กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 15, 2024, 01:07:04 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2552  (อ่าน 3744 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 12:45:45 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 4 (62/2552) เรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทย

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบนแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนอบอ้าว ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 31 มีนาคม - 1 เมษายน 2552 นี้ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณที่กล่าวมาระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย โดยขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งหรือใต้ต้นไม้สูงเด่น ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งควรงดใช้เครื่องมือสื่อสารหรือวัตถุที่อาจเป็นสื่อนำไฟฟ้าในขณะที่ เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง

สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ลงไปถึงนราธิวาสมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตรในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายในการเดินเรือใช่วงวันที่ 31 มีนาคม - 2 เมษายน 2552 ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่และมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากบริเวณปริมณฑล อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 30 มี.ค. - 2 เม.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมา ปกคลุมทะเลจีนใต้ และประเทศไทยตอนบนอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนผ่านภาคเหนือในช่วงวันที่ 31 มี.ค. - 2 เม.ย. ทำให้บริเวณประเทศไทยมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง และอาจมีลูกเห็บตก ในบางพื้นที่ หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 3-5 เม.ย. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมทะเลจีนใต้ และประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศร้อนขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 31 มี.ค. - 2 เม.ย. ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน



* Forecast2.jpg (39.05 KB, 684x423 - ดู 509 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 31, 2009, 01:21:13 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 12:53:40 AM »

ไทยรัฐ


วิทยาศาสตร์พบสัตว์ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน กุ้งปูหอยเจ็บปวดเป็น                               :                           ข่าววิทยาการ


 
นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยควีนเบลฟาสต์ของไอร์แลนด์ศึกษาพบว่า สัตว์ก็รู้จักเจ็บและกลัวเช่นกันโดยได้พบว่า เมื่อทดลองเอากระแสไฟอ่อนๆ ให้ดูดปูเสฉวน มันแสดงให้เห็นว่ามันเจ็บปวดและรู้จักเข็ด 

ศาสตราจารย์บ็อบ เอลวูด หัวหน้าคณะนักวิจัยได้แจ้งถึงการทดลองว่า ได้โยงสายไฟไปต่อกับปูเสฉวน ซึ่งเป็นปูที่ไม่มีเปลือก ต้องอาศัยอยู่ในเปลือกของปูอื่น เมื่อเดินกระแสไฟอ่อนๆ ปูเสฉวนตัวที่โดนถูกช็อต จะทิ้งบ้านหนี แสดงว่ามันได้รับความเดือดร้อน แม้แต่ตัวอื่นที่ใช้กระแสไฟอ่อน จนมันไม่รู้สึก ถึงมันจะคงอยู่ในเปลือกเก่า แต่มันก็คอยทีอยู่ พอมีโอกาสก็จะผละไปอยู่บ้านใหม่ทันที

อาจารย์บ็อบกล่าวต่อไปว่า “การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ามันรู้จักยอมได้ อย่างเสียอย่าง ยอมสละที่อยู่เก่า เพื่อแห่งใหม่ ในอันที่จะหลีกหนีอันตรายให้พ้น พฤติกรรมแบบนี้ เคยพบแต่ในสัตว์พวกที่มีกระดูกสันหลังเท่านั้น เมื่อมันรู้สึกเจ็บปวด แต่ยังไม่เคยพบในสัตว์พวกที่มีเปลือกแข็งหุ้มตัวเลย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ก็รู้จักเจ็บปวดเช่นกัน”

ผู้เชี่ยวชาญในวงการศาสนา ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า เรื่องนี้จะยังผลให้เกิดกับอุตสาหกรรมอาหาร ที่ต้องคำนึงถึงสวัสดิภาพของสัตว์พวกที่มีเปลือกแข็งหุ้มตัวขึ้นมาบ้างอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นยังจะพลอยทำบรรดาพ่อครัวแม่ครัวตามภัตตาคาร ซึ่งปิ้งย่างพวกสัตว์เหล่านี้เป็นๆ โดยเคยคิดเสียว่าพวกมันเจ็บปวดไม่เป็นมาก่อน อดพลอยสะดุ้งสะเทือนไปด้วยไม่ได้. 


****************************************************************************************************************************


รวบหนุ่มโคราชลักลอบขนปะการังและกัลปังหา


 
ในวันที่ 28 มีนาคม   เวลา 13.00 น.นายเดชา นิลวิเชียร รักษาการหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง พร้อมด้วย พ.ต.ท. ทวี จันทร์พลับ สารวัตรสถานีตำรวจน้ำ 2 กองบังคับการ 9 และกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 10 นาย ร่วมจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบขนปะการัง หลังได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีนักท่องเที่ยวได้ลักลอบเก็บและขนปะการัง ที่บริเวณหัวสะพานหาดยาว ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง

จากการตรวจสอบพบ นายกุ่ย (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) อายุ 55 ปี เป็นชาว จ.นครราชสีมา และเป็นหัวหน้าบริษัททัวร์แห่งหนึ่งในจังหวัดดังกล่าว ได้ถือกล่องลัง จำนวน 3 กล่อง และมีท่าทีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบพบซากปะการัง เปลือกหอย และกัลปังหา ซึ่งบรรจุอยู่ในกล่องลังดังกล่าว จากการสอบถามนายกุ่ย รับสารภาพว่า ซื้อซากปะการัง และกัลปังหาดังกล่าวาวมาจากชาวบ้าน ในพื้นที่เกาะลิบง และเปลือกหอยบางส่วนเก็บมาจากบริเวณชายหาดบนเกาะลิบง โดยตนได้นำคณะทัวร์จากอบ ต.กะชอน อำเภอพิมาย จ.นครสวรรค์ มาศึกษาดูงานที่ อบต.เกาะลิบง ซึ่งปกติตนได้นำคณะทัวร์มาท่องเที่ยวใน จ.ตรัง เป็นประจำแต่ไม่เคยพบของดังกล่าว และไม่ทราบว่า จะผิดกฎหมายจึงได้ขอซื้อจากชาวบ้าน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งข้อกล่าวหาว่า มีความผิดฐานนำออกซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท 

ทั้งนี้นายเดชา กล่าวว่า ขอให้ชาวประมงที่ออกจับปลาโดยวิธีการระเบิด มีจิตสำนึก และให้ระลึกว่า การจับปลาดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่ทำลายพันธ์สัตว์น้ำเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงทรัพยากรธรรมชาติโดยทั่วไป เช่นปะการังได้รับความเสียหายและยังทำให้สัตว์น้ำที่มีอยู่หนีไปถิ่นอื่นอีกด้วย.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 01:05:46 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


"แมงกะพรุนน้ำจืด"สัตว์โบราณในลำน้ำเข็ก


แมงกะพรุนน้ำจืดแหวกว่ายในน้ำ  
 
       ตัวอะไรเอ่ย?... ลำตัวใสคล้ายเจลใส่ผม เหมือนร่มเล็กๆ 2 คันซ้อนกัน ขนาดเท่าเหรียญบาทจนถึงเหรียญห้าบาท มีก้านร่ม 4 อันเป็นรัศมีแต่ละก้านมีถุงขาวๆยื่นออกมาตรงหนวดใสๆอยู่รายรอบ คล้ายหนวดของตัวพารามีเซียม มีขนาดสั้นบ้างยาวบ้าง
       
       ติ๊กต๊อก ๆ คิดกันออกไหม...หากคิดไม่ออกจะเฉลยบอกความเดี๋ยวนี้
       
       คุณสมบัติเหล่านี้คือคุณลักษณะของ “แมงกะพรุนน้ำจืด” (Freshwater Jellyfish) อย่างไรเล่า...
       
       สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า แมงกะพรุนน้ำจืดมีดีอย่างไรนั้น จะขอพาไปทำความรู้จักเดี๋ยวนี้ แมงกะพรุนน้ำจืดนั้นมีความแตกต่างจากแมงกะพรุนทะเล หรือ แมงกะพรุนน้ำเค็มอยู่พอสมควรทีเดียว
       
       เพราะรายงานการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดในโลกนี้มีน้อยมาก จากรายงานการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดระบุว่า มีการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดครั้งแรกในประเทศอังกฤษ ปี พ.ศ. 2423 และหลังจากนั้นมาก็มีการค้นพบในประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น
       
       สำหรับประเทศไทยมีรายงานการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดเป็นประเทศที่ 5 ของโลก ในปี พ.ศ.2504 ที่หมู่บ้านโคกไผ่ ริมลำน้ำโขง ห่างจากอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ประมาณ 38 กิโลเมตร ในช่วงที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงลดลง (มีนาคม-พฤษภาคม) โดยพบว่ามีการกระจายตั้งแต่ปากแม่น้ำเหือง บ้านโคกงิ้ว อ.เชียงคาน จ.เลย ถึงบ้านหนอง อ.สังคม จ.หนองคาย

   
จุดขึ้นเรือที่แก่งบางระจันเพื่อไปชมแมงกะพรุนน้ำจืด
 
 
       สิ่งมีชีวิตตัวน้อย
       
       และต่อเนื่องความสำเร็จ เมื่อได้มีการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กขึ้นอีกครั้ง ที่บริเวณแก่งบางระจัน ต.หนองแม่นา อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ นับว่าเป็นการค้นพบครั้งที่ 6ของโลกก็ว่าได้
       
       สำหรับการค้นพบนี้ เกรียงไกร สมนรินทร์ ประธานกลุ่มคนรักษ์ป่าหนองแม่นา-ทานตะวัน ได้เล่าย้อนให้ฟังว่า เริ่มจากการที่มีชาวบ้านเล่าว่า มีการค้นพบแมงกะพรุนน้ำจืดในลำน้ำเข็กบริเวณแก่งสอง แก่งบางระจัน และแก่งวังน้ำเย็น ต.หนองแม่นา อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ มาเป็นเวลานานแต่ไม่ได้เผยแพร่
       
       “ผมเริ่มพบเมื่อปี พ.ศ.2544 และได้ร่วมกับชาวบ้านพร้อมด้วยหน่วยงานและนักวิชาการเข้าไปศึกษาอย่างจริงจังในปี2545 คนพื้นที่ที่สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษก็คือ อ.ชัยวัฒน์ สัตยาธนวัฒน์ อาจารย์โรงเรียนเทศบาล 3 (ชาญวิทยา) จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่เริ่มศึกษาแมงกะพรุนน้ำจืดกับระบบนิเวศอย่างจริงจัง”ประธานกลุ่มคนรักษ์ป่าหนองแม่นาฯกล่าว

   
เหล่าผีเสื้อหลากสี อีกหนึ่งความงดงามแห่งพงไพร  
 
       ซึ่งทางด้าน อ. ชัยวัฒน์ สัตยาธนวัฒน์ เองก็ได้กล่าวถึงเรื่องของแมงกะพรุนน้ำจืดในแก่งบางระจันให้ฟังว่า สำหรับแมงกะพรุนน้ำจืดที่พบในประเทศไทยนั้น ชื่อสายพันธุ์ คือ Crasapedacusta Sowerbyi
       
       แมงกะพรุนน้ำจืดชนิดนี้ว่ายน้ำได้โดยการกระพือขอบร่มเป็นจังหวะ กินแพลงตอน สัตว์ และไข่อ่อนของยุงเป็นอาหาร เคลื่อนย้ายจากแหล่งน้ำที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้นอกเหนือจากล่องลอยไปตามน้ำแล้ว ยังสามารถอาศัยเกาะติดไปกับนกน้ำ (Waterbirds) ได้ด้วย
       
       โดยลักษณะของแมงกะพรุนน้ำจืดที่พบนี้ เป็นช่วงระยะของวงจรชีวิตที่ตัวเจริญเต็มวัย (Medusa) หลังจากนั้นก็มีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติแล้ว จะเปลี่ยนวงจรเข้าสู่ระยะเตรียมฟักตัวในรุ่นต่อไป การฟักตัวจะอยู่ใต้น้ำและมีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็น แล้วเมื่อโตเต็มไวก็จะปรากฏให้เห็นอีกครั้ง โดยวงจรนี้จะมีระยะเวลาประมาณ 1 ปี

   
อ.ชัยวัฒน์ สัตยานุวัฒน์ ผู้ทำการศึกษาแมงกะพรุนน้ำจืด 
 
       ซึ่งปรากฏว่าแมงกะพรุนน้ำจืดได้ขึ้นมาบนผิวน้ำและสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ใน1ปีจึงจะสามารถพบแมงกะพรุนน้ำจืดได้เพียงช่วง 2 - 3 เดือนเท่านั้น
       
       “แมงกะพรุนน้ำจืด ที่พบในบ้านหนองแม่นา เป็นสายพันธุ์สายน้ำไหลบนภูเขา ซึ่งเป็นสายพันธ์ดึกดำบรรพ์ โดยมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก เป็นแมงกะพรุนที่อาศัยอยู่บนเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,250เมตร แมงกะพรุนชนิดนี้ค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม เปราะบางมาก มีขนาดเล็ก ไม่สำเร็จในการเพาะเลี้ยง อ่อนไหว ตายง่าย หากเอาไปเลี้ยงในตู้ก็อยู่ได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์ “อ.ชัยวัฒน์อธิบาย
       
       ดังนั้น แมงกะพรุนน้ำจืดชนิดนี้ จึงเปรียบเสมือนดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ ของระบบนิเวศน์ในน้ำและระบบนิเวศชายฝั่งได้เป็นอย่างดี อ.ชัยวัฒน์ได้เล่าเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ชาวบ้านปล่อยปละละเลยปล่อยให้ลำน้ำไม่สะอาด แมงกะพรุนน้ำจืดก็จะไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย

   
ลำน้ำที่นี่ใสสะอาดสามารถดื่มน้ำได้ 
 
       ดังนั้นแมงกะพรุนน้ำจืดจึงเป็นตัวบ่งชี้ระบบนิเวศน์ของน้ำได้เป็นอย่างดี ยามที่พายเรือตามหาแมงกะพรุนนั้น หากระหายน้ำก็ลองลิ้มชิมรสน้ำในลำน้ำได้เลยแล้วจะรู้ว่ามันสะอาดเป็นะรรมชาติแค่ไหน
       
       “ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดูแมงกะพรุนน้ำจืด คือ ช่วงเวลาที่มีแสงแดดส่องกระทบกับผิวน้ำจะพบแมงกะพรุนน้ำจืดได้มาก เพราะว่าแมงกะพรุนน้ำจืดจะว่ายขึ้นมารับไอแดด ส่วนวันไหนแดดไม่ออกหรือมีฝนตกวันนั้นจะพบแมงกะพรุนน้ำพรุนน้ำจืดได้น้อย”อ.ชัยวัฒน์กล่าวแนะนำวิธีดูแมงกะพรุน

       
       “แก่งบางระจัน” ที่นี่มีมากกว่าธรรมชาติ
       
       ใช่ว่าที่ แก่งบางระจัน แห่งนี้จะมีแต่แมงกะพรุนน้ำจืดเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีคุณค่าทั้งในแง่ของการเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และมากค่าด้านธรรมชาติอีกด้วย
       
       เกรียงไกร สมนรินทร์ เล่าให้ฟังว่า “แก่งบางระจัน” เป็นชื่อที่ชาวบ้านในชุมชนหนองแม่นา กล่าวขานถึงกลุ่มแก่งหินขนาดใหญ่ที่ทอดยาวขวางกั้นลำน้ำเข็ก บริเวณบ้านหนองแม่นา หมู่ที่6 ต.หนองแม่นา อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พื้นที่ติดต่อกับทุ่งหญ้าและป่าสนของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
       
       “ที่นี่ในอดีตเคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อนเพราะเป็นจุดสู้รบปะทะระหว่างทหารไทยกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.)กว่าจะตีแตกต้องใช้เวลานานจึงขนานนามว่า “แก่งบางระจัน”และเรียกติดปากมาจนทุกวันนี้”เกรียงไกรกล่าว
       
       อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้มาเยือนที่นี่มักจะตื่นตาตื่นใจ พอๆกับการได้มาพบแมงกะพรุนน้ำจืด คือ การได้มาชมผีเสื้อนานาพันธุ์ รวมทั้งพันธุ์สวยงามหายากกว่า 50 ชนิด อาทิ ไกเซอร์ดำ จันทรา เหลืองหนามแฟ้นฉาน เป็นต้น และชมหอยก้นตัด (ภาษาท้องถิ่น) ที่เป็นเอกลักษณ์ที่พบได้แห่งเดียวในลำน้ำเข็กแห่งนี้

   
นั่งเรืออีโปงชมแมงกะพรุนน้ำจืด 
 
       “ด้วยความสมบูรณ์ของที่นี่เราจะใช้ชาวบ้านเป็นผู้จัดการนำเที่ยวในชุมชน เวลาลงเรือตามหาแมงกะพรุนเราก็จะใช้เรืออีโปงของชาวบ้านค่อยๆพายหา ซึ่งชาวบ้านที่พายเรือทุกคนล้วนเป็นมัคคุเทศก์ที่ได้รับการอบรมจากททท.มาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นจึงวางใจเรื่องข้อมูลได้และในหมู่บ้านเรายังมีที่พักโฮมสเตย์ ไว้รองรับสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวหนองแม่นาอีกด้วย”เกรียงไกรกล่าวทิ้งท้าย
       
       หากอยากเห็นแมงกะพรุนน้ำจืดสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ตัวเป็นๆและชมเหล่าผีเสื้อหลากสี สัมผัสกับน้ำใจและวิถีชุมชนของชาวหนองแม่นาอย่างใกล้ชิด ก็แวะเวียนมาเยี่ยมได้ เพราะช่วงนี้เป็นฤดูกาลที่เหมาะสมที่จะได้เห็นทุกอย่างด้วยตาคุณเอง.
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       ผู้สนใจชม “แมงกะพรุนน้ำจืด” สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ชมรมคนรักษ์ป่าหนองแม่นา-ทานตะวัน โทร.08-1046-2166,08-6214-6510 หรือที่ ททท.สำนักงานภาคเหนือเขต 3 โทร.0-5525-2742-3

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 01:10:01 AM »

มติชน


นำแนวพระราชดำริ"ป่าเปียก" แก้"หมอกควัน-ไฟป่า"ยั่งยืน


 
น้อมนำแนวพระราชดำริ"ป่าเปียก" กรมป่าไม้ใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันและไฟป่า เสนอให้ ครม.เห็นชอบสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานเพื่อของบประมาณเพื่อดำเนินการ มั่นใจจะแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าปีได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ทางกรมป่าไม้จะจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าตามแนวพระราชดำริป่าเปียก ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยใช้ความชุ่มชื้นให้ป่าเขียวตลอดเวลา จะสามารถป้องกันไฟป่าได้ ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้เมื่อมีไฟป่าเกิดขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคำนึงถึงการแก้ปัญหาด้วยการระดมสรรพกำลังกันดับไฟป่าให้มอดดับอย่างรวดเร็วเท่านั้น ซึ่งเห็นว่าไม่น่าจะเป็นแนว ทางป้องกันไฟป่าได้สำเร็จและยั่งยืนในระยะยาว

ส่วนแนวดำเนินการตามพระราชดำริป่าเปียกมี 6 วิธีด้วยกัน คือ 1.ทำระบบป้องกันไฟไหม้ป่า โดยใช้แนวคลองส่งน้ำและแนวพืชชนิดต่างๆ ปลูกตามแนวคลองนั้น 2.สร้างระบบการควบคุมไฟป่าด้วยแนวป้องกันไฟ ป่าเปียก โดยอาศัยน้ำชลประทานและน้ำฝน 3.การปลูกต้นไม้โตเร็วคลุมแนวร่องน้ำ เพื่อให้ความชุ่มชื้นค่อยๆ ทวีขึ้นและแผ่ขยายออกไปทั้งสองข้างของร่องน้ำ ซึ่งจะทำให้ต้นไม้งอกงามและมีส่วนช่วยป้องกันไฟป่า เพราะไฟป่าจะเกิดขึ้นง่ายหากป่าขาดความชุ่มชื้น
 


4.การสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น หรือที่เรียกว่า "Check Dam" ขึ้น เพื่อปิดกั้นร่องน้ำหรือลำธารขนาดเล็กเป็นระยะๆ เพื่อใช้เก็บกักน้ำและตะกอนดินไว้บางส่วน โดยน้ำที่เก็บไว้จะซึมเข้าไปสะสมในดิน ทำให้ความชุ่มชื้นแผ่ขยายเข้าไปทั้งสองด้านกลายเป็น "ป่าเปียก" 5.การสูบน้ำเข้าไปในระดับที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วปล่อยน้ำลงมาทีละน้อยให้ค่อยๆ ไหลซึมลงดิน เพื่อช่วยเสริมการปลูกป่าบนพื้นที่สูงในรูป "ภูเขาป่า" ให้กลายเป็น "ป่าเปียก" ซึ่งสามารถป้องกันไฟป่าได้อีกด้วย และ 6.ปลูกต้นกล้วยในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นช่องว่างของป่า ประมาณ 2 เมตร หากเกิดไฟไหม้ป่าก็จะปะทะต้นกล้วยซึ่งอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าพืชอื่น ทำให้ลดการสูญเสียน้ำลงไปได้มาก

"กรมป่าไม้เชื่อว่าการดำเนินการและวิธีการตาม พระราชดำริป่าเปียกแล้วจะสามารถป้องกันไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริป่าเปียก มาแก้ปัญหาไฟป่า โดยจะจัดทำแผนงานโครงการต่างตามแนวทางและวิธีการที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ป่า เพื่อของบประมาณดำเนินการต่อไป" นายสมชัยกล่าว

ด้านนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่ ทส.เสนอแผนการดำเนินงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยให้ดำเนินการขยายผลแนวพระราชดำริ "ป่าเปียก (Wet Fire Break)" ซึ่งเป็นแนวทางการอนุรักษ์ป่าไม้ โดยใช้ความชุ่มชื้นให้ป่าเขียวตลอดเวลา ก็จะสามารถป้องกันไฟป่าได้

นอกจากนี้ตามมติ ครม.ยังให้ความเห็นชอบให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าปี 2551-2554 เพื่อสามารถดำเนินงานควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจัดสรรงบประมาณให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ ขยายผลแนวพระราชดำริป่าเปียกต่อไป

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 01:17:33 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


พบอีกสร้างรีสอร์ทในอุทยานเขาหลักพังงา



ชาวบ้านแฉพบอาคารคอนกรีตในอุทยานเขาหลัก-ลำรู่ ด้านทรัพยากรฯ รับจะไปตรวจสอบ โวพบผิดต้องดำเนินการแน่ ขณะที่ปฎิรูปที่ดินฯ ย้ำอยู่นอกเขตแจ้งแล้ว

จากการที่มีชาวบ้านออกมาโวยกรณีมีผู้บุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ จ.พังงา เข้าไปสร้างบ้านพัก และเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพังงากำลังอยู่ระหว่างการตรวจข้อเท็จจริง และรายละเอียดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ล่าสุด ชาวบ้านแจ้งเบาะแสมาอีกว่า ที่เชิงเขาหลัก ซึ่งเป็นที่ลาดชันกว่า 70 องศา อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเทือกเขาหลัก ติดถนนเพชรเกษมประมาณ 100 เมตร พบที่ดังกล่าวกำลังก่อสร้างอาคารคอนกรีตบ้านพัก 3-4 หลัง ซึ่งคาดว่า น่าจะเป็นรีสอร์ทไว้บริการนักท่องเที่ยว จึงอยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบด้วย

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเรื่องดังกล่าวนี้ไปยัง นายสมาน สะแต ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพังงา นายสมาน ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่ดังกล่าวแล้วและคงจะสรุปผลได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้ (31มี.ค.)

ซึ่งถ้าการก่อสร้างอาคารในพื้นที่ป่าจริง ทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพังงา ก็จะดำเนินการเอาผิดกับผู้บุกรุกทุกรายไป แต่ขณะนี้ขอเวลาตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน เพราะที่ดังกล่าวนั้นมีข้อมูลในเบื้องต้นว่าเป็นที่ในความดูแลของสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดพังงา

นายประพันธ์ จันทร์สวัสด์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดพังงา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในเรื่องเดียวกันว่า ที่ดังกล่าวนี้เมื่อสมัยผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาคนก่อน(นายวิชัย ไพรสงบ) เคยสอบถามข้อมูลมายังตนว่า ปล่อยให้มีการก่อสร้างบ้านพักเชิงพานิชในเขตปฏิรูปที่ดินได้อย่างไร ซึ่งหลังจากตนเองลงพื้นที่ตรวจสอบปรากฏว่าที่ดังกล่าวนั้นอยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งก็อยู่ในอำนาจของทางป่าไม้

นายอนิวรรตน์ พงศ์วิศิษฐ์กุล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลคึกคัก กล่าวว่า การก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าวนั้นเบื้องต้นพบว่ายังไม่มีการขออนุญาตจากองค์การบริหารส่วนตำบลแต่อย่างใด ทางองค์การบริหารส่วนตำบล เคยเข้าไปตรวจสอบแล้ว แต่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ต้องให้ทางป่าไม้ดำเนินการในส่วนของการบุกรุกป่าเสียก่อน และทำเรื่องมายังองค์การบริหารส่วนตำบลให้เข้าไปตรวจสอบการสร้างอาคาร

แต่ในเบื้องต้นนี้ป่าไม่ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ยังไม่ดำเนินการใดออกมาทางองค์การบริหารส่วนตำบลคึกคัก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หากป่าไม้ดำเนินคดีแล้ว ทางเราจึงเข้าไปตรวจสอบย้อนหลังได้ ตอนนี้อยู่ที่เจ้าของพื้นที่ว่าจะเอาอย่างไร

แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งในพื้นที่ตำบลคึกคัก กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ที่ก่อสร้างดังกล่าวที่เห็นสร้างกันสูงๆนั้นเท่าที่ทราบเป็นเขตป่าสงวนอย่างแน่นอน แต่จะเป็นป่าแบบไหนนั้นไม่แน่ชัด ซึ่งตนเองอายุย่างจะเข้า 60 ปี แล้วเกิดที่นี่ทราบข้อมูลดี

"ทุกวันนี้พบว่ามีนายทุนมากว้านซื้อที่ดินต่อจากชาวบ้านที่เป็นป่าสงวนริมถนนเพชร หรือลึกเข้าไปด้านในแบบเหมายกแปลงกันเลย ซึ่งราคาก็ตั้งแต่ 10 ล้านขึ้นไป เคยเห็นมีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบหน่วยมาตรวจสอบแล้วก็เงียบหายไปจนชาวบ้านเขาซุบซิบกันว่าน่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ลึกๆในทำนองผลประโยชน์ " แหล่งข่าวระบุ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 01:23:20 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด จัดโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการัง

อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จัดโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการัง ฟื้นฟูระบบนิเวศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว

ในวันที่ 28 มีนาคม 2552    นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานเปิดโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการัง ที่ท่าเรือสีวิกา อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยร่วมปลูกปะการังลงแปลง เพื่อนำไปปลูกที่ท่าเรือเขาแหลมหญ้า- หมู่เกาะเสม็ด อ่าวพร้าว เกาะกุฎี เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูปะการัง อีกทั้งปล่อยเต่าลงทะเล เพื่อขยายพันธ์ ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง โดยมี ภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น ประชาชน ร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

นายสิทธิชัย เสรีสงแสง หัวหน้าอุทยานเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่มีชื่อเสียงในด้านความสวยงามตามธรรมชาติ มีหาดทรายที่ขาวสะอาด น้ำทะเลใส มีปะการังที่สวยงาม แต่ในปัจจุบัน พบว่า การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลที่มากเกินไป ส่งผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของปะการังค่อนข้างมาก ทั้งการเก็บหาปะการังไปขาย การทำการประมงในเขตปะการัง การเหยียบย่ำแนวปะการังของนักท่องเที่ยว การทิ้งขยะ น้ำเสียจากชุมชน และ กระแสน้ำที่แรงพัดพาทรายมาทับถม ดังนั้น เพื่อฟื้นฟูปะการัง และเพิ่มจำนวนปะการังให้มีความสมบูรณ์ จึงได้จัดโครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูปะการังในอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า – หมู่เกาะเสม็ด ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในเขตอุทยานแห่งชาติ ทั้งสร้างเครือข่าย การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้มีความยั่งยืนตลอดไป

ทั้งนี้ อุทยาน ฯ ได้จัดกิจกรรม ติดตั้งทุ่นแนวเขตปะการัง ดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเล เพื่อให้ทะเลสะอาด เกิดความสวยงามของท้องทะเล ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอุทยานมากขึ้น ส่งผลให้อุทยาน ฯ มีเงินรายได้ที่สูงขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นจังหวัดระยองอีกด้วย

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« ตอบ #6 เมื่อ: มีนาคม 31, 2009, 06:22:13 AM »

เนชั่น
พบโลมาเฟรเซอร์ติดเลนในทะเลปลายแหลมสะพานหิน

11:43 น.

ที่บริเวณทะเลปลายแหลมสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านซึ่งไปเก็บหอยบริเวณทะเลปลายแหลมสะพานหิน ว่า พบโลมาขนาดความยาวประมาณ 2 เมตร ติดอยู่กับเลนในทะเลเนื่องจากเป็นช่วงน้ำลดห่างจากแนวชายฝั่งไปประมาณ 5 เมตร และยังมีชีวิตอยู่

จากนั้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมได้เข้าทำการช่วยเหลือ โดยนำโลมาลงไปยังน้ำลึกและช่วยพยุงตัวไว้ พร้อมกันนี้ยังได้แจ้งและรอเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน มารับโลมาตัวดังกล่าวกลับไปปฐมพยาบาล เนื่องจากเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย โดยมีชาวบ้านที่ทราบข่าวเดินทางมามุงดูจำนวนมาก

หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ประกอบด้วยนายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ นักวิชาการประมงประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก พร้อมด้วย น.ส.พ.สนธยา มานะวัฒนา นายสัตวแพทย์ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน และเจ้าหน้าที่เดินทางไปยังจุดที่พบโลมา ซึ่งเบื้องต้นสัตวแพทย์ได้ให้ยากันช็อกจำนวน 1 เข็ม และนำกลับไปปฐมพยาบาลที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน

นายก้องเกียรติ กล่าวว่า สำหรับโลมาที่พบเป็นโลมาพันธุ์ “ เฟรเซอร์ ” เป็นพันธุ์ที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนักเนื่องจากอาศัยอยู่ในทะเลลึก โดยที่ผ่านมาพบขึ้นโลมาพันธุ์นี้ขึ้นมาแล้ว 2 ตัว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์พบที่จังหวัดสตูล ล่าสุดคือที่จังหวัดภูเก็ตและยังมีชีวิตอยู่

ขณะที่น.ส.พ.สนธยา กล่าวว่า สำหรับโลมาตัวดังกล่าวเป็นเพศเมีย ดูจากภายนอกพบว่าสภาพร่างกายยังสมบูรณ์ ส่วนบาดแผลที่พบก็ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่มีสภาพอ่อนเพลียจึงต้องให้ยากันช็อก และจะต้องรอดูอาการก่อนสักระยะ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีอาการป่วยภายในหรือไม่
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.145 วินาที กับ 21 คำสั่ง