กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 14, 2024, 07:50:50 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2552  (อ่าน 3028 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 26, 2009, 12:37:51 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประกาศเตือนภัย  "พายุฤดูร้อนในประเทศไทย"  ฉบับที่ 6 (56/2552) ลงวันที่ 26 มีนาคม 2552
 
     บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางยังคงปกคลุมทะเลจีนใต้และ ประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย และ มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในระยะนี้ โดยขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ที่โล่งกลางแจ้งหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งควรงดใช้เครื่องมือสื่อสารหรือวัตถุที่อาจเป็นสื่อนำไฟฟ้าในขณะที่เกิดฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย 


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศา ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ส่วนในช่วงวันที่ 27-28 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมทะเลจีนใต้และประเทศไทยตอนบนจะมีกำลัง อ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเป็นแห่งๆถึงกระจายและอุณหภูมิสูงขึ้น หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 29 มี.ค. - 1 เม.ย. บริเวณความกดอากาศสูงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมา ปกคลุมทะเลจีนใต้ และประเทศไทยตอนบนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นกับลมกระโชกแรงบางแห่ง


ข้อควรระวัง

 ในช่วงวันที่ 29 มี.ค.-1 เม.ย. ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงไว้ด้วย
 


* Forecast2.jpg (39 KB, 684x423 - ดู 563 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 26, 2009, 12:54:34 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


"ตะรุเตา" งามเข้าขั้นเทพ


ท้องทะเลยามเย็นที่หลังเกาะหลีเป๊ะ  
 
       มื่อโลกยังหมุน เวลายังเดิน สรรพสิ่งย่อมมีความเปลี่ยนแปลง
       
       สถานที่ท่องเที่ยวก็เช่นเดียวกัน บ้างเปลี่ยนจากดีเป็นแย่ บ้างเปลี่ยนจากแย่เป็นดี บ้างเปลี่ยนจากสวยงามเป็นเสื่อมโทรม บ้างเปลี่ยนจากแห้งแล้งเป็นสวยงาม ฯลฯ
       
       แต่หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เปลี่ยนจาก"นรก"เป็น"สวรรค์"ทอดตาดูในเมืองไทยก็เห็นจะมี "หมู่เกาะตะรุเตา"เท่านั้นที่โดดเด่นสุดๆ เพราะในยุคสมัยหนึ่ง(ช่วงปี 2479 - 2489)เกาะตะรุเตาเคยเป็น"คุกเปิด"คุมขังนักโทษการเมืองและนักโทษคดีอุจฉกรรจ์ กลางทะเลลึกที่เต็มไปด้วยไข้ป่า และความโหดร้ายของสภาพอากาศ
       
       เป็นเกาะนรกในความรับรู้ของคนทั่วไป

   
อ่าวพันเตมะละกา  
 
       กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลได้ยกเลิกคุกบนตะรุเตา และปล่อยทิ้งร้างไว้ 20 กว่าปี จึงค่อยประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตาในปี พ.ศ. 2517 ก่อนจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามมาในภายหลัง อันเป็นจุดเปลี่ยนจากนรกเป็นสวรรค์ เพราะความสวยงามพิสุทธิ์ของหมู่เกาะตะรุเตานั้นจัดอยู่ในขั้นเทพ จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นมรดกแห่งอาเซียนในปี พ.ศ. 2525
       
       ด้วยความงามและชื่อเสียงที่สะสมทำให้ ร้อนนี้ "ตะลอนเที่ยว" จึงเลือกที่จะกลับไปเยือหมู่เกาะตะรุเตาอีกครั้ง โดยจากท่าเรือปากบารา เราออกเดินทางสู่เป้าหมายแรกที่ "เกาะตะรุเตา"อดีตที่คุมขังนักโทษ(คุกเปิด) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตา
       
       บนเกาะตะรุเตา มีจุดชวนเที่ยวอย่าง อ่าวตะโละวาว หาดทรายอ่าวเมาะ หาดทรายอ่าวสน และอ่าวพันเตมะละกา ที่เราไปหย่อนตัว นั่งๆเดินๆทอดหุ่ยรับลมทะเลที่นี่อยู่พักใหญ่
       
       อ่าวพันเตมะละกา มีหาดทรายสวยงามทอดยาวขาวสะอาดอยู่หน้าเกาะ และทิวสนขึ้นเรียงรายเลาะเรียบไปตามทะเลเป็นที่งามตานัก โดยเฉพาะยามสนต้องลม

   
มุมมองในซุ้มประตูหิน 
 
       จากหน้าอ่าวพันเตมะละกาลึกเข้าไปบนแผ่นดินดูร่มรื่นเป็นระเบียบ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งอุทยานฯ ค่ายพักแรม จุดกางเต็นท์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 และเจ้าพ่อตะรุเตาให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาสักการะ
       
       งานนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล เราเข้าไปกราบไหว้เจ้าพ่อตะรุเตา(ใช้ธูป 9 ดอก)เอาฤกษ์เอาชัยก่อนตะลอนออกเรือเดินทางต่อไปยังสัญลักษณ์ตะรุเตาที่"เกาะไข่" อันทรงเสน่ห์
       
       เกาะไข่ ในอดีตมีเต่าทะเลมาวางไข่เป็นจำนวนมาก เกาะนี้ขาเที่ยวทั้งหลายมองปุ๊บก็รู้ปั๊บว่านี้คือตะรุเตา เพราะบนเกาะโดดเด่นไปด้วยเอกลักษณ์ของประติมากรรมธรรมชาติอย่าง ซุ้มประตูหินที่ยื่นทอดยาวมาจากตัวเกาะโค้งตัวลงบนชายหาด มีช่องขนาดย่อมให้เดินลอด ซึ่งสอดรับกับหาดทรายขาวนวลเนียนและน้ำทะเลเขียวใสสะท้อนแดนวับวาวราวมรกต
       
       ว่ากันว่าใครที่ควงคู่มาเดินลอดซุ้มประตูแห่งนี้ ความรักจะสมหวังยั่งยืน เรื่องนี้ "ตะลอนเที่ยว" ยังไม่เคยลอง เพราะไม่มีสาวคนไหนยอมให้เราเคียงคู่เดินจูงมือลอดซุ้มประตู มีแต่เดินคนเดียวโดดๆเข้าไปในในซุ้มประตูหิน แล้วมองย้อนศรสวนขึ้นไปซึ่งก็ได้รับมุมมองที่แปลกตาน่ายลออกไปจากมุมถ่ายรูปมหาชนหน้าซุ้มประตู ที่“ตะลอนเที่ยว”เห็นนักท่องเที่ยวชายหลายๆคนพอไปถึงเกาะนี้ พวกเขาจะมีท่าถ่ายรูประจำตัว นั่นก็คู่“ยืนกุ้มเป้า”ถ่ายรูปแบบกลัวคนไม่รู้ว่ามาถ่ายรูปคู่กับเกาะไข่

   
ซุ้มประตูหิน เกาะไข่    
 
       จากเกาะไข่เราไปต่อกันที่ "เกาะหินงาม"ที่ไม่มีชายหาดขาวเนียนให้เดินเล่น มีแต่ก้อนหินน้อยใหญ่กลม มน รี แบน สีดำ สีเข้ม จำนวนมากมายมหาศาลให้ยลกัน
       
       ปกติก้อนหินจะดูแข็งกระด้าง แต่น่าแปลกที่บรรดาหินทั้งหลายบนเกาะหินงามกลับดูนวลตา โดยเฉพาะยามถูกคลื่นซัดสาดสะท้อนเงาเป็นประกาย
       
       บนเกาะหินงามนอกจากการสัมผัสกับหินสวยๆงามๆและการนวดเท้าด้วยหินสวยๆงามๆแล้ว การสร้างคอนโดหินหรือการเรียงหินให้ได้ 12 ชั้น ก็นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยม เพราะมีตำนานเล่าต่อๆกันมาว่า ถ้าใครสามารถเรียงก้อนหินต่อกันได้ 12 ก้อน(12 ชั้น)แล้วอธิฐานก็จะสมมาดปรารถนา เรื่องนี้หนึ่งจริงเท็จไม่มีใครพิสูจน์ได้

   
เกาะหินงาม   
 
       เช่นเดียวกับอีกเรื่องหนึ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เช่นกันนั่นก็คือ เรื่องเล่าที่กันว่า หินทุกก้อนที่เกาะหินงามต้องคำสาปของจำพ่อตะรุเตา(รูปเคารพเจ้าพ่อประดิษฐานอยู่ที่ทำการอุทยานฯเกาะตะรุเตา) หากใครนำหินออกไปจากเกาะจะต้องมีอันเป็นไป ดังคำสาปที่ว่า "...ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการจะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด..."
       
       เรื่องนี้แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ใครไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่เป็นดีที่สุด เพราะการที่นักท่องเที่ยวนำหินกลับฝั่งไปเพียงแค่คนละก้อนสองก้อน นานๆเข้าหินย่อมร่อยหรอไปจากเกาะ จนท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นเกาะหินหายงาม เพราะฉะนั้นการที่ท่านเจ้าพ่อตะรุเตาสาปไว้(ถ้าเป็นความจริง)จึงเป็นการช่วยเก็บรักษาก้อนหินให้คงอยู่คู่เกาะหินงามตลอดไป

   
ความเชื่อเรียงหินที่เกาะหินงาม 
 
       เที่ยวเกาะในตะรุเตามาแล้ว 3 เกาะ ยังไม่ได้ลงเล่นน้ำเกลือกลิ้งหาดทรายแบบเต็มๆเลย ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะทบต้นและดอกในจุดต่อไปนั่นก็คือ “เกาะอาดัง-ราวี” ที่น่าสนใจทั้งหาดทรายขาวนุ่ม น้ำทะเลใสแจ๋ว และโลกใต้ทะเลอันงดงาม ที่แม้เพียงแต่ดำน้ำตื้น(snockelling) เราก็อดหลงใหลในความงามของปะการังและหมู่ปลาน้อยใหญ่ของที่นี่ไม่ได้ จนอยากจะเล่นน้ำและนั่งทอดหุ่ยตามชายหาดแช่อยู่แถวนี้ให้นานๆ
       
       แต่พอดีว่าเรามีนัดกับปะการังที่ร่องน้ำจาบังที่ขึ้นชื่อว่าปะการังสวยงามนัก แต่ด้วยความที่คลื่นใต้น้ำแรงมาก งานนี้จึงทำได้แค่เพียงลงไปแย็บๆแตะพื้นน้ำพอเป็นกระษัย แล้วจึงรีบขึ้นมานั่งให้อาหารปลาสวยๆงามที่แหวกว่ายในแถบนั้นแทน

   
มุมเก๋ๆที่เกาะอาดัง-ราวี 
 
       แม้จะพลาดหวังกับร่องน้ำจาบัง แต่ว่า เย็นนี้ที่ "เกาะหลีเป๊ะ" จุดพักค้างกลางคืนนั้น ไม่สร้างความผิดหวังให้กับเราแต่อย่างใด
       
       เกาะหลีเป๊ะ เกาะนี้เรียกตามภาษาถิ่นชาวเล(อูรักลาโว้ย) หมายถึงเกาะที่มีลักษณะแบนราบคล้ายกระดาษ ในขณะที่ฉายาในวงการท่องเที่ยวนั้นยกให้เป็น "มัลดีฟเมืองไทย" เพราะเป็นเกาะที่มีความสวยงามในอันดับต้นๆของเมืองไทย
       
       เกาะหลีเป๊ะ มี"หาดพัทยา 2"(บันดาหยา) หรือหาดหน้าเป็นไฮไลท์ ซึ่งเราเลือกพักในพื้นที่แถบนี้

   
หาดพัทยา 2 เกาะหลีเป๊ะ   
 
       หาดพัทยา 2 ให้บรรยากาศคนละอารมณ์กับหาดพัทยาต้นฉบับที่ชลบุรี เพราะหาดที่นี่ดูสงบไม่พลุกพล่าน มีหาดทรายยาวขาวละเอียด น้ำสวยใส มีเรือจอดเทียบอยู่ประปราย ตลอดแนวชายหาดดูมีชีวิตชีวาด้วยกิจกรรมสารพัดสารพันของนักท่องเที่ยว บ้างดำผุดดำว่ายอยู่ริมชายหาด บ้างนอนอาบแดด บ้างนอนเอกเขนกรับแสงแดด บ้างจูงมือกันเดินกระหนุงกระหนิง บ้างเล่นกีฬา ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล กันอย่างสนุกสนาน
       
       บ่ายวันนั้น"ตะลอนเที่ยว" เพลิดเพลินอยู่ที่หาดพัทยา 2 จนเย็นย่ำ กระทั่งเห็นว่าแดดร่มลมตกดีแล้ว จึงเดินตัดไปหลังเกาะเพื่อรอชมดวงตะวันลาลับท้องทะเล
       
       ระหว่างทางเราเดินผ่านหมู่บ้าน "ชาวอูรักลาโว้ย" ชุมชนดั้งเดิมที่มาอยู่อาศัยบนเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งบ้านเรือนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นบ้านสังกะสีทั้งฝาและหลังคา แต่ก็มีบางบ้านที่ยังคงไว้ซึ่งลักษณะแบบเดิมๆ เป็นบ้านไม้ไผ่หลังคามุงใบไม้ใบหญ้า

   
บ้านเรือนของชาวอูรักลาโว้ย 
 
       ในหมู่บ้านยามเย็น พวกผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งนั่งตั้งวงดื่มกินหลังเลิกงาน ส่วนเด็กๆก็วิ่งเล่นกันตามประสา
       
       พ้นจากหมู่บ้านไปเป็นหาดท้ายเกาะที่มีเรือประมงของชาวอูรักลาโว้ยจอดอยู่เรียงราย จากนั้นเราเดินย้ำเท้าไปบนหาดทรายอีกราวๆ 500 เมตรก็ถึงยังจุดชมอาทิตย์อัสดง ซึ่งวันนั้นดูค่อนข้างโชคดีที่ท้องฟ้าเป็นใจ ทำให้แสงสีของภาพดวงตะวันตกน้ำทะเลป๋อมแป๋มออกมาสวยงาม ทั้งแสงสีของดวงอาทิตย์ ปุยเมฆ และท้องฟ้าสีแดงอมทองอันเรื่อเรืองสอดรับกลับโขดหิน โค้งหาด และผืนแผ่นน้ำเบื้องหน้า นับเป็นความงามที่ธรรมชาติจัดให้ชนิดที่มนุษย์มิอาจกำหนด
       
       หลังแสงสุดท้ายผ่านพ้น รัตติกาลคืบคลานเข้าครอบคลุม เราเดินกลับมาที่หาดพัทยา 2 อีกครั้ง

   
เรือประมงจอดเรียงรายยามเย็นที่หลังเกาะหลีเป๊ะ  
 
       หาดพัทยา 2 ยามนี้ดูคึกคักคึกครื้นไม่น้อย ทั้งแสงสีอันวูบไหวจากรีสอร์ท ร้านอาหาร บาร์เบียร์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่ทยอยผุดขึ้นตามชื่อเสียงของเกาะหลีเป๊ะที่โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ
       
       สวนทางกับทรัพยากรธรรมชาติที่ค่อยๆหดหายไปเรื่อยๆ ซึ่ง ณ วันนี้ การจัดความสมดุลทางการท่องเที่ยวระหว่าง ภาคธุรกิจ-สิ่งก่อสร้าง กับ งานด้านสิ่งแวดล้อม-วิถีวัฒนธรรมชุมชน ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายๆพื้นที่ยังแก้ไม่ตก
       
       สำหรับที่เกาะหลีเป๊ะนั้น คงต้องติดตามดูกันต่อไป...

   
ดำน้ำดูปะการัง 
 
 
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.ละงู จ.สตูล โดยสามารถไปขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือปากบารา ซึ่งมีเรือเดินทางสู่เกาะตะรุเตา และเกาะอาดัง ทุกวัน เวลา 10.00 น. และ 15.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที สำหรับฤดูท่องเที่ยวตะรุเตาเริ่มตั้งแต่เดือนกลางพฤศจิกายนถึงสิ้นเดือนเมษายน โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา โทร. 0-7472-9002-3 ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ 3 (ปากบารา) โทร.0-7478-3485 ททท. สำนักงานตรัง (ตรัง,สตูล) โทร. 0-7521-5867-8

 
***************************************************************************************************************************


ปลากระเบนชุกที่อ่าวสัตหีบ
 

   
       ศูนย์ข่าวสรีราชา - 5 พรานทะเลเสี่ยงโชคทอดสมอข้างเขื่อนกันคลื่น แหลมปู่เจ้า อ่าวสัตหีบ ชลบุรี เกี่ยวเหยื่อหย่อนเบ็ดถึงพื้นทราย เจอฝูงปลากระเบนใหญ่กินเหยื่อรากสายเบ็ดพร้อมกัน 5 สาย เพียงไม่กี่ชั่วโมงได้ปลานับร้อยกิโลกรัม สร้างรายได้งดงาม คำตอบสภาพแวดล้อมและความสมดุลทะเลอ่าวสัตหีบยังสมบูรณ์
       
       เรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อตอนเช้า วันนี้ (24 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับทราบจาก นายแหลม ห้วยใหญ่ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 1 ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่าได้พาเพื่อนนักล่าปลากระเบน และปลาใหญ่ในอ่าวสัตหีบ อีก 4 คน ล่องเรือประมงขนาดเล็กยาว 3 วา 2 ศอก จากอ่าวบางเสร่ สัตหีบ เมื่อเวลาใกล้พระอาทิตย์อัสดงของวันที่ 23 มีนาคม 2552 ผ่านเกาะเป็ด อ่าวโรงเรียนชุมพลทหารเรือ หาดทรายแก้ว อ่าวทุ่งโปรง อ่าวนาวิกโยธินหรือ หาดเตยงาม และผ่านแหลมปู่เจ้า ทางเข้าท่าเทียบเรือรบ หรือท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ พอเลยกระโจมไฟปลาย เขื่อนกันคลื่นได้ตัดสินใจทิ้งสมอเรือทันที เพราะดูทำเลแล้วไม่น่าจะมีหินโสโครก หรือปะการังใต้ทะเล
       
       นายแหลม ห้วยใหญ่ เปิดเผยว่า หลังจากทิ้งสมอเรือเรียบร้อยแล้ว รอจนแน่ใจว่าสมอยึดแน่น จึงได้นำสายเบ็ดออกมา เกี่ยวเหยื่อด้วยปลาสดไว้ที่เบ็ดโยนลงไปในทะเล ในระยะใกล้เคียงกันทั้ง 5 คน ปรากฏว่าสักครู่เดียวเหมือนปลานัดกันกินเหยื่อ ลากสายเบ็ดอย่างรุนแรงต้องเยื่อบ่อนหนักผ่อนเบาให้ปลาอ่อนเพลีย เมื่อลากเข้ามาใกล้เรือพบเป็นปลากระเบนขนาดใหญ่ทั้ง 5 ตัว เมื่อนำขึ้นเรือได้แล้วได้เกี่ยวเหยื่อหย่อนซ้ำที่เดิม เหยื่อตกถึงพื้นได้เพียงไม่นานปลากระเบนก็กินเหยื่อลากสายเบ็ดหนีสุดชีวิต แต่ก็ไปไม่รอดต้องพ่ายแพ้กับสายเบ็ดขนาดใหญ่ เบอร์ 100 นำปลากระเบนขึ้นบนเรือได้ทุกตัว ก่อนฟ้าสางน้ำทะเลหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวทำให้ปลาไม่กินเบ็ดจึงได้พากันเดินทางกลับบ้าน
       
       นายแหลมกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะส่วนมากยากที่จะพบปลากระเบนกินเบ็ดมากอย่างนี้ นี่แสดงถึงสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศในอ่าวสัตหีบยังคงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ ไม่มีเรือประมงใกล้ฝั่งเข้ามารบกวน แหล่งอาหารยังมีมาก ทำให้ปลากระเบนเข้ามาอาศัยจำนวนมากอย่างนี้ บางคืนออกตกไม่ได้สักตัวก็มี และมากสุดที่ตกได้ครั้งและประมาณ 300 กิโลกรัม ขายส่งให้กับพ่อค้ามารับซื้อถึงท่าเทียบเรือ กิโลกรัมละ 30 บาท ในตลาดขายกิโลกรัมละ 60-70 บาท ถ้าเป็นปลากระเบนแร่ย่าง กิโลกรัมละประมาณ 150 บาท และที่แพงที่สุด หารับประทานยากที่สุดก็คือ ปลากระเบนนกเนื้อดำแร่ทำเค็มตกกิโลกรัมละประมาณ 200 บาท แต่ต้องเป็นปลากระเบนนกเนื้อดำ ซึ่งตอนนี้ปลากระเบนเป็นที่นิยมนำไปผัดฉ่า ผัดเผ็ด และย่างผัดพริกแกง


***************************************************************************************************************************


สมาคมประมงฯขอความเป็นธรรมอินโดฯกรณียิงเรือไทยถูกยิง ประสานทัพเรือไทย-มาเลเซียช่วยคุ้มครอง
 
       ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – สมาคมประมงสงขลาขอความเป็นธรรมอินโดนีเซีย หลังเรือขนส่งสินค้าสัตว์น้ำของไทยถูกเรือสัญชาติอินโดนีเซียยิงในเขตน่านน้ำมาเลเซีย ซึ่งจะถูกคุกคามจากเรืออินโดนีเซีย อยู่เป็นประจำโดยพยายามรุกล้ำน่านน้ำมาเลเซียเข้ามาจับกุมเรือประมงไทย และลากเข้าไปในเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย เพื่อเรียกค่าไถ่
       
       วันที่ 24 มี.ค.  นายประพร เอกอุรุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะนายกสมาคมประมงสงขลา เปิดเผยว่า จากกรณีที่เรือ ช.นนทรี 2 ซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าสัตว์น้ำของไทยถูกเรือสัญชาติอินโดนีเซียยิงในเขตน่านน้ำมาเลเซีย ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหาย และลูกเรือบาดเจ็บ 1 คนเหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่าน
       
       ทางสมาคมประมงสงขลาได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังสถานทูตอินโดนีเซีย และสถานกงสุลอินโดนีเซียประจำจังหวัดสงขลา เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับเรือประมงไทยที่ถูกคุกคามในครั้งนี้ เพราะเป็นการทำเกินกว่าเหตุที่สำคัญเรือขนส่งสินค้าสัตว์น้ำของไทยมีใบผ่านแดนของมาเลเซียถูกต้อง
       
       นายประพรกล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ทำหนังสือขอความช่วยเหลือไปยัง พลเรือโท กัมปนาท ภู่เจริญยศ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ให้ประสานทหารเรือ และตำรวจน้ำมาเลเซียที่มีการปฏิบัติการฝึกร่วมทางทะเลไทย-มาเลเซีย ให้ช่วยดูแลเรือประมงไทยที่เข้าไปทำการประมงในเขตน่านน้ำมาเลเซีย ไม่ให้ถูกคุกคามจากเรืออินโดนีเซีย
       
       ทั้งนี้ เนื่องจากเรือประมงไทยที่ไปทำการประมงนอกน่านน้ำ จะถูกคุกคามจากเรืออินโดนีเซีย อยู่เป็นประจำโดยพยายามรุกล้ำน่านน้ำมาเลเซียเข้ามาจับกุมเรือประมงไทย และลากเข้าไปในเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย เพื่อเรียกค่าไถ่

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 26, 2009, 12:58:18 AM »

มติชน


พบ"ปลาโลมาอิรวดี"เกยตื้นสมุทรสาครอีก 9 ตัว

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ชาวบ้านหมู่บ้านชายทะเล บ้านกระซ้าขาว หมู่ 9 ต.บ้านบ่อ อ.เมืองสมุทรสาคร แจ้งว่า พบฝูงปลาโลมาอิรวดี ขนาดใหญ่  9 ตัว ประมาณน้ำหนักตัวกว่า 150 กิโลกรัม ยาวประมาณ 3 เมตร พากันเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่งผิดปกติ จากนั้นได้ติดเลนเกยตื้นเพราะกลับออกไปไม่ได้ ทำให้ต้องช่วยกันใช้เชือกผูกจูงปลาดังกล่าวให้ว่ายออกไปสู่ปากอ่าวทะเล อย่างทุลักทุเลนานนับชั่วโมง และมีบางตัวได้รับบาดเจ็บ

ทั้งนี้ ชาวประมงชายฝั่งกล่าวว่า ชายทะเลกระซ้าขาวเป็นพื้นที่ชายทะเลแนวรอยต่อตำบลบางกระเจ้ากับตำบลโคกขาม มีความอุดมสมบูรณ์หลงเหลืออยู่บ้าง มีฝูงโลมาอิรวดีกว่า 10 ตัว มาเวียนว่ายระหว่าง จ.สมุทรสาคร สมุทรปราการ และ ฉะเชิงเทรา

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 26, 2009, 01:14:19 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ผลักดันอุทยานหิ่งห้อยในศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจันทบุรี

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผลักดันอุทยานหิ่งห้อยในศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจังหวัดจันทบุรี พร้อมขยายเป็นศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนต้นแบบ ภาคตะวันออก

นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงการเตรียมผลักดันอุทยานหิ่งห้อยในศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุ จ.จันทบุรี ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่เที่ยวชมหิ่งห้อยซึ่งมีความสมบูรณ์สวยงามแล้ว ยังตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนผืนใหญ่กว่า 50,000 ไร่ที่มีความสมบูรณ์ของพรรณไม้และทรัพยากรสัตว์น้ำที่หลากหลาย ดังนั้นจะหารือกับท้องถิ่น เพื่อจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวกลางแจ้งที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ อาทิ เส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ การปลูกป่า ขี่จักรยาน และพายเรือแคนู ตลอดจนจัดระเบียบเรือท่องเที่ยวชมหิ่งห้อยให้มีความปลอดภัย เพื่อเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยว

นายสำราญ กล่าวอีกว่า ในส่วนแผนงานระยะยาวได้เตรียมผลักดันให้ศูนย์เรียนรู้ป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุเป็นศูนย์ต้นแบบการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงที่ประสบปัญหาป่าชายเสื่อมโทรมได้มาเรียนรู้และนำไปปรับปรุงแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของตนเองต่อไป ขณะเดียวกันจะสร้างเครือข่ายเยาวชนมาช่วยเฝ้าระวัง และอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลน ตลอดจนมีส่วนร่วมในการวางแผนการใช้ประโยชน์จากพรรณไม้และทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 26, 2009, 01:38:05 AM »

ขอบพระคุณค่ะ พี่จ๋อม พี่น้อย สำหรับข่าวดีๆๆค่ะ


เมื่อคืนก็ดูข่าวการช่วยชีวิตโลมาอิรวดีเหมือนกัน เอาใจช่วยให้เค้าได้กลับคืนสู่ท้องทะเลสีครามค่ะ ในที่สุดก็ช่วยชีวิตได้ค่ะ ดีใจด้วยค่ะ



แต่สงสัยจังค่ะว่าทำไม มักจะมีฝูงปลา เกยตื้น บ่อยๆๆ ค่ะ ระบบท้องทะเล ผิดปกติ หรือเปล่าน๊า  หรือเป็นเพราะเหตุอันใด


    
บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.313 วินาที กับ 21 คำสั่ง