|
หัวข้อ: เกาะติดชีวิตโลมาอ่าวไทย เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มีนาคม 21, 2008, 12:27:15 AM เกาะติดชีวิตโลมาอ่าวไทย แสนรู้เป็นมิตร...ดัชนีชี้วัดทะเลอุดม (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/variety/3/20/158112_71148.jpg) การปรากฏตัวขึ้นของ โลมาในน่านน้ำอ่าวไทยตอนในอยู่บ่อย ๆ ครั้ง ส่งสัญญาณของความอุดมสมบูรณ์ของอ่าวไทย บอกกล่าวว่าแนวชายฝั่งทะเลนี้เต็มไปด้วยสัตว์น้ำหลากหลาย ทั่วโลกมีโลมาอยู่ 80 สายพันธุ์มีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม โลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ออกลูกเป็นตัว มีอายุพอ ๆ กับคน เป็นสัตว์ที่อยู่กับอ่าวไทยตอนในมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคน มีคุณยายท่านหนึ่งที่มหาชัยอายุ 80 ปีแล้วเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนหน้าบ้านมี ป่าชายเลนเป็นร้อยไร่ และเจอโลมาหลายชนิดมาก ชาวบ้าน เรียกว่าปลาปากหลอด เข้าใจว่าน่าจะเป็นโลมาปากขวด ชาวบ้านเคยเจอโลมาถึงขั้นกินอาหารเพลินจนตัวติดกับเลนตอนน้ำลง ต้องเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันขุดร่องน้ำให้ลึกให้โลมากลับลงทะเลได้ สายสุนีย์ จักษุอินทร์ ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์โลมาในอ่าวไทยตอนใน WWF ถ่ายทอดคำบอกเล่าของชาวบ้าน พื้นที่ อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร เป็นแหล่งที่พบโลมาอิรวดีในขณะนี้ ที่ผ่านมาการปรากฏตัว ขึ้นของโลมาอิรวดียังมีให้เห็น ตรง ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา พบโลมาอิรวดีนับร้อยตัว รวมถึงชายฝั่งทะเลอ.บ้านแหลม ต.แหลมผักเบี้ย นั้นเพราะฝั่งทะเลดังกล่าวมีอาหารสำคัญของโลมา ไม่ว่าจะเป็นปลากระบอก ปลาดุก ปลาหมึก เป็นต้น (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/variety/3/20/158112_71143.jpg) มีการคาดว่าโลมาอิรวดีทั่วโลกเหลือไม่เกิน 2,000 ตัว ถิ่นอาศัยที่สำคัญคือ ออสเตรเลีย เขมร พม่า อินเดีย สาเหตุที่ปริมาณโลมาลดลง เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยเสื่อมโทรม มีการจับสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของโลมาเพิ่มขึ้น โดยใช้เครื่องมือทันสมัย ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการสูญหายไปของโลมาหลากหลายสายพันธุ์ในเมืองไทยนั้นมีมาจากเรื่องสายเลือดที่ใกล้ชิดเกินไป อย่าลืมว่าโลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เมื่อโลมาเหลือน้อยก็ผสมพันธุ์ระหว่างเครือญาติ ทำให้ตัวอ่อนที่เกิดมามีลักษณะด้อย เกิดมาอ่อนแอ ดังนั้นจึงเกิดอัตราการตายสูงในวัยตัวอ่อน ปรากฏการณ์นี้เห็นชัดที่ทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นพื้นที่ ปิด ตอนนี้ประชากรโลมาในทะเลสาบสงขลาลดลงเหลืออยู่ที่ 20-25 ตัวจากเดิมเคยมีอยู่ถึง 50-60 ตัว โครงการอนุรักษ์โลมาในอ่าวไทยตอนใน คือการเริ่มต้นศึกษาธรรมชาติของโลมาอิรวดีในบริเวณอ่าวไทยครั้งแรกครอบคลุมพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำสำคัญ คือบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง และเพชรบุรี ซึ่งบริเวณนี้เรียกว่าอ่าวก.ไก่ ตามลักษณะของแผนที่ชายฝั่งทะเล ชายฝั่งที่เป็นรอยหยักเป็น พื้นที่สำคัญของถิ่นที่อยู่อาศัยของโลมาอิรวดี WWF ประเทศไทย ได้ร่วมกับบริษัท กัลฟ์ อิเลคตริก จำกัด (มหาชน) สนับสนุนให้งบประมาณ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน โครงการอนุรักษ์โลมาในอ่าวไทยตอนในภายในระยะเวลา 3 ปี (ปลายปี 2549-2552) เพื่อร่วมอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินตามธรรมชาติของโลมาอย่างมีส่วนร่วม พร้อม ๆ กับส่งเสริมกระตุ้นจิตสำนึกไปด้วยกัน โดยเฉพาะโลมาอิรวดี ถือว่าเป็นสัตว์คุ้มครองที่เสี่ยง ต่อการสูญพันธุ์ โดยจะประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับกรมทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/variety/3/20/158112_71144.jpg) สายสุนีย์ บอกเล่าถึงการดำเนินโครงการดังกล่าว ว่า บ้านเราเริ่มต้น ศึกษาชีวิต ของปลาโลมาอย่างจริงจัง เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา หลังจากก่อตั้งกรมทรัพยา กรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง ตอนนั้นเริ่มจากการสำรวจว่าโลมาเหลืออยู่ในประเทศไทยกี่ชนิด แต่เมื่อมีการเกิดขึ้น ของโครงการอนุรักษ์โลมาในอ่าวไทยตอนในเกิดขึ้น WWF จะทำงานร่วมกับกรมทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และชายฝั่ง และร่วมกับเครือข่ายชุมชนในแง่ที่ว่าจะเริ่มนับจำนวนประชากรที่แท้จริงของโลมาบริเวณนี้ แต่เดิมเรามีความเชื่อว่าโลมาที่บางปะกงกับอ่าวไทยทั้งหมดเป็นฝูงเดียวกันแล้วว่ายไปว่ายมา แต่ตอนนี้เราเชื่อว่าเป็นคนละฝูง จะค่อนข้างอยู่ประจำถิ่นเดิม ยืนยันได้หลังจากเราลงพื้นที่สำรวจโลมาในเวลาพร้อมกันลงที่บางปะกง ลงที่มหาชัย และแหลมผักเบี้ย ช่วงเวลาที่เราพบมีการโทรศัพท์เช็กใน 3 ทีมพบว่าทุกทีมเจอโลมาพร้อม ๆ กัน อาจจะมีเหลื่อมกันบ้างครึ่งชั่วโมงหนึ่งชั่วโมง แต่คิดว่ามันคงว่ายน้ำไปไม่ทัน นักวิจัยให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับโลมา วิธีการทำทะเบียนประชากรโลมาจะใช้วิธีการ ทำโฟโต้ไอดี คือ การถ่ายรูปครีบของโลมา โดยการสังเกตจากครีบของแต่ ละตัวที่จะมีลักษณะเว้าแหว่ง ต่างกัน แม้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างยากพอสมควรในการจัดทะเบียนประชากรของโลมา อิรวดี แต่นักวิจัยบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีดีที่สุด เพราะไม่สามารถฝังชิพลงไปในตัวโลมาได้เหมือนสัตว์อื่นเช่นเต่าทะเล หรือสัตว์ป่าอย่างเสือนั้น เพราะผิวหนังของโลมาก็ไม่ต่างจากคน เมื่อมีบาดแผลผิวหนังเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะติดเชื้อ ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์โลมาในอ่าวไทยตอนใน ยังถ่ายทอดพฤติกรรมอันแสนน่ารัก ของโลมาหลังจากลงเรือไปเก็บข้อมูลมาปีกว่า ๆ ว่า โดยใช้วิธีเฝ้าดูพฤติกรรมและถ่ายภาพ ยังพบว่า โลมาจะคุ้นเคยกับทีม วิจัย จะจำเสียงเรือได้ เจ้าหน้าที่สำรวจหรือแม้กระทั่งชาวบ้านจะต้องใช้เรือลำเดิมเมื่อลงพื้นที่ มีข้อสังเกตว่าถ้าเปลี่ยนเรือโลมาจะไม่ค่อยเข้าใกล้ ธรรมชาติของโลมาจะเป็นสัตว์ขี้เล่น กินแล้วเล่น หรือกินแล้วผสมพันธุ์ และมี ท่าทางประจำตัวสุดแสนน่ารัก ที่มักจะเห็นในเวทีโชว์โลมาทั่วไปคือการโผล่หัวขึ้นมาพ้นน้ำเหมือนโผล่ขึ้นมามอง เพื่อเช็กดูว่าฝูงอยู่ตรงไหน หรือดูตำแหน่งของตัวเอง ดูทิศทางว่าจะว่ายเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เรียกว่า สปายฮอก ถือว่าเป็นพฤติกรรมพิเศษของโลมาจะมีเฉพาะในโลมาอิรวดีเท่านั้น พฤติกรรมนี้สร้างความประทับใจให้ชาวประมงอยู่บ่อย ๆ ยืนยันได้จากภาพถ่ายที่มีการเก็บพฤติกรรมของโลมาลักษณะนี้ได้ บางครั้งโลมา แอบไปเล่นกับนกพ่นน้ำใส่ เป็นภาพน่ารักที่ใครเห็นก็หลงรักขึ้นมาทันที ขณะที่ฟากฝั่งบางปะกง ความน่ารักของโลมาปรากฏโฉมต่อนักท่องเที่ยวหลายครั้ง สมจิตร์ พันธุ์สุวรรณ นายกเทศมนตรี ต.ท่าข้าม บอกเล่าพฤติกรรมโลมาที่บางปะกงว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ล่องเรือชมโลมาส่วนใหญ่จะพบ ถ้าอากาศดีไม่มีพายุ น้ำใสโดยช่วงท่องเที่ยวชมโลมาของบางปะกงจะเริ่มต้นตั้งแต่พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ หากดับเครื่องเรือจอดบางครั้งจะมาเล่นอยู่ข้าง ๆ เรือ ชาวประมงออกเรืออวนดำขนาดใหญ่ เขาจะมาเลาะเล็มปลาอยู่ข้างเรือเพื่อรอกินปลา บางครั้งกินเยอะจนต้องไล่ออกไปห่าง ๆ นั้นเป็นที่สังเกตว่าเขาไม่กลัวคนคุ้นเคยเพราะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่บ่ง บอกว่าท้องทะเลอ่าวไทยตอนในปลอดภัยสุด ๆ นักวิจัยคนเดิม บอกอีกว่า จากคำบอกเล่าของชาวประมงในมหาชัย มีการเจอโลมาลูกอ่อน 1 ตัวมากับแม่ เมื่อปี 2549 แต่ปลายปี 2550 พบโลมาลูกอ่อนถึง 4 ตัว แสดงให้เห็นว่ามีอัตราการเกิดมากขึ้น การคลอดลูกเห็นได้ชัด ว่าถิ่นที่อยู่เขาปลอดภัย ถ้าไม่ปลอดภัยเขาจะพาตัวอ่อนหนี หรือการเห็นโลมาผสมพันธุ์ นั้นเป็นสิ่งพิสูจน์เพิ่มด้วยว่าตรงนี้มีอาหารสมบูรณ์ บางทีสถานที่ปลอดภัยของโลมาจะไปหลบตามหลักหอย เพราะในนั้นมีปลากระบอกเยอะ และเขารู้ว่าไม่มีใครเข้าไปทำอันตรายได้ ปัจจุบันพื้นที่อาศัยของโลมาคือบริเวณอ่าวไทยตอน ในนับเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยอันปลอดภัย เปรียบได้กับบ้านอันแสนอบอุ่นนั้นเพราะชุมชน เริ่มตระหนักและมีความรู้ว่าสัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์คุ้มครอง ตรงนี้คือผลจากการเก็บข้อมูลและการจัดกิจกรรมอนุรักษ์โลมาของ WWF ประเทศไทย โดยลงไปในชุมชนและโรงเรียนจัดกิจกรรมนิทรรศการ สอดแทรกความสำคัญของโลมาลงไป (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/variety/3/20/158112_71145.jpg) ด้านตัวแทนของภาคประชาชนที่ออกมาสะท้อนภาพ อย่าง วรพล ล้อมจันทร์ อดีตผู้ใหญ่บ้านแกนนำกลุ่มประมงแถบโกรกกราก พันท้ายนรสิงห์ และโคกขาม บอกว่าเดิมทีสัตว์น้ำที่ชาวประมงพื้นบ้านเคยหาเลี้ยงชีพหายไป บ้านหลายคนหายไปกับทะเลเพราะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อฟื้นฟู เช่นกัน พื้นที่ชายฝั่งสำหรับเรือประมงขนาดเล็ก ปักไม้ไผ่เลี้ยงหอย ซึ่งมีส่วนช่วยการชะลอคลื่นและช่วยสะสมตะกอน ยอมเสียสละที่ดินเพื่อปลูกป่าชายเลน จากความเข้มแข็งของชุมชนตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี มหาชัยวันนี้จึงมีกุ้ง หอย ปู ปลา และที่สำคัญพบโลมาอิรวดี และวาฬบรูด้าเข้ามาหากินชาย ฝั่ง สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี แม้สายพันธุ์อื่นของโลมาจะสูญหายไป แต่กับสิ่งที่เหลือทุกคนต่างเอาใจช่วยให้โลมา อิรวดีสายพันธุ์เกือบสุดท้ายในอ่าวไทยตอนในอยู่รอดปลอดภัยไปอีกหลายชั่วอายุคน. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 20 มีนาคม 2551 หัวข้อ: Re: เกาะติดชีวิตโลมาอ่าวไทย เริ่มหัวข้อโดย: kungkings ที่ มีนาคม 21, 2008, 01:29:22 AM มาเอาใจช่วยคะ.... :) :) :)
หัวข้อ: Re: เกาะติดชีวิตโลมาอ่าวไทย เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ มีนาคม 21, 2008, 02:06:45 AM ผู้ใหญ่วรพล ล้อมจันทร์ แห่งโกรกกราก พันท้ายนรสิงห์ เมืองมหาชัย คงจะยิ้มออก หากลูกโลมาเกิดขึ้นใหม่อีก 4 ตัวนั้นไปเกิดแถวๆอ่าวหน้าบ้านผู้ใหญ่ ทดแทนเจ้าลูกโลมาตัวที่ติดอวนตายไปเมื่อปีที่แล้วนะคะ หัวข้อ: Re: เกาะติดชีวิตโลมาอ่าวไทย เริ่มหัวข้อโดย: conundrum ที่ มีนาคม 21, 2008, 02:33:33 AM ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีครับ ที่บ่งบอกว่าสภาพชายฝั่งเริ่มมีการฟื้นฟู ;D
|