|
หัวข้อ: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 10, 2008, 12:31:51 AM 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล (http://www.thairath.co.th/2551/agriculture/Jun/library/10/farming2.jpg) ท้องทะเล เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต อาทิ ปะการัง ปลาหมึก เม่นทะเล โลมา และอีกมากมายหลายชนิด ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว พักผ่อน กลุ่มคนผู้หลงใหลในเสน่ห์ของ ผืนน้ำสีคราม กระทั่งมีการกำหนดให้วันที่ 8 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันทะเลโลก (World Ocean day) แต่!...เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมีข่าวน่าเศร้าสลดขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ หลังพบ วาฬหัวทุยแคระ ขึ้นมาเกยตื้นหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต แม้ทีมจาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน พยายามช่วยเหลือแต่ไม่อาจ รั้งชีวิต มันไว้ได้ น.สพ.สนธยา มานะวัฒนกุล สัตวแพทย์ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก บอกกับ หลายชีวิต ว่า จากการผ่าพิสูจน์ซากตรวจกระเพาะอาหารพบมี ขยะประเภท เศษเชือก ซองแยมโรล ฝาพลาสติกกล่องน้ำผลไม้ และ Jaw หมึก อุดตันอยู่ในกระเพาะจำนวนมากเกือบ 2 กก. ในจำนวนนี้มี ถุงพลาสติก ถึง 26 ใบ เพื่อย้ำเตือนความรับผิดชอบ และเป็นบทเรียนอันเกิดจาก ความมักง่าย จึงนำซาก กระดูกวาฬ ซึ่งตั้งชื่อว่า ยะหยา หมายถึงชุดท้องถิ่นของสตรีชาวภูเก็ต จัดแสดงที่ภูเก็ต บอกถึงความเป็นมารวมถึงสาเหตุการตาย ให้ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยขยะ ...สำหรับ 'วาฬ' นักวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เซตาเซียน มาจากคำว่า คีโท ซึ่งภาษากรีกแปลว่า สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เป็นสัตว์เลือดอุ่น เลี้ยงลูกด้วยนมมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบเห็นได้น้อยมาก เข้าใกล้บริเวณชายฝั่งเฉพาะในช่วงอาการป่วย อยู่เป็นครอบครัวใหญ่ รวมกันเป็น กลุ่มฝูงในทะเลเปิด พวกมันมีหลายสายพันธุ์ อาทิ วาฬสีน้ำเงิน วาฬเพชฌฆาต วาฬนาร์วอลและอีกมากมาย (http://www.thairath.co.th/2551/agriculture/Jun/library/10/farming1.jpg) รวมทั้ง วาฬหัวทุย ที่มีเผ่าพันธุ์ที่ตัวเล็กกว่ามากอยู่ 2 ชนิด คือ วาฬหัวทุยเล็ก และวาฬหัวทุยแคระ (Dwarf Sperm whale; Kogia simus) ใช้สัญญาณเสียงสะท้อนกลับ (Echo) สื่อถึงกัน ด้วยคลื่นช่วงความถี่ตั้งแต่ 0-300 Hz ไกลถึงหลายสิบกิโลเมตร วาฬหัวทุย ตั้งท้อง 16-17 เดือน ออกลูกเป็นตัว แรกเกิดมีขนบางๆ ปกคลุมตัว หลังอายุ 2-3 สัปดาห์ จึงค่อยๆหลุดร่วงไป ช่วงแรกเกาะกลุ่มอาศัยอยู่กับแม่ เมื่ออายุ 13 เดือน จะเริ่มแยกออกหากินอาหารจำพวกปลาหมึก และปลาตัวเล็ก มันมีสายตารับภาพได้ดีทั้งบนบกและในน้ำ บริเวณส่วนหัวจะมีขี้ผึ้งที่เป็นมันเรียกว่า สเปิร์มมาเซติ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่า มันสามารถทำให้เย็นตัวแข็งจับกันแน่น เพื่อช่วยให้ดำดิ่งได้เร็วลึกที่สุดคือ 2,800-3,000 เมตร จึงไม่แปลกที่มันจะถูกยกให้เป็นวาฬดำน้ำลึก นอกจากนี้มันยังใช้ ขี้ผึ้ง ในการหาตำแหน่งด้วยเสียงสะท้อนที่ดังพอจะ สะกดเหยื่อ ให้อยู่นิ่ง เพื่อกลายเป็นอาหารได้ ส่วน จมูกที่อยู่บนหัว มีไว้สำหรับสูดอากาศหายใจเข้าปอดขณะอยู่เหนือผิวน้ำ และหากตกใจ จะปล่อยน้ำขุ่นๆ สีแดง ออกมาให้ศัตรูสับสน จากนั้นจะแพนหางที่กว้างเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้ว่ายน้ำหนีไปอย่างรวดเร็ว 3 เมตร/วินาที วาฬหัวทุยสามารถผลิตสาร ลักษณะเป็นมันกลิ่นเหม็น มีสีคล้ำ ซึ่งเรียกว่า แอมเบอร์กริส โดยสารนี้อยู่ในลำไส้ เมื่อถูกทำให้ร้อนจะมีกลิ่นหอม และมันถูกใช้ทำน้ำหอมในหลายๆประเทศ จนกระทั่งทศวรรษ 1980 ความนิยมจึง ลดท่าล่าถอย เพราะจำนวนประชากรเริ่มมีน้อย ประจวบกับช่วงนั้นผลิตภัณฑ์เครื่องหอมเริ่มมีให้เลือกซื้อหากันง่ายขึ้น ในสังคมผู้มีอันจะกิน และนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำนวนของวาฬหัวทุยแคระ หมิ่นเหม่ต่อการสูญพันธุ์ กระทั่งต้องประกาศให้อยู่ในสถานภาพการคุ้มครองไซเตส บัญชีหมายเลข 2. จาก : ไทยรัฐ วันที่ 10 มิถุนายน 2551 หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 10, 2008, 01:03:53 AM วาฬ "วาฬหัวทุยแคระ" เพศเมีย ความยาวลำตัว 2.05 เมตร น้ำหนัก 98 ก.ก. เพศเมีย เกยตื้นบริเวณชายหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีบาดแผลเต็มตัว รอยช้ำเลือดในผนังกระเพาะ สัตวแพทย์ฉีดยากันช็อกระหว่างเคลื่อนย้าย แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ตายระหว่างนำไปอนุบาล และยิ่งสลดใจเมื่อผ่ากระเพาะอาหารเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต แล้วพบขยะพลาสติกอัดแน่นอยู่เต็มท้อง ทั้งถุงดำ ถุงหิ้ว ซองแยมโรล ฝาพลาสติก ทำให้ไม่ย่อยและขับถ่ายระบายออกมาไม่ได้ ทำให้นักวิชาการด้านทรัพยากรทางทะเลวอนนักท่องเที่ยวอย่าทิ้งขยะพลาสติกลงทะเล เพราะเกรงว่าวาฬและสัตว์น้ำอื่นจะกินเข้าไปจนตายอีก มนุษย์รู้จักวาฬมานานแสนนาน อริสโตเติ้ลนักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาล เคยหลงผิดคิดว่าวาฬเป็นปลา ทำให้คนจำนวนไม่น้อยหลงผิดมาด้วยอีกยาวนาน กระทั่ง พ.ศ.2236 จอห์น เรย์ นักชีววิทยาชาวอังกฤษเป็นบุคคลแรกที่พิสูจน์ว่า วาฬมิใช่ปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะออกลูกเป็นตัวและเลี้ยงลูกอ่อนด้วยนม ปกติวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี เวลาคลอดส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อน และเนื่องจากนมมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว วาฬมีลักษณะศีรษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาเล็ก รูจมูกอยู่บนหลัง หายใจเช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ปกติชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาหมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำใช้หางโบกขึ้นลง ทำให้ว่ายได้เร็ว โดยเฉาะปลาวาฬพิฆาต (Orcunus orca) ว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วย ตั้งแต่วินาทีที่คลอดออกจากท้อง กระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนตาย วาฬจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วง 150 ปีที่ผ่านมา นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเมื่อ 65-75 ล้านปีมาแล้ว วาฬเคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ พ.ศ. 2535 H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio รายงานในวารสาร Science ว่าขุดพบกระดูกของวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถาน โครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วยกะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง คาดว่าวาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัว แสดงให้เห็นว่ามันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเล ส่วนขาหลังหดเล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้น โครงสร้างร่างกายเช่นนี้ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก หาอาหารเลี้ยงปากท้องยากลำบาก แต่เมื่ออยู่ในน้ำ มันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว ต้นตระกูลของวาฬจึงอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมาแล้ว และไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย พฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และวอรัส ที่เวลาจะคลอดลูก มันจะขึ้นจากทะเล วาฬหัวทุยแคระ (Dwarf sperm whale) เป็นหนึ่งใน 23 สายพันธุ์ วาฬและโลมา ที่พบเห็นในน่านน้ำประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Kogia simus (Owen, 1866) อยู่ในวงศ์ Kogiidae โตเต็มที่ยาว 2.7 ม. หนัก 280 ก.ก. ด้านข้างของส่วนหัวมีแนวสีขาวเข้มเป็นรูปโค้ง คล้ายแผ่นปิดเหงือกของปลา กินหมึกและปลาเป็นอาหารหลัก เวลาที่ตกใจสามารถสำรอกเอาหมึก ที่ได้รับจากตัวหมึกออกมาพรางตัว การจมตัวลงดำน้ำ คล้ายเรือดำน้ำ คือจมลงไปทั้งตัว พบน้อยมากในไทย เพียงจังหวัดภูเก็ตและสตูล จาก : ข่าวสด คอลัมน์ที่ 13 วันที่ 10 มิถุนายน 2551 หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: หอยกะทิ ที่ มิถุนายน 10, 2008, 05:10:30 PM น่าเศร้านะครับ เห็นข่าวแบบนี้แล้วเหมือนอารมณ์กร่อยๆทุกที :'(
หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: ประชาชาติ ที่ มิถุนายน 11, 2008, 06:15:25 AM เพิ่งเจอนอนตายอยู่หน้าบ้านผมที่ปราณตัวนึงครับ ไม่รู้ว่าวาฬ หรือโลมา
แจ้งแม่หอยแร้วครับ ก่อนหน้าเจอนอนตายวันนึง มีโลมาประเภทนี้ว่ายที่ทะเลหน้าบ้านผมอยู่เกือบทั้งวันครับ ไม่รู้มาตามเจ้าตัวเล็กนี้หรือปล่าว หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: ประชาชาติ ที่ มิถุนายน 11, 2008, 06:16:08 AM :'(
หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: ประชาชาติ ที่ มิถุนายน 11, 2008, 06:17:36 AM เจอต้องรีบไปรับใส่กาละมังมาเก็บไว้ก่อน
เด้วใครเจอแร้วเอาไปเล่น หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: ประชาชาติ ที่ มิถุนายน 11, 2008, 06:18:47 AM อีกมุมครับ
น่าสงสารมากครับ หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: สายชล ที่ มิถุนายน 11, 2008, 06:24:37 AM :'(....น่าสงสาร.... :'( ตายเพราะผลิตภัณฑ์พลาสติกอีกหรือเปล่าหนอ..... :'( หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ มิถุนายน 11, 2008, 08:30:26 AM น่าสงสารจังเลย :'(
หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: frappe ที่ มิถุนายน 11, 2008, 11:55:06 AM :'( :'( :'( อีกหนึ่งชีวิต
หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: สายน้ำ ที่ มิถุนายน 11, 2008, 11:49:42 PM นี่ที่หน้าบ้านของหลานประชาชาติเลยเหรอ ..... ยังเด็กยังเล็กอยู่แท้ๆ น่าสงสารจริงๆ มีโลมาเข้ามาอย่างนี้ แสดงว่ามีฝูงปลาเยอะ การจับปลาก็ต้องเยอะ ... เค้ายังเด็กอยู่ ขาดประสบการณ์ คงจะพลาดไปติดเครื่องมือประมงเข้ามั๊งครับ หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: ประชาชาติ ที่ มิถุนายน 13, 2008, 06:28:12 AM ช่วงนี้ปลาแยะมากครับ หน้าบ้านกุ้งเคยขึ้นมากซะทะเลเป็นสีแดงทั่วเรย
คนมาช้อนเคยก็เป็นร้อยครับ ตอนนี้ทะเลค่อนข้างดีเพราะพิษจากเรือคราดหอยหมดไปแร้ว ปีก่อนทะเลตายไปเรย เพราะดอนพังหมด น้ำมันแพง เรือประมงหมด ทะเลสงบ แต่อาหารทะเล แพงสุดขีด และแย่งกันยังกะสวายกินหนมปังที่เขาดิน หัวข้อ: Re: 'วาฬหัวทุยแคระ' สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เริ่มหัวข้อโดย: WayfarinG ที่ มิถุนายน 13, 2008, 07:27:10 AM เอิ๊กกก.. พี่ประชาชาติ เข้าใจเปรียบเทียบ..
|