|
หัวข้อ: แมงกะพรุนและแมงกะพรุนไฟ เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 02, 2008, 01:50:06 AM แมงกะพรุนและแมงกะพรุนไฟ (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/6/2/165696_76411.jpg) สัตว์ทะเลมีพิษที่ต้องระวังช่วงฤดูฝน ในช่วงนี้ หากใครเดินทางท่องเที่ยวทะเลทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย มักจะพบสัตว์ทะเล ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี คือ แมงกะพรุน ซึ่งลักษณะรูปร่างของแมงกะพรุนที่พบเห็นโดยทั่วไป จะมีลักษณะเหมือนถ้วยคว่ำ มีสีสันแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิด ตั้งแต่สีขาวใส ไปจนถึงสีเข้ม และหลากสี มีหนวดหลายเส้น อยู่ส่วนล่างของลำตัวรูปถ้วยคว่ำ ขนาดของมันจะมีตั้งแต่ขนาดเล็ก เท่านิ้วมือไปจนถึงขนาดใหญ่ ส่วนมากพบลอยอยู่ในทะเล หรือถูกคลื่นซัดขึ้นมาตามชายหาดเป็นจำนวนมาก โดยก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมีนาคม 2547 ยังเคยพบการ Bloom ของแมงกะพรุน ตลอดแนวชายฝั่งทะเลตั้งแต่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถึง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร ลักษณะตามธรรมชาติของแมงกะพรุน ดูเหมือนภายนอกอาจจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่เรามักได้ยินคำเตือนอยู่เสมอว่า แมงกะพรุนมีอันตราย โดยเฉพาะแมงกะพรุนไฟที่มีพิษรุนแรง ดังนั้น หากใครพบเห็นแมงกะพรุน และไม่แน่ใจถึงความเป็นพิษของมัน ควรจะหลีกเลี่ยงเป็นดีที่สุด ขณะที่ นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ขั้น ตอนการปฏิบัติในกรณีที่มีการพบแมงกะพรุนตามชายฝั่งทะเลเป็นจำนวนมาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีหน่วยงาน ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย จะเร่งดำเนินการแจ้งเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยว เพื่อให้ระมัดระวังการเล่นน้ำทะเลในช่วงดังกล่าว เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากแมงกะพรุนได้ ด้าน นายวุฒิชัย เจนการ ผู้อำนวยการกองแผนงาน อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เล่าว่า อันตรายของแมงกะพรุน อยู่ที่หนวดที่มีหลายเส้น เพราะหนวดแต่ละเส้นล้วนมีเข็มพิษฝังอยู่ภายใต้ผิวของหนวด เป็นจำนวนมาก ซึ่งพิษของแมงกะพรุนมีระดับความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงขนาดเป็นอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์ (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/6/2/165696_76412.jpg) แมงกะพรุนที่พบทั่วไปในทะเลไทย ได้แก่ แมงกะพรุนหนัง แมงกะพรุนไส้ไก่ แมงกะพรุนหวี และแมงกะพรุนไฟ ซึ่งส่วนใหญ่แมงกะพรุนจะมีพิษอยู่แล้ว การสังเกตง่าย ๆ คือ แมงกะพรุนที่มีพิษรุนแรง มักจะมีหนวดยาวรุ่มร่าม โดยแมงกะพรุนที่ถือเป็นอันตรายและมีพิษรุนแรงที่สุด คือ แมงกะพรุนไฟ แมงกะพรุนหวี โดยจะพบทั้งบริเวณชายฝั่งถึงทะเลลึก ตามปกติจะพบแมงกะพรุนมากช่วงปลายฤดูร้อนถึงฤดูฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนหลังฝนตกใหม่ ๆ มักพบเป็นจำนวนมาก ถึงแม้แมงกะพรุนจะถูกคลื่นซัดขึ้นมาบนชายหาดเป็นเวลาหลายชั่วโมง แล้ว แต่เข็มพิษที่หนวดยังคงมีฤทธิ์อยู่ ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะไปแตะต้องตัว หรือหนวดของมันเป็นอย่างยิ่ง พิษของแมงกะพรุนอยู่ที่เข็มพิษ หรือ เหล็กใน ที่ฝังอยู่ตามบริเวณผิวของหนวด การทำงานของเข็มพิษจะคล้ายกับการยิงธนู เมื่อมีสิ่งมารบกวนหรือเฉียดเข้าไปใกล้หนวดของมัน หรือ ลำตัว มันจะยิงเข็มพิษออกมาทันที และเมื่อเข็มพิษถูกยิงออกมาก็จะมีน้ำพิษออกมาด้วย และน้ำพิษนี่เองที่ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อน ตกเลือด เกิดอาการชา รวมถึงบางรายมีการปวดท้อง จุกเสียด แน่นหน้าอกและเป็นไข้ แม้ว่าบริเวณที่ถูกเข็มพิษห่างจากบริเวณท้องก็ตาม บางรายอาจมีอาการท้องร่วง บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งที่ช่องท้องและหลัง เหงื่อออกมาก น้ำตาและน้ำมูกไหล สูญเสียการทรงตัว หายใจลำบาก เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย การทำงานของไตผิดปกติ ในรายที่ถูกพิษมาก และเป็นชนิดที่ร้ายแรงจะมีอาการชักจนหมดสติอาจจะถึงตายได้ ส่วนบริเวณที่ถูกเข็มพิษมักจะเป็นรอยแผลไหม้ หรือไฟลวก บาดแผลอาจขยายขนาดอย่างรวดเร็ว และหากมีการรักษาไม่ดี แผลอาจเกิดการติดเชื้อ จนอักเสบพุพอง ทำให้เนื้อเน่าเปื่อยต้องรักษาหลายวันจึงจะหาย และมีรอยแผลเป็นทิ้งไว้ให้เห็นหลังจากการรักษาแล้ว (http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/6/2/165696_76413.jpg) นายวุฒิชัย กล่าวว่า การป้องกันที่ดีที่สุด หากต้องลงทะเลหรือเล่นน้ำในช่วงนี้ ควรจะสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการสัมผัสกับหนวดของแมงกะพรุนโดยตรง หากมีหนวดของแมงกะพรุนขาดติดอยู่ไม่ควรใช้มือเปล่าจับ ควรหาอุปกรณ์คีบออกให้หมด แล้วรีบล้างด้วยน้ำสะอาดโดยทันที แต่ไม่ควรถู หรือเกา หรือขยี้บริเวณที่เป็นแผลโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้พิษกระจายตัวอย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจใช้ครีมทาเพื่อรักษาอาการแสบร้อนเบื้องต้นได้ ตามความเชื่อของชาวบ้านอาจจะใช้ผักบุ้งทะเล ด้วยการบดให้ละเอียดแล้วนำมาประคบบาดแผลเพื่อช่วยดูดซับ พิษของแมงกะพรุนได้ และควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ....ดูเหมือนว่าแมงกะพรุนจะเป็นสัตว์ทะเลที่เป็นอันตรายและมีพิษ แต่แมง กะพรุนก็ถือได้ว่าเป็นสัตว์ทะเลที่มีประโยชน์ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศวิทยาทางทะเลที่มีความสำคัญ อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเล โดยเฉพาะเต่าทะเลหลายชนิด เช่น เต่าตนุ เต่ามะเฟือง ที่กินแมงกะพรุนเป็นอาหาร นอกจากนั้น ชาวประมงแถบฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทยฝั่งตะวันตก ยังจับแมงกะพรุนจากทะเลมาดองเกลือผลิตเป็นสินค้าบริโภคจำหน่ายสร้างรายได้เสริมในช่วงรอยต่อมรสุม ที่ได้ราคาดีไม่แพ้สัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ เช่นกัน.... จาก : เดลินิวส์ วันที่ 2 มิถุนายน 2551 หัวข้อ: Re: แมงกะพรุนและแมงกะพรุนไฟ เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 24, 2008, 01:15:10 AM แมงกะพรุนเพิ่มบ่งโลกร้อน (http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/06/tec04240651p1.jpg) ระยะนี้แมงกะพรุนอาจปรากฏหนาตาขึ้น โดยเฉพาะที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน "พีลาเจียนอคติคูล่า" กะพรุนมีพิษที่ทำให้ผิว หนังมนุษย์ไหม้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนในฤดูร้อนนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวตามชายฝั่ง นางแจ๊กเกอลีน กอย นักสมุทรศาสตร์จากสถาบันปารีส อธิบายว่า "การที่จำนวนแมงกะพรุนมากขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากอากาศที่ร้อนจัดขึ้นแล้ว การประมงที่มากเกินไปยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ส่วนนายริคาร์โด อาร์กีล่า ผู้อำนวยการโอเชียน่า หนึ่งในองค์กรอนุรักษ์ กล่าวว่า "การกำจัดแมงกะพรุนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะมันเข้ามาแทนที่สัตว์น้ำหลากหลายพันธุ์แล้ว" ตามธรรมชาติ เมื่อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังอย่างปลาทูน่า ปลาฉลาม เต่า หายไปจากทะเล สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังอย่างแมงกะพรุนจะเข้ามาแทนที่ เนื่องจากขาดผู้ล่าและมีการแข่งขันแย่งหาอาหารน้อยลง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคำนวณได้ว่า แมงกะพรุนมีจำนวนเท่าใดกันแน่ เนื่องจากดาวเทียมไม่สามารถตรวจจับแมงกะพรุนได้ ไม่เหมือนกับการตรวจจับฝูงปลา ที่ดาวเทียมตรวจพบได้สบายๆ และจากการบันทึกยาวนาน 200 ปี พบว่า ทุกๆ 12 ปีจะมีแมงกะพรุนมาก อีก 4-6 ปีถัดมา จำนวนจึงคงที่และค่อยๆ ลดจำนวนลง แต่ปีนี้เป็นปีที่ 8 ติดต่อกันแล้วที่มีแมงกะพรุนมาก จาก : ข่าวสด วันที่ 24 มิถุนายน 2551 หัวข้อ: Re: แมงกะพรุนและแมงกะพรุนไฟ เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 26, 2008, 12:55:01 AM "แมงกะพรุน" ทั่วโลกเพิ่มไม่หยุดหวั่นทะเลเสียสมดุล (http://pics.manager.co.th/Images/551000007840001.JPEG) แมงกระพรุนแหวกว่ายอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใกล้กับชายฝั่งเมืองเคแมร์ ประเทศตุรกี ซึ่งถูกบันทึกภาพไว้ได้เมื่อเดือน มิ.ย. 2547 (ภาพจาก AFP PHOTO / TARIK TINAZAY) นักสมุทรศาสตร์เผยสถิติแมงกะพรุนทั่วโลกกำลังแพร่พันธุ์เต็มมหาสมุทรอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดจำนวนลงได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ขณะที่ปลาทะเลและสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ กลับลดลงอย่างน่าใจหายเพราะน้ำมือของมนุษย์ "เมื่อสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา ลดจำนวนลง สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาแทนที โดยเฉพาะแมงกะพรุน" คำพูดของริคาร์โด อากิลาร์ (Ricardo Aguilar) ผู้อำนวยการของโอเชียนา (Oceana) องค์กรสากลด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งท้องทะเล ซึ่งรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีระบุอีกว่าในขณะนี้ท้องทะเลทั่วโลกกำลังประสบกับปัญหาแมงกะพรุนแพร่กระจายเป็นจำนวนมาก และในบางท้องที่ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้ (http://pics.manager.co.th/Images/551000007840002.JPEG) เจ้าหน้าที่นักดำน้ำกำลังติดเซนเซอร์ไว้กับแมงกะพรุนตัวเขื่องที่อยู่บริเวณใกล้กับชายฝั่งเมืองโคมะทสึ (Komatsu) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นเมื่อเดือน ต.ค. 2549 (ภาพจาก AFP PHOTO/YOMIURI SHIMBUN) ข้อมูลจากนักสมุทรศาสตร์ระบุว่าโดยปกติแมงกะพรุนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกๆ 12 ปี และจะมีปริมาณมากคงที่อย่างนั้นต่อไปราว 4-6 ปี ก่อนจะค่อยลดลงอีกครั้ง เป็นวัฏจักรเช่นนี้มานานร่วม 2 ศตวรรษ ทว่าในปี 2551 นี้นับเป็นปีที่ 8 แล้วที่ฝูงแมงกะพรุนในทะเลต่างพากันเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างขาดการควบคุม จนมีปริมาณมากและกลายเป็นปัญหาในหลายๆ ท้องที่ เช่น ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่มากกว่าปัญหาคือมันกลับกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าสิ่งแวดล้อมในทะเลกำลังย่ำแย่ลงทุกขณะ ระบบนิเวศน์กำลังเข้าสู่ภาวะเสียสมดุล (http://pics.manager.co.th/Images/551000007840003.JPEG) แมงกะพรุนตัวอ้วนที่อยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลประเทศอิสราเอลถูกบันทึกภาพไว้ได้เมื่อเดือน เม.ย. 2550 (ภาพจาก AFP PHOTO/HO/B. GALIL) สาเหตุที่ทำให้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างแมงกระพรุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเอเอฟพีรายงานว่าเป็นเพราะการลดจำนวนลงของปลาและสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จากการถูกล่าและการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลโดยมนุษย์เรานั่นเอง โดยเฉพาะพวกทูนา, ฉลาม และ เต่าอีกหลายชนิด ซึ่งหากสัตว์เหล่านี้ลดน้อยลง นั่นหมายถึงศัตรูที่จะมาคอยแย่งอาหารกับแมงกะพรุนก็ลดลงด้วย ทำให้แมงกะพรุนมีแหล่งอาหารอันโอชะมากมาย ทั้งแพลงก์ตอนและปลาขนาดเล็ก แอนดรูว์ ไบรเออร์เลย์ (Andrew Brierley) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ส (University of St Andrews) ในสกอตแลนด์ อธิบายว่า เมื่อแมงกะพรุนเพิ่มมากขึ้นก็จะไปแย่งอาหารกับปลาอื่นๆ อีก และมันก็เป็นยังเป็นศัตรูผู้ล่าปลาเหล่านั้นไปด้วย ขณะเดียวกันสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเลสูงขึ้น ก็ปัจจัยส่งเสริมให้แมงกะพรุนขยายพันธุ์ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ก็ยิ่งทำให้แมงกะพรุนครองอาณาเขตในมหาสมุทรได้ไม่ยาก (http://pics.manager.co.th/Images/551000007840004.JPEG) ภาพเมื่อเดือน ก.พ. 2550 ขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังชมแมงกะพรุนแหวกว่ายไปมาอยู่ในอควาเรียมแห่งหนึ่งของฮ่องกง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าญาติของเจ้าแมงกะพรุนเหล่านี้กำลังขยายอาณาเขตครอบครองน่านน้ำในมหาสมุทรทั่วโลก (ภาพจาก AFP PHOTO/Antony DICKSON) |