ผู้จัดการออนไลน์
ชาวบ้านร้อง อภิสิทธิ์ โวยสผ.ส่อพิรุธเร่งประกาศแม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ
ชาวบ้านแม่รำพึงยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านทางนางจินตนา ทวีมา รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ชาวบ้านแม่รำพึงยื่นหนังสือถึงนายกฯ ค้านประกาศยกระดับพื้นที่แม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โวยชาวบ้านไม่มีส่วนรับรู้ ร้องให้เร่งตรวจสอบการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (4 พ.ค.) เวลา 10.00 น. ณ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ชาวบ้านแม่รำพึงหมู่ 1 และ หมู่ 7 อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนประมาณ 30 คน นำโดย นายสักรินทร์ สังข์แดง เข้ายื่นหนังสือต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ โดยมี นางจินตนา ทวีมา รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับเรื่อง เพื่อคัดค้านการประกาศยกระดับพื้นที่แม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โดยปราศจากการมีส่วนร่วมรับรู้และร่วมตัดสินใจของประชาชนในพื้นที่ พร้อมขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยตรวจสอบประวัติและเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ทุกชุด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ.
นายสักรินทร์ กล่าวว่า ที่ตนและชาวบ้านเดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านในวันนี้ เพราะได้รับความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงจากนโยบายของภาครัฐ เนื่องจากความพยายามของกระทรวงทรัพยากรฯ ที่เร่งประกาศยกระดับพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โดยที่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนในชุมชนท้องถิ่นไม่ได้มีส่วนรับรู้ และปัจจุบันได้มีการเข้าไปติดป้ายประกาศเขตเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแล้ว ที่ผ่านมาการร่วมรับรู้ข้อมูลและการเปิดรับฟังความคิดเห็นไม่เคยมีการจัดขึ้นในพื้นที่อย่างถูกต้องตามกระบวนการ มีเพียงกลุ่มคนบางกลุ่มที่สนับสนุนเพราะได้รับผลประโยชน์ ซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวบ้านเข้าร่วม อีกทั้งยังปราศจากข้อมูลสนับสนุน อ้างอิงที่ดีพอในทางวิชาการ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังดื้อดึงที่จะประกาศยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง ชาวบ้านจะเดินหน้าคัดค้านจนถึงที่สุด และจะขอพึ่งบารมีศาลปกครองฟ้องร้องหน่วยงาน หรือคณะกรรมการผู้พิจารณาอนุญาตให้มีคำสั่งระงับการดำเนินการต่อไป
ภายหลังการยื่นหนังสือชาวบ้านได้ทยอยกันเดินทางกลับ ด้านรองเลขาธิการสผ.ได้รับเรื่องไว้และรับปากกับชาวบ้านว่าจะดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว
**************************************************************************************
กรมทรัพยากรฯ สั่งกรมประมงตรวจพื้นที่เสี่ยงทำประมงผิด ก.ม.
นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เข้ามาเกยตื้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปี 2551 โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ดังนั้นกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงเร่งศึกษาและเก็บข้อมูลทางสถิติ เพื่อหาสาเหตุดังกล่าว และพบว่า สาเหตุการตายเกิดจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย โดยมีการนำอวนลาก อวนรุน เข้าไปบุกรุกแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น พะยูน ซึ่งนอกจากจะทำให้พะยูนตกใจ และขึ้นมาเกยตื้นบนชายฝั่งแล้ว การทำประมงด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย ยังสร้างความเสียหายให้กับแนวปะการัง และหญ้าทะเล
นายสำราญ กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงมอบหมายให้ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลทั่วประเทศทั้ง 6 ศูนย์ ประสานความร่วมมือกับกรมประมง ลาดตระเวนและตรวจพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
***************************************************************************************
ชาวประมงสตูลพลิกวิกฤตเป็นโอกาส - แปลงเรือล่าแมงกะพรุนทำเงิน 3 พัน/วัน
สตูล ชาวประมงสตูลดัดแปลงเรือออกล่าแมงกะพรุน เผยสร้างรายได้วันละไม้น้อยกว่า 3 พันบาท ขณะที่เด็กๆ ในหมู่บ้านร่วมแปรรูปานรับอานิสงส์ยุควิกฤตเศรษฐกิจ
ชาวประมงบ้านหาดทรายยาว ต.ตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล และหมู่บ้านพื้นที่เกาะในละแวกใกล้ๆ ต่างนำเรือกว่า 300 ลำ ที่ดัดแปลงเป็นเรือติดอวนและนำออกล่าแมงกะพรุนขาวในยามเช้ามืดของทุกวัน หลังพบแมงกะพรุนโผล่ขึ้นเหนือน้ำจำนวนมาก บริเวณระหว่างน่านน้ำบ้านหาดทรายยาว และเกาะเกวน้อย เกาะเกวใหญ่ สร้างรายได้วันละ 700-3,000 บาท
โดยจากเดิมชาวประมงเคยออกเรือหาปลาทุกวัน เมื่อมีแมงกะพรุนจำนวนมากโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ส่งผลให้อวนของชาวประมงที่ใช้จับปลาเกิดฉีกขาด เพราะแมงกะพรุนจะเข้ามาติดอวนแทนกุ้ง ปู ปลา ทำให้ชาวประมงหันมาดัดแปลงสภาพเรือเพื่อออกล่าแมงกะพรุนแทน ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอาชีพเสริมอย่างดีในการช่วยหารายได้เข้าสู่ครอบครัว
นายชาฟิอี หีมสุวรรณ อายุ 45 ปี ชาวประมง กล่าวถึงวิธีการสังเกตแมงกะพรุนว่า การสังเกตแมงกะพรุนนั้นสังเกตได้ง่ายด้วยสีของแมงกะพรุน ซึ่งจะมีสีขาวสามารถรับประทานได้หมดเลย ไม่มีพิษต่อร่างกาย สำหรับแมงกะพรุนสีชมพูนั้น เมื่อก่อนไม่มีการรับประทาน แต่ตอนนี้มีผู้รับประทานได้แล้ว ซึ่งหายากกว่า
ส่วนการหาแมงกะพรุนนั้นหาได้ไม่ยาก ซึ่งแมงกะพรุนจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเป็นกลุ่มบริเวณใกล้ๆ กัน เรือชาวประมงก็จะใช้สวิงตัก ซึ่งจะขึ้นมาเป็นจำนวนมากบริเวณกึ่งกลางระหว่างบ้านหาดทรายยาวกับเกาะเกว ห่างจากฝั่งประมาณ 1-2 กิโลเมตร โดยชาวประมงก็จะใช้สวิงทยอยตักจนเต็มลำเรือ ก่อนจะลำเลียงกลับมาที่บริเวณชายหาดที่มีนายทุนเข้ามารับซื้อ และเมื่อลำเลียงออกแล้วชาวประมงก็จะออกไปล่าแมงกะพรุนอีก 2 3 เที่ยวต่อวัน
ทั้งนี้ แมงกะพรุนขาวที่จะออกหาได้มากตั้งแต่ต้นปีจนถึงในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่มีแมงกะพรุนขึ้นมาเยอะมาก และเมื่อมีแมงกะพรุนจะโผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้อวนของชาวประมงที่ออกหาปลาฉีกขาด เพราะแมงกะพรุนจะเข้าไปอยู่ ปริมาณของปลา กุ้งก็มีจำนวนลดลงด้วย ชาวประมงก็ได้ทำการดัดแปลงเรือโดยใช้อวนโพงพางมาขึงบริเวณกลางลำเรือ เพื่อใช้กักเก็บแมงกะพรุนที่หาได้จำนวนมากแทนการหาปลา และเมื่อเข้าสู่ฤดูมรสุมแมงกะพรุนก็จะมีปริมาณลดลง ชาวประมงก็จะมีการแปรสภาพเรือกลับมาเหมือนเดิม
สำหรับแมงกะพรุนนี้ได้โผล่ขึ้นมาแล้วนานถึง 4 เดือน สามารถตักขายนายทุนได้ในราคาตัวละ 3 บาท ชาวประมงจะมีรายได้ถึงวันละ 7003,000 บาท ถือว่าเป็นกอบเป็นกำให้กับชาวประมงในพื้นที่บ้านหาดทรายยาวและพื้นที่เกาะใกล้เคียง มากกว่า 300-400 ลำเรือ ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้
นอกจากจะได้ในส่วนของเรือประมงแล้ว กลุ่มเยาวชนและนักเรียนนั้นต่างก็หันมารับจ้างแปรรูปแมงกะพรุนแห้งหารายได้ช่วงปิดเทอมกันอย่างขันแข็ง หันมาใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยจะได้รับค่าจ้างตามอัตราที่นายจ้างกำหนด ชั่วโมงละ 25-30 บาท เฉลี่ยวันละ 100-200 บาท สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ด้วย
นายเสกสรรค์ กาซา อายุ 17 ปี เยาวชนที่ได้รับจ้างผลิตแมงกะพรุนแห้ง กล่าวว่า การเข้ามาทำแมงกะพรุนนี้นอกจากจะมีรายได้แล้ว ส่วนตัวได้เข้ามาร่วมสนุกสนานกับเพื่อนที่เข้ามาทำงานด้วยกัน ไม่เงียบเหงาเหมือนอยู่บ้านเฉยๆ สำหรับรายได้นั้นจะได้รับค่าจ้างในอัตราผู้ใหญ่ชั่วโมงละ 30 บาท เด็กชั่งโมงละ 25 บาท โดยเงินส่วนนี้จะเก็บเอาไว้สำหรับตัดชุดนักเรียน และเก็บไว้ลงทะเบียนเรียน สำหรับเพื่อที่ยังไม่เข้าทำงานตรงนี้ก็อยากให้เข้ามาทำเพราะไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ทำแล้วสนุกได้เงินมาใช้สามารถลดค่าใช้จ่ายในบ้านได้
สำหรับแมงกะพรุนนี้เป็นที่นิยมรับประทานมากในกลุ่มประเทศญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โป อินโดนิเชีย โดยเมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วจะมีการส่งขายกับทางโรงงานในราคากิโลกรัมละ 30 บาท ด้านกระบวนการแปรรูปแมงกะพรุนนั้น เมื่อชาวประมงนำมาขายกลุ่มเยาวชน คนงานก็จะนำมาตัดหัวตัดหากแยกกัน แล้วนำมาหมักเกลือ สารส้ม โซดาไฟเป็นเวลา 1 วัน และนำไปแช่เกลืออีกครั้งเพื่อหมักให้เนื้อแข็ง ไม่ขาดง่าย ก่อนจะหมักซ้ำอีกครั้งด้วยเกลือจนแห้งก่อนจะส่งไปขายต่อ