กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 18, 2024, 07:33:03 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552  (อ่าน 4466 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 12:09:32 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ ขอให้ ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาในระยะนี้ไว้ด้วย ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้า และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 3-5 ก.พ. 52 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะสูงขึ้น โดยจะมีหมอกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนเล็กน้อยบางแห่งในระยะนี้ แต่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นต่อไปอีก ส่วนลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดปกคลุมภาคกลางและภาคตะวันออก รวมทั้งภาคใต้ ทำให้มีฝนเล็กน้อยบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และจะมีหมอกหนาเกิดขึ้นได้ในบางพื้นที่ หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-9 ก.พ. 52 จะมีบริเวณความกดอากาศสูงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ซึมเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง 1-2 องศา


ข้อควรระวัง

ในระยะนี้ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (36.75 KB, 684x423 - ดู 3260 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 12:17:44 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


4 ชาติลุ่มน้ำโขงหารือแนวทางทำได้จริง รับภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง


บรรยากาศประชุม 4 ชาติลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีตัวแทนจากออสเตรเลียผู้ให้ทุนสนับสนุนครั้งนี้เข้าร่วมด้วย

4 ชาติลุ่มน้ำโขง เขมร-ลาว-ไทย-เวียดนาม ประชุมหารือแนวทางปฏิบัติได้จริง รับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และแนวทางการปรับตัวของประชากรในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง
       
       คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือ เอ็มอาร์ซี (Mekong River Commission: MRC) จัดสัมมนาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการปรับตัว ระหว่างวันที่ 2-3 ก.พ.52 ณ โรงแรมพลาซาเอธินี ซึ่งมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 150 คนจาก 4 ประเทศในลุ่มน้ำโขง ได้แก่ กัมพูชา ลาว เวียดนาม และไทยเข้าร่วม พร้อมด้วยตัวแทนจากองค์การความช่วยเหลือของรัฐบาลออสเตรเลีย (AusAID) ซึ่งให้ทุนสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานโครงการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัว (MRC Climate Change and Adaptation Initiative) ซึ่งเป็นโครงการใหม่ของคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง และการประชุมครั้งนี้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของโครงการดังกล่าว
       
       พร้อมกันนี้ ได้มีการแถลงข่าวถึงการจัดงานดังกล่าวในวันเปิดสัมมนา โดย ดร.ศิริพงศ์ หังสพฤกษ์ สมาชิกกรรมาธิการร่วมของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงประเทศไทยและอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ได้กล่าวภายในการแถลงข่าวซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ "ASTV-ผู้จัดการออนไลน์" ได้เข้าร่วมฟังการแถลงในครั้งนี้ด้วย
       
       ดร.ศิริพงศ์ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ คาดหวังให้เกิดมาตรการรองรับในเชิงปฏิบัติเพื่อรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีแนวทางที่ปฏิบัติได้ และการปฏิบัตินั้นต้องไม่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเปลืองค่าใช้จ่าย
       
       "เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไทยได้ทำยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แต่เมื่อดูแล้วลำพังแค่ไทยคงไม่ครอบคลุม ต้องดูทั้งภูมิภาค จึงเกิดความร่วมมือกันขึ้น และดูประกอบกับส่วนอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ทั้งนี้ยิ่งเราทำความเข้าใจในเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ ก็จะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสและทำให้เราอยู่กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้อย่างมีความสุข" ดร.ศิริพงศ์กล่าว
       
       ด้านายเจเรมี เบิร์ด (Jeremy Bird) ประธานคณะกรรมการบริหารสำนักงานเลขานุการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อาจกระทบต่อลุ่มน้ำโขงและคาดว่าสภาพอากาศอาจแปรปรวนมากขึ้น เช่น ฝนตกน้อยลงในฤดูแล้งแต่กลับตกมากขึ้นในฤดูฝน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหารการขาดแคลนน้ำหรือน้ำท่วมบ่อยขึ้น
       
       รวมถึงกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่ชุ่มน้ำ ภาคเศรษฐกิจในส่วนของการเพาะปลูก การประมล และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอื่นๆ และอาจส่งผลถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงนับล้าน ซึ่งพึ่งพาทรัพยากรในพื้นที่นี้
       
       พร้อมกันนี้ นายฟิลิปป์ แอเลน (Phillippe Allen) ที่ปรึกษารัฐมนตรีสถานทูตออสเตรเลีย กล่าวถึงการสนับสนุนของออสเตรเลีย ต่อโครงการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวของเอ็มอาร์ซี ว่า ออสเตรเลียให้การสนับสนุนเอ็มอาร์ซีในหลายเรื่อง และโครงการนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งโดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความร่วมมือระดับภูมิภาค
       
       สำหรับโครงการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวของคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง มีกรอบการระหว่างปี 2552-2554 โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ช่วง คือช่วงก่อตั้ง ช่วงประเมินผลกระทบและการปรับตัวในการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สุดท้ายคือการวางแผนนโยบายที่ยั่งยืนรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 12:23:22 AM »

มติชน


ก.วิทย์ฯสนองพระราชดำริ"ในหลวง"เล็งจัดงบ10 ล้านติดตั้ง"โทรมาตร"เตือนภัยน้ำท่วมทั่วประเทศ



กระทรวงวิทย์เล็งจัดสรรงบฯ 10 ล้านสนองพระราชดำริในหลวง ดำเนินการติดตั้งโทรมาตรครอบคลุมทั่วประเทศเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้า เผยทรงแนะจัดการถนนขวางทาง แก้ปัญหาน้ำท่วมจันทบุรี สถาบันน้ำเตือนระวังน้ำท่วมจากพายุ ชี้รุนแรงกว่าเกิดจากร่องความกดอากาศต่ำ ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือ

นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สสนก. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เข้าหารือกับคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการ วท. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึงแนวทางการดำเนินการจัดการน้ำปี 2552 หลังจากเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธาน สสนก. และนายรอยล จิตรดอน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อกราบบังคมทูลรายงานสถานการณ์น้ำประเทศไทย ปี 2551

นายรอยลกล่าวว่า ได้กราบบังคมทูลรายงานสถานการณ์น้ำของประเทศไทยในปี 2551 และแนวโน้มสถานการณ์น้ำปี 2552 ว่า ปีนี้คาดว่าน้ำจะมีปริมาณมาก เนื่องจากปี 2551 ฝนตกชุก เห็นได้จากปริมาณฝนสะสมสูงถึง 1,543 มิลลิเมตรต่อปี จากปกติที่ 1,374 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าเกณฑ์ถึงร้อยละ 12.32 ทั้งๆ ที่ 20-30 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีปริมาณน้ำฝนที่เกินเกณฑ์มาตรฐานขนาดนี้ หากจะเกินก็จะไม่ถึงร้อยละ 9 โดยฝนที่ตกหนักได้ส่งผลให้น้ำท่วมถึง 9 ครั้ง ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝนส่วนใหญ่ มาจากร่องความกดอากาศต่ำ 6 ครั้ง ส่วนอีก 3 ครั้งเกิดจากพายุ ทั้งพายุไซโคลน นาร์กีส พายุโซนร้อนเมขลาและนูน

นายรอยลกล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปัญหาน้ำท่วมมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคใต้ จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คาดการณ์ว่า ในปี 2552 จะมีปริมาณน้ำมากจากการสะสมของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลในปีนี้ คือ หากปริมาณน้ำมากโดยที่ลมมรสุมของมหาสมุทรอินเดียอ่อนกำลังลง จะทำให้เกิดน้ำท่วมคนละแบบ โดยน้ำท่วมปีนี้จะมีสาเหตุมาจากพายุ ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะฝนจากพายุแม้จะกินอาณาบริเวณแคบ แต่มีความรุนแรงสูง ขณะที่ฝนจากร่องความกดอากาศต่ำแม้จะกินอาณาบริเวณกว้างแต่ไม่รุนแรง ดังนั้น ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับปัญหาดังกล่าว เนื่องจากมีบทเรียนจากน้ำท่วมที่ จ.อุตรดิตถ์ เมื่อปี 2549

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่า เมื่อน้ำเยอะก็ควรมีการเตรียมพร่องน้ำ หรือระบายน้ำออก ขณะเดียวกัน เมื่อระบายน้ำเสร็จก็ควรเก็บกักน้ำเพื่อใช้ยามแล้ง พระองค์ทรงรับสั่งว่า ทรงห่วงสถานการณ์น้ำที่ จ.จันทบุรี และระยอง โดยเฉพาะช่วงฝนตกมากๆ เห็นได้ที่ จ.จันทบุรี มีถนนขวางทางน้ำ ทำให้โอกาสน้ำท่วมสูง ทรงแนะให้มีการจัดการถนนที่ขวางทางน้ำ มีการระบาย โดยให้เกิดความร่วมมือระหว่างกรมชลประทานและกรมทางหลวงให้ทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ พระองค์ทรงโปรดการดำเนินการของสถาบัน โดยเฉพาะการติดตั้งโทรมาตร หรือเครื่องตรวจสภาพอากาศอัตโนมัติ ซึ่งทางสถาบันได้ติดตั้งไว้ 1 เครื่อง ที่บริเวณวังไกลกังวล เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ทรงรับสั่งว่า เป็นเครื่องมือที่ดี สามารถทราบข้อมูลสภาพอากาศได้ทุกพื้นที่ พระองค์ทรงคอยติดตามข้อมูลจากโทรมาตรอยู่เสมอ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยเช็คข้อมูลให้ตลอดเวลา" ผู้อำนวยการสถาบันกล่าว

นายรอยลกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งเรื่องโทรมาตรสำหรับการเตือนภัยล่วงหน้า โดยเฉพาะปีนี้เมื่อน้ำมาก สถาบันควรเตรียมพร้อมข้อมูล รวมทั้งต้องมีการขยายการติดตั้งโทรมาตรให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันติดตั้งแล้ว 600 สถานี แต่ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 3 ปี ความใหม่และทันสมัยของเทคโนโลยีอาจล้าหลัง สถาบันจะปรับปรุงเบื้องต้น 150 สถานี จาก 600 สถานี เพื่อให้ข้อมูลมีเสถียรภาพ รวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ด้านคุณหญิงกัลยากล่าวว่า ได้ประสานกับสถาบันให้เร่งปรับปรุงเครื่องโทรมาตรที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยจะเร่งจัดสรรงบประมาณ 10 ล้านบาทมาให้ดำเนินการทันที เพื่อเป็นการสนองพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


******************************************************************************************************************************


"เอพี"แฉ"อิเหนา"ช่วยโรฮิงญาลอยกลางทะเล อ้างเคยทำงานในไทย "รอยเตอร์"แย้งไร้ข้อมูลแวะปท.อื่น



"ชุมพร-ระนอง"รุมต้านตั้งศูนย์อพยพชาวโรฮิงญา "เอพี"ปูดไทยปล่อยลอยคอนาน 3 อาทิตย์ ไร้น้ำ-อาหาร เผยเคยทำงานในปท. ด้าน"รอยเตอร์"ชี้ไม่พบข้อมูลแวะฝั่งที่อื่น

สำนักข่าวเอพี รายงานเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ว่า นาวาโทเทดี้ ซูทาร์ดี้ นายทหารเรืออินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ชาวประมงอินโดนีเซียได้ช่วยเหลือคนเรือชาวโรฮิงญาจำนวน 198 คน ในสภาพอาการย่ำแย่สาหัส เนื่องจากทหารไทยปล่อยให้ลอยเรืออยู่ในทะเลหลวงนาน 3 สัปดาห์ โดยไม่มีเครื่องยนต์ เป็นเหตุให้ 22 คนเสียชีวิต ก่อนชาวประมง จ.อาเจะห์ของอินโดนีเซีย ไปพบเข้าขณะลอยลำอยู่นอกชายฝั่งสุมาตรา เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งหมดอยู่ในสภาพไม่มีทั้งน้ำและอาหาร ซึ่งได้หมดไปแล้วก่อนหน้านี้

"พวกนี้ต้องยืนอยู่บนเรือเป็นเวลานานถึง 21 วัน เพราะไม่มีพื้นที่ว่างพอที่จะให้นั่ง เท่าที่รอดชีวิตมาได้ก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว" นาวาโทซูทาร์ดี้ กล่าวและอ้างพยานในเหตุการณ์ระบุ ว่า ผู้รอดชีวิตทั้งหมด เปิดเผยว่า เป็นชาวโรฮิงญาราว 1,000 คนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย แต่ถูกบังคับให้ออกจากไทย ด้วยเรือไม่มีเครื่องยนต์ 9 ลำ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากถูกจับกุมตัวได้ว่า เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งหลายคนระบุว่าถูกเจ้าหน้าที่ไทยทุบตีและปล่อยให้ลอยเรือไปเรื่อยๆ

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชาวโรฮิงญากลุ่มเดียวกัน แตกต่างออกไป โดยอ้างคำบอกเล่าของ นายนัสรุดดิน อาบูบาการ์ รองหัวหน้าสำนักงานเขตอาเจะห์ตะวันออก ระบุว่า ชาวโรฮิงญาให้ปากคำว่า หลบหนีออกมาจากประเทศพม่าเพราะกลัวถูกสังหาร ไม่มีการระบุว่าเคยเข้ามาทำงานในไทย และถูกเจ้าหน้าที่ไทยบังคับให้ออกนอกประเทศแต่อย่างใด พร้อมย้ำด้วยว่า ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าคนทั้งหมดเหล่านี้เคยแวะพักที่ประเทศไหนก่อนถูกพบที่อาเจะห์

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน้าที่ว่าการอำเภอท่าแซะ จ.ชุมพร นายนิโรจน์ มิตรเมฆ ประธานชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เป็นแกนนำกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านในเขต อ.ท่าแซะ ประมาณ 300 คน รวมตัวยื่นหนังสือต่อนายอำเภอท่าแซะ คัดค้านการตั้งศูนย์พักพิงผู้อพยพชาวโรฮิงญา เนื่องจากเกรงว่าอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมามากมาย

ขณะที่ ที่สวนสุขภาพเทศบาลเมืองระนอง กลุ่มพลังมวลชนกว่า 1,000 คน นำโดยนายสุชีพ พัฒน์ทอง ชุมนุมและปราศรัยโจมตีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ที่จะกดดันให้ไทยตั้งศูนย์อพยพชาวโรฮิงญาที่ จ.ระนอง จากนั้นไปยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเอชซีอาร์ ระหว่างมาเยี่ยมชาวโรฮิงญาที่ ตม.ระนอง ต่อมาเคลื่อนขบวนไปท่าอากาศยานระนอง รอยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อเจ้าหน้าที่ทูตมาเลเซีย อินโดนีเซีย บังคลาเทศ อินเดีย และพม่า ที่จะมาตรวจเยี่ยมชาวโรฮิงญา แต่เข้าไม่ได้ ต่อมานายอิทธิพร บุญครอง รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ออกมารับจดหมายแทน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 12:30:17 AM »

แนวหน้า


แก้ กม.ค้าเสรีสัตว์ป่าคุ้มครอง เพาะขยายพันธุ์มุ่งเป้าสู่ตลาดโลก                             :                  สกู๊ปแนวหน้า



 "ไก่ฟ้าสายพันธุ์ไทย" สัตว์ป่าหาดูได้ยาก และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ที่มีความสวยงามสะดุดตา เป็นสัตว์ป่าที่มีชื่ออยู่ในบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวง กำหนดให้เป็นสัตว์ป่าชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ตามพระราชบัญญัติสงวน ประกอบด้วยสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 201 ชนิด นก 952 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 91 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 12 ชนิด แมลง 20 ชนิด ปลา 14 ชนิด และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ 12 ชนิด

 แต่การเพาะเลี้ยงไก่ฟ้า ยังคงมีกลุ่มคนที่ยังเพาะเลี้ยงในหมู่คนรักสัตว์ เลี้ยงไว้เพื่อดูเล่น เพื่อความสวยงาม แบบหลบๆ ซ่อนๆ เพราะว่ากฎหมายไม่อนุญาต บางคนหันไปเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าสายพันธุ์ต่างประเทศแทน

 จึงมีพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้มีการออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ขึ้นมาใช้แทนพระราชบัญญัติฉบับเดิม มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 15 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฉบับนี้

 มีการอนุญาตให้ภาคเอกชนดำเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะได้ เพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองบางชนิดได้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และขยายพันธุ์สัตว์ที่มีจำนวนน้อย และใกล้สูญพันธุ์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อเป็นการเสริมรายได้ของประชาชน แต่ไม่มีผลกระทบที่จะทำให้สถานการณ์การสูญพันธุ์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มโทษต่อการกระทำความผิดให้สูงขึ้น ดังสาระสำคัญของกฎหมายตามที่ฝ่ายพัฒนา และส่งเสริม การอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้

 หลังจากนั้นกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีประกาศเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เพื่อเร่งการขยาดพันธุ์สัตว์ป่า และการสงวนและคุ้มครองควบคู่กัน อาศัยอำนาจตามระเบียนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าด้วยการอนุญาตให้ทางราชการกระทำการล่า เพาะพันธุ์ ครอบครอง นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่าน ซึ่งสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่า การเก็บทำอันตราย หรือมีไว้ครอบครอง ซึ่งรังของสัตว์ป่า และการเรียกเก็บ และชำระค่าใช้จ่าย ค่าบริการ หรือค่าตอบแทน และราคาสัตว์ป่า พ.ศ.2540 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงมีการกำหมดราคาสัตว์ป่า เพื่อจำหน่ายให้ผู้รับอนุญาตให้เพาะพันธุ์สัตว์ป่าสงวนและสัตว์คุ้มครองนำไปเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ หรือผู้อนุญาตให้ตั้งและดำเนินการกิจการสวนสัตว์สาธารณะนำไปดำเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ ซึ่งมีแบบออกเป็นสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 8 ชนิด สัตว์ป่าจำพวกนก 42 ชนิด และสัตว์เลื้อยคลาน 4 ชนิด

 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เริ่มโครงการจากการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าสายพันธุ์ไทยซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกของไทย คาดว่าภายใน 2-3 ปี จะเพิ่มประชากรไก่ฟ้าสายพันธุ์หายากให้เพิ่มมากขึ้น จนถึงสามารถส่งออกได้

 ดร.ชวาล ทัฬหิกรณ์ ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรชีวภาพ (การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้า) บอกว่า ตามที่สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรชีวภาพ(สพภ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้า ซึ่งถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเพื่อประโยชน์ในเชิง เศรษฐกิจ รวมทั้งสร้างความสมดุลต่อระบบนิเวศน์ ปัจจุบันทั่วโลกมีไก่ฟ้ารวม 16 ตระกูล ส่วนในไทยมี 6 ตระกูลรวม 14 ชนิด จึงนับว่ามีความหลากหลายมากพอสมควร แต่ที่ผ่านมามีการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้า แต่ยังไม่ถูกกฎหมาย กระทั่งในปี 2546 ทางกรมอุทยานฯ ได้ออกกฎกระทรวงเปิดให้สามารถเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครองได้ 54 ชนิด เพื่อเร่งรัดขยายพันธุ์สัตว์ป่า แต่ยังไม่เปิดให้มีการค้าขายได้

 จนเมื่อเดือน ธ.ค. 2551 สพภ.ได้มีการหารือกับ อธิบดีกรมอุทยานฯ เพื่อเปิดโอกาสให้เพาะเลี้ยงไก่ฟ้าในเชิงธุรกิจได้ โดยกรมอุทยานฯ มีมติกำหนดราคากลางพ่อแม่พันธุ์ไก่ฟ้า ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 500-30,000 บาท เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีสีสันสวย ทำให้ได้รับความนิยมนำไปเลี้ยงเพื่อความสวยงาม แต่หลังจากนี้ การเพาะเลี้ยงไก่ฟ้า ต้องเป็นไปตามกฎหมายทุกขั้นตอน โดยจะนำร่องไก่ฟ้าสายพันธุ์ไทย 5 ชนิดได้แก่ ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ฟ้าหลังขาว หรือ จันทรบูร ไก่ฟ้าหลังเทาแข้งแดง ไก่ฟ้าหน้าเขียว และไก่ฟ้าหางลายขวาง ซึ่งมีพ่อแม่พันธุ์จำนวนกว่า 300 ตัวอยู่ในสถานีวิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ซึ่งเบื้องต้นมีกลุ่มเกษตรกร และธุรกิจประมาณ 30 คนให้ความสนใจที่จะทำธุรกิจเพาะเลี้ยงไก่ฟ้า เพื่อความสวยงามในเชิงการค้า จัดอบรมทั้งเทคนิคการเพาะเลี้ยง การป้องกันโรค ตลอดจนคำแนะนำจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ที่จะเข้ามาช่วยในการสนับสนุนแหล่งทุน

 เมื่อช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา มีการลักลอบเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าแบบใต้ดิน เนื่องจากกรมอุทยานฯ ออกกฎกระทรวงให้เพาะเลี้ยงสัตว์ป่า จำนวน 54 ชนิด รวมทั้งไก่ฟ้า และนกสวยงามอื่นๆ แต่ยังไม่อนุญาตให้ค้าขายได้ จนมีการหารือร่วมกับระหว่าง สพภ. และกรมอุทยานฯ เห็นว่าน่าจะนำกระบวนการใต้ดิน มาทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่รัฐต้องมีระเบียบ กติกาที่ชัดเจน เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้มีการอนุรักษ์ไก่ฟ้า แต่ยังจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และอนาคตจะช่วยขยายพันธุ์ไก่ฟ้าที่มีความเสี่ยงกลับคืนป่าได้อีกด้วย

 การอนุญาตให้เพาะเลี้ยงไก่ฟ้า เพื่อความสวยงามเท่านั้น ไม่ส่งเสริมให้นำไปบริโภคเนื้อ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่เปิดให้ค้าขายสัตว์ป่าบางรายการ โดย สพภ.ยังหารือสัตว์อื่นๆ อาทิ ชะมด เนื่อง จากไขของชะมดจะต่อมฮอร์โมน ที่มีมูลค่าราคาสูง รวมทั้ง กวางม้า แต่กรมอุทยานฯให้ความเห็นว่าถ้าจะให้ขยายพันธุ์สัตว์อื่นๆในเชิงการค้าต้องมีตำรา และมีข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจนก่อน จึงจะอนุญาต ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยในการจัดโครงการดังกล่าว

 ด้าน นายทรงกลด พู่ทอง หัวหน้าสถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บอกว่า ในอดีตกฎหมายในเรื่องของสัตว์ป่ารุนแรง ควบคุมมาก ทั้งการครอบครอง การเลี้ยง การล่า หรือการฆ่า แต่ในปัจจุบันกลุ่มผู้รักสัตว์มีความต้องการ และลักลอบเพาะเลี้ยงกันเป็นจำนวนมาก หรือมีการลักลอบสัตว์ป่าต่างถิ่นเข้ามาขายกันจึงไม่สามารถที่จะทนต่อกระแสความต้องการของกลุ่มผู้ต้องการได้ และการจัดการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าของคนไทยมีศักยภาพที่สูงมาก ประกอบกับสัตว์ป่าบางชนิดมีจำนวนลดน้อยลง จึงมีการกำหมดสัตว์ป่า 54 ชนิด ที่สามารถให้กลุ่มผู้ที่สนใจเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าได้ แต่ต้องขออนุญาตกับกระทรวงทรัยากรฯ ถูกต้องตามกฎหมายก่อน

 "การอนุรักษ์สัตว์ป่า คือ การใช้ประโยชน์กับสัตว์ป่า และคำนึงถึงจำนวนประชากรในธรรมชาติถึงความเหมาะสม เช่น ไก่ฟ้า ใน 1 ปี ออกลูก 40-50 ตัว ซึ่งในตลาดมีความต้องการสูง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในอนาคตสามารถเพาะพันธุ์ให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ยังเป็นการขยายพันธุ์ เพื่อช่วยไม่ให้สูญพันธุ์ไปจากโลกด้วย"นายทรงกรด กล่าว

 ขณะที่นายสุรัตน์ อนันต์สุข ชาว กทม. เพาะเลี้ยงไก่ฟ้ามาตั้งปี2546 บอกว่า เดิมเพาะเลี้ยงไก่ฟ้าเพื่อความสวยงาม ปัจจุบันไก่ฟ้า มีการขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และกฎหมาย เปิดโอกาสให้เป็นไปในเชิงการค้าได้ จึงประกาศขายชุดแรกมีไก่ฟ้าอยู่ 100 คู่ ขายเริ่มต้นราคา 1,500 บาท เมื่อประกาศเพียง 2 สัปดาห์ มีกลุ่มผู้รักไก่ฟ้า สนใจเข้ามาซื้อไปจนหมด

 ขณะนี้กำลังศึกษามองถึงตลาดต่างประเทศ โดยเข้าไปศึกษาในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีผู้สนใจ สั่งจองไก่ฟ้าจำนวนมาก อนาคตจะทำเป็นธุรกิจ ส่งขายไก่ฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านก่อน

 คงเป็นข่าวดีสำหรับกลุ่มผู้อนุรักษ์เพาะเสี้ยงสัตว์ป่า ที่ไม่ต้องเลี้ยงกัน หลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป และยังสามารถเพาะขยายพันธุ์ไปในเชิงการค้าได้ เพียงแค่ยื่นอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎมายเท่านั้น ก็สามารถเสี้ยง และทำเป็นธุรกิจได้

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2009, 12:36:39 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


กรมประมง ประกาศปิดอ่าวทะเลฝั่งอ่าวไทย 3 เดือน อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงฤดูที่สัตว์น้ำในฝั่งทะเลอ่าวไทยกำลังมีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัววัยอ่อนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก กรมประมงตระหนักถึงความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำเหล่านี้เอาไว้ เพราะปัจจุบันทรัพยากรสัตว์น้ำของประเทศไทยได้ลดจำนวนลงมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำประมงที่ขาดความสำนึกรับผิดชอบ จึงได้กำหนดให้มีการใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ หรือปิดอ่าวทะเลฝั่งอ่าวไทย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 15 พฤษภาคม ของทุกปี ห้ามชาวประมงใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ทำการประมงในฤดูปลามีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัววัยอ่อนในที่จับสัตว์น้ำบางส่วน ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.47 วินาที กับ 21 คำสั่ง