่อนอยู่ แถมแมนต้าก็ยังบินอยู่ที่หินม่วง

เห็นภาพและอ่านข้อความแล้ว ก็พอจะยิ้มได้..... :)

ลองไปเปิดดูที่นี่นะคะ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E6013760/E6013760.html#20


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: Sri_Nuan.Ray ที่ พฤศจิกายน 13, 2007, 05:02:37 AM
ดีใจจัง.... เริ่มฟื้นฟู กลับสู่สภาพแล้ว  อาจจะต้องรออีกสัก 1 ซีซั่น ผ่านไป
น่าจะดีกว่านี้....

พร้อมๆ กันนี้ อยากจะขอเตือน นักดำน้ำทุกทาน ว่า ขอความกรุณา ดูอย่างพิจารณา อย่าจับต้องเลยค่ะ
เก็บความสุข ทางสายตา ดีกว่านะคะ ขอบคุณในกความร่วมมือล่วงหน้าค่ะ  :-*


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: Sea Man ที่ พฤศจิกายน 13, 2007, 11:10:33 AM
""""" :-[ :-[ :-[............


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ พฤศจิกายน 23, 2007, 12:20:43 AM

คลื่นใต้น้ำ  (ของจริง)
 
(http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/22/images/204746_4168127lowShow.jpg)
 
คลื่นใต้น้ำแถบฝั่งอันดามัน เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ทำให้ปะการังบริเวณนั้นตาย นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่า สมบัติแห่งท้องทะเลเหล่านี้ จะกลับมาสร้างความตระการตาได้อีกครั้งหรือไม่ 


 -1-

 เสียงเครื่องยนต์เรือสำรวจสมุทรศาสตร์นาม "จักรทอง ทองใหญ่" เร่งเครื่องคำรามตึงตังหลังจากถอนสมอออกจากท่า ทั้งเรือ ลูกเรือ และนักวิจัยสมุทรศาสตร์มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลสีน้ำเงินครามออกสำรวจตามภารกิจพิเศษ   

(http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/22/images/204746_7065313highShow.jpg)
อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

ห่างฝั่งออกมาได้สักพัก ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นักสมุทรศาสตร์ ชี้ไปที่ริ้วคลื่นระยิบเล่นกับเปลวแดดห่างจากหัวเรือจักรทอง ทองใหญ่ไปราว 200 เมตร พลางบอกว่า "นั่นไง คลื่นใต้น้ำ" แฝงเร้นตัวอยู่ในทะเลอันดามัน

"คลื่นใต้น้ำในแถบทะเลอันดามันเป็นคลื่นขนาดใหญ่ สามารถสังเกตการเคลื่อนตัวของคลื่นใต้น้ำได้จากผิวน้ำ บริเวณนั้นจะมีลักษณะพื้นผิวน้ำที่มีระลอกคลื่นขนาดใหญ่กว่าบริเวณรอบ บางครั้งอาจสังเกตคล้ายกับมีคลื่นมีพรายฟองเดือด" ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายคลื่นใต้น้ำของจริง

ดร.อานนท์ เป็นนักสมุทรศาสตร์ไทยคนหนึ่งที่สนใจศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และทำวิจัยเก็บข้อมูลจากหลักฐานที่ได้จากท้องทะเล เขาขยายความเพิ่มเติมว่า คลื่นใต้น้ำเป็นคลื่นตามธรรมชาติที่เกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก ลักษณะของคลื่นมีความถี่ต่ำและสูงกว่าคลื่นที่พบที่ผิวน้ำ เป็นคลื่นที่เกิดระหว่างชั้นน้ำทะเลที่ความหนาแน่นแตกต่างกัน   
อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
 

ทะเลที่ห่างจากชายฝั่งมีระดับน้ำที่ลึก เช่น บริเวณไหล่ทวีป จะพบว่าน้ำถูกแบ่งออกเป็นชั้น มวลน้ำที่พบที่บริเวณชั้นผิวน้ำ หรือ 20-150 เมตรโดยประมาณมีความเค็มอยู่ในช่วงประมาณ 32-33 ส่วนในพันส่วน

น้ำมีอุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส และมีปริมาณธาตุอาหารต่ำ  ต่างจากชั้นน้ำทะเลที่อยู่ลึกลงไปนั้น ความเค็มของน้ำทะเลจะสูงกว่าที่ชั้นผิวน้ำประมาณ 33-35 ส่วนในพันส่วน อุณหภูมิน้ำต่ำกว่า 20-25 องศาเซลเซียส และมีปริมาณสารอาหารที่สูง

"ลักษณะน้ำทะเลแบ่งเป็นชั้น เกิดจากระดับความเค็มต่อความลึกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราเรียกชั้นน้ำนี้ว่า Pycnocline และคลื่นใต้น้ำจะเกิดขึ้นที่บริเวณชั้นน้ำนี้" ดร.อานนท์ สาธยายความ 

คลื่นใต้น้ำเกิดขึ้นได้ทุกแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณฟลอริดาในมหาสมุทรแอตแลนติกฝั่งตะวันตก บริเวณทะเลจีนใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตก และทะเลอันดามัน

การเปลี่ยนแปลงของมวลน้ำที่ระดับความลึกเป็นผลมาจากอุณหภูมิของน้ำที่ลดลง ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเกิดได้กับแหล่งน้ำจืดในทะเลสาบ ส่วนการเปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรเกิดได้ทั้งจากอุณหภูมิและความเค็มของทะเล

สำหรับตัวเขาเองมองสาเหตุการตายของปะการังอ่อนที่เกาะลันตาเป็นผลกระทบจากคลื่นใต้น้ำ แต่ยังไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกที่ทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลอุ่นขึ้น 

(http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/22/images/204746_4185098highShow.jpg)

 "มีความเป็นไปได้ว่าการตายอย่างเฉียบพลันของปะการังอ่อนที่เกาะลันตามาจากคลื่นใต้น้ำที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงมาตั้งแต่ช่วงต้นปี เมื่อเกิดการกระเพื่อมของผิวน้ำ ชั้นน้ำที่อยู่ลึกและเย็นกว่าจะนำพามวลน้ำเข้าหาชายฝั่ง ปะการังมีความอ่อนไหวอยู่แล้ว พอโดนน้ำเย็นแบบฉับพลัน

บวกกับธาตุอาหารที่ปะปนเข้ามาจากทะเลลึกมีมาก มันก็ตาย" ดร.อานนท์ กล่าวและย้ำว่า

จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดปะการังฟอกขาวบริเวณแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงของไทย ซึ่งอาจมีผลกระทบด้านการท่องเที่ยวตามมา 


-2-

  ดร.สมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันวิจัยและพัฒนา ทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน เป็นผู้หนึ่งที่ติดตามปรากฏการณ์ทางสมุทรศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

เขาเล่าว่า ช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายนพบแพลงก์ตอนเติบโตมากมายหลายแห่งแถบทะเลอันดามัน เช่น บริเวณนอกชายฝั่งทับละมุ เกาะพีพี เกาะเฮ 

ไม่เพียงเท่านั้นยังพบสัตว์ทะเลพวกปลาหน้าดินเกิดอาการช็อกตายจากคลื่นน้ำเย็นที่เข้ามาใกล้ชายฝั่ง เช่นเดียวกับปะการังอ่อนแถวกองหินม่วง กองหินแดงได้รับผลกระทบด้วยและตายเป็นจำนวนมาก

เนื่องจากสภาพแวดล้อมบริเวณที่ความลึก 20-30 เมตรมีอุณหภูมิน้ำราว 20-23 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าผิดปกติ การตรวจสอบยังพบว่าปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำใต้ทะเลต่ำมากเฉลี่ย 2 มิลลิกรัมต่อลิตร สัตว์น้ำชายฝั่งส่วนใหญ่ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ 

"ปะการังอ่อนแถวสิมิลัน กองหินม่วง หินแดงตายมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ช่วงมีนาคมที่ผ่านมา นักสมุทรศาสตร์จากต่างประเทศยังลงไปสำรวจพบว่าปะการังอ่อนมีสภาพสีจางลงและเฉาล้มตาย พบตั้งแต่ระดับความลึกมากกว่า 20 เมตร และมีอุณหภูมิน้ำ 23 องศาฯ"

ปกติแล้ว ปะการังจะเยียวยาตัวเองฟื้นคืนสภาพเดิมได้ แต่จนถึงเดือนพฤศจิกายน ปะการังอ่อนเหล่านี้ยังไม่ฟื้นตัว และคาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกนาน เนื่องจากเป็นกรณีแรกที่พบว่าปะการังอ่อนมีสภาพแบบนี้

(http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/22/images/204746_4168017highShow.jpg)

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า คงต้องรอให้ธรรมชาติเยียวยาซึ่งยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี เฉพาะปะการังน้ำตื้นที่เกิดการฟอกขาวเนื่องจากทะเลอุ่นขึ้นเล็กน้อยยังใช้เวลานับ 10 ปี แต่ปรากฏการณ์ปะการังอ่อนตายจากน้ำเย็น

ครั้งนี้ เขายอมรับว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่มีใครศึกษาจริงๆ และทีมสำรวจวางแผนว่าจะลงสำรวจอีกครั้งหลังจากมรสุมอ่อนกำลังลง

ถึงแม้จะมีความหวังว่า เวลาและธรรมชาติจะช่วยชุบชีวิตปะการังให้มีสุขภาพสมบูรณ์เป็นสินในน้ำอีกครั้ง แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายดาวเทียมแล้วกลับยิ่งเพิ่มความวิตกให้เขามากขึ้น

หลักฐานจากภาพถ่ายดาวเทียมชี้ว่า สภาพท้องทะเลอันดามันมีคลื่นใต้น้ำอยู่ตลอดทั้งปี คลื่นจะเคลื่อนตัวจากนอกชายฝั่งทะเลอันดามันจากแนวหมู่ กาะนิโคบาร์ อันดามัน และทางเหนือของเกาะสุมาตราเข้าสู่ชายฝั่งของประเทศพม่า ไทย และมาเลเซีย มวลคลื่นเหล่านี้จะแตกตัวและนำน้ำใต้ทะเลลึกเข้ามาใกล้ชายฝั่งมาก

"ยิ่งน้ำลึกมากเท่าไรก็จะยิ่งมีอิทธิพลโดยขึ้นกับความสูงของคลื่น เราจำเป็นต้องติดตามปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่องถึงช่วงต้นปี 2551 เพราะมีรายงานการเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Positive Indian Ocean Dipole ในทะเลอันดามันต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนนี้ แต่อาจไม่แรงเท่ากับเหตุการณ์ช่วงต้นปีนี้ ประกอบกับเกิดลานีญาในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย


-3-

 ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า ปะการังอ่อนน้ำลึกบริเวณเกาะหินม่วงนั้นตายเกือบหมด และในขณะที่ดำน้ำ ยังพบว่ามวลน้ำเย็นในบริเวณนั้น มีลักษณะเป็นเมือก

(http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/22/images/204746_4178406highShow.jpg)
ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

"น่าสังเกตว่า ปะการังอ่อนน้ำลึกที่จุดดำน้ำอื่นกลับไม่ตาย ถึงแม้จะได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์น้ำเย็นนี้เหมือนกัน อย่างเช่น ปะการังที่หมู่เกาะสิมิลัน และกองหินริเชริว" ดร.ธรณ์ เล่าสิ่งที่ได้พบเห็นมากับตา

เขายังพบด้วยว่า ปลาการ์ตูนบริเวณนั้นมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก ปลามีสภาพอ่อนแอ เมื่อปะการังอ่อนที่หินม่วงตายพบว่าเหลือแต่เพียงก้อนหิน และไม่พบสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเหลืออยู่ เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่มีปัจจัยจำกัดเพราะเป็นบริเวณน้ำลึก และเป็นบริเวณที่ระบบนิเวศปะการัง

โดยทั่วไปเจริญเติบโตได้ยาก สำหรับปะการังอ่อนที่บริเวณหินแดงนั้น ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอยู่ในบริเวณที่น้ำตื้นกว่าบริเวณหินม่วง

"จากการถกปัญหาของผู้เชี่ยวชาญร่วมกัน พบว่าสาเหตุของเหตุการณ์นี้ ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด เนื่องจากในระบบนิเวศของปะการังมีปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพ ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของปะการังอ่อนหลายอย่าง ได้แก่ พายุและคลื่น กระแสน้ำ แสง สารอาหารในมวลน้ำ ตะกอน ความเค็ม และอุณหภูมิ"

ข้อมูลที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ในขณะเกิดเหตุ พอจะสรุปเบื้องต้นได้ว่ามีปัจจัยสำคัญ 2 ปัจจัยที่น่าจะเป็นสาเหตุของการตาย คือ อุณหภูมิของน้ำที่ลดลง และการลดลงของออกซิเจนละลายน้ำ ประเด็นปัญหาในขั้นต่อไปคือ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ปัจจัยทั้งสองนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีการศึกษากันโดยละเอียดต่อไป

"ประเด็นที่น่าสนใจขณะนี้ คือ เมื่อพื้นที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยเฉพาะบริเวณกองหินม่วง มีปะการังอ่อนตายหมด และกองหินแดงเหลือไม่ถึงร้อยละ 50 นั้น จะทำให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลง และหันไปท่องเที่ยวในแถบฝั่งอันดามันเหนือ เช่น เกาะสิมิลัน เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา และบริเวณกองหินริเชริว ที่ยังมีปะการังอ่อนสวยงามอยู่มาก" ดร.ธรณ์ กล่าว

ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวแถบอันดามันเหนือเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าเท่าตัว เขาเสนอว่าแผนงานที่มีอยู่แล้วของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดปริมาณนักดำน้ำ ต้องนำมาใช้อย่างเข้มงวดและจริงจัง เพื่อควบคุมพื้นที่ที่ยังมีปะการังสวยงามให้เหลืออยู่และป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


ชีววิทยาของเจ้าปะการัง

 ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวิจัยด้านปะการัง ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับปะการังอ่อนว่า

ปะการังอ่อน จัดอยู่ใน Subclass Octocorallia ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสามกลุ่มย่อย โดยกลุ่มแรกได้แก่กลุ่มปะการังสีน้ำเงิน กลุ่มที่สองได้แก่กลุ่มปะการังอ่อนและกัลปังหา และกลุ่มที่สามได้แก่กลุ่มปากกาทะเล

ส่วนปะการังที่สำรวจพบว่าเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวจัดอยู่ใน Family Neptheidae คุณสมบัติของปะการังอ่อน ที่แตกต่างจากปะการังที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป คือ ปะการังอ่อนจะไม่มีการสร้างโครงสร้างแข็งที่เป็นหินปูนขึ้น มีเพียงการสร้างองค์ประกอบพวก calcite (sclerite) ในเนื้อเยื่อ

         เมื่อปะการังอ่อนตายจะหลุดสลายไปหมด ไม่เหลือโครงสร้างแข็งไว้เหมือนกับปะการังทั่วไป ปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของปะการังพวกนี้ ได้แก่ พายุและคลื่น กระแสน้ำ แสง สารอาหารในมวลน้ำ ตะกอน ความเค็ม และอุณหภูมิ

"เมื่อพิจารณาถึงสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของปะการังอ่อนพบว่า ในกรณีพายุและคลื่นรุนแรง ปะการังอ่อนจะไม่สามารถลงเกาะได้ แต่เนื่องจากปะการังอ่อนได้รับพลังงานจากการดักตะกอนในมวลน้ำ ปะการังอ่อนจึงต้องการสภาวะที่มีกระแสน้ำแรงเพื่อนำพาตะกอนมาได้มาก" ผู้เชี่ยวชาญปะการัง อธิบาย

นอกจากนั้น แสง ยังมีความจำเป็นต่อปะการังอ่อนที่ได้รับพลังงานจากการสังเคราะห์แสงโดย Zooxanthellae แต่ในชนิดที่ไม่มี Zooxanthallae แสงจึงมีความจำเป็นไม่มากนัก สำหรับปัจจัยเรื่องสารอาหารในมวลน้ำและตะกอน ควรมีปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากไปหรือน้อยไป

เนื่องจากสารอาหารที่มีมากไป จะก่อให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ตามมา ส่วนตะกอนถ้ามีมากไป จะทำให้เกิดการอุดตันได้ ส่วนความเค็ม โดยทั่วไปแล้ว ปะการังอ่อนจะอยู่ได้ดีในความเค็มที่เหมาะสม แต่สามารถทนทานต่อความเค็มที่สูงมากกว่าความเค็มที่ต่ำกว่าปกติ

สำหรับอุณหภูมิ โดยทั่วไป เนื่องจากปะการังอ่อนบางชนิดอยู่ได้ในน้ำลึก จึงสามารถทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติได้เล็กน้อย แต่ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำหรือสูงเกินกว่าอุณหภูมิปกติมากจนเกินไปได้



จาก               :             คอลัมน์จุดประกาย   กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550


หัวข้อ: Re: ผลโลกร้อนทำ'ปะการังอ่อน'ตายเป็นแนวยาว 200 กม.
เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มกราคม 03, 2008, 12:35:39 AM

ปัญหาภาวะโลกร้อนพ่นพิษปะการังไทยตาย

โลกร้อน" ปัญหาฮิตที่กำลังตื่นตระหนกกันไปทั้งโลก เนื่องมาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งจากขั้วโลกละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น และอีกหลายภัยธรรมชาติที่เกิดประดังกันในหลายประเทศ

ประเทศไทยเองย่อมหนีไม่พ้นปัญหานี้ นอกจากน้ำท่วมที่เกิดซ้ำซากทุกปี และจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในปีต่อๆ ยังเกิดปรากฏการณ์ทางทะเล

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ลงไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ทะเล ที่หมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ ในวันที่ 1 พ.ย. พบว่ากลุ่มปะการังอ่อนที่เกาะโขดหิน ได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำเย็นที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้ปะการังตายและเสียหายเกือบทั้งหมด

โดยเฉพาะบริเวณเกาะห้าใหญ่ หินม่วงหินแดง ไปจนถึงเกาะรอก เกาะตะรุเตา เป็นระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ทำให้ปลาชนิดต่างๆ ลดลงไปเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อวัดอุณภูมิในทะเลอันดามัน ปกติจะอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส พบว่าบางช่วงมีอุณภูมิเหลือเพียง 15 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบที่หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา พบว่ามีมวลน้ำจากทะเลลึกข้างนอกเข้ามาในทะเลอันดามัน ทำให้น้ำทะเลที่ความลึก 20 เมตรลงไปเย็นกว่าปกติ รวมทั้งมีค่าอ๊อกซิเจนละลายน้ำต่ำกว่าปกติ

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยก็ประสบปัญหาเนื่องจากสภาวะโลกร้อน เมื่อพบว่าการทำนาปรังประสบปัญหา เนื่องจากอุณภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ข้าวผสมพันธุ์ไม่ติดกลายเป็นหมัน และปัญหาด้านสาธารณสุข เช่น เชื้อโรคระบาดต่างๆ อย่าง มาเลเรีย และอหิวาตกโรค

ในปี 2551 ภาวะโลกร้อน จะยิ่งทวีปัญหามากขึ้นไปอีก ไทยเองก็หนีไม่พ้น



จาก              :             ข่าวสด    วันที่ 2 มกราคม 2551