กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 14, 2024, 10:16:33 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 20 กันยายน 2551  (อ่าน 4154 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 12:41:25 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เช่นบริเวณจังหวัด น่าน สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ นครสวรรค์ สระบุรี ลพบุรี นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยระมัดระวังอันตรายภัยจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดซ้ำได้ในระยะนี้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง  อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 33 องศา  ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 20-21 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองสูงประมาณ 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 22-26 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกและมีกำลังแรงขึ้น ประกอบมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 20-24 ก.ย. ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณพื้นที่ลาดใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากซ้ำได้อีก สำหรับชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือขณะที่มีฟ้าคะนองไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (40.83 KB, 693x430 - ดู 494 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 12:48:29 AM »

ไทยรัฐ


บางพัฒน์ ชุมชนประมงดีเด่น คืนปูไข่ให้กับธรรมชาติ     

        ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงมีหน้า- ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ โดยให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ให้เกิดความรู้สึก-เป็นเจ้าของทรัพยากรประมงอย่างแท้จริง และเมื่อเกิดความเข้มแข็งสามารถบริหาร-จัดการทรัพยากรได้ด้วยตัวเอง.กรมฯ จะถอนตัวมาเป็นพี่เลี้ยง คอยให้คำปรึกษาแนะนำ-และชี้แนะในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้ยั่งยืนได้ตลอดไป ชุมชนชาวประมงบ้านบางพัฒน์ หมู่ที่ 8 ตำบลบางเตย อำเภอเมือง - จังหวัดพังงา เป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จ จนได้รับรางวัล ชุมชนต้นแบบดีเด่น อันดับที่ 1 ซึ่งจะรับโล่รางวัลในงาน ครบรอบ 82 ปี วันสถาปนากรมประมง ณ บางเขน กทม.....วันที่ 21 กันยายนนี้

นางกัญยา ก้าหรีมการ ผู้ใหญ่บ้านบางพัฒน์ กับ นางสุกัญญา วาหะรักษ์ ผู้ช่วยฯบอกว่า ชุมชนประมงบ้านบางพัฒน์ แห่งนี้ มีพื้นที่-ประมาณ 300 ไร่ จุดเด่นของชุมชนมี ป่า ชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นแหล่ง- เพาะพันธุ์ และผลิตอาหารทะเล สมาชิกในกลุ่มจำนวน 70 ครัวเรือน ประกอบอาชีพ-ประมงอวนปูม้าจำนวน 60 ราย อีกส่วนหนึ่งดำรงชีพด้วยการทำโฮมสเตย์ และเมื่อปี พ.ศ.2544 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมชุมชนแห่งนี้ พร้อม- มีพระราชกระแสรับสั่งให้ช่วยกันดูแลป่าชายเลนและอนุรักษ์สัตว์น้ำ จึงได้จัดกิจกรรม โครงการคืนปูไข่สู่ธรรมชาติขึ้นตามพระราชดำริ โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อสมาชิกวางอวน-จับปูที่มีไข่จะไม่ขาย ให้นำใส่ในกระชังขนาด 1,500 ตารางเมตรเป็น พื้นที่อนุรักษ์ 15 วัน เพื่อ ให้แม่ปูสลัดไข่ออกจนหมดสิ้นจึงค่อยนำจำหน่าย ส่วนลูกปูก็จะอยู่ใน-อาณาเขตการอนุรักษ์และควบคุมกำหนดให้ตาข่ายมีขนาดตากว้าง 4 นิ้วขึ้นไป เพื่อให้-ปูเล็กๆได้มีชีวิตอยู่รอด ทุกวันนี้จะจับปูได้อย่างน้อยคนละ 10-20 กก./วัน มีรายได้- วันละ 1,000-2,000 บาท เพียงพอต่อการดำรงชีพ ไม่ต้องทิ้งถิ่นไปขายแรงงานอีก

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 01:03:12 AM »

มติชน


ควันไฟป่าจากอินโดฯ ปกคลุมภาคใต้

เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดหมอกควันจางๆ ปกคลุมหลายพื้นที่ใน จ.สงขลา โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ และ อ.เมืองสงขลา ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นลดต่ำลงไป 

นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ กล่าวว่า จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศ คาดว่ามีไฟไหม้ป่าบริเวณตอนล่างของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ประกอบกับระยะนี้ยังคงมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมพื้นที่ภาคใต้ ทำให้พัดควันไฟป่าเข้ามาปกคลุมในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม หากมีฝนตกลงมาจะสามารถชะล้างความหนาแน่นของควันลงไปได้ หลังจากกลางเดือนตุลาคมผ่านพ้นไปแล้ว ลมมรสุมประจำภาคใต้จะเปลี่ยนจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เป็นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ปัญหาควันไฟป่าในปีนี้ยุติลงไป


*****************************************************************************************************************************


หอยหวาน หวานปาก...ชาวต่างชาติ                                    :                                    คอลัมน์ ทางเลือกทางรอด



ในหมู่คนชอบหอย "หอยหวาน" เป็นของโปรดของนักเปิบเพราะรสชาติของมันถูกปากผู้คนยิ่งนัก ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "หวาน" ยิ่งถ้าเป็นหอยสดๆ แล้วนำมาลวกจิ้ม โอ้โห...อร่อยอย่าบอกใคร แต่ถ้าเป็นคนไม่ค่อยมีสตางค์การจะกินหอยหวานก็เป็นเรื่องหนักหนาอยู่ เพราะหอยใหญ่ราคาต่อกิโลกรัม (กก.) ขึ้นหลักร้อย

ด้วยราคาที่จูงใจอย่างนี้นี่เอง จึงเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้คนหันมาสนใจทำฟาร์มหอยหวานกันมากขึ้น อย่างเช่นคุณวัฒนศักดิ์ บุญมหานาค ชาว กทม. ซึ่งตัดสินใจเลิกอาชีพไก๊ด์ภาษาจีน หันมาทำฟาร์มเลี้ยงหอยหวาน ชื่อ "ฟาร์มเพชรรุ่งเรือง" อยู่ที่หาดเจ้าสำราญ จ.เพชรบุรี โดยเลี้ยงมา 3 ปีแล้ว

เขาก็เหมือนคนรุ่นใหม่ทั่วไปที่มักหาข้อมูลต่างๆ จากอินเตอร์เน็ต และเมื่อสอบถามจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องจนได้ความว่าเจ้าหอยหวานนี่แหละคือสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าสนใจ จึงเริ่มเช่าที่ริมทะเล 5 ไร่ ลงทุนก่อสร้างบ่อระบบปิดใช้ผ้าใบปูพื้น แทนที่จะทำเป็นบ่อปูน หมดเงินไปประมาณ 5 ล้านบาท

คุณวัฒนศักดิ์เล่าว่า เมื่อก่อนซื้อสายพันธุ์ตัวละ 60 สตางค์ เดี๋ยวนี้ตัวละ 30 สตางค์ โดยซื้อหลายแห่งทั้งที่เพชรบุรี ทับสะแก และระยองบ้าง ส่วนอาหารใช้ปลาเหยื่อที่ใช้เลี้ยงปลากะพง ปลาเก๋าทั่วไป นำมาบั้งก่อนโยนลงไปในบ่อแล้วเก็บซากปลาขึ้นมา

สำหรับการเลี้ยงหอยหวานในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ใช้เวลาเลี้ยงอย่างน้อย 5-7 เดือน จึงจะเก็บได้แต่ต้องเป็นหอยที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ตกขนาดประมาณ 120-150 ตัวต่อ กก.ที่ใช้เลี้ยงต้องเป็นน้ำเค็ม น้ำกร่อยเลี้ยงไม่ได้
 


ทั้งนี้ ในการกินหอยหวานของคนไทยมักจะชอบกินหอยหวานตามธรรมชาติ ซึ่งหาได้น้อยลงทุกวันๆ และชอบกินตัวใหญ่ เมื่อเลี้ยงในฟาร์มต้องใช้เวลาเลี้ยงนานเป็นปี และถ้าเลย 5 เดือนไปแล้ว หอยหวานจะโตช้ามาก เสียค่าใช้จ่ายอีกเยอะ เกษตรกรไทยไม่สามารถเลี้ยงได้นานขนาดนั้น จึงต้องเลี้ยงแค่ 5 เดือน แล้วจับส่งขายจีนผ่านเอเย่นต์ ซึ่งการที่ชาวจีนนิยมกินหอยหวานเพราะมีความเชื่อว่ามีสารช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศให้สมดุลแข็งแรง แต่การขายให้จีนราคาก็ขึ้นๆ ลงๆ เพราะต้องดูการส่งขายหอยหวานของเวียดนาม ที่ถือเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดเป็นหลัก บางครั้งราคาตกเหลือเพียง กก.ละ 150 บาท จากที่เคยขายได้ กก.ละ 400 บาท อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยแล้วขายได้ กก.ละ 200-300 บาท

คุณวัฒนศักดิ์ยืนยันว่า 3 ปีที่เลี้ยงมากระบวนการเลี้ยงการเพาะไม่ยาก โรคของหอยคือหลอดอาหารบวมแต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สามารถรับมือได้ สิ่งที่ยากที่สุดคือการตลาด เพราะเกษตรกรไม่สามารถควบคุมได้ ต้องปล่อยไปตามยถากรรม เป็นไปตามการแปรผันของการตลาด

"อย่างผมมีอยู่ตันหนึ่ง 800 กก.ขาย กก.ละ 250 บาท อีก 100 กก. ขาย 280 บาทอีก 100 กก.ได้ขาย 300 บาท เหมือนพ่อค้าจะรู้แล้วกดราคา เมื่อ 2 ปีก่อนเราจะรู้ช่วงเทศกาล เช่น ตรุษจีน ไหว้พระจันทร์ วันชาติจีน หอยหวานค่อนข้างราคาดีแต่ตอนนี้สถิตินั้นดูไม่ได้ สิ่งที่เราต้องดูคือว่าช่วงไหนที่เวียดนามส่งออกน้อยที่สุด ช่วงนั้นราคาจะดี ชะตาชีวิตเราขึ้นอยู่กับเขา ถ้ามรสุมลงประเทศเขาเราก็ได้ราคาดี"

เมื่อถามถึงคุณภาพหอยของเวียดนามเปรียบเทียบกับของไทย คุณวัฒนศักดิ์ตอบอย่างมั่นใจว่า พอๆ กัน แต่ของไทยจะได้เปรียบตรงความสดเพราะส่งทางเครื่องบิน ขณะที่เวียดนามส่งไปทางสิบล้อ ซึ่งจะทำให้หอยตายระหว่างทาง แต่สิ่งที่เวียดนามได้เปรียบคือต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งที่ถูกกว่า ทำให้ขายได้ในราคาต่ำกว่า ที่สำคัญรัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุนเต็มที่ โดยรวมแล้วต้นทุนต่อหอย 1 กก. ไม่น่าเกิน 100 บาท

การพึ่งตลาดต่างประเทศเป็นหลักทำให้การทำฟาร์มหอยหวานไม่ค่อยราบรื่นนัก เหมือนอย่างที่คุณวัฒนศักดิ์เปรียบว่า "เหมือนขี่เรือกลางทะเล เราไม่รู้ว่าลมที่มาจะช่วยเราจะไปถึงฝั่งหรือทำให้เรือล่มได้"

สิ่งที่เกษตรกรไทยต้องการคือ การเปิดตลาดในเมืองไทยให้กว้างขวางกว่านี้ เพราะมั่นใจว่าถ้าใครได้ลิ้มรสหอยหวาน ร้อยทั้งร้อยต้องติดใจ แต่ปัจจุบันคนไทยยังรู้จักไม่เยอะ เห็นได้จากเมนูหอยหวานที่มีแค่อย่างสองอย่าง

ปัจจุบันพูดได้ว่า กลุ่มของคุณวัฒนศักดิ์ คือฟาร์มเพชรรุ่งเรือง เพชรสุวรรณ และเพชรกาญจนา เป็นกลุ่มที่เลี้ยงหอยหวานมากที่สุด มีผลผลิตรวมกัน 60% ของทั้งประเทศ แต่ถ้าเทียบกับของเวียดนามยังไม่ถึง 10%

คุณวัฒนศักดิ์ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเข้ามาเลี้ยงหอยหวานว่า "ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีที่สุด อย่าคิดว่าจะขายเข้าสู่ตลาดแล้ว กก.ละ 300 บาทตลอด อย่ามองแค่ปลายทาง ต้องมองตั้งแต่ต้นทางด้วย ถ้าคิดจะมาเลี้ยงเราจะเป็นที่ปรึกษาให้ สำหรับวงเงินที่ใช้ในการลงทุนมีสัก 2-3 แสนบาทก็ได้ แต่ต้องมีสถานที่เลี้ยงติดทะเล ความเค็มของน้ำทะเลจะต้องนิ่งตลอดทั้งปี"

สนใจการเลี้ยงหอยหวานหรืออยากจะซื้อขาย ติดต่อคุณวัฒนศักดิ์ ได้ที่ 08-6335-5475


ดร.นินนาท ชัยธนาวิสุทธิ์  สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ

จากการวิจัยพบว่า หอยหวานมีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับปลาหรือกุ้งคือมีประมาณ 20% คอเลสเตอรอลต่ำ ไขมันต่ำ แต่มีกรดอะมิโนสูงมาก ซึ่งทำให้หวานแล้วเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

หอยชนิดนี้อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักกัน หอยที่เลี้ยงหรือจับกันเกือบทั้งหมดถูกส่งไปจีน ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น นั่นคือตลาดหลัก ส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยน้อยมาก แต่คนไทยชั้นกลางจะรู้จัก ราคาในร้านตกกิโลละ 500 บาท แต่มีข้อจำกัดที่ว่าในร้านอาหารจะมีเมนูแต่หอยหวานเผาและลวก ไม่หลากหลาย

ในประเทศจีนจะมีหลายเมนูมาก เช่น หอยหวานน้ำแดง ติ่มซำ ที่จีนถ้าอยู่ในร้านราคาประมาณกิโลละหนึ่งพันบาท

ถ้าสนใจจะเลี้ยงเรามีข้อมูลเรื่องของการทำฟาร์ม ตอนนี้กำลังพัฒนาเทคนิคเลี้ยงใหม่เพื่อให้ต้นทุนต่ำลงคือการเลี้ยงในบ่อดิน โดยเอาบ่อกุ้งกุลาดำที่เลิกเลี้ยงแล้วมาใช้งาน ไม่ต้องไปสร้างโรงเรือน สร้างบ่อ สร้างระบบน้ำ ระบบไฟให้ยุ่งยาก เอาหอยหวานไปปล่อยไปเลี้ยงก็มีรายได้เกิดขึ้น

การเลี้ยงหอยหวานใช้เวลาประมาณ 5 เดือนไม่มีความเสี่ยงเพราะอัตราการรอด 90-95% ไม่มีปัญหาเรื่องโรค ถ้าไม่เลี้ยงจนแน่นเกินไปและมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำทะเล แต่ปัญหาที่ต้องแก้คือเรื่องของตลาด

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 01:05:55 AM »

ข่าวสด


ตะลึงกระเบนยักษ์โผล่ติดเบ็ดตาย 



เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากชาวบ้านแตกตื่นกับปลากระเบนยักษ์ที่อยู่ในแม่น้ำปิง บริเวณหมู่บ้านเกาะตาเทพ ม.7 ต.บางม่วง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มานานหลายวัน พร้อมใช้ทุ่นเบ็ดดักปลาเกี่ยวติดปลากระเบนยักษ์ กระทั่งเวลา 15.00 น. นายสม ทองไพบูลย์ อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 527/1 ม.7 ต.บางม่วง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ และชาวบ้านได้้ทุ่นเบ็ดดักปลากระเบนยักษ์ โดยใช้หม้อแบตเตอรี่ชอร์ตจนปลากระเบนสลบ จึงสามารถลากขึ้นฝั่งมาได้ โดยมีชาวบ้านนับร้อยคนแห่ไปดูจนแน่นขนัด

สำหรับปลากระเบนยักษ์ที่จับมาได้นี้ เป็นเพศผู้ น้ำหนักกว่า 200 ก.ก. ลำตัวกว้าง 2.05 เมตร ยาว 4.28 เมตร มีบาดแผลบริเวณปาก ที่ลำตัวมีเลือดไหลนองพื้น และที่รอยหางหักจนเห็นกระดูก ที่บริเวณปากยังมีเบ็ดขนาด 2.5 นิ้วติดอยู่

จากนั้นชาวบ้านกว่าสิบคนพยายามช่วยกันลากปลากระเบนยักษ์ขึ้นจากแม่น้ำปิงมาไว้บนถนนโกสีย์เหนือ แต่เนื่องจากปลากระเบนตัวดังกล่าวมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก จึงไม่สามารถลากขึ้นมาบนถนนได้ นายสมและชาวบ้านละแวกใกล้เคียงจึงช่วยกันยกปลากระเบนยักษ์ขึ้นเรือ เพื่อจะนำขึ้นบนถนน แต่ปลาตายก่อน จึงนำไปขายให้กับแม่ค้าปลาในตลาดสดเทศบาลนครนครสวรรค์ ราคาก.ก.ละ 30 บาท แต่แม่ค้าไม่รับซื้อ จึงนำกลับมาแล่เนื้อ แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านนำไปทำอาหารกิน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 01:11:28 AM »

คม ชัด ลึก


เรียนรู้รักษ์โลกที่เกาะมันใน                       :                     ไลฟ์สไตล์
 


จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้ว สำหรับโครงการ “สัปดาห์ฟอร์ดห่วงใยโลก” ซึ่งเหล่าพนักงานอาสาสมัครจากทั่วโลกกว่า 8,000 คน ของบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปะนีผู้ผลิตรถยนต์

พร้อมใจกันแสดงพลังแห่งความห่วงใยสังคมในเขตชุมชนของตนเองถึง 175 โครงการ โดยยึดปณิธานความมุ่งมั่นจะเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่กว่าเดิม

 สำหรับประเทศไทย อดิศักดิ์ หวังพงษ์สวัสดิ์ รองประธานฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจผู้จำหน่าย ฟอร์ด ประเทศไทย ได้นำพนักงานอาสาสมัครของฟอร์ด ออโต้อัลลายแอนซ์ และผู้จำหน่ายฟอร์ด ระยองกว่า 40 ชีวิต ร่วมกิจกรรม "ฟอร์ดอาสาสร้างแคมป์เฮ้าส์ส่งเสริมการศึกษาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งเกาะมันใน" ณ สถานีอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เกาะมันใน จ.ระยอง ในการสร้างแคมป์เฮ้าส์ เพื่อเป็นที่พักสำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่มาเข้าค่ายเรียนรู้ทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งฯ บนเกาะ และยังร่วมกันปลูกป่าชายเลน จัดป้ายบอกทาง เก็บขยะ ทำความสะอาดบ่ออนุบาลเต่าทะเล



 “เป็นที่ทราบดีว่า ปัจจุบันเต่าทะเลลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ทั้งเกิดจากธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า ฟอร์ดจึงเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการอนุบาลและแพร่พันธุ์เต่าทะเล และได้ร่วมสนับสนุนศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตะวันออก ในการสร้างบ่ออนุบาลเต่า บ่ออนุบาล ช่วยชีวิตเต่าและพะยูน การจัดบอร์ดนิทรรศการ รวมทั้งการปล่อยเต่าคืนสู่ธรรมชาติในเกาะมันในอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งอนุบาลและเพาะพันธุ์เต่าทะเลที่สมบูรณ์แบบของภาคตะวันออก” อดิศักดิ์กล่าวถึงการส่งเสริมกิจกรรม

 ครั้งนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้เกาะมันในเป็นแหล่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งตะวันออกแห่งแรกของไทย ซึ่ง มิคมินทร์ จารุจินดา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตะวันออก ตั้งใจให้เกิดขึ้น เพราะจะได้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติ รวมถึงมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์เต่าทะเล ปะการัง หรือทรัพยากรทางทะเลชนิดอื่นๆ ได้

 “การเรียนรู้และการอนุรักษ์ที่ดี คือการเดินเข้าหาธรรมชาติ มาศึกษา มาเรียนรู้จากของจริง เพราะสัตว์ทะเลหลายอย่างมีคุณค่ากว่าที่เรารู้ โดยเฉพาะที่เกาะมันใน ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 70% นอกจากให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมทางทะเลแล้ว ยังทำให้เกิดความร่วมมือและตระหนักถึงประโยชน์ของธรรมชาติ ทั้งจากชุมชนโดยรอบ รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่สุดก็จะทำให้เกิดความรักความหวงแหนและพัฒนาเป็นการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนในที่สุด” มิคมินทร์กล่าว

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 01:16:10 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


ฟ้องศาลปกครองห้าม'สมิทธ'พูดถึง'สตอมเสิร์จ'

ฟ้องศาลปกครอง สั่ง'สมิทธ ธรรมสโรช'ประธานศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ ยุติการให้สัมภาษณ์เกิดสตอมเสิร์จทันที หลังสร้างความตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่นานถึง 5 เดือน

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นายสนธิญา สวัสดี รองโฆษกพรรคประชากรไทย ในฐานะ คณะกรรมการบริหารแผนป้องกันอุทกภัยสมุทรสาคร เข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำสั่งห้าม นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ ยุติการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเรื่องการพยากรณ์เกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์สตรอมเสิร์จ ซึ่งสร้างความสับสน และตื่นตระหนกแก่ประชาชน

นายสนธิญา ยื่นฟ้อง นายสมิทธ ธรรมสโรช  ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นผู้ถูกฟ้อง เรื่อง กระทำการโดยมิชอบ กรณีที่นายสมิทธ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์ “ สตอร์มเสิร์จ ” ที่ระบุว่าน้ำทะเลจะยกตัวสูงท่วมในเขตพื้นที่ จ.สมุทรปราการ , กทม. และสมุทรสาคร ภายในเดือน ส.ค. - ก.ย.และในเดือนถัดไป

ตามฟ้องระบุว่า นายสมิทธ  ออกมาให้สัมภาษณ์ตั้งแต่เดือน พ.ค.- ก.ย.51 จำนวนกว่า 10 ครั้ง ว่า จะการเกิด “ สตร์อมเสิซ ” ที่น้ำทะเลจะยกตัวสูงท่วมในเขตพื้นที่ จ.สมุทรปราการ , กทม. และสมุทรสาคร ภายในเดือน ส.ค. - ก.ย.และในเดือนถัดไป ซึ่งสร้างความตื่นตระหนก และกังวลของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างรุนแรง เพราะเกรงว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเหมือนกับพายุนากี้ส พัดถล่มในประเทศพม่าที่ผ่านมา ขณะที่หน่วยงานราชการ เช่น ดร.วัฒนา กันบัว ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาทางทะเล ออกมาให้สัมภาษณ์แต่กลับมีข้อมูลไม่ตรงกันกับนายสมิทธ ว่าโอกาสจะเกิดสตอร์มเสิร์จ มีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์

คำฟ้องระบุด้ยว่า ผู้ฟ้องในฐานะกรรมการบริหารแผนป้องกันอุทกภัยสมุทรสาครที่ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ก.ค.46  ได้ทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ของกรมอุตุนิยมวิทยาเอง แจ้งว่า มีโทรศัพท์เข้ามาสอบถามเรื่องดังกล่าววันละกว่า 300 ครั้ง โดยแม้ว่าประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสาครก็ได้รับการสอบถามจากอาจารย์โรงเรียนต่างๆ ด้วย ซึ่งผู้ฟ้อง ก็มีบ้านพักอยู่ที่ ต.ท่าฉลอม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งติดปากอ่าวไทย และได้รับผลกระทบจากการให้สัมภษาณ์ของนายสมิทธ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครลงวันที่ 15 ส.ค.51เพื่อเรียกร้องให้นายสมิท ยุติการให้สัมภาษณ์การเกิดสตอร์มเสิร์จ เพราะเห็นว่า ได้สร้างความโกลาหลให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ติดชายทะเล ต้องแตกตื่น ซึ่งบางพื้นที่พบว่าประชาชนย้ายออกจากบ้านและมีการปิดโรงเรียน นักเรียนขาดเรียน เพราะข่าวลือจากการให้สัมภาษณ์ว่าจะเกิดสตอร์มเสิร์จดังกล่าว

ขณะที่นักธุรกิจก็ประสบปัญหาไม่สามารถขายที่ดินและบ้าน ส่วนโรงงานใน ต.ท่าฉลอมที่ใช้แรงงานพม่าอย่างถูกกฎหมาย ก็ได้รับผลกระทบเช่นกันที่ชาวพม่าเดินทางกลับประเทศเพราะเกรงกลัวว่าจะเกิดเหตุเช่นเดียวกับพายุนากี้สในพม่า แต่นายสมิทธกลับไม่ฟังและยังให้สัมภษาณ์พาดพิงผู้ฟ้องว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งต้องสูญเสียผลประโยชน์ไป นอกจากนี้นายสมิทธ ยังได้ท้าทายนักวิชาการว่าหากใครสามารถยืนยันได้ว่าไม่เกิดสตอร์มเสิร์จ ก็จะยอมยุติการให้สัมภาษณ์

ดังนั้นผู้ฟ้อง จึงขอให้ศาลปกครอง มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้อง ยุติการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนกรณีการเกิดสตอร์มเสิร์จในทันที โดยให้ผู้ถูกฟ้องในฐานะ ปธ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ดำเนินการอย่างอื่นแทน เช่น ร่วมมือกับจังหวัด อำเภอ และตำบลที่เสี่ยงภัย จัดประชุมเชิงวิชาการให้รู้ข้อมูลจริง และการปฏิบัติหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อความเข้าใจชัดเจนทั่วถึงไม่สับสน

ศาลปกครองรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1486/2551 เพื่อพิจารณาต่อไปว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลและจะมีคำสั่งประทับรับฟ้องหรือไม่ 

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 01:21:25 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


จ.ระยอง เตรียมจัดกิจกรรมทำความสะอาดในวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล

นายพีระวัฒน์ รุ่งเรืองศรี ผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจังหวัดระยอง กล่าวว่า บริษัทในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุดจังหวัดระยอง ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล ซึ่งจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 ของเดือนกันยายนของทุกๆ ปี ผู้คนทั่วโลกจะสละเวลา 1 วัน ให้กับภารกิจการปกป้องท้องทะเลและระบบนิเวศน์วิทยาทางทะเลทั่วโลก ด้วยการเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครเพื่อทำความสะอาดและเก็บขยะจากชายหาดและแม่น้ำ ลำคลองต่างๆ พร้อมหาสาเหตุที่มาของขยะ สำหรับที่บริเวณชายฝั่งหาดแม่รำพึง จะมีกิจกรรมทำความสะอาด เก็บขยะบริเวณชายหาดตั้งแต่บ้านก้นอ่าวถึงลานหินขาว


*****************************************************************************************************************************


ก.ทรัพยากรฯ จัดกิจกรรมรณรงค์ชาวระยอง ร่วมปลูกป่า สร้างสามัคคี

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนในจังหวัดระยอง ร่วมปลูกป่า สร้างสามัคคีและสร้างแนวกันชนมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม

นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การจัดกิจกรรม "116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ รวมพลังสามัคคี ลดมลพิษ พิชิตโลกร้อนรณรงค์ให้ประชาชนในจังหวัดระยอง ได้ร่วมปลูกป่าในพื้นที่ 50 ไร่ ณ บริเวณสวนป่าสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ภาคตะวันออก ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีในประชาชนชาวไทย เพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้เป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแนวกันชน ระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด ช่วยดูดซับมลพิษทางอากาศ รวมทั้งยังเป็นการฟื้นคืนความสมดุลของระบบนิเวศน์และปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 02:47:08 AM »

" ฟ้องศาลปกครองห้าม'สมิทธ'พูดถึง'สตอมเสิร์จ' "

แปลกดีนะ นี่ถ้าห้ามพูด แล้วเกิดขึ้นมาจริงๆๆ แล้วจะทำอย่างไรล่ะเนี่ย....มิต้องน้ำตาตก กันไปตามๆๆ กันเหรอ

น่าจะเป็นลักษณะ การเตือนเพื่อป้องกัน อันตรายที่จะเกิดขึ้นมากกว่า ไม่ใช่ พอเตือน แล้วก็ตื่นตระหนก

หาก เราทราบแล้ว หาหนทางแก้ไข ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ก็น่าจะปลอดภัย ธรรมดาแล้วมาตรฐานความปลอดภัยของประชาชนคนไทยก็น้อยจนแทบจะไม่มีอยู่แล้ว

ไม่มี ก็เหมือน แบะ แบะ มีก็ตื่นเป็นกระต่ายตื่นตูม  การป้องกันก่อนการเกิดขึ้นจริงเป็นสิ่งที่ควรตระหนัก มากกว่า......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 20, 2008, 04:38:12 AM โดย Sri_Nuan.Ray » บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 20, 2008, 04:02:00 AM »


 
"ไม่เห็นโลงศพ.....ไม่หลั่งน้ำตา".......ภาษิตจีน

หุๆ....คงจะต้องให้เกิดให้เห็นตำตาแบบสึนามิก่อนละกระมังคะ ถึงจะนึกถึง ดร. สมิทร กันได้....
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.389 วินาที กับ 21 คำสั่ง