พฤศจิกายน 28, 2025, 06:04:03 PM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551 (อ่าน 4021 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 12:38:14 AM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อน แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นทางตอนบนของภาคกับมีหมอกบางในตอนเช้า สำหรับภาคใต้ทั้ง 2 ฝั่งจะมีฝนตกมากกว่าภาคอื่นๆ ในระยะนี้
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
คาดหมาย
บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเกือบตลอดช่วง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยลง และอากาศเย็นในตอนเช้าโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สำหรับภาคใต้มีฝนกระจาย
ในช่วงวันที่ 17-19 ต.ค. หย่อมความกดอากาศต่ำจากทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทยและภาคใต้ตอนล่าง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกชุกและมีฝนตกหนักบางแห่ง
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 17-19 ต.ค. ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ตอนล่าง ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมได้บางพื้นที่ ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย
Forecast2.jpg
(40.1 KB, 684x423 - ดู 714 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #1 เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 12:42:38 AM »
เดลินิวส์
นั่งเรือข้ามน้ำไปร่วมงาน 'ชักพระ' เกาะสมุย สืบสานประเพณีไทย-เสริมสิริมงคลติดตัว
ประเพณี ในพจนานุกรม หมายถึงสิ่งที่นิยมปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี ซึ่งประเพณีนั้น ประเทศไทยในแต่ละภูมิภาคต่างมีประเพณีที่แตกต่างกัน แต่ละประเพณีที่คนไทยได้คิดค้นจนสืบทอดมาถึงปัจจุบันนับว่าเป็นประเพณีที่สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้แก่คนรุ่นหลังได้นำในสิ่งที่ดีไปปฏิบัติ อย่างเช่นประเพณีชักพระของอำเภอเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่สืบทอดกันมายาวนาน
ทั้งนี้เพื่อให้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยประเพณีชักพระนั้นสันนิษฐานจากการสืบเนื่องจากตำนานเทโวโรหนสูตร ที่มีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์ของทุกนิกายว่า ในช่วงพุทธศกแปดสิบปีองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ เทวโลก ชั้นดาวดึงส์ ทั้งนี้เพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดไตรมาส แล้วจึงเสด็จกลับสู่ชมพูทวีปทางด้านเมืองสังกัฎฐ ท่ามกลางการต้อนรับการเสด็จกลับ ซึ่งการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น พุทธศาสนิกชน จึงถือว่าเป็นวันเสด็จกลับดังกล่าว และจัดเป็นประเพณีชักพระขึ้นจนถึงปัจจุบัน และประเพณีชักพระของอำเภอเกาะสมุย ในปีนี้ได้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 22-31 ตุลาคม 51 ซึ่งตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 11 ณ บริเวณสนามหอกาญจนาภิเษก ท่าเทียบเรือหน้าทอน อ.เกาะสมุย โดยภายในงานจะได้พบกับความตื่นตาตื่นใจกับขบวนรถเรือพระที่ตกแต่งให้มีความวิจิตรตระการตาถึงยี่สิบเจ็ดวัด ทั่วเกาะสมุย โดยจะมีการแห่เรือพนมพระทั่วบริเวณตลาดบ้านหน้าทอน
จากนั้นจะไปจอดภายในบริเวณงานเพื่อให้ประชาชนร่วมทำบุญ ภายในงานยังมีการนิมนต์พระผู้ใหญ่ของอำเภอเกาะสมุยมาเทศน์ให้สติในการดำเนินชีวิต ละเว้นสิ่งที่ไม่ดีหันมาร่วมกันทำบุญด้วยการให้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การแสดงมโนราห์และหนังตะลุง ที่ถือได้ว่าเป็นความบันเทิงของคนเกาะสมุยและของชาวใต้ในอดีต ซึ่งในปัจจุบันนั้นหาชมได้ยากอำเภอเกาะสมุยมีธรรมชาติที่สวยงาม อย่างท้องทะเลสีมรกต น้ำทะเลใสสะอาด อากาศที่บริสุทธิ์ หาดทรายขาวสะอาด ด้วยสภาพของเกาะสมุยที่มีน้ำทะเลล้อมรอบจึงถือได้ว่าเป็นเกาะที่มีเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติ ด้วยมนต์เสน่ห์ของเกาะสมุย สามารถสะกดให้นักท่องเที่ยวหลงใหลเดินทางมาสัมผัส
ขณะเดียวกันคนไทยที่ถือได้ว่าเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ หากครั้งหนึ่งได้มีโอกาสมาสัมผัสงานประเพณีที่ดีงามอย่างเช่นในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว อีกทั้งยังเป็นการสืบสานประเพณีชักพระให้สืบต่อไปจนถึงรุ่นลูกหลาน.
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #2 เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 12:56:54 AM »
ผู้จัดการออนไลน์
ชาวประมงพื้นบ้านร่วมรณรงค์เรียกร้องทวงสิทธิชาวประมงพื้นบ้าน
ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สมัชชาชาวประมงพื้นบ้านประเทศไทย พร้อมด้วยสมัชชาชาวประมงโลกจาก 40 ประเทศ ร่วมรณรงค์เรียกร้องสิทธิของชาวประมงพื้นบ้าน ระบุ รับไม่ได้รัฐออกนโยบายเอื้อประโยชน์นายทุนทำลายทรัพยากรของชาติ
วันนี้ (10 ต.ค.) สมาพันธ์ชาวประมงแห่งประเทศไทย เครือข่ายสมัชชาชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้ และเครือข่ายสมาพันธ์ชาวประมงโลกจาก 40 ประเทศ กว่า 500 คน ร่วมกันที่บริเวณปลายแหลมสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ก่อนที่จะเดินรณรงค์และแสดงละครล้อเลียนรัฐบาลไปตามจุดต่างๆ 3 แห่งด้วยกัน ประกอบด้วย วงเวียนม้าน้ำ ถนนนิมิต จุดที่ 2 วงเวียนหอนาฬิกา และจุดสุดท้ายที่บริเวณส่วนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี
โดยร่วมกันประกาศเจตนารมของกลุ่มสมัชชาประมงพื้นบ้านประเทศไทย เรื่อง ปฏิรูปทะเลไทย คือ การปฏิรูปการเมือง : สิทธิชุมชน ประชาชนกำหนดเอง พร้อมร่วมกันประนามการกระทำของรัฐบาลที่ทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
นายสะมาแอ เจะมูดอ เลขาธิการสหพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของสหพันธ์ชาวประมงในครั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าชาวประมงพื้นบ้านนั้นเป็นมีตัวตนจริงๆ ที่ผ่านมาชาวประมงพื้นบ้านไมเคยได้รับการเหลียวแล และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นสิทธิของชาวประมงถูกทำลาย ด้วยการส่งเสริมให้ประมงพานิชย์ใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติ
รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาของรัฐบาล ไม่คำนึงถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมีการสนับสนุนให้โลกการขนาดใหญ่ๆ เกิดขึ้นในทะเล เช่น ท่าเทียบเรือน้ำลึก และท่าเทียบเรือมารีน่า
ที่สำคัญ ขณะนี้รัฐกำลังประกาศให้เอกชนเช่าอุทยานเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างรายแรง ซึ่งก่อนหน้าที่ชาวประมงพื้นบ้านจะเข้าไปจับปลาในเขตอนุรักษ์ยังไม่สามารถทำได้ แต่รัฐกลับจะให้เอกชนเช่าพื้นที่อุทยานฯเพื่อหาผลประโยชน์ซึ่งเป็นความเชื่อที่ชาวประมงพื้นบ้านไม่สามารถที่จะยอมรับได้
******************************************************************************************************
"เกาะยอ" มากของดี อวลเสน่ห์วิถีชาวใต้
ขนำกลางทะเล ที่พักของเกาะยอโฮมสเตย์
"สมเด็จเจ้าเป็นศรี ผ้าทอดีล้ำค่า นานาผลไม้หวาน ถิ่นอาหารทะเล เสน่ห์สะพานติณฯ สถาบันทักษิณลือนาม งดงามเรือนทรงไทย"
นี่คือคำขวัญของเกาะยอ เกาะมากเสน่ห์ แห่งทะเลสาบสงขลาตอนล่าง
จากตามคำขวัญนี้แสดงให้เห็นว่าที่เกาะยอ ต.เกาะยอ จ.สงขลา แห่งนี้มีของดีที่เชิดหน้าชูตาอยู่หลายอย่าง เพราะว่าเกาะยอมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และชาวชุมชนเกาะยอนั้นก็มีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และมีวิถีชีวิตของชาวใต้ที่งดงาม อันสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน จนก่อให้เกิดเป็นของดีที่น่าท่องเที่ยวบนเกาะยอมากมาย
สะพานติณสูลานนท์ ที่เชื่อมเกาะยอกับแผ่นดิน
นิตย์ พงศ์พฤกษ์ กรรมการและเลขานุการการท่องเที่ยวเกาะยอ กล่าวถึงเกาะยอว่า ตำบลเกาะยอเป็นตำบลหนึ่งที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว ซึ่งที่บ้านนอก หมู่ที่ 3 ต.เกาะยอ จ.สงขลา นั้นได้รับรางวัลหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP Village Champion (OVC) ปี 2549 พร้อมกับบอกต่อว่าเกาะยอมีของดีอยู่ 3 ภูมิ ซึ่งภูมิแปลว่า แผ่นดิน แปลว่าสิ่งที่มีค่า ภูมิที่ 1 นั้นเกาะยอมีภูมิทัศน์ที่สวยงามเป็นเกาะที่มีทั้งภูเขา ที่ราบ แหลม อ่าว ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นกว่าตำบลอื่นๆ และมีสะพานติณสูลานนท์ เชื่อมระหว่างเกาะยอกับตำบลใกล้เคียงอันก่อให้เกิดมีทิวทัศน์ที่สวยงาม
ความงดงามของกุฏิเรือนไทยโบราณที่วัดท้ายยอ
ภูมิที่ 2 คือมีทรัพยากรที่มีคุณค่า ถึงแม้ว่าจะเป็นเกาะแต่ก็มีน้ำจืดสนิท มีแผ่นดินที่เรียกว่าดินดำน้ำชุ่ม ทำให้มีผลไม้หวาน ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า และมีกุ้ง ปลา อาหารที่สมบูรณ์มากๆ มีการเลี้ยงปลากะพงในกระชัง สร้างรายได้ให้กับเกาะยอเป็นอย่างมาก ส่วนภูมิที่ 3 เรียกว่าภูมิปัญญาชาวบ้าน นั่นคือมีการทอผ้าเกาะยอที่ยาวนาน 200 กว่าปี ถือว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีค่า เป็นภูมิเป็นทรัพย์ที่บรรพบุรุษได้สร้างสมมาให้กับชาวเกาะยอได้นำเอาภูมิปัญญาเหล่านี้มาประกอบอาชีพแบบพออยู่พอกิน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เจดีย์ทรงระฆังตั้งอยู่ที่เขาเพหาร วัดท้ายยอ
"ในส่วนการท่องเที่ยว เราใช้ของดีที่มีค่ามาเป็นจุดท่องเที่ยว เช่นว่าเรามีผ้าทอ ก็เอาจุดผ้าทอเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีสวนไม้ผลก็ให้เป็นจุดท่องเที่ยวไม้ผล ในทะเลมีการเลี้ยงปลากะพงมาก เราก็พาไปชมการเลี้ยงปลากะพง ถือว่าเราเอาของดีที่อยู่แล้วเป็นจุดท่องเที่ยว เป็นการบริหารการจัดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เพราะว่าเอาของดีที่มีอยู่เป็นทุนทางสังคม เราไม่ได้เอาของอื่น เอาของแท้ๆ ที่มีอยู่เป็นจุดท่องเที่ยวของเรา อย่างที่เรียกว่าเป็นการเอาภูมิของดี เอาทุนทางสังคมที่เรามีอยู่มาเป็นจุดท่องเที่ยว"นิตย์ อธิบาย
"เจดีย์สมเด็จเจ้าเกาะยอ"ที่วัดเขากุฏ ศูนย์รวมจิตใจของชาวเกาะยอ
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นของดีของเกาะยอนั้นมีให้เที่ยวมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวที่แรกถ้ามาที่เกาะยอแล้วต้องไม่พลาดไปกันก็คือ
"วัดเขากุฏ"
ที่ตั้งอยู่บนยอดเขากุฏซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเกาะยอ ด้านบนเขามีโบราณสถานที่สำคัญคือ
"เจดีย์สมเด็จเจ้าเกาะยอ"
ตั้งอยู่ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของชาวเกาะยอ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีจะมีงานห่มผ้าเจดีย์เพื่อนมัสการสมเด็จเจ้าเกาะยอ และเมื่อขึ้นมาสักการะสมเด็จเจ้าเกาะยอขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองแล้ว ก็ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของสงขลาที่ว่าเมืองใหญ่ 2 ทะเล คือทะเลในหมายถึงทะเลสาบ และทะเลนอกหมายถึงทะเลอ่าวไทยอันสวยงาม
พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา จัดแสดงศิลปวัฒนธรรมของภาคใต้
ลงจากเขากุฏก็ตรงมาเที่ยวที่
"พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา สถาบันทักษิณคดีศึกษา"
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวิถีชีวิตของชาวใต้ วัฒนธรรมพื้นบ้าน ท้องถิ่นอันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ประวัติศาสตร์โบราณคดี และศิลปหัตถกรรมอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย โดยจัดแสดงเป็นห้องต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ห้องประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ ห้องอาชีพหลักของชาวใต้ ห้องผ้าทอพื้นเมืองที่มีผ้าทอสวยๆ ห้องการละเล่นพื้นเมือง ห้องศิลปะหัตกรรม ห้องอิสลามศึกษา ฯลฯ เมื่อมาเที่ยวแล้วจะได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินกลับไป อีกทั้งที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของเกาะยออันงดงาม และมองเห็นสะพานติณสูลานนท์ ที่สวยงามอันเชื่อมเกาะยอกับฝั่งแผ่นดิน
ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาะยอจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้โบราณ
มาต่อเนื่องอารมณ์การชมพิพิธภัณฑ์กันต่อที่
"พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาะยอ"
ที่ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนวัดท้ายยอ เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่ภายในจัดแสดงความเป็นมาของชาวเกาะยอ มีโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเกาะยอไว้ อาทิ หม้อ โอ่งอ่าง กระเบื้องโบราณ ตะเกียงเจ้าพายุ อาวุธโบราณ เป็นต้น มาเที่ยวที่นี่แล้วก็จะได้รู้จักเกาะยอมากขึ้น
จากนั้นเดินทางมาเที่ยวที่
"วัดท้ายยอ"
ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของเกาะยอ ที่มีโบราณสถานอันเป็นสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าให้ชมกัน นั่นคือ "กุฏิเรือนไทยปั้นหยา" ที่มีอายุกว่า 200 ปี มีอยู่ด้วยกัน 3 หลัง กุฏิเรือนไทยสร้างด้วยไม้งดงามอย่างมาก และมีเอกลักษณ์ตรงที่ใช้กระเบื้องดินเผาเกาะยอ และที่เสาเรือนกุฏิจะไม่ฝังลงในดินแต่จะตั้งอยู่บนตีนเสา ซึ่งเป็นที่รองรับเสาอันเป็นลักษณะเฉพาะของบ้านชาวไทยในภาคใต้เท่านั้น และด้านหลังของวัดท้ายยอ ยังเป็นที่ตั้งของเขาเพหาร ที่ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐถือปูนมีลวดลายปูนปั้นประดับอันเป็นฝีมือช่างท้องถิ่นภาคใต้ที่มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งภายในวัดยังมีบ่อน้ำโบราณ สระน้ำโบราณ โรงเรือพระ สถูปหอระฆังที่สวยงาม
การกู้ไซกุ้งอาชีพของชาวปะมงที่เกาะยอ
และหลังจากได้เที่ยวสถานที่ทางบกกันแล้ว ก็ไปเที่ยวทางน้ำกันบ้างไปเที่ยวชมวิถีชีวิตการทำอาชีพประมงของชาวเกาะยอ ที่
"เกาะยอโฮมสเตย์"
ของลุงเดชา มีสุวรรณ ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตประมงพื้นบ้านของชาวเกาะยอ โดยการพานั่งเรือออกไปชมความสวยงามของทะเลสาบสงขลา ไปดูการทำประมง การกู้ไซกุ้ง การเลี้ยงปลา และมีกิจกรรมตกปลาด้วย และถ้าใครอยากสัมผัสชีวิตชาวประมงแบบเต็มอิ่ม ก็มีขนำกลางทะเลบริการให้ได้พักค้างคืนกันด้วย
จำปาดะขนุน ผลไม้ขึ้นชื่อของเกาะยอ
พอขึ้นมาบนฝั่งก็ไปเข้าสวนไปดูการทำเกษตรของชาวเกาะยอกันที่
"สวนสมรม"
เป็นของลุงไพจิตร ปริศวงศ์ สวนสมรมเป็นภาษาถิ่นใต้ หมายถึง สวนที่ปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน สวยสมรมของลุงไพจิตรมีพื้นที่กว่า 24 ไร่ ปลูกผลไม้ที่ขึ้นชื่อหลายอย่าง อาทิ จำปาดะขนุน (คือการนำเอาสายพันธุ์ของจำปาดะและขนุนมาผสมกัน ออกมาเป็นจำปาดะขนุนที่เนื้อนิ่ม รสชาติหวาน กลิ่นหอมไม่แรงมาก) เงาะ ทุเรียน ลองกอง กระท้อน มังคุด พืชผักอย่างสะตอ ลูกเนียง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งที่นี่เน้นการปลูกโดยใช้ปุ๋ยชีวภาพแบบเกษตรธรรมชาติมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรชีวภาพ และยังมีผลไม้อร่อยๆ ให้ได้ชิมกันด้วย
การทอผ้าทอเกาะยอ ภูมิปัญญาที่ชาวเกาะยอสืบทอดกันมานาน
อีกแหล่งท่องเที่ยวที่ถ้ามาเกาะยอแล้วไม่มาชมเห็นจะไม่ได้นั่นก็คือ การไปดูการทอผ้าทอเกาะยอที่มีชื่อเสียงกันที่
"กลุ่มราชวัตถ์ แสงส่องหล้า"
ที่นี่ชาวบ้านได้รวมตัวกันขึ้น เพื่ออนุรักษ์และสืบสานการทอผ้าพื้นเมืองของชาวเกาะยอ ซึ่งถือเป็นงานหัตถกรรมที่สั่งสมภูมิปัญญาการทอผ้ากันมาจากบรรพบุรุษอย่างยาวนาน และกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์อันโดดเด่น ผ้าทอเกาะยอมีความประณีตในการทอ และมีลวดลายที่สวยงาม มีลายที่ชื่อว่า ราชวัตร เป็นลายดอกที่มีต้นกำเนิดจากเกาะยอและเป็นลายนิยมของผ้าทอเมืองใต้ เพราะเป็นลายที่ได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ 7 นอกจากยังมีลายอื่นๆ อีกมาก อาทิ ลายลูกแก้ว ลายดอกพิกุล ลายดอกพะยอม ให้ทุกคนได้เลือกซื้อหาเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับไปยามที่ได้มาเที่ยวที่ "เกาะยอ" เกาะที่มากมายไปด้วยของดีของชาวใต้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยวที่หมู่บ้าน OVC บ้านนอก ต.เกาะยอ จ.สงขลา สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่คุณนิตย์ พงศ์พฤกษ์ โทร. 08-1096-2087 หรือ คุณวิชัย มาระเสนา โทร. 08-6291-7853 และถ้าสนใจพักขนำกลางทะเล ติดต่อได้ที่เกาะยอโฮมสเตย์ คุณเดชา มีสุวรรณ โทร. 08-7633-5476, 0-7445-0390
การเดินทางไปเกาะยอโดยทางน้ำมีเรือโดยสารระหว่าง ตลาดสดสงขลา-เกาะยอ หากเดินทางโดยรถยนต์ไปตามทางสายสงขลา- หาดใหญ่ แล้วแยกขวาที่สี่แยกบ้านน้ำกระจายข้ามสะพานติณสูลานนท์ ก็ไปถึงยังเกาะยอได้อีกทางหนึ่ง
**************************************************************************************************
เปิดประสบการณ์ใหม่โลกใต้น้ำ “CHIANGMAI ZOO AQUARIUM"
สวนสัตว์เชียงใหม่ เผยโฉม “CHIANGMAI ZOO AQUARIUM” เป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุด ให้ชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวชมก่อนใคร ด้วยงบลงทุนกว่า 600 ล้าน
บนพื้นที่10 ไร่เศษ รวมพันธุ์สัตว์น้ำจืดและน้ำเค็มกว่า 250 สายพันธุ์กว่า 8,000 ตัว ให้ชม ด้าน “มารีนสเคป” มั่นใจในระบบเทคโนโลยีล้ำสมัยด้วยนวัตกรรมชั้นเยี่ยมจากนิวซีแลนด์ ช่วยรักษาชีวิตสัตว์น้ำแบบครบวงจร พร้อมระบบนิเวศใต้น้ำที่สมบูรณ์แบบ
โสภณ ดำนุ้ย ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเปิดให้บริการสวนสัตว์เชียงใหม่ ซู อควาเรียม (chiangmai Zoo Aquarium) ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลกว่า ขณะนี้โครงการคืบหน้าไปมาก
โดยทั้งอุโมงค์น้ำจืดและน้ำเค็มถูกจัดเตรียมไว้รองรับบรรดาสัตว์น้ำต่างๆ ที่ทางทีมงานได้คัดเลือกพันธุ์ปลาที่น่าสนใจและพันธุ์ปลาหายาก และนำมาอนุบาลเพื่อเตรียมพร้อมที่จะขนย้ายมาปล่อยในอุโมงค์ใต้น้ำ ซึ่งที่นี่ติดตั้งระบบไลฟ์ ซัพพอร์ต (life Support) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยชีวิตสัตว์น้ำให้มีอายุยืนยาวด้วยการปรับคุณภาพน้ำ ผ่านระบบกรอง ฆ่าเชื้อให้น้ำสะอาดมีคุณภาพที่ดี โดยระบบนี้ถูกคิดค้นและได้รับความนิยมอย่างมากจากประเทศนิวซีแลนด์
“ขณะนี้พันธุ์ปลาต่างๆ ที่เราจะนำมาโชว์ในสวนสัตว์เชียงใหม่ อควาเรียม ถูกนำมาอนุบาลไว้แล้ว โดยปลาน้ำจืดถูกอนุบาลอยู่ที่จังหวัดนครปฐม และมีบางส่วนขนย้ายไปอนุบาลต่อที่เชียงใหม่ ส่วนปลาทะเล ถูกอนุบาลอยู่ที่จตุจักร แสมสาร และพังงา ซึ่งจะมีการทยอยขนย้ายมาเชียงใหม่ในเร็วๆนี้ โดยปลาที่จะมาสร้างสีสันและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ จะมีทั้งอโรไพม่า ยาวกว่า 1 เมตร ฉลามเสือดาว ปลากระเบน ปลาหมอทะเล ซึ่งล้วนเป็นปลาหาชมได้ยากอีกด้วย”
ด้าน ธนภัทร พงษ์ภมร ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวว่า เชียงใหม่ ซู อความเรียม(chiangmai Zoo Aquarium) จะเป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก มีทั้งสัตว์น้ำจืด และน้ำเค็มเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยพันธุ์สัตว์น้ำให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป โดยอควาเรียมแห่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์และบริษัท มาริน สเคป (ประเทศไทย) จำกัด ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 600 ล้านบาท
สำหรับ chiangmai Zoo Aquarium มีพื้นที่ 10 ไร่เศษ ถูกออกแบบให้เป็นอาคารสูง 2 ชั้น ภายในประกอบไปด้วยอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวทั้งสิ้น 133 เมตร แบ่งเป็นอุโมงค์น้ำจืด 66.5 เมตร และน้ำเค็ม 66.5 เมตร เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินเลือนอัตโนมัติ ลักษณะอุโมงค์เป็นอะครีลิคใสหนาประมาณ 5.5 เซนติเมตร สามารถรับแรงดันน้ำระดับความลึก 4.50 เมตรได้อย่างปลอดภัย โดยภายในอุโมงค์รวบรวมสัตว์น้ำกว่า 250 สายพันธุ์ ทั้งสัตว์น้ำจืด สัตว์น้ำเค็ม และสัตว์น้ำหายากจำนวนกว่า8,000ตัว
ส่วนบริเวณรอบนอกอคาเรียม ถูกจัดแบ่งออกเป็นห้องโถงขนาดใหญ่รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ พร้อมห้องจัดแสดงสัตว์อนุรักษ์ น้ำตก ป่าโกงกาง ผืนป่าแห่งอินทนนท์และนิทรรศการต่างๆ อาทิ นิทรรศการชีววิทยาของพันธุ์สัตว์น้ำ นิทรรศการแสดงหุบเขาและเขื่อนภูมิพล นิทรรศการแสดงป่าชุ่มน้ำ นิทรรศการแสดงนานาชนิด นิทรรศการแสดงปะการังชายฝั่ง นิทรรศการแสดงชีวิตใต้น้ำลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น
ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวว่า อควาเรียมแห่งนี้จะนำเสนอเรื่องราวที่น่ามหัศจรรย์ของโลกใต้น้ำที่หาชมได้ยาก และเป็นครั้งแรกที่นักท่องเที่ยวที่เข้าชมจะได้สัมผัสกับโลกใต้น้ำจืดและน้ำเค็มได้ในเวลาเดียวกัน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับ “ปลาบึก”ปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก จ้าวแห่งลุ่มน้ำโขงประชันกับ “ปลาเทพา” ซึ่งเป็นจ้าวแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา “ฉลาม”นักล่าจากทะเลลึกที่คร่าเหยื่อในเสี้ยววินาที ฝูงปลาการ์ตูน ขวัญใจคุณหนูจากภาพยนตร์นีโม่ที่หลายๆคนชื่นชอบ และยังมีสัตว์น้ำนานาชนิดที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ส่วน โรจน์ ธุวนลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มารีนสเคป (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า อควาเรียมแห่งนี้ถูกออกแบบ ก่อสร้างและบริหารจัดการด้วยนวัตกรรมชั้นนำจากประเทศนิวซีแลนด์ ทำให้เชื่อมั่นได้ถึงความปลอดภัย ขณะเดียวกันก็มีระบบนิเวศที่ดีจากประสบการณ์การออกแบบและก่อสร้างอควาเรียมมาหลายโครงการ ด้วยระบบการหมุนเวียนของน้ำ การจัดการและดูแลรักษาสิ่งมีชีวิตในน้ำ การจัดหาพันธุ์ปลาน้ำจืดและน้ำเค็ม การขนย้าย และระบบช่วยชีวิตพันธุ์ปลา จะทำให้ปลามีชีวิตที่ยืนยาวสดใสและร่าเริง
“การบริหารจัดการอควาเรียมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ด้วยพฤติกรรมของสัตว์น้ำจืดและน้ำเค็มแตกต่างกัน ทำให้ระบบการบริหารจัดการแตกต่างกันด้วย บริษัทจึงต้องให้ความใส่ใจและดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดีจุดเด่นของอควาเรียมแห่งนี้ นอกจากจะรวมพันธุ์ปลาน้ำจืดและน้ำเค็มกว่า 8,000 ตัวไว้ด้วยกันยังมีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แมลง และสัตว์ที่หาชมได้ยากจากทั่วโลก ที่ถูกนำมาเลี้ยงดูภายใต้ระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบ”
โดยในช่วงแรกบริษัทเตรียมจัดโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาชม อาทิ ส่วนลดพิเศษ ค่าผ่านประตู โดยผู้ใหญ่จะเสียค่าผ่านประตูเพียง 180 บาท จากราคาปกติ 250 บาท และเด็ก 130 บาท จากราคาปกติ 180 บาท ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้ใหญ่จะเสียค่าผ่านประตู 450 บาทและเด็ก350 บาท ส่วนนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และหน่วยงานภาครัฐ ที่เข้าชมเป็นหมู่คณะจะได้รับส่วนลดพิเศษอีกด้วย
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 14, 2008, 12:58:55 AM โดย สายน้ำ
»
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #3 เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 01:09:26 AM »
มติชน
ขอกันป่า 2.7 หมื่นไร่พ้นอุทยานฯทองผาภูมิ
รายงานข่าวจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้รับหนังสือจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เรื่อง
ขอกันพื้นที่ 27,500 ไร่ ออกจากอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
โดยให้เหตุผล ดังนี้
1.เป็นพื้นที่ชุมชนอาศัยอยู่
2.ผ่านการใช้ประโยชน์มาแล้ว จึงเป็นป่าไม้สมบูรณ์
3.เหมาะกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณเหมืองแร่ร้าง และการปลูกไม้เมืองหนาว เพื่อส่งเสริมรายได้ให้กับชาวบ้าน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวสร้างความหนักใจให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่อย่างมาก เนื่องจากเห็นว่า
สภาพป่าไม้ยังสมบูรณ์ มีสัตว์ขนาดใหญ่จำนวนมากอาศัยอยู่ แต่ถ้าไม่สนับสนุนการกันพื้นที่ อาจถูกย้ายเหมือนหัวหน้าอุทยานฯก่อนหน้านี้
ข่าวแจ้งอีกว่า การขอกันพื้นที่ 27,500 ไร่ ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังนายวิวัฒน์ นิติกาญจนา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ ทส. ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชาชน ไปตรวจพื้นที่ร่วมกับคณะทำงานของนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ ทส.เพื่อติดตามปัญหาเหมืองแร่คลิตี้ และได้ไปตรวจอุทยานฯทองผาภูมิ ในพื้นที่เหมืองปิล๊อก บ้านอีต่อง ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ ซึ่งเป็นบริเวณที่จะขอกันออกจากอุทยานฯ พื้นที่ดังกล่าวอากาศหนาวเย็นเกือบทั้งปี เหมาะกับการทำธุรกิจท่องเที่ยว
ด้านนายอุภัย วายุพัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดของหนังสือขอกันพื้นที่อุทยานฯทองผาภูมิ ขอตรวจสอบและดูเหตุผลความจำเป็นก่อน ยังไม่ทราบว่าเป็นความต้องการของชาวบ้านหรือไม่ หรือเป็นความต้องการจากท้องถิ่น
***************************************************************************************************
โปรยเมล็ดพันธุ์จากฟ้าเพิ่มป่า สป.ชี้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยธรรมชาติและการลดลงของป่าไม้ ทำให้เกิดพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมากขึ้น แม้ ทส.ร่วมกับองค์กรเอกชนและประชาชน ปลูกป่ามาตลอด แต่บางพื้นที่ยังเข้าไม่ถึงเพราะทุรกันดารมาก กรมป่าไม้จึงคิดทำโครงการเมล็ดจากฟ้า สร้างป่าใหญ่ขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะใช้วิธีหว่าน หรือโปรยเมล็ดพันธุ์ไม้ 3 วิธี คือ
1.ใช้คนเดินหว่านในพื้นที่
2.โปรยจากเครื่องบิน
3.โปรยจากร่มบิน หรือพารามอเตอร์
ทั้งนี้การหว่านหรือโปรยเมล็ดพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยนำร่องบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ภูขี้เถ้า และป่าภูเรือขึ้นใน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ เขตติดต่อ จ.เลย เนื้อที่ประมาณ 1 หมื่นไร่ สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ระดับความสูง 300-660 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล อยู่ในป่าอนุรักษ์โซนซี เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 บี และชั้น 2 ไม้ที่จะโปรยเป็นพันธุ์ไม้บำรุงดิน พันธุ์ไม้พืชอาหารสัตว์ และไม้ยืนต้นดั้งเดิม เช่น กระถินยักษ์ กระถินบ้าน สีเสียดแก่น ขี้เหล็กบ้าน มะขาม มะขามป้อม มะเกลือ มะค่าโมง สะเดา โดยเมล็ดบางชนิดจะต้องหุ้มปุ๋ย เพื่อช่วยเป็นอาหารในช่วงแรก จะเริ่มดำเนินการช่วงปลายฤดูฝนนี้
เมื่อถามเรื่องงบประมาณสำหรับโครงการนี้ นายสมชัยกล่าวว่า จะแถลงเรื่องงบประมาณอีกครั้ง แต่ไม่เยอะมาก เพราะจะใช้วิธีฝากเมล็ดพันธุ์ไปกับเฮลิคอปเตอร์ตรวจป่า ซึ่งต้องบินตรวจป่าเป็นประจำอยู่แล้ว เมื่อถามอีกว่า วิธีการแบบนี้เคยทำที่ไหนบ้าง ได้ผลหรือไม่ นายศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า เคยทำมาบ้างแต่ไม่ได้ติดตามผล เป็นการทดลองทำ แต่จะทำอย่างระวัง ต้นทุนต่ำ หากไม่ทำเวลานี้รับรองหลายป่าเสื่อมโทรมกลายเป็นทะเลทรายแน่
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) ฝ่ายสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ไม่เคยเห็นว่าวิธีการแบบนี้ประเทศไหนเคยทำมาก่อน ที่สำคัญการใช้งบประมาณเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ไปโปรยนี้ตรวจสอบได้ยากว่าทำจริง ได้ผลแค่ไหน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบการใช้เงินยากมาก โอกาสที่จะทุจริตจึงมีมาก
"ความจริงแล้ววิธีการเดิมที่กรมป่าไม้ทำอยู่คือ จัดงบประมาณให้หน่วยงานท้องถิ่นร่วมกับชาวบ้านปลูกป่านั้นดีและได้ผลอยู่แล้ว หากไม่มีการทุจริต และสามารถตรวจสอบความโปร่งใสเรื่องนี้ได้ง่าย ชาวบ้านเข้าถึงทุกพื้นที่ หากยังไม่มีผลการศึกษาและวิธีการที่ชัดเจน ไม่ควรทำ เพราะจะเสียงบประมาณไปเปล่าๆ" นายหาญณรงค์กล่าว
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #4 เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 01:12:04 AM »
ข่าวสด
สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์
สหพันธ์การอนุรักษ์ของโลก (IUCN"s) เปิดเผยรายชื่อสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
รูปที่ 1 คือ เกรย์เฟซเซ็ดเซนกี เป็นสัตว์คล้ายหนู อาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัดซังวา ประเทศแทนซาเนีย
รูปที่ 2 คือ แทสมาเนียเดฟวิล อาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย
รูปที่ 3 เสือปลา อาศัยอยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รูปที่ 4 กวางเพียร์เดวิดส์เดียร์ อาศัยอยู่ที่ประเทศจีน
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #5 เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 01:16:02 AM »
X-cite ไทยโพสต์
เตือนอย่ากินปลาตายบางแสน
นักวิชาการชี้ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงที่บางแสน เกิดจากแพลงก์ตอน เตือนประชาชนอย่าด่วนบริโภคปลา ปู กุ้ง หอยที่ลอยตาย เพราะแพลงก์ตอนบางชนิดสร้างสารพิษได้
ผศ.ดร.สมถวิล จริตควร ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวถึงกรณีน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงบริเวณชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี จนเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตตายลงจำนวนมาก ว่าเป็นปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี หรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ(water discolouration หรือ red tide) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วของแพลงก์ตอนพืช เนื่องจากแพลงก์ตอนเหล่านี้ต่างก็มีสีในตัวเอง เมื่อเจริญเติบโตจำนวนมากก็จะทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนไปตามสีของแพลงก์ตอนชนิดที่มีมากในขณะนั้น ทั้งนี้ ผลการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลบางแสนมาวิเคราะห์ พบว่าปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการบลูม (Bloom) ของแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซอรอส (Chaetoceros spp.) ซึ่งเป็นสาหร่ายขนาดเล็กที่เซลล์มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกต่อกันเป็นสายยาว และยังไม่เคยมีรายงานว่าสร้างสารพิษ
"สาเหตุการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเปลี่ยนสี คาดว่าเกิดจากช่วงนี้มีฝนตกหนักบ่อยครั้ง เกิดการชะล้างเอาแร่ธาตุจากหน้าดินไหลลงสู่ทะเลจำนวนมาก กอปรกับน้ำทิ้งจากบ้านเรือนที่มีปริมาณธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจนและฟอสเฟตมากอยู่แล้ว จึงยิ่งเหมือนเติมปุ๋ยลงน้ำทะเล ขณะเดียวกันอุณหภูมิ ความเค็มของน้ำทะเล รวมถึงแสงแดดอยู่ในช่วงพอเหมาะ จึงทำให้แพลงก์ตอนเกิดการสังเคราะห์แสงและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วปกคลุมผิวหน้าน้ำ"
ผศ.ดร.สมถวิลกล่าวว่า เมื่อมีปริมาณแพลงก์ตอนมากก็ยิ่งทำให้มีการใช้ออกซิเจนในการหายใจมากตามไปด้วย ออกซิเจนที่อยู่ในน้ำจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้น้ำเริ่มเน่า สิ่งมีชีวิตทั้งในน้ำ สัตว์หน้าดิน และสัตว์ที่ฝังตัวอยู่ตัวในดิน เริ่มขาดอากาศหายใจและตายเป็นจำนวนมาก ทั้งปลา ไส้เดือนดิน หอยทับทิม ปูเสฉวน หอยเสียบ ปูม้า ปลาลิ้นหมา และพบว่าชาวบ้านเก็บปู ปลา เพื่อนำไปประกอบอาหาร จึงอยากเตือนว่าไม่สามารถทำได้เช่นนี้ทุกครั้งไป เพราะแม้ว่าการบลูมของแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซอรอสครั้งนี้จะไม่มีพิษ แต่ในน้ำทะเลมีแพลงก์ตอนมากกว่า 5,000 ชนิด ซึ่งชนิดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีมีถึง 300 ชนิด และในจำนวนนั้นมีกว่า 40 ชนิดที่ผลิตสารพิษได้
"สารพิษนี้จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้จากการที่สัตว์น้ำกินแพลงก์ตอนพืชกลุ่มนี้เข้าไป พิษจะถูกสะสมอยู่ในตัวของสัตว์ทะเล เช่น หอย โดยที่ไม่เกิดอันตราย แต่จะไปมีผลต่อผู้บริโภคแทน ทั้งนี้ พิษบางชนิดรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาทิ พิษอัมพาตในหอย (paralytic shellfish poison, PSP) เกิดจากการบริโภคหอยสองฝา เช่น หอยแมลงภู่ และหอยนางรมที่กรองแพลงก์ตอนพืชบางชนิดของกลุ่มอเล็กซานเดรียม (Alexandrium sp.) หรือกลุ่มไพโรดิเนียม (Pyrodinium sp.) เป็นต้น แพลงก์ตอนเหล่านี้จะสร้างสารพิษต่อระบบประสาท ที่สำคัญสารพิษนี้ละลายได้ในน้ำ และมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนที่ใช้ในการปรุงอาหาร จึงไม่สามารถทำลายด้วยการหุงต้ม โดยผู้ที่ได้รับสารพิษจะมีอาการชาบริเวณปาก ลิ้น และปลายนิ้วหายใจลำบาก กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และอาจเสียชีวิตเนื่องจากการล้มเหลวของระบบหายใจ เป็นต้น" ผศ.ดร.สมถวิลกล่าว
ทั้งนี้ ในเมืองไทยได้มีรายงานการเกิดน้ำแดงที่เป็นพิษอัมพาต (PSP) ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2526 โดยเกิดที่ปากแม่น้ำปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ป่วย 63 ราย และเสียชีวิต 1 ราย เนื่องจากกินหอยแมลงภู่ที่จับมาจากบริเวณที่เกิดน้ำแดง.
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #6 เมื่อ:
ตุลาคม 14, 2008, 01:27:05 AM »
สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
ก.เกษตรฯ เปิดศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จ.ปัตตานี
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จ.ปัตตานี เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมดูแลการทำประมง
วันนี้ (13 ต.ค.51) ที่ บริเวณศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดปัตตานี นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดปัตตานี ว่า ในการฟื้นฟูและการบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ให้เอื้อต่อการพัฒนาอาชีพและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยการจัดสร้างแหล่งปะการังเทียม อันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดปัตตานี และนราธิวาสขึ้น สนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเป็นแหล่งเลี้ยงตัวและแพร่ขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ อีกทั้งเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรน้ำเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การเปิดศูนย์ฯ ครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติงานในด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมดูแลการทำประมง จะต้องเป็นไปตามประกาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกให้ความรู้แก่เยาวชน ชาวประมง และประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีผลผลิตสัตว์น้ำไว้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อันจะส่งผลดียิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...