กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 14, 2024, 07:42:55 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2552  (อ่าน 4180 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 12:52:19 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีน ได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมา ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ในวันพรุ่งนี้ (25 มี.ค.) ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นกับ มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ในช่วงวันที่ 25-27 มีนาคม 2552 โดยเริ่ม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบ ในระยะต่อไป จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. 
 

คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 25-28 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกจะเคลื่อนตัวผ่านภาคเหนือในช่วงวันที่ 26-27 มีค. ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 29-30 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศร้อนขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 25-28 มี.ค. ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงไว้ด้วย
 


* Forecast2.jpg (38.04 KB, 684x423 - ดู 803 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (42.62 KB, 450x499 - ดู 800 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 12:58:10 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ภูเขาไฟในอะแลสกาปะทุ 5ครั้ง ยกเลิกเที่ยวบินนับสิบ

      ภูเขาไฟรีเดาท์ในมลรัฐอะแลสกา ได้ปะทุขึ้นมา 5 ครั้ง พ่นควันและเถ้าถ่านขึ้นสู่อากาศสูงกว่า 15 กิโลเมตร เป็นผลให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินหลายสิบเที่ยว เจ้าหน้าที่เปิดเผยเมื่อวันจันทร์(23)
       
       หอสังเกตการณ์ของภูเขาไฟอะแลสกา กล่าวว่าเวลานี้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งความเสียหายที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟที่มีความสูง 3,100 เมตรและตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแองเคอเรจ เมืองใหญ่ที่สุดของมลรัฐอะแลสกา 160 กิโลเมตร
       
       อย่างไรก็ตามทางสายการบินอะแลสกาแอร์ไลน์ ได้ยกเลิกเที่ยวบิน 12 ไฟลต์ ที่มีคิวบินออกจากสนามบินนานาชาติงแองเคอเรจและพลเรือนในหลายเมืองที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้รับคำเตือนให้เตรียมพร้อมสำหรับเถ้าถ่านที่จะตกลงมา
       
       หอสังเกตุการณ์แจ้งว่าภูเขาไฟลูกนี้ปะทุอย่างรุนแรงอย่างต่ำแล้ว 5 ครั้ง หลังจากครั้งแรกเกิดขึ้นตอนค่ำของวันอาทิตย์(22)

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 01:03:23 AM »

ข่าวสด


กฟน.ปลูกหญ้าทะเล แหล่งอาหารพะยูน

ตรัง - นายพรเทพ ธัญญพงศ์ชัย ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กล่าวถึงโครงการปลูกหญ้าทะเลคืนธรรมชาติสู่ท้องทะเล ว่าร่วมกันปลูกหญ้าทะเล ที่บริเวณอ่าวค้างคาว ตำบลท่าข้าม อำเภอปะเหลียน ทั้งนี้ หญ้าทะเลถือเป็นทรัพยากร ธรรมชาติทางทะเลที่สำคัญ เพราะแนวหญ้าทะเลเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตสูง เนื่องจากมีการสะสมของดินตะกอน และสารอาหารจากบริเวณปากแม่น้ำ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำนานาชนิด หญ้าทะเลเป็นแหล่งอาหารของพะยูน ซึ่งถือเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของจังหวัดตรัง และเป็นสัตว์สงวนที่ในปัจจุบันมีอยู่ในจังหวัดตรังมากที่สุด ประมาณ 115-125 ตัว หรือนับได้ว่าเป็นพะยูนฝูงสุดท้ายของประเทศไทย

จังหวัดตรังมีพื้นที่ชายฝั่งยาวประมาณ 119 กิโลเมตร ประชาชนส่วนหนึ่งมีอาชีพทำการประมงตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมตัวเป็นองค์กรภาคประชาชนที่เข้มแข็งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะการอนุรักษ์พะยูน


************************************************************************************************************************


"ปลาหุ่นยนต์" ตรวจมลพิษทางน้ำ                                 :                                   หมุนก่อนโลก


 
หลังจากเดินหน้าวิจัย-พัฒนามาประมาณ 3 ปี

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา "คณะกรรมาธิการยุโรป" (อีซี) ก็แถลงว่า ใกล้ได้ฤกษ์ส่ง "ปลาหุ่นยนต์" ลงไปแหวกว่ายในสายน้ำ

เพื่อใช้สำรวจตรวจสอบ "คุณภาพน้ำ" แถบบริเวณท่าเรือเมืองกิฮอน ทางภาคเหนือของประเทศสเปน

บริษัท บีเอ็มที กรุ๊ป ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการและวิศวกรรมศาสตร์อิสระ ให้ข่าวในนามตัวแทนผู้รับผิดชอบโครงการนี้แทน "อีซี" ว่า

ปลาหุ่นยนต์ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายๆ ปลาคาร์พ พัฒนาขึ้นมาทั้งหมด 5 ตัว โดยคณะนักวิจัยภาควิชาวิศวะคอม พิวเตอร์และวิศวะอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยเอ็กซ์เซ็กส์ ประเทศอังกฤษ นำโดยศาสตราจารย์หู หัวเจิ้ง
 


ตัวโครงสร้างปลาหุ่นยนต์ออกแบบให้ "ว่าย" ใกล้เคียงปลาจริงๆ ตามธรรม ชาติมากที่สุด เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 1 เมตรต่อวินาที

ในตัวของมันจะติดตั้ง "เซ็นเซอร์" ขนาดเล็กทำหน้าที่ตรวจจับ-ค้นหา "สารเคมีเป็นพิษ" ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ

จากนั้นข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะถูกส่งผ่านระบบสื่อสารไร้สาย "ไว-ไฟ" แจ้งกลับมายังสถานีวิจัยภาคพื้นดิน ทันที ที่ปลาว่ายกลับมาเทียบท่าเพื่อประจุ (ชาร์จ) ไฟครั้งใหม่

โดยการประจุกระแสไฟฟ้าเต็มที่ 1 ครั้ง ปลาหุ่นยนต์จะปฏิบัติภารกิจได้นาน 8 ชั่วโมง

เบื้องต้นในปีหน้าจะทดลองส่งปลาไร้ชีวิตลงไปว่ายตรวจสอบสภาพน้ำเป็นครั้งแรกของโลกตรงท่าเรือเมืองกิฮอนก่อน เพื่อดูว่าเรือที่เข้าฝั่งมานั้นมีสารพิษ-คราบน้ำมันรั่วไหลออกมาสร้าง "มลพิษ" ในพื้นที่หรือไม่

ประโยชน์ก็คือยิ่งตรวจพบความผิดปกติเร็วเท่าไหร่ การส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปแก้ไข ป้องกันไม่ให้มลพิษขยายตัวออกไปในวงกว้างก็ทำได้เร็วขึ้นเท่านั้น

คณะผู้พัฒนาตั้งความหวังว่า ถ้าโครงการแรกในเมืองกิฮอนประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้การตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเลทั่วโลกทำได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

ในอนาคตถ้าปลาหุ่นยนต์ได้รับความนิยมแพร่หลาย ราคาต้นทุนการผลิตตัวละประมาณ 1 ล้านบาท ก็น่าจะถูกลงตามไปด้วยเช่นกัน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 01:07:13 AM »

คม ชัด ลึก


โลมา - วาฬ ตายเกลื่อนหาดออสเตรเลีย



โลมาและวาฬราว 80 ตัว พากันมาเกยตื้นอยู่ตามชายหาดในเขตห่างไกลผู้คนทางตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ทำให้พวกมันตายไปมากมายถึงอย่างน้อย 67 ตัว ก่อนที่ทีมกู้ภัยจะรุดไปยังจุดเกิดเหตุ เพื่อให้การช่วยเหลือพวกมันได้ทันเวลา

สำหรับสาเหตุของการเกยตื้น ที่อ่าวฮาเมลินครั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองการอนุรักษ์สัตว์ของ รัฐอออสเตรเลียตะวันตก บอกว่าน่าจะเกิดจากปัญหาคลื่นลมในทะเลแรงจัด

เจ้าหน้าที่บอกว่า กลุ่มโลมาจมูกขวด และวาฬเพชฌฆาตดำเหล่านี้ เริ่มขึ้นมาเกยตื้นตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า โดยพวกมันกระจัดกระจายกันอยู่ตามชายหาดในระยะความยาวราว 6 กิโลเมตร และจากการที่พวกมันตายไปมากมายก่อนที่ทีมกู้ภัยจะมาถึง งานแรกที่ทีมกู้ภัยจะต้องทำก็คือการค้นหาว่าสัตว์ตัวใดบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่  ก่อนที่จะช่วยกันนำมันกลับลงทะเลไป ซึ่งการที่พวกมันจะกลับลงทะเลลึกได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพของทะเล และความแข็งแรงของสัตว์ที่ได้รับความช่วยเหลือ โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าทะ
เลของที่นี่ยามนี้ อันตรายมากทีเดียว เพราะมีทั้งลมแรงจัด และคลื่นลูกใหญ่
 
เมื่อต้นเดือน วาฬพันธุ์นำร่อง 194 ตัว และโลมา 7 ตัวก็มาเกยตื้นที่แทสมาเนีย งานนี้มีวาฬ 54 ตัว และโลมา 5 ตัวเท่านั้นที่ได้กลับลงทะเลไป เมื่อเดือนมกราคม วาฬหัวทุย 45 ตัว ก็ตายหลังจากเกยตื้นที่แทสมาเนียเช่นกัน

การเกยตื้นมักเกิดขึ้นที่แทสมาเนียบ่อยครั้ง เพราะมันเป็นเส้นทางที่วาฬต้องผ่านระหว่างการอพยพย้ายถิ่น แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจนักว่า เพราะอะไรพวกมันจึงมักมาเกยตื้น

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
kungkings
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 791



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 02:27:25 AM »

เห็นข่าวปลาเกยตื้นทีไร...เศร้าใจทุกทีไป เราไม่มีทางแก้ไขได้เลยใช่ไหมคะ 
บันทึกการเข้า

ทำวันนี้ และวันหน้าให้ดีที่สุด...
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 24, 2009, 05:20:10 PM »

แมนต้าเรย์ที่เกาะบอน / วินิจ รังผึ้ง

       โดย : วินิจ รังผึ้ง

 

 
       "เกาะบอน" เป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลในเขตจังหวัดพังงา เป็นจุดดำน้ำหนึ่งในเส้นทางดำน้ำอันดามันเหนือซึ่งเรือบริการดำน้ำมักจะจัดทริปเป็นเส้นทางโดยเริ่มจากหมู่เกาะสิมิลัน เกาะตาชัย หินริเชลิว และเกาะบอน ก่อนกลับเข้าฝั่ง
       
       หากมองจากสภาพทั่วๆไปเกาะบอนอาจไม่มีอะไรน่าสนใจนัก เพราะเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กๆ ไม่มีหาดทรายหรือพื้นที่ราบ ไม่สามารถจะขึ้นไปบนเกาะได้ จะมีจุดเด่นที่แปลกตาก็ตรงรูทะลุเป็นช่องกลางเกาะอันเนื่องมาจากการกัดเซาะของคลื่นลม จนชาวบ้านดั้งเดิมเรียกกันว่าเกาะทะลุ เกาะบอนจึงไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลทั่วๆไป แต่เกาะแห่งนี้ก็กำลังกลายเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำในวันนี้ เพราะเป็นจุดที่นักดำน้ำสามารถพบเห็นกระเบนราหูหรือเจ้าแมนต้าเรย์ (Manta ray) ได้บ่อยครั้งที่สุดของเมืองไทยก็ว่าได้
       
       กระเบนราหูหรือเจ้าแมนต้า ถือเป็นปลากระเบนพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเมื่อโตเต็มที่อาจจะมีขนาดความกว้างของลำตัวจากปลายปีกด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่งราว 6 เมตร มีน้ำหนักได้ถึง 1,350 กิโลกรัม เป็นปลากระเบนที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อน ลักษณะของเจ้าแมนต้าเรย์ จะมีลำตัวแบนแผ่กว้างรูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือบางคนก็บอกว่ามันมีรูปร่างเหมือนเพชร มีหางเล็กๆคล้ายแส้ ลำตัวด้านบนสีดำหรือสีเทา บางตัวมีแถบสีขาวปะปน ด้านล่างของลำตัวสีขาว หรือมีด่างสีเทาหรือสีดำปะปน มีช่องเหงือกอยู่ด้านใต้ลำตัว มีปากอยู่ด้านหน้า ซึ่งผิดกับปลากระเบนชนิดอื่นๆที่มักจะมีปากอยู่ด้านล่างของลำตัว
       
       เหตุที่มีปากอยู่ด้านหน้าก็เพราะ กระเบนราหูนั้นเป็นกระเบนที่กินแพลงก์ตอนเล็กๆ ที่ล่องลอยมากับกระแสน้ำเป็นอาหาร มันจึงเป็นปลากระเบนชนิดที่ชอบว่ายน้ำอยู่กลางห้วงน้ำทั้งวัน เพื่ออ้าปากรับน้ำเข้าไป แล้วกรองแพลงก์ตอนไว้เป็นอาหารก่อนจะปล่อยน้ำออกทิ้งทางช่องเหงือก ผิดกับปลากระเบนชนิดอื่นๆ ที่หากินอยู่บริเวณหน้าดิน ซึ่งกระเบนเหล่านั้นจะกินกุ้ง ปลา ปู และสัตว์อื่นๆที่อยู่ตามหน้าดินเป็นอาหาร กระเบนเหล่านั้นจึงมีช่องปากอยู่ด้านใต้ลำตัวที่ติดอยู่กับพื้นดิน และมักจะมีนิสัยชอบนอนหมอบราบอยู่กับพื้นทรายหรือหลบซ่อนอยู่ภายในถ้ำ ไม่ค่อยจะชอบว่ายน้ำเหมือนกับกระเบนราหู
       
       กระเบนทุกชนิดเป็นปลากระดูกอ่อนที่ดำรงอยู่คู่กับท้องทะเลมากว่า 150 ล้านปี ทั่วโลกมีอยู่มากมายกว่า 450 ชนิด ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างกลมๆ ลำตัวแบนราบ มีตั้งแต่ตัวเล็กเท่าฝ่ามือจนถึงตัวกว้างเป็นเมตร กระเบนส่วนใหญ่มักจะมีหางยาว มีเงี่ยงที่โคนหางเป็นอาวุธสำคัญไว้ป้องกันตัวโดยเมื่อมีปลาหรือสัตว์ใหญ่เข้าโจมตี กระเบนเหล่านี้ก็จะตะวัดหางทำให้เงี่ยงที่มีลักษณะคล้ายกับมีดปลายแหลมเสียบแทงศัตรูที่เข้ามาจู่โจม ให้บาดเจ็บอย่างแสนสาหัส เพราะเงี่ยงแหลมนี้นอกจากจะเป็นอาวุธคล้ายมีดแล้ว ยังมีต่อมพิษที่มีลักษณะเป็นสารประกอบโปรตีนฉีดเข้าไปที่บาดแผลก่อให้เกิดการเจ็บปวดแสนสาหัสซ้ำเข้าไปอีก
       
       โดยกระเบนบนพื้นทรายเหล่านี้มีตั้งแต่ขนาดใหญ่เป็นเมตรอย่างกระเบนดำ กระเบนลายหินอ่อน ลงไปจนถึงกระเบนจุดฟ้าขนาดฟุตกว่าๆ ลงไปจนถึงกระเบนขนาดเล็กที่ใหญ่กว่าฝ่ามือนิดหน่อยที่ชาวบ้านเรียกว่า “ปลาจ้งม้ง” ซึ่งชอบอาศัยหมกทรายอยู่ตามชายฝั่งที่น้ำตื้น ซึ่งนักท่องเที่ยวอาจจะเดินลุยน้ำไปเหยียบแล้วโดนเงี่ยงของมันแทงเข้าที่เท้าได้ แต่ก็น่ายินดีที่ว่าเจ้ากระเบนราหูน้ำเค็มนั้นแม้นจะเป็นกระเบนยักษ์ใหญ่ แต่ก็เป็นกระเบนประเภทที่ไม่มีเงี่ยงบริเวณโคนหาง จึงไม่เป็นอันตรายต่อนักดำน้ำ ผิดกับกระเบนราหูน้ำจืดที่เป็นกระเบนขนาดใหญ่แต่ก็ยังมีเงี่ยงที่โคนหางไว้เป็นอาวุธป้องกันตัวเหมือนกระเบนทั่วๆไป
       
       ที่มาของชื่อกระเบนราหูนั้น ก็คงจะด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน และสีดำทะมึนบนแผ่นหลัง กับพฤติกรรมที่ชอบว่ายน้ำหากินอยู่กลางน้ำหรือขึ้นมาใกล้ผิวน้ำ ซึ่งเมื่อชาวเรือตั้งแต่สมัยโบราณมองลงไปเห็นร่างเงาดำทะมึนเคลื่อนผ่านไปมาก็จะเห็นเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นครั่นคร้ามอยู่ไม่น้อย มองดูคล้ายๆกับร่างเงาของราหูที่เคลื่อนเข้าบดบังดวงจันทร์ มันจึงถูกขนานนามว่ากระเบนราหู
       
       สำหรับนักดำน้ำแล้วกระเบนราหู หรือเจ้าแมนต้าเรย์นั้น นับเป็นยักษ์ใหญ่ใจดีที่เป็นสุดยอดปรารถนาจะได้พบเจออันดับต้นๆ เพราะมีลีลาการว่ายน้ำที่งดงามด้วยการกระพือปีกขึ้นลงช้าๆราวกับการโบยบินของพญาอินทรี และด้วยขนาดลำตัวที่ใหญ่โต มันจึงไม่ค่อยจะตื่นกลัวนักดำน้ำ บางตัวอาจจะว่ายเวียนวนไปมารอบๆกลุ่มนักดำน้ำและว่ายเล่นอยู่นานนับเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว บางตัวยังว่ายตีลังกากลับตัวเหมือนลีลาของนักยิมนาสติก เป็นที่ประทับใจของผู้ได้พบได้เห็น ด้วยขนาดที่ใหญ่โตกระเบนราหูจึงไม่ค่อยจะมีศัตรูตามธรรมชาติมากนัก โดยศัตรูของกระเบนราหูก็คือวาฬเพชฌฆาต วาฬเพชฌฆาตเทียม ฉลามเสือ และบรรดาเรืออวนทั้งหลาย
       
       ในแหล่งดำน้ำทางฝั่งทะเลอันดามันบริเวณที่มีรายงานการพบเห็นกระเบนราหูก็คือบริเวณ หินหัวกะโหลก คริสมาสต์พอยต์ หมู่เกาะสิมิลัน เกาะตาชัย เกาะบอน หินแดง หินม่วง แต่ที่พบเจอได้บ่อยครั้งที่สุดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็คือบริเวณหัวแหลมเกาะบอน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำใส เป็นจุดที่มีกระแสน้ำไหลพาเอาอาหารล่องลอยมาปะทะกับแหลมหิน จึงเป็นทำเลของแพลก์ตอนที่จะล่องลอยมาหมุนวนอยู่บริเวณนี้ นั่นจึงเป็นจุดนัดพบของบรรดายักษ์ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเลเหล่านี้
       
       แต่เดิมบริเวณเกาะบอนนั้นเป็นจุดดำน้ำที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูให้ชมกันนัก เพราะสภาพใต้ทะเลมีแต่ปะการังโครงสร้างแข็งที่ไม่ค่อยมีสีสันเป็นหลัก และมักเป็นปะการังที่มีสภาพแตกหักเพราะในอดีตเกาะบอนเป็นแหล่งระเบิดปลาของมือระเบิดทั้งหลาย เพราะเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลฝั่ง ไกลหูไกลตาผู้คน แต่เมื่อกลายเป็นแหล่งดำน้ำและมีเรือบริการดำน้ำเข้าไปดำแทบทุกวัน ก็ทำให้การระเบิดปลาหมดไป และปะการังก็เริ่มจะฟื้นตัว โดยมีปะการังเขากวางผืนใหญ่ที่ขึ้นอยู่กันอย่างหนาแน่นทางด้านเหนือของเกาะ และเมื่อมีเจ้าแมนต้าเรย์เข้ามาเป็นพระเอกประจำ แหล่งดำน้ำที่แสนจะธรรมดาๆ ที่นี่จึงคึกคัก บางวันมีรายงานการพบเจ้ากระเบนราหูมากถึง 3-4 ตัวในไดฟ์เดียวกัน นั่นจึงทำให้หลายคนถึงกับขนานนามให้เกาะบอนแห่งนี้เป็น Manta point เลยทีเดียว.

 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 24, 2009, 05:22:57 PM โดย Sri_Nuan.Ray » บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.175 วินาที กับ 21 คำสั่ง