มติชน
ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก
อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่
โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น
นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่ เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
สำหรับฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย
แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้
สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้
หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่
ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมาย ความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี
ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมาย ความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า
ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมาย ความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมาย ความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง
การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ
ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าว คือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12
ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133
ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7
คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้
ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น
สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น
หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ
หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที
สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ
เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548
ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้
ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม--------------------------------------------------------
นักดาราศาสตร์ไทยฟันธง อีก 44 ปีเกิด "ดาวคู่เดือน"
เมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม นายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต อดีตกรรมการบริหารสมาคมดาราศาสตร์ไทย และผู้อำนวยการหอดูดาวบัณฑิต จ.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า หลังจากเกิดปรากฏการณ์ดาวเคราะห์โคจรใกล้ดวงจันทร์ หรือปรากฏการณ์ "ดาวคู่เดือน" หรือที่หลายคนเรียกว่า "พระจันทร์ยิ้ม" เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นจำนวนมาก
นาย วรวิทย์กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นการโคจรของดาวพฤหัสบดี เคลื่อนเข้าใกล้ดาวศุกร์และดวงจันทร์ โดยดวงจันทร์มีลักษณะเป็นจันทร์เสี้ยวหงายขึ้น และทั้งหมดอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ส่องแสงสว่างมากเป็นพิเศษ โดยจะเกาะกลุ่มกันทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ระยะ 2 องศา ทำให้มองเห็นเป็นภาพลักษณะคล้ายใบหน้าคนยิ้ม เบื้องต้นนักดาราศาสตร์คาดว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2595 หรืออีก 44 ปีข้างหน้า
" แต่ขณะนี้ก็มีกระแสข่าวทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า จะเกิดปรากฏการณ์ลักษณะนี้อีกครั้งนั้น ในฐานะนักดาราศาสตร์ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะการที่ดาวเคราะห์จะเข้าใกล้ดวงจันทร์ในลักษณะมองเห็นเป็นภาพใบหน้าคน ยิ้มได้นั้น ต้องอาศัยการเกาะกลุ่มที่ระยะ 2 องศา พอดี หากน้อยกว่า หรือมากกว่า ถือว่าไม่ใช่ ยิ่งล่าสุดมีกระแสข่าวว่า วันที่ 29 ธันวาคมนี้ จะเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอีกครั้งนั้น เป็นเพียงการโคจรธรรมดาของดาวศุกร์ที่เคลื่อนเข้าใกล้ดวงจันทร์ที่ระยะไม่ ถึง 1 องศาเท่านั้น จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ดาวคู่เดือนอย่างที่เข้าใจ" นายวรวิทย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีนักดาราศาสตร์บางกลุ่มระบุว่าในวันที่ 23 เมษายน 2552 จะเกิดปรากฏการณ์ดาวคู่เดือน โดยจะเป็นการโคจรของดาวอังคารเคลื่อนเข้าใกล้ดาวศุกร์และดวงจันทร์ นายวรวิทย์กล่าวว่า ต้องขอศึกษาในรายละเอียดอีกครั้ง แต่บางครั้งอาจเป็นเพียงการโคจรของดาวเคราะห์เคลื่อนเข้าใกล้ดวงจันทร์ และดวงจันทร์มีลักษณะเป็นจันทร์เสี้ยวหงายขึ้น ซึ่งก็จะไม่ใช่ปรากฏการณ์ดาวคู่เดือน จึงไม่อยากให้แตกตื่นกันมากนัก
ขณะ ที่ นายนิพนธ์ ทรายเพชร ราชบัณฑิตทางด้านดาราศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าวว่า คนไทยจะได้เห็นปรากฏการณ์จันทร์ยิ้มอีกครั้ง ในวันที่ 23 เมษายนนี้ เวลา 05.10 น. โดยดาวศุกร์จะเป็นดาวรุ่งอยู่ใกล้ดาวอังคาร และดวงจันทร์เสี้ยวข้างแรมแก่ๆ อยู่ด้านล่าง ดูเป็นรูปคนยิ้ม เหมือนกันทางทิศตะวันออก โดยตาซ้ายยังเป็นดาวศุกร์และตาขวาเป็นดาวอังคาร ขณะที่ดาวพฤหัสบดีสว่างอยู่สูงกว่า-------------------------------------------------------------
ศูนย์วิจัยฯสมุทรสาคร แจกฟรี-ขาย"ปลานีโม"
คอลัมน์ ทางเลือกทางรอด โดย ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง
กุ้งพยาบาล
ที่ ผ่านมามีโอกาสไปสมุทรสาครหลายครั้ง แต่ไม่เคยรู้ว่าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสมุทรสาคร สามารถเพาะเลี้ยงปลาทะเลสวยงามได้ กระทั่งทางจังหวัดเชิญชวนไปดูของดีที่นั่น หนึ่งในจำนวนนี้ก็คือ การเพาะเลี้ยงเจ้าปลาการ์ตูนหน้าตาน่ารัก หรือที่รู้จักกันดี "นีโม" และปลาในกลุ่ม "สลิดหิน" ซึ่งเพาะมาได้ 4-5 ปีแล้ว และนอกจากจะนำไปปล่อยในแหล่งธรรมชาติแล้ว ยังแจกพันธุ์ฟรีให้ผู้สนใจ รวมทั้งมีเหลือจำนวนหนึ่งเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ซึ่งจะนำรายได้ตรงนี้เข้ารัฐ
ศูนย์ ดังกล่าวเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับปลาสวยงามในท้องทะเล และดำเนินกิจกรรมรณรงค์ลดการจับปลาสวยงามจากทะเล โดยชักชวนให้ผู้ต้องการเลี้ยงหันมาซื้อปลาเหล่านี้จากแหล่งเพาะพันธุ์เชิง พาณิชย์แทน
"คุณพรทิพย์ ทองบ่อ" เจ้าพนักงานประมง 5 ของศูนย์ อธิบายให้ฟังถึงการเพาะเลี้ยงปลาทะเลสวยงามว่า เริ่มต้นจากการที่ผู้อำนวยการศูนย์ ดร.วารินทร์ ธนาสมหวัง สนใจเรื่องนี้ จึงเก็บพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาศึกษาเป็นเวลากว่า 2 ปี โดยปลาการ์ตูนที่เพาะได้มีถึง 13 ชนิด คือ "นีโม" ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาการ์ตูนลายปล้อง ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง ปลาการ์ตูนอานม้า ปลาการ์ตูนอานม้าทอง ปลาการ์ตูนแดง ปลาการ์ตูนทอง ปลาการ์ตูนแดงดำ ปลาการ์ตูนพอร์คูล่า ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ ปลาการ์ตูนดำ ปลาการ์ตูนอินเดีย และปลาการ์ตูนอินเดียแดง
ส่วน กลุ่มปลาสลิดหินที่เพาะพันธุ์ได้มีปลาสลิดหินนิออนหรือบลูเวท, ปลาเปลี่ยนสีหางขาวและปลาเปลี่ยนสีหางเหลือง นอกจากนี้ มีกลุ่มปลาคาร์ดินัน คือ ปลาลองฟินคาร์ดินัน
ฟังคุณพรทิพย์บอกมีแจก ฟรีด้วย หลายคนอาจจะเกิดอยากได้เกิดอยากเลี้ยงขึ้นมาบ้าง ประเด็นนี้เจ้าตัวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บุคคลทั่วไปที่สนใจจะเพาะเลี้ยงเป็นอาชีพ ทางศูนย์สนับสนุนพันธุ์ปลาให้ไปรายละ 100 ตัว หรือ 50 คู่ แต่ปีนี้ต้องรองบประมาณก่อนว่าจะแจกได้หรือไม่ ปีที่ผ่านมาให้ไป 50 ราย ซึ่งทางศูนย์ก็ต้องติดตามว่าไปเพาะเลี้ยงได้ผลอย่างไรบ้าง ส่วนเอกชนที่เข้ามาซื้อปลาการ์ตูนจากศูนย์แล้วนำไปอนุบาลเพื่อไปขายต่อนั้น มีเจ้าประจำหลายราย
สำหรับการจำหน่ายนั้น ราคาจะแตกต่างกันไปตามชนิดและขนาด เช่น ปลาการ์ตูนส้มขาว หรือนีโม ราคาเซ็นต์ละ 7 บาท ลายปล้องเซ็นต์ละ 15 บาท เพอร์คูลาเซ็นต์ละ 40 บาท ชนิดยอดนิยมคือ นีโมส้มขาวยังเป็นที่นิยมอยู่มาก ส่วนราคาแพงสุดคือ ปลาการ์ตูนดำ ไซซ์นิ้วหนึ่งขายอยู่ 500 บาท ปลาการ์ตูนดำ จะมีพื้นเป็นสีดำ มีปล้อง 3 ปล้อง เป็นสีขาว ชอบอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเล ไซซ์ขนาด 1 นิ้ว ตกราคาตัวละ 500 บาท เป็นขนาดที่คนทั่วไปจะสามารถเลี้ยงได้ง่าย แต่ถ้าเป็นขนาด 1 เซ็นต์ จะต้องนำไปอนุบาลต่ออีก
คุณพรทิพย์ได้พา บรรดานักข่าวจากส่วนกลางเดินไปดูบ่อที่เพาะเลี้ยง เห็นสีสันสวยสดใสของมันแล้วหลายคนเกิดอยากเลี้ยงขึ้นมาบ้าง แต่คำถามคือไม่รู้จะเลี้ยงอย่างไร เพราะไม่เคยมีความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาทะเลมาก่อน
" การเลี้ยงถ้าเราเตรียมระบบที่ดีก็ไม่ยาก ถ้าอยากเลี้ยงก็ไปหาซื้อน้ำทะเลเทียม ซึ่งจะบอกข้างถุงว่าต้องผสมเท่าไรจึงจะได้ความเค็มเท่านั้นเท่านี้ เริ่มจากเลี้ยงแบคทีเรียก่อน อย่างง่ายๆ คือ ใส่เนื้อกุ้งสดลงไปให้เน่า แต่ก่อนจะใส่ปลาลงไปต้องนำคุณภาพน้ำมาตรวจสอบก่อนว่ายังมีแอมโมเนียหลงเหลือ อยู่หรือเปล่า"
ปลาพวกนี้เป็นปลากินเนื้อ ช่วงแรกจะให้กินพวกลูกไรทะเลแรกฟัก โตขึ้นหน่อยให้กินเนื้อกุ้ง หรืออาหารเม็ด พวกพ่อแม่พันธุ์ก็ให้กินเนื้อกุ้งสด หอยแมลงภู่สด ปลาหมึกสด วิตามิน เพราะพ่อแม่พันธุ์ต้องให้อาหารที่มีคุณภาพดี สำหรับปลาการ์ตูนหลังจากไข่วันแรกเว้นไปอีก 7-8 วันก็เป็นตัว หลังจากนั้นจะให้ไข่ใหม่ มีอายุยืนประมาณ 8-10 ปี
ถ้าเป็นปลาการ์ตูน ส้มขาว อายุประมาณ 2 ปี จะให้ลูก ปลาการ์ตูนแดง-การ์ตูนทอง ประมาณ 4-5 ปี ถ้าเป็นสลิดหินนานหลายปีกว่าจะให้ไข่ แต่ถ้าให้ไข่แล้วจะให้ตลอดไป อย่างไรก็ตาม หากเป็นช่วงหน้าหนาว น้ำเย็น จะชะงักแทนที่จะเป็น 7-8 วัน ก็ยาวนานกว่านั้น และถ้ามีอะไรทำให้มันตกใจสีอาจจะเปลี่ยน และถึงขั้นช็อคตายได้ วันนั้นพอเจ้าหน้าที่ไปช้อนเพื่อให้ถ่ายรูปได้ใกล้ๆ ปรากฏว่ามีปลาสลิดหินตัวหนึ่งเปลี่ยนสีและช็อคตายไปต่อหน้าต่อตา ทำเอาบางคนรู้สึกผิด
ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชน เลี้ยงปลาการ์ตูนได้แล้ว ผู้คนก็นิยมเลี้ยงมากขึ้น เมื่อก่อนการเลี้ยงปลาการ์ตูนจะเลี้ยงในกลุ่มคนมีเงิน แต่เวลานี้ในร้านเสริมสวยก็เลี้ยง ตามบ้านก็มี เพราะปลาพวกนี้เพาะง่าย และสามารถปรับสภาพได้เร็วขึ้น อยู่ตรงไหนก็ได้
คุณพรทิพย์แจงว่า หลังจากประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงปลาการ์ตูนและปลาในกลุ่มสลิดหินได้ แล้ว ทางศูนย์ก็ได้ศึกษาการเพาะเลี้ยงปลาชนิดอื่นๆ อีกด้วย อย่างเช่น ปลาผีเสื้อ ปลาสิงโต ปลาในตระกูลแทงค์ และยังมีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์สัตว์น้ำชนิดอื่น อย่างเช่น กุ้งพยาบาล
สำหรับ ผู้สนใจต้องการเพาะเลี้ยงเป็นอาชีพนั้น คุณพรทิพย์แนะนำว่า ต้องสำรวจตลาดก่อนว่าปลาชนิดไหนเป็นที่นิยม ตอนนี้ก็คือ นีโม ปลาการ์ตูนลายปล้อง และเพอร์คูลา ซึ่งพวกนี้เลี้ยงง่ายแล้ว ไม่ค่อยระรานกัน ขณะที่บางชนิดพอโตขึ้นจะไปรังแกตัวอื่น เช่น พวกมะเขือเทศจะดุ
ทั้งนี้ ถ้าใครอยากจะดูอยากจะศึกษาขั้นตอนการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนและปลาในกลุ่มสลิด หิน หรืออยากจะมาซื้อไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน คุณพรทิพย์บอกสามารถมาดูได้ที่ศูนย์ทุกวันในเวลาราชการ ติดต่อได้ที่โทร.08-1299-0191 หรือ 0-3485-7136, 0-3442-6220