กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 19, 2024, 03:12:19 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 4 มีนาคม 2552  (อ่าน 3969 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 12:10:42 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้อ่อนกำลังลงและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้าปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนและมีฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้

สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปมีกำลังปานกลาง ขอให้ชาวเรือควรระมัดระวังในการเดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรงในบางแห่ง  อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศา ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 3-6 มีค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมใต้กับลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดเข้าปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนขึ้น โดยยังคงมี ฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 7-9 มีค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเพิ่มขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 7-9 มี.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ซึ่งจะมีลักษณะฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง



* Forecast2.jpg (38.96 KB, 684x423 - ดู 640 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (40.58 KB, 450x495 - ดู 651 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 12:26:36 AM »

เดลินิวส์


รู้เท่าทัน 'ไฟไหม้รถ' !! ชีวิต-ทรัพย์สินไม่สูญ
 

   
 เป็นข่าวพาดหัวตัวไม้บ่อยขึ้นในระยะไม่กี่เดือน สำหรับเหตุ การณ์ “รถยนต์ไฟไหม้” ทั้งไฟลุกเพียงเล็กน้อยไปจนถึงลุกโชน  เผาผลาญรถหรูให้กลายเป็น “เศษเหล็ก” เดชะบุญบางรายรอดตายหวุดหวิดขณะที่อีกหลายคนกลับถูกกองเพลิงคลอกอย่างอนาถ
 
ผู้เคราะห์ร้ายพอเจอเหตุการณ์เช่นนี้ได้แต่ยืน “อึ้งกิมกี่” หยิบจับอะไรไม่ถูก อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่า “ตั้งสติก่อนสตาร์ต” แต่ก่อนสตาร์ตควรตรวจความพร้อมของเครื่องยนต์และส่วน ต่าง ๆ เสียก่อน ยิ่งรถเก่า ซึ่งมีวี่แววประสบกับปัญหา อย่าได้นิ่งนอนใจเพราะแทนที่จะเสียเงินค่าซ่อมแต่ต้องเสียรถไปทั้งคัน ถึงจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็มีความสุ่มเสี่ยงไม่แพ้กัน 
 
ครั้นเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตัวมัวรอ “พระเอกขี่ม้าขาว”   มาช่วยคงไม่ทันการหันมาพึ่ง  ตนเองกันก่อนดีกว่า...ผศ.ดร.ก่อเกียรติ บุญชูกุศล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า การเกิดไฟไหม้ของรถยนต์เกิดจากปัจจัยนอกระบบเครื่องคือ ตัวถังภายนอกได้รับการกระทบกระเทือนจนเกิดประกายไฟทำให้เชื้อเพลิงปะทุ ด้านปัจจัยภายในเกิดจากความร้อน, เชื้อเพลิง, ประกายไฟ ซึ่งเมื่อปัจจัยเหล่านี้เอื้ออำนวยต่อกันย่อมทำให้เกิดเพลิงไหม้
 
ส่วนใหญ่รถที่เป็นปัญหาคือ รถรุ่นเก่า ผ่านการปรับแต่ง เป็นผลจากบางครั้งช่างใส่อะไหล่รถที่ไม่มีคุณภาพมาหรือต่ำกว่ามาตรฐานเดิม เช่น ใช้สายไฟต่ำกว่าเกณฑ์กำหนดเพื่อลดต้นทุนการทำงาน ทำให้พอใช้ไปเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือบางชิ้นส่วนมีขนาดเล็กหรือใหญ่กว่าของเดิมเป็นผลให้เกิดการเสียดสีกับชิ้นส่วนอื่นจนเป็นประกายไฟ และเมื่อผนวกกับความร้อนและเชื้อเพลิงทำให้เครื่องยนต์ไหม้


 
ด้านรถใหม่ ซึ่งใช้มา ระยะเวลาหนึ่งอาจเกิดเพลิงไหม้ได้ เนื่องจากเจ้าของไม่ดูแลระบบภายในส่วนต่าง ๆ เช่น หม้อน้ำ ที่ปล่อยไว้จนแห้งทำให้หม้อน้ำระเบิดแล้วไฟถึงไหม้ลุกลามไปถึงเครื่องยนต์และส่วนอื่น ขณะเดียวกันถังเชื้อเพลิงมีส่วนสำคัญกระตุ้นให้เกิดประกายไฟ เนื่องจากอาจเกิดการปิดฝาไม่สนิท, มีรอยแตกร้าวบริเวณฝาหรือถังน้ำมัน
 
“การเกิดไฟไหม้รถยนต์ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เหมาะสมซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องราวซับซ้อนกว่าจะพิสูจน์ได้ เช่น เมื่อครั้งมีเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้มีคนถูกไฟคลอกตายพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเพลาขาดแล้วเศษชิ้นส่วน ไปกระแทกกับถังน้ำมันขณะรถวิ่งซึ่งคนขับรถพยายามเบรกแต่เบรกแตกทำให้เชื้อเพลิงกระทบกับความร้อนจากท่อไอเสียจึงเกิดไฟลุกท่วมกลายเป็นโศกนาฏ กรรมที่น่ากลัว”
 
ผศ.ดร.ก่อเกียรติ แนะนำถึงการสังเกตหากเกิดเพลิงไหม้ในรถว่า ส่วนใหญ่มักเกิดตอนที่รถกำลังวิ่งอยู่ ซึ่งต้องพยายามดูบริเวณกระโปรงหน้าของรถเพราะเป็นที่ตั้งของเครื่องยนต์และ สายไฟซึ่งเป็นตัวนำไปสู่การเกิดประกายไฟ หรือหากรถบางรุ่นที่มีตัววัดอุณหภูมิก็เป็นเครื่องช่วยอย่างหนึ่งให้ผู้ขับสังหรณ์ใจว่า หากมีอากาศร้อนเกินไปอาจเกิดความผิดปกติของเครื่องยนต์
 
หากเกิดการไหม้บริเวณกระโปรงหลังรถซึ่งส่วนใหญ่จะได้กลิ่นควันไฟเร็วกว่าเกิดไฟไหม้ ในส่วนอื่น ขณะเดียวกันหากขับรถไปเกิดอาการเครื่องยนต์กระตุกก็อาจมีผลได้ เนื่องจากถังน้ำมันอาจเกิดรั่วเพราะเมื่อเครื่องกระตุกก็เหมือนกับมีอากาศเข้าไปในตัวถังทำให้เครื่องยนต์เกิดการเผาไหม้ไม่สม่ำเสมอ
 
ตลอดจนต้องหมั่นเปิดกระโปรงหน้ารถดูบนเครื่องยนต์ว่า มีเขม่าดำเกาะอยู่หรือไม่ หากมีแสดงว่าอาจมีชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งไม่สมบูรณ์ต่อการใช้งาน พยายามดูบริเวณใต้ท้องรถและพื้นที่จอดว่ามีน้ำมันหยดหรือไม่หากมีควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน หมั่นสังเกตว่าน้ำมันหมดเร็วหรือไม่เพราะน้ำมันเครื่องอาจจะรั่วได้ 
 
ดังนั้นการขับรถควรมีสติอยู่เสมอเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือเกิดการไหม้ของเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ต้องดับเครื่องทันทีเพื่อตัดสัญญาณไฟ ขณะเดียวกันรถ แต่ละคันควรมีถังดับเพลิงขนาดเล็ก ไว้ข้างคนขับเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่บางคนมีถังดับเพลิงก็จริงแต่เก็บไว้ท้ายรถซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นยากแก่การนำออกมาใช้ แต่หากเกิดการลุกไหม้เพียงเล็กน้อยสามารถนำผ้าแห้งหรือผ้าที่เปียกน้ำมาตบ ๆ บริเวณเกิดไฟไหม้ได้


 
“อากาศร้อนอาจมีผลให้เกิดประกายไฟได้ในบางกรณี แต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะต้องมีปัจจัยอื่นมาสนับสนุนให้เกิดประกายไฟ เช่น การเสียดสีของเหล็กบางตัวที่อยู่ในตัวรถ ซึ่งเหตุการณ์ไฟไหม้รถสามารถเกิดได้กับรถทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ รถเก๋ง รถกระบะ”
 
รถมือสองถือว่าเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูง ซึ่งบางครั้งผู้เลือกซื้อควรพาเพื่อนหรือผู้เชี่ยวชาญไปดูรถด้วยเพราะบางคันเจ้าของเก่าอาจดัดแปลงจนเสียหาย แล้วนำมาแต่งใหม่โดยนำวัสดุอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานมาใส่แทน ผู้ซื้อจึงจำเป็นต้องตรวจดูเบื้องต้นบริเวณเครื่องยนต์ว่าสายไฟได้มาตรฐานและไม่มีน้ำมันรั่วซึม ขณะเดียวกันเมื่อสตาร์ตรถต้องไม่มีอาการเครื่องกระตุกเพราะนั่นแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานไม่เป็น ปกติส่งผลอันตรายหากเครื่องยนต์ขัดข้อง 
 
การนำรถไปเช็กสภาพเป็นประจำเป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดอาการเครื่องยนต์ขัดข้อง ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่
 
ดังนั้นการป้องกันไว้ดีกว่าแก้เพราะเมื่อถึงเวลานั้นคุณอาจ...งงงง.

10 กลเม็ดก่อนขับรถยนต์
 
1. ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
 
2. ดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
 
3. ดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยวหรืออื่น ๆ รวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด
 
4. แผงควบคุมและอุปกรณ์ดูให้แน่ใจว่าทำงานปกติ ที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
 
5. ระดับน้ำหล่อเย็น ควรมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
 
6. หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
 
7. สายพานขับต่าง ๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
 
8. แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้  ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
 
9. ระดับน้ำมันเบรกและคลัตช์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรกและคลัตช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
 
10. ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่ว หลุดหรือไม่

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 12:32:55 AM »

มติชน


ปตท.สผ.เปิดประตู... พาเยาวชน "บ้านนนทภูมิ" ท่องธรรมชาติ


 
"รอยเท้าเสือ ทำไมไม่เห็นมีเล็บเลย"

เสียงชัดถ้อยชัดคำของ ด.ช.ไชยชาญ เทพศรีหา น้องจากสถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด หรือบ้านนนทภูมิ ที่เอ่ยปากถาม ด้วยสงสัยว่า ทำไมรอยเท้าเสือบนแผ่นจำลองที่ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจัดทำขึ้นในเส้นทางธรรมชาติบ้านของเสือจึงไม่มีกงเล็บเหมือนที่เคยรู้มาจากบทเรียน

"ในเวลาปกติเสือจะซ่อนเล็บที่แหลมคมเอาไว้ เล็บจะใช้สำหรับตะปบเหยื่อหรือล่าเหยื่อเท่านั้น แต่ถ้าไชยชาญอยากเห็นเล็บเสือ ต้องอาสาเป็นอาหารเสือเอามั๊ยครับ"

คำตอบแกมหยอกของพี่เลี้ยงจากชมรมนักนิยมธรรมชาติเรียกเสียงหัวเราะให้กับน้องๆ ผู้พิการที่เพิ่งมีโอกาสเป็นครั้งแรกที่ได้ย้ำเท้าเข้าสู่ป่า

น้องไชยชาญ เทพศรีหา อายุเพียง 9 ขวบ แม้ร่างกายจะไม่ปกติสมบูรณ์ แต่ความคิดความอ่านไม่ต่างจากเด็กปกติทั่วไป ระหว่างการทำกิจกรรมทุกฐานที่พี่ๆ จากชมรมนักนิยมธรรมชาติพยายามให้ความรู้กับน้องๆ จึงมีเสียงน้องไชยชาญตั้งคำถามต่างๆ นานาต่อข้อสงสัยทุกครั้งไป

"เป็นครั้งแรกที่ผมได้นอนเต๊นท์ นอนในป่า เล่นน้ำในลำธาร ผมเคยไปสวนสาธารณะมีหญ้าเขียวๆ ต้นไม้เขียวๆ แต่ที่นี่ใหญ่มากครับ ชอบมากเลยครับ ยังไม่รู้ว่าจะได้มาอีกหรือเปล่า" เสียงคุยจ้อยๆ ของไชยชาญยังคงดังต่อไป
 


สำหรับเด็กปกติทั่วไปโอกาสที่จะได้ชื่นชม และสัมผัสธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "มรดกโลกทางธรรมชาติ" ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยขาแข้ง คงไม่ใช่เรื่องยากหากมีโอกาสและเวลาที่เหมาะสม แต่สำหรับบางคนโอกาสเหล่านี้อาจเป็นแค่ความฝัน

การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ที่ต้องการเปิดประตูสู่ธรรมชาติให้แก่เยาวชนผู้ด้อยโอกาสได้สัมผัสธรรมชาติที่สมบูรณ์ของแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ภายใต้โครงการ "มรดกไทย มรดกโลก" โดยครั้งนี้มีเยาวชนพิการแขนขา 20 คน และพิการทางหู 10 คน จากสถานสงเคราะห์เด็กพิการ และทุพพลภาพปากเกร็ด (บ้านนนทภูมิ) เข้าร่วมกิจกรรม

สำหรับสถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด หรือบ้านนนทภูมิ นั้นมีภารกิจในการให้การบริการสงเคราะห์ฟื้นฟูและพัฒนาเด็กพิการทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยดูแลเยาวชนทั้งชายและหญิง อายุระหว่าง 7-18 ปี หรือมากกว่านี้ให้มีโอกาสได้รับการศึกษา การฝึกอาชีพ การพัฒนา การฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายอย่างเหมาะสมทั้ง 4 ด้าน คือ ในด้านการแพทย์ การอาชีพ การศึกษา และการสังคม ให้เป็นผู้สามารถพึ่งตนเอง และมีความสุขตามอัตภาพ

กิจกรรมครั้งนี้น้องๆ ทั้ง 30 คน จากบ้านนนทภูมิได้รับการดูแลเอาใจใส่จาก ปตท.สผ.อาสาเพื่อสังคม (PTTEP CSR Volunteer) ซึ่งเป็นพนักงานของ ปตท.สผ. ผู้ฟังที่ได้รับการคัดเลือกจากคลื่นกรีนเวฟ FM. 106.5 และพี่เลี้ยงจากชมรมนักนิยมธรรมชาติช่วยพาน้องๆ ท่องธรรมชาติอย่างมีความสุข
 


น้องติ๊ก ยศยง หนุ่มน้อยวัย 14 ปี เป็นอีกคนหนึ่งที่แสดงความร่าเริงในทุกช่วงกิจกรรม เป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มที่จ้ำเดินอย่างรวดเร็ว จนพี่เลี้ยงต้องวิ่งตามและร้องเรียกให้รอเพื่อนๆ ด้วย

นั่นเป็นเพราะความตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติ และกิจกรรมทุกๆ กิจกรรม ที่น้องติ๊ก แอบกระซิบพี่เลี้ยงตลอดทางว่า "ชอบครับ...ไปหรือยังครับ...สีฟ้าเดินไปแล้ว สีเขียวไปได้แล้ว...เมื่อไหรจะได้เล่นน้ำ"

สีฟ้า สีเขียว ที่ว่า ก็คือหลักการแบ่งกลุ่มน้องๆ โดยแต่ละกลุ่มสีจะมีพี่เลี้ยงเท่าหรือมากกว่าจำนวนเด็ก เพราะเด็กบางคนต้องอาศัยพี่เลี้ยงอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป เพื่อช่วยเข็นรถเข็น ยก แบกขึ้นเนิน ลงเนิน ขี่คอ ประคองวอล์คเกอร์ (walker) แต่เหล่านั้นไม่ใช่อุปสรรค เพราะน้องๆ ทุกคนมีความกล้า ศรัทธา และเข้มแข็ง รวมถึงน้ำใจที่เปี่ยมล้นของเหล่าพี่เลี้ยงทุกคนที่ต้องยกนิ้วโป้งให้ทั้ง 2 มือ

แต่ก่อนที่เหล่าพี่เลี้ยงอาสาสมัครทั้งหมดจะเก่งกาจ และแคล่วคล่องขนาดนี้ ทุกคนต้องเข้ารับการอบรมเบื้องต้นถึงวิธีการ และขั้นตอนต่างๆ ในการดูแลเยาวชนผู้พิการ และทุพพลภาพจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญบ้านนนทภูมิ เพื่อให้พี่เลี้ยงได้เข้าใจถึงสภาพร่างกายตลอดจนสภาพจิตใจของเยาวชนผู้พิการเหล่านั้น และสามารถดูแลให้มีความสุขท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม

โครงการ ปตท.สผ.พาน้องท่องธรรมชาติ เป็นการเปิดโอกาสเพื่อเยาวชนผู้พิการ ซึ่งคงหาโอกาสมาสัมผัสสถานที่สวยงามทางธรรมชาติเช่นในอุทยานแห่งชาติได้ไม่มากนัก ปตท.สผ. ได้ร่วมกับชมรมนักนิยมธรรมชาติ จัดโครงการนี้ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งไม่เพียงน้องๆ จะได้สัมผัสและเรียนรู้กับสรรพชีวิตที่ยังความอุดมสมบูรณ์อยู่ในพื้นที่มรดกโลกอย่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง บรรดาพี่ๆ อาสาสมัครยังได้เรียนรู้การเป็นพี่เลี้ยงที่ต้องมีจิตอาสา ดูแลใส่ใจน้องๆ ในทุกรายละเอียดโดยเฉพาะในด้านจิตใจ

อย่างไรก็ตาม ก่อนปิดค่ายผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดยังมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งไม่ว่าสภาพร่างกายใดก็สามารถสัมผัสถึงความงดงามของธรรมชาติได้ไม่แพ้กัน

ก่อนจะอำลาค่าย "น้ำตา" ของเยาวชนทั้ง 30 คน รวมทั้งพี่เลี้ยงก็พร่างพรูออกมาด้วยความอาลัย และสัญญาว่าวันนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่น้องๆ จะได้สัมผัสธรรมชาติแต่ต้องมีวันหน้าแน่นอน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 12:36:16 AM »

ข่าวสด


หน.ฝ่ายออกแบบอบจ.ตรังหวั่นคลื่นกัดเซาะสิเกา โอนงบฯแล้ว-แต่โครงการจัดซื้อ-จัดจ้างยังไม่คืบ

ตรัง - จากกรณีนายสมจิตร รักรู้ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 บ้านพรุจูด ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พร้อมด้วยนายธรรมฤทธิ์ เขาบาท นายก อบต.บ่อหิน และนายชาคริต อนันต์มั่งคั่ง หัวหน้าฝ่ายสำรวจและออกแบบ อบจ.ตรัง ลงไปสำรวจพื้นที่ท่าเทียบเรือทุ่งคลองสน-คลองสิเกา-คลองหัวหิน ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลบ่อหินหลังประสบปัญหาคลื่นทะเลกัดเซาะชายหาดในแนวยาว 3-4 กิโลเมตร ทำให้ที่ดินจมหายไปในทะเลกว่า 200 ไร่ จากพื้นที่เดิมตามหลักฐานหนังสือสำคัญที่หลวง (คสล.) มีอยู่ทั้งหมด 827 ไร่ แต่ขณะนี้คงเหลือที่ดินเพียงแค่ 600 ไร่เท่านั้น

นายชาคริต อนันต์มั่งคั่ง หัวหน้าฝ่ายสำรวจและออกแบบ อบจ.ตรัง กล่าวว่า โครงการก่อสร้างเขื่อนคลองสนที่ผ่านมาได้รับการบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดตรังและยังได้รับการบรรจุไว้ในโครงการพัฒนาจังหวัดตรัง ประจำปีงบประมาณ 2552 ด้วยงบประมาณ 18 ล้านบาท ทุกฝ่ายได้พยายามผลักดันอย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและเพื่อเป็นการแก้ปัญหา ก่อนที่ผืนดินจะถูกคลื่นกัดเซาะจมหายไปทั้งหมด นอกจากนั้นเดินทางไปชี้แจงกับคณะอนุกรรมาธิการและคณะกรรมาธิการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร หลายครั้ง จนกระทั่งผ่านความเห็นชอบและโอนงบประมาณมาให้

อย่างไรก็ตามขณะนี้ระยะเวลาผ่านเข้าสู่เดือนที่ 3 ของปี 2552 แล้วแต่โครงการนี้ก็ยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งนี้หากใครเข้าไปในพื้นที่ตำบลบ่อหินจะเห็นว่าขณะนี้น้ำทะเลกัดเซาะชายหาดพังเสียหายไปแล้วมากมายและยังเหลืออีกแค่ประมาณ 100 เมตรเท่านั้น หากไม่รีบก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลก็จะกัดเซาะมาถึงถนนทางหลวงชนบทที่ก่อสร้างเข้าท่าเทียบเรือคลองสน จนทำให้ถนนขาดอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นทั้งท่าเทียบเรือ รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ได้ดำเนินการขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ก็จะสูญหายไปพร้อมกับแผ่นดินที่เหลือ โดยไม่สามารถที่จะนำกลับคืนมาได้อีกแล้ว

นายเสรี พาณิชย์กุล นายอำเภอสิเกา กล่าวว่า เมื่อครั้งที่ตนเองมารับตำแหน่งนายอำเภอสิเกา เมื่อปี 2548 ขณะนั้นแผ่นดินบริเวณชายหาดคลองสนอยู่ลึกลงไปในทะเลประมาณ 100-200 เมตร แต่ขณะนี้หายไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือริมฝั่งหากไม่รีบเร่งดำเนินการก่อสร้างเขื่อนอีกไม่นานน้ำทะเลก็ซัดแผ่นดินหายไปทั้งหมด เพราะขณะนี้คลื่นได้กัดเซาะทิวสนที่ขึ้นสวยงามหายไปแล้ว ไปจนถึงถนนเลียบชายหาดและยังเหลือระยะทางอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะกินพื้นที่ป่าชายเลนที่เหลือ


************************************************************************************************


ตรวจสอบป่าชายเลนพิสูจน์เอกสารสิทธิ

ภูเก็ต - จากกรณีที่ชาวบ้านบางคู ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต ร้องเรียนการบุกรุกเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ป่าชายเลนบ้านบางคู ม.2 ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต จำนวน 23 ไร่เศษ ซึ่งสภาพความเป็นจริงนั้นพื้นที่ป่าชายเลนมีสภาพที่สมบูรณ์โดยส่วนใหญ่ บางส่วนอยู่ในสภาพกำลังฟื้นตัว เป็นแหล่งจับสัตว์น้ำและทำการประมงพื้นบ้านได้ดีของชุมชน เนื่องจากผืนป่าชายเลนเคยเป็นพื้นที่ปลูกป่าของสำนักงานป่าไม้จังหวัดภูเก็ต และหน่วยจัดการป่าชายเลนของจังหวัดภูเก็ต เมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา

ด้านนายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเดินทางไปในพื้นที่บ้านบางคู ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อสำรวจสภาพป่าชายเลนที่ถูกกลุ่มนายทุนอ้างว่ามีเอกสารสิทธิครอบครองและถางไถป่าชายเลน พร้อมเผยว่าได้รับการร้องเรียนจากชุมชนนี้ว่ามีการบุกรุกป่าชายเลน ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเบื้องต้น โดยประสานกับเจ้าหน้าที่ที่ดินและทางจังหวัดภูเก็ต ได้รับคำตอบว่า พื้นที่ป่าชายเลนตรงนี้อยู่ในโฉนด 5 แปลง ขั้นตอนต่อไปจะนำโฉนดนี้ไปแปรภาพถ่ายนำไปเปรียบเทียบกับพื้นที่ป่าเดิม ตามมติ ครม.15 ธ.ค.2530 เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ป่าชายเลนนี้ออกเอกสารสิทธิหลังปี 2532 จะมีขั้นตอนให้ทางกรมที่ดินยกเลิกโฉนดแปลงนี้


***********************************************************************************************


ชาวบ้านสตูลต้าน ท่าเทียบเรือน้ำลึก

สตูล - น.ส.นี สำลี แกนนำเครือข่ายทรัพยากรเมืองสตูล อ.ละงู เผยว่า ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องขอให้ทบทวนและยุติโครงการท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบารา เพราะกระทบต่อทางด้านสังคม วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของเมืองสตูล ที่ผ่านมาชุมชนไม่เห็นด้วยต่อโครงการ เป็นการยัดเยียด เพ้อฝัน ให้แก่คนที่นี่ที่อยู่กันอย่างสงบสุข ตรงกับที่ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีรายงานสรุปผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่อโครงการดังกล่าวเมื่อปลายปี "51 และเสนอรัฐบาลยกเลิกโครงการดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญปี "50

"หลายปีที่ผ่านมาคนสตูลวางแผนพัฒนา ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมกันและตระหนักอยู่เสมอว่านี่คือหัวใจสำคัญดำรงชีวิตอย่างปกติสุข เพียงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้นอย่างพอเพียง หล่อเลี้ยงคนเมืองสตูลมาชั่วอายุคนและน่าเสียใจที่รัฐบาลไม่เคยรับรู้เข้าใจและเห็นคุณค่าจากสิ่งดังกล่าว กลับต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม วิถีชีวิต ยัดเยียดโครงการท่าเทียบเรือน้ำลึกมาให้อ้างว่าจะทำให้คนสตูลมีชีวิตที่ดี"

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 12:59:48 AM »

คม ชัด ลึก


ศาลพิพากษาให้"มาบตาพุด"เป็นเขตควบคุมมลพิษ

ศาลปกครองระยองพิพากษา ให้เขตพื้นที่เทศบาลมาบตาพุดทั้งเทศบาล รวมทั้งพื้นที่ใกล้อีก 4 ตำบล ในเขต อ.เมือง และอ.บ้านฉาง เป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ และให้ดำเนินการประกาศเขตภายใน 60 วัน หลังตรวจพบสารก่อมะเร็ง 20 ชนิด กรมควบคุมมลพิษเสนอบอร์ดสิ่งแวดล้อม ตัดสินจะอุทธรณ์คำสั่งศาลหรือไม่

จากกรณีชาวมาบตาพุดจาก 11 ชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ได้มอบอำนาจให้โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฐานละเลยต่อหน้าที่ไม่ประกาศพื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อควบคุม ลดและขจัดมลพิษ ซึ่งยื่นต่อศาลปกครองระยอง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550 นั้น

 ล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 มีนาคม ที่ศาลปกครองระยอง ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง นางสายสุดา เศรษฐบุตร อธิบดีศาลปกครองระยอง เจ้าของสำนวน นายประสิทธิศักดิ์ มีลาภ  รองอธิบดีศาลปกครองระยอง และนายสรศักดิ์ มไหศิริโยดม ตุลาการศาลปกครองระยอง ได้อ่านคำพิพากษาคดีนายเจริญ เดชคุ้ม พร้อมพวก รวม 27 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
 
 โดยอ้างว่าการดำเนินการของนิคมอุตสาหกรรมในเขตเทศบาลมาบตาพุด ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่มาบตาพุดอย่างรุนแรง ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และจากกากของเสียอันตราย ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก แต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติละเลย มิได้ประกาศกำหนดให้พื้นที่ ต.มาบตาพุด และเทศบาลเมืองมาบตาพุด ตลอดจนพื้นที่ข้างเคียงที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมร้ายแรงเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 บัญญัติไว้

 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปรากฏตามรายงานของกรมควบคุมมลพิษ เอกสารแนบท้ายการประชุมของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติครั้งที่ 11/2548 ว่าปัญหามลพิษทางอากาศพบสารอินทรีย์ระเหยมากกว่า 40 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง 20 ชนิด ใน 20 ชนิดพบสารอินทรีย์ระเหยก่อมะเร็งที่มีค่าเกินระดับเฝ้าระวังคุณภาพอากาศในบรรยากาศจำนวน 19 ชนิด 

 สรุปว่าหากแหล่งกำเนิดทุกแหล่งในพื้นที่มาบตาพุดระบายมวลสารทางอากาศออกในอัตราสูงสุด ตามค่าที่ได้รับอนุญาต จะมีผลทำให้ค่าความเข้มข้นของมวลสารในบางค่าสูงกว่ามาตรฐาน

 ในปี พ.ศ.2540-2544 สถาบันมะเร็งแห่งชาตินำเสนอข้อมูลจากโครงการศึกษาระบาดวิทยาของโรคมะเร็งทุกชนิดในประเทศไทยของ จ.ระยอง สถิติการเกิดโรคมะเร็งทุกชนิด และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของ อ.เมือง สูงกว่าอำเภออื่นเป็น 3 เท่าและ 5 เท่า คุณภาพน้ำคลองสาธารณะปี พ.ศ.2550 คลองสาธารณะส่วนใหญ่ในพื้นที่มาบตาพุดอยู่ในระดับเสื่อมโทรมพบสารปนเปื้อนโลหะหนักสูงเกินค่ามาตรฐาน

  ศาลรับฟังได้ว่าเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด เป็นพื้นที่ซึ่งมีปัญหามลพิษ มีแนวโน้มที่ร้ายแรงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงสมควรที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษได้ในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดและพื้นที่ตำบลบางส่วนอยู่ในพื้นที่ ต.เนินพระ ต.มาบข่า และต.ทับมา อ.เมือง เป็นเขตควบคุมมลพิษด้วย

 นอกจากนี้ นิคมอุตสาหกรรมเอเชียตั้งอยู่ใน อ.บ้านฉาง พบว่าคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งหาดพยูนมีแบคทีเรียและเหล็กมีค่าเกินมาตรฐาน ศาลจึงมีคำพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี ประกาศให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดทั้งหมด รวมทั้ง ต.เนินพระ ต.มาบข่า ต.ทับมา อ.เมือง ตลอดจนท้องที่ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง เป็นเขตควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้ให้ดำเนินการให้แล้วสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
เดินหน้าค้านปิโตรเคมี เฟส 3

 นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เผยภายหลังร่วมรับฟังคำพิพากษาว่า การที่ชาวบ้านชนะคดีครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จ และต่อไปเครือข่ายภาคประชาชนจะเดินหน้าเรื่องการปฏิบัติตามแผนลดและขจัดมลพิษ และจะขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมทบทวนแผนขยายปิโตรเคมีเฟส 3 และกิจกรรมการพัฒนาในพื้นที่ว่าทำให้เกิดมลพิษเพิ่มหรือไม่   
 
  นายสุทธิกล่าวว่า ขณะนี้ในเขตมาบตาพุด มีการปรับพื้นที่ถมทะเล เพื่อเตรียมขยายปิโตรเคมีเฟส 3 ซึ่งหากหน่วยงานอนุญาต โดยเฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีส่วนในการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) อนุมัติโครงการโดยไม่เข้าเกณฑ์เงื่อน มาตรา 67 ชาวบ้านก็จะไปฟ้องหน่วยงานที่อนุญาตต่อไป

   “การยื่นฟ้องของชาวบ้านครั้งนี้ สืบเนื่องจากรัฐบาลมีโครงการขยายปิโตรเคมี ระยะที่ 3 แต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบมาบตาพุด ประสบปัญหาความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและระบบทางเดินหายใจมานานกว่า 20 ปีจากการมีนิคมอุตสากรรมมาบตาพุด โดยมีผลการยืนยันจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ว่าคนระยองเป็นมะเร็งมากขึ้น รวมทั้งหลักฐานจาก ดร.เรณู เวชรัตน์พิมล เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และ ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด เป็นต้น ซึ่งชัดเจนแต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กลับชะลอการประกาศเขตควบคุมมลพิษตามมาตรา 59 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535” นายสุทธิระบุ

 ต่อมาเมื่อเวลา 13.15 น. วันเดียวกัน นายสุทธิ นายสุรชัย ตรงงาม ทนายความ นายศุภกิจ นันทะวรการ มูลนิธินโยบายสุขภาวะ นายรัชยุทธ วงศ์ภุชชงค์ ประธานชุมชนซอยร่วมพัฒนามาบตาพุด นายเจริญ เดชคุ้ม และพวก ผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ที่โรงแรมโกลเด้น ซิตี้ อ.เมือง จ.ระยอง

ทนาย ดีใจ หลังสู้มาหลายปี

 นายรัชยุทธกล่าวว่า ความรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง หลังมีการต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมมานาน และอยากจะฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กรณีศาลปกครองระยองมีคำพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นเขตควบคุมมลพิษ ช่วยแจ้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อย่าอุทธรณ์คดีนี้เลย เพราะต้องใช้เวลานานหลายปี โรงงานอุตสาหกรรมจะเกิดขึ้นอีก และยังจะมีการประกาศพื้นที่สีม่วงเพิ่มขึ้นอีก ขอให้ยึดหลักธรรมาภิบาลอยู่ร่วมกัน เพื่อพี่น้องประชาชนชาวระยอง

 นายสุรชัยกล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญ และเป็นคดีตัวอย่างที่ประชาชนมาบตาพุด ได้รับผลกระทบ จึงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะปัจจุบันนี้มาบตาพุดมีความรุนแรงเรื่องมลพิษและขอขอบคุณนักวิชาการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยที่นำข้อมูลยืนยันมาบตาพุดมีปัญหารุนแรงเรื่องมลพิษ ส่วนผลคดีผู้ถูกฟ้องสามารถที่จะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน การประกาศเขตพื้นที่ควบคุมมลพิษเป็นแค่เงื่อนไขหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมาย
คพ.เล็งชงบอร์ดสวล.อุธรณ์คำสั่ง

  นายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวถึงคำตัดสินของศาลปกครองว่า ขอดูรายละเอียดคำวินิฉัยของศาลให้ชัดเจนก่อน เนื่องจากมีรายละเอียดมากถึง 60 หน้า หลังจากนั้นจะสรุปเป็นข้อเสนอส่งไปให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมพิจารณา เนื่องจากศาลสั่งบอร์ดสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นในการนำเสนอ คงจะรวมไปถึงการเสนอให้มีการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองด้วยภายใน 30 วัน

 "ตอนนี้ผมขอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยก่อน จากนั้นจะเสนอแผนในการดำเนินการให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมว่า ควรเสนอเป็นเขตควบคุมมลพิษหรือไม่ รวมไปถึงการอุทธรณ์ด้วย โดยจะเสนอให้บอร์ดสิ่งแวดล้อมพิจารณาด่วนที่สุด" นายสุพัฒน์ กล่าว

 นายวิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า เตรียมนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานบอร์ดชุดใหม่ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากตามระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่ง 60 วันเท่านั้น โดยคาดว่าภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ อาจจะมีการประชุมบอร์ดสิ่งแวดล้อมชุดใหม่เป็นครั้งแรก

เครือปตท.ทบทวนแผนลงทุน

 นายณอคุณ สิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ได้ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดค่อนข้างมาก ทั้งโครงการเก่าและโครงการใหม่ที่จะเกิดตามมา แต่ต้องเคารพคำตัดสินของศาลปกครอง ซึ่งหลักจากนี้ไปบริษัทในเครือปตท.คงต้องไปทบทวนแผนธุรกิจในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดใหม่ จากเดิมที่จะมีแผนลงทุนในโครงการปิโตรเคมีระยะที่ 3 รวมถึงโรงแยกก๊าซธรรมชาติ แห่งที่ 7 และโรงไฟฟ้า ที่จะป้อนให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี

 อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ผู้บริหารของแต่ละบริษัทในเครือ จัดทำรายละเอียดของแต่ละโครงการเข้ามาว่า จะต้องดำเนินการอย่างไรให้สอดคล้องกับภาวการณ์หรือครบถ้วนตามคำตัดสินของศาลปกครอง ส่วนโครงการที่ได้รับอนุมัติในรายงานศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว คงสามารถดำเนินการต่อไปได้ ส่วนโครงการที่ยังไม่ได้รับอนุมัติอีไอเอ อาจจะกระทบบ้าง เพราะจะต้องดำเนินการปรับปรุงโครงการใหม่ เช่นโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 7 และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 01:00:45 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


วาฬและโลมาเกือบ 200 ตัวเกยตื้นบนหาดนอกชายฝั่งทางตอนใต้ของออสเตรเลีย 

วาฬและโลมาเกือบ 200 ตัวเกยตื้นบนหาดเกาะคิง ไอส์แลนด์ นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของออสเตรเลีย นายคริส อาร์เธอร์ โฆษกหน่วยอุทยานและสัตว์ป่ารัฐแทสเมเนีย ระบุว่า ในจำนวนปลาเหล่านี้พบว่าประมาณ 140 ตัวได้ตายไปแล้ว หลังขึ้นมาเกยตื้นตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้ ส่วนที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ และขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งช่วยชีวิตพวกมัน.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.499 วินาที กับ 21 คำสั่ง