พฤศจิกายน 28, 2025, 10:16:12 PM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551 (อ่าน 3088 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
«
เมื่อ:
ตุลาคม 30, 2008, 01:04:52 AM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
หย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลจีนใต้ตอนล่าง ได้เคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศเวียดนามตอนใต้ และกัมพูชาแล้ว คาดว่าจะเคลื่อนเข้าสู่ภาคตะวันออกของประเทศไทย ในวันที่ 30-31 ตุลาคมนี้ ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียง เหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าวโดยเฉพาะ จังหวัด
จันทบุรี ตราด ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์
ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 30 ต.ค. – 1 พ.ย. หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้จะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ตามแนวร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคใต้ตอนบน อ่าวไทย และ ภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่
ส่วนในช่วงวันที่ 2-5 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือจะมีฝนในระยะแรก จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา
ข้อควรระวัง
ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนในภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออกบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี ระยองจันทบุรี ตราด เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ให้ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก
Forecast2.jpg
(39.95 KB, 693x430 - ดู 473 ครั้ง.)
Earthquake.jpg
(33.8 KB, 400x442 - ดู 511 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #1 เมื่อ:
ตุลาคม 30, 2008, 01:10:49 AM »
เดลินิวส์
เตือนชาวโตเกียวพร้อมรับมือหากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทางการญี่ปุ่นออกคำเตือนประชาชนในกรุงโตเกียวให้เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
รายงานล่าสุดของคณะป้องกันภัยพิบัติของสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุเหตุ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกรุงโตเกียว อาจทำให้ประชาชนนับล้านรีบแห่กลับบ้านด้วยการเดินเท้า และระหว่างทางอาจเผชิญความยุ่งยาก หากไม่มีห้องสุขาหรือกระดาษชำระอย่างเพียงพอ
คณะป้องกันภัยพิบัติของสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแจ้งต่อไปว่า หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.3 ริคเตอร์ในอ่าวโตเกียว อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 11,000 ราย และประชาชนจะไร้ที่อยู่อาศัย 7 ล้านคน ทั้งยังจะส่งผลให้หลายพื้นที่ในกรุงโตเกียว ประสบปัญหาขาดแคลนกระดาษชำระภายในเวลา 24 ชม. เนื่องจากเครือข่ายขนส่งมวลชนกรุงโตเกียวจะระงับการให้บริการ และทำให้มีการหยุดการจ่ายน้ำประปา เป็นเหตุให้ห้องสุขาสาธารณะไม่สามารถใช้การได้
กรณีเช่นนี้เคยเกิดมาแล้วในเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองโกเบเมื่อปี 2538 ปัญหาใหญ่ที่สุดของเหยื่อผู้รอดชีวิตในครั้งนั้น ไม่ ใช่การขาดแคลนอาหารหรือเสื้อผ้า แต่เป็นการ ขาดแคลนกระดาษชำระ การขาดสุขอนามัย ทำให้เหยื่อแผ่นดินไหวเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ ประชาชนที่ทำงานหรือเรียนหนังสือ ในย่านใจกลางเมืองอาจประสบปัญหาขาดแคลนห้องน้ำ
ดังนั้น คณะป้องกันภัยพิบัติของสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น จึงแนะนำให้บรรดานายจ้างเตรียมหาห้องน้ำชั่วคราวให้พร้อม นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้ประชาชนเตรียมพร้อมขั้นต้น ด้วยการพกถุงพลาสติก 1 ใบ และกระดาษชำระ 1 ห่อ สำหรับใช้ในกรณีที่ไม่มีห้องสุขาใช้.
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #2 เมื่อ:
ตุลาคม 30, 2008, 01:18:36 AM »
มติชน
ทัพเรือช่วยชาวเขมรติดเกาะ ถูกหลอกทำงาน-เบี้ยวค่าจ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พลเรือตรีวรศักดิ์ จันทร์หนู รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับรายงานจาก นาวาเอกเจริญพล คุ้มราษี ผู้อำนวยการกองยุทธการทัพเรือภาคที่ 1 ว่า พบชายชาวกัมพูชา 5 คนใช้ชีวิตอยู่บนเกาะโรงหนัง ด้านทิศเหนือของเกาะจวงและเกาะจาน จ.ชลยุรี ร้องขอความช่วยเหลือ จึงรายงานพลเรือโท ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมสั่งการนาวาเอกพนม ควรประดิษฐ์ รองผู้อำนวยการกองยุทธการ เรือโทสุทธิพงษ์ หมวดเหล็ก ผู้บังคับเรือตรวจการณ์ 212 พร้อมชุดปฎิบัติการพิเศษ เข้าตรวจสอบบนเกาะโรงหนัง
จากการตรวจสอบพบนายทา อายุ 25 ปี นายรัตน์ อายุ 19 ปี นายไร อายุ 25 ปี นายเอื้อน อายุ 19 ปี และนายธี อายุ 18 ปี ทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา อยู่ในสภาพอิดโรยอย่างมาก จึงให้ความช่วยเหลือ และให้นายทหารพระธรรมนูญสอบปากคำเ พื่อเก็บข้อมูลเป็นแนวทางติดตามขบวนการค้ามนุษย์ ก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบดำเนินการสอบสวนต่อไป
นายทา กล่าวว่า ตนเป็นชาวกัมกูพาอาศัยที่ปอยเปต บ้านโรงเกลือ ติดจังหวัดอรัญประเทศ ได้รับการติดต่อให้มาทำงานโรงงานที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยได้รับค่าจ้างเดือนละประมาณ 4,000 บาท เสียค่านายหน้า 3,000 บาท ต่อ 1 คน จึงขึ้นรถไฟมาลงที่หัวลำโพง และเหมารถแท็กซี่มาลงที่ท่าเรือปากน้ำสมุทรปราการ ส่งลงเรือ จากนั้นเรือประมงได้ออกหาปลากลางทะเลลึก บริเวณแท่นขุดเจาะน้ำมัน เป็นเวลานาน 8 เดือนโดยไม่ยอมเข้าฝั่ง มีเพียงเรือเสบียงและเรือมารับสัตว์ทะเลกลับไปขายที่ฝั่ง โดยไม่เคยจ่ายค่าจ้างเลย จึงตัดสินใจหนี ทั้งนี้ไม่ทราบชื่อเรือ ทราบเพียงไต๋เรือชื่อเจียง เป็นชาวเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
"ในคืนวันที่ 25 ตุลาคม ขณะเรือทอดสมอขนถ่ายสัตว์ทะเลห่างจากฝั่งแสมสาร สัตหีบ ชลบุรี ประมาณ 10 ไมล์ทะเล ได้ตัดสินใจกระโดดหนีจากเรือ โดยเตรียมถังน้ำของจำเป็นใส่ถุงพลาสติกมา และมาติดเกาะโรงหนังใช้ชีวิตโดยหาปลา ปู หอย กินประทังชีวิต เป็นเวลา 3 คืน 4 วัน จึงมีทหารเรือมาช่วยเข้าฝั่ง ยืนยันว่าต่อไปนี้ไม่กลับมาทำงานที่เมืองไทยอีก เพราะกลัวถูกหลอก" นายทา กล่าว
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #3 เมื่อ:
ตุลาคม 30, 2008, 01:22:32 AM »
คม ชัด ลึก
"โฮมสเตย์" เกาะพิทักษ์ ความภูมิใจ "ผู้ใหญ่หรั่ง"
การกลับมาพัฒนาชุมชนบ้านเกิด ไม่หลงใหลความศิวิไลซ์ในเมืองหลวง เป็นความตั้งใจของ อำพล ธานีครุฑ หรือผู้ใหญ่หรั่ง "ที่ชาวบ้านชุมชนเกาะพิทักษ์เรียกขาน ในฐานะผู้นำคนสำคัญที่มุ่งมั่นพัฒนาเกาะพิทักษ์ใน ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร
ที่ว่ากันว่าเป็นเกาะแห่งเดียวฝั่งอ่าวไทยที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติทางทะเลมากที่สุดในปัจจุบัน
แต่การได้มาซึ่งความสมบูรณ์ในท้องทะเลบริเวณนี้ ผู้ใหญ่หรั่งบอกว่าไม่ได้มาง่ายๆ ต้องต่อสู้ทุกรูปแบบ ทั้งกลุ่มทุนที่ต้องการกว้านซื้อที่ดินบนเกาะเพื่อผุดรีสอร์ทหรู หรือหน่วยงานภาครัฐที่หวังนำเงินงบประมาณเข้ามาพัฒนาความเจริญบนเกาะให้ทัด เทียมกับพื้นที่บนฝั่ง
"ผมเป็นคนบนเกาะพิทักษ์ พ่อแม่ผมก็คนดั้งเดิมที่นี่ โชคดีที่พ่อแม่สนับสนุนให้ลูกๆ ทุกคนไฝ่เรียน ผมจบปริญญาตรีรัฐศาตร์จากรามคำแหง สมัยเรียนเป็นคนเกเรมาก ยกพวกท้าตีกันบ่อย ใช้เงินเป็นเบี้ย เราไม่รู้นี่ว่าเงินกว่าจะได้มาแต่ละบาทแต่ละสตางค์ยากลำบากแค่ไหน ไม่ได้หาเอง พ่อแม่ส่งมาให้" ผู้ใหญ่หรั่งย้อนชีวิตสมัยเรียน
หลังเรียนจบก็งานทำที่กรุงเทพฯ อยู่ประมาณ 2 ปีเศษ ก่อนตัดสินใจกลับบ้านเกิดตามคำขอร้องของผู้เป็นบิดาเพื่อจะได้นำความรู้จาก การศึกษาเล่าเรียนมาช่วยพัฒนาเกาะพิทักษ์ ด้วยความสำนึกในความรับผิดชอบ ผู้ใหญ่หรั่งเพิ่งกลายเป็นบัณฑิตใหม่ไม่นานก็ตัดสินใจกลับบ้านเกิดทันที พร้อมกับรับตำแหน่งผู้นำชุมชนในฐานะผู้ใหญ่บ้านดีกรีปริญญา
งานแรกที่ทำคือการเร่งฟื้นฟูสภาพธรรมชาติทางทะเลรอบเกาะอย่างขนาน ใหญ่ หลังถูกทำลายอย่างหนักจากกลุ่มเรือประมงจากต่างถิ่น ที่ใช้ทั้งอวนลาก อวนรุน อวนตาถี่ ทำให้ชาวบ้านบนเกาะกว่า 40 ครัวเรือนที่ยึดอาชีพประมงพื้นบ้านมีปัญหา เนื่องจากปริมาณสัตว์น้ำมีจำนวนลดน้อยถอยลง
หลังประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูธรรมชาติทางทะเล ก็มีแนวคิดที่จะสร้างรายได้ให้ชุมชนโดยการปรับปรุงที่อยู่อาศัยของชาวบ้านทำ เป็นโฮมสเตย์เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ บนเกาะ
"ผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ พรรคพวกมานอนที่บ้านบ่อยมาก เมื่อเขามาเราต้องทำอาหารเลี้ยงเขา เดือนร้อนถึงแม่บ้าน (ภรรยา) เขาก็บ่น ผมก็เลยมาคิดว่าถ้างั้นเราก็คิดตังค์เลยดีกว่า ใครมาพักเราก็มีอาหารเลี้ยงด้วย แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายบ้าง ผมก็เลยนำแนวคิดนี้ไปประชุมกับชาวบ้านเขาก็เห็นด้วย เพราะจะได้มีรายได้อีกทางหนึ่ง สนใจมาพักก็ติดต่อมาได้ที่ 08-9018-0640 "ผู้ใหญ่หรั่งกล่าวอย่างภูมิใจ
กว่า 40 ครัวเรือนของชาวบ้านบนเกาะพิทักษ์ในวันนี้ แม้จะมีอาชีพหลักคือการทำประมงพื้นบ้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโฮมสเตย์ก็ทำรายได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ภายใต้กรอบของทางธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความงามของธรรมชาติบนเกาะพิทักษ์วันนี้จึงไม่ต่างจากวัน วานแม้แต่น้อย
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #4 เมื่อ:
ตุลาคม 30, 2008, 01:31:42 AM »
กรุงเทพธุรกิจ
จับตาวิถีอนาคต ขุดเลสาบ ‘เชื่อม’ อ่าวไทย
วิถีชีวิตของชาวประมง ในทะเลสาบสงขลาตอนกลาง: ที่จับกุ้งก้ามกรามและปลาชนิดต่างๆ ในน้ำตื้นขึ้น ท่ามกลางพืชน้ำและวัชพืชที่แพร่กระจายหนาแน่นขึ้นทุกวัน
สามปีที่แล้ว ท้องน้ำขุ่นเหลืองแห่งนี้ยังดูเวิ้งว้าง แม้จะมีลำพูกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ แต่ก็ยังเห็นภาพเวิ้งน้ำกว้างไกล ที่สะท้อนภาพของทะเลสาบสงขลาตอนกลางได้อย่างชัดเจน
มาถึงวันนี้ ปรีชา คำเจริญ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านศรีไชย ต.คูขุด อ.สทิงพระ จ.สงขลา ค่อยๆล่องเรือผ่านสันดอน แหวกพืชน้ำ อ้อมหลบธูปฤๅษีกอใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในบริเวณนี้ จาด กระจูด ราโพธิ์ กอผักกระเฉดขนาดใหญ่ สาหร่ายหลายชนิด เป็นพืชน้ำที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอยู่ในน้ำตื้นไม่ถึงเอว ส่วนป่าพรุที่มีลำพูเป็นไม้หลักได้ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นหลายร้อยไร่ กระทั่งแนวพรุในทะเลสาบฝั่ง อ.สทิงพระ จ.สงขลา กับฝั่ง เกาะหมาก-อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ได้เติบใหญ่แผ่กระจายจนเกือบเชื่อมถึงกัน
“น้ำตื้นเป็นปัญหาใหญ่หลวง อีกไม่นานทะเลสาบตอนกลางจะกลายเป็นทุ่งเลี้ยงวัวควาย ใช้ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก” ผู้ใหญ่ปรีชาพูด
หลังจากปัญหาสัตว์น้ำลดลงจนเป็นวิกฤตยาวนานนับทศวรรษ จนในปี 2547 ผู้ใหญ่ปรีชาได้ขอให้กรมประมงนำลูกกุ้งกุลาดำมาทดลองปล่อยลงในฟาร์มทะเลบ้านศรีไชย เพื่อให้ชาวประมงสามารถจับขายประทังชีพ แต่ขณะที่รายได้กำลังเพิ่มขึ้น ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาก็ต้องมาเจอกับน้ำท่วมใหญ่ในปี 2548 ซึ่งหลังจากนั้นน้ำทะเลจากอ่าวไทยที่จะไหลเข้ามาทางปากน้ำทะเลสาบสงขลา ไม่เคยแผ่ความเค็มขึ้นมาถึงทะเลสาบตอนกลางได้อีกเลย
สองปีที่ผ่านมานี้ ฟาร์มทะเลหน้าบ้านต้องปล่อยกุ้งก้ามกรามซึ่งราคาถูกกว่า เนื่องจากกุ้งกุลาดำรอดชีวิตและเติบโตได้ก็ต่อเมื่อน้ำมีความเค็มเท่านั้น
ผู้ใหญ่ปรีชา เล่าถึงการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของชาวประมงว่า
“ถ้าน้ำเค็มก็ยังปล่อยกุ้งกุลาดำได้ ถ้าน้ำจืดก็ปล่อยกุ้งก้ามกราม ชาวประมงขอสัตว์น้ำเศรษฐกิจมาปล่อยให้เหมาะกับน้ำได้ ถ้าไม่สามารถจับสัตว์น้ำตามธรรมชาติเพื่อดำรงชีวิต กรมประมงก็ต้องปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำไปตลอดเพื่อให้ชาวประมงอยู่รอด แต่ถ้าน้ำตื้นขึ้น 15 เซนติเมตรต่อปี มาดูหน้าแล้งน้ำในทะเลสาบจะตื้นแค่หัวเข่า อีกไม่กี่ปีทะเลแถบนี้จะกลายเป็นพรุเป็นแผ่นดินทั้งหมด พื้นที่หากินของชาวประมงลดลง การแก้ปัญหาเร่งด่วน คือจะต้องหาทางขุดคลองเชื่อมน้ำในทะเลสาบสงขลากับอ่าวไทยให้ได้ นักวิชาการต้องเร่งเข้ามาศึกษา ตอนนี้เครือข่ายชาวประมงทั้งลุ่มน้ำกำลังผลักดันเรื่องนี้”
ด้าน ยงยุทธ ปรีดาลัมพะบุตร นักวิชาการประมง สถาบันวิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์ชายฝั่ง กรมประมง แสดงความเห็นเรื่องการขุดคลองเชื่อมทะเลสาบกับอ่าวไทย ว่ามีความเป็นไปได้ แต่การดำเนินการจะต้องมีการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะระหว่างชาวนาที่ปลูกข้าวในทุ่งระโนด กับชาวประมงตั้งแต่ปากพะยูนจนถึงสทิงพระ เนื่องจากชาวนาข้าวก็หวั่นว่าน้ำเค็มที่จะแผ่เข้ามาจะทำให้ขาดน้ำจืดในการปลูกข้าวตลอดทั้งปี ส่วนการที่น้ำเค็มเข้าไม่ถึงสทิงพระ สัตว์น้ำจากอ่าวไทยไม่สามารถเข้ามาวางไข่เติบโตในทะเลสาบตอนกลาง รวมถึงความตื้นเขินของทะเลสาบก็ทำให้ชาวประมงเดือดร้อนเช่นกัน ดังนั้นแนวคิดนี้จะต้องมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
ส่วนสถานการณ์ริมฝั่งทะเลสาบบริเวณ ชุมชนบ้านหัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา ในกระชังตาข่ายขนาดใหญ่ของโครงการฟาร์มทะเลที่เพิ่งทดลองเลี้ยงปลาได้ไม่นาน มีปลานิลลอยตายอยู่เป็นแพ ชาวประมงในบริเวณปากน้ำทะเลสาบสงขลายังต้องเรียนรู้เรื่องความผันผวนของน้ำ จืด-กร่อย-เค็มไปตามความผิดเพี้ยนของระบบน้ำ
ความทุกข์ของชาวประมงตอนล่างที่พึ่ง พาโพงพาง-ไซนั่งเป็นอาชีพอย่างเดียว เพราะไม่มีที่ดินทำกินเหมือนกับชาวทะเลสาบตอนบน ตอนกลาง หรือทะเลน้อย ที่นอกจากจะทำประมงแล้วชาวบ้านยังมีที่ดินทำกิน สามารถทำนาในหน้าฝน ทำตาลโตนด หรือเลี้ยงวัว ดังนั้นธรรมชาติของน้ำเค็ม-น้ำจืด-ความตื้นเขินที่ผิดปกติอย่างหนักใน ทะเลสาบตอนล่าง ย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข่าวคราวเรื่องทางการจะรื้อถอนไซนั่ง หรือโพงพางเพื่อขุดลอกร่องน้ำฟื้นฟูทะเลสาบ จึงเป็นการเจรจาที่กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชาวประมงและเจ้าหน้าที่รัฐมา โดยตลอด
ล่าสุดมีการหาข้อตกลงร่วมกันระหว่าง จังหวัดสงขลาและชาวประมงโพงพางอีกครั้ง เรื่องโพงพางในร่องน้ำกีดขวางการเดินเรือขนส่งสินค้า จากบริเวณท่าเรือน้ำลึกสงขลาถึงท่าเรือประมงใหม่ ที่เป็นอุปสรรคในการขุดลอกร่องน้ำเพื่อแก้ปัญหาร่องน้ำตื้นเขินจากการตก ตะกอน โดยแผนการขุดลอกร่องน้ำสายนี้ ชาวโพงพางที่จะได้รับผลกระทบจำนวน 13 แถว 85 ช่อง (จากโพงพางในบริเวณทั้งหมดประมาณ 150 ช่อง) ได้เรียกร้องขอค่าชดเชยในการเลิกทำโพงพางเป็นจำนวนเงิน 500,000 ต่อ 1 ช่อง เหมือนการเจรจาที่ผ่านมา
สมัคร พิทักษ์นิติธรรม รองประธานประมงพื้นบ้าน ต.หัวเขา แสดงความคิดเห็นในภาพรวมต่อแนวทางการแก้ปัญหาทะเลสาบตื้นด้วยการขุดลอกร่อง น้ำว่า ชาวประมงมิอาจเพิกเฉยต่อปัญหาความตื้นเขินของทะเลสาบได้อีกต่อไป โดยยินยอมที่จะเลิกทำโพงพาง หากจะมีการขุดลอกร่องน้ำเพราะเห็นว่าแนวทางนี้มีความเป็นไปได้ของทางออกไม่ กี่ทางที่เหลืออยู่
หากกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กำหนดร่องน้ำเมื่อไร มีข้อมูลจากกรมประมงคาดการณ์ว่า จำนวนโพงพางในทะเลสาบสงขลาประมาณ 2,000 ช่อง ไซนั่งประมาณ 30,000 ลูก จะได้รับผลกระทบจากการขุดลอก 1 ใน 4 ของโพงพางและไซนั่งทั้งหมดในทะเลสาบสงขลา
สมัครยังประเมินว่าถ้ามีการขุดลอก ร่องน้ำในทะเลสาบตามแผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา แนวเขตร่องน้ำที่ขุดลอกจะมีความกว้าง 150 เมตร และมีแนวกันชนข้างละ 300 - 400 เมตร จากกลางร่องน้ำ โพงพางในร่องน้ำของทะเลสาบทั้งหมดจะทำประมงต่อไปไม่ได้อีก เขายืนยันข้อตกลงเดิมว่า ก่อนที่จะเริ่มดำเนินงานต่างๆ จะต้องมีการจัดงบประมาณเป็นค่าชดเชยตามความตกลงระหว่างชาวประมงกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ชาวประมงมีทุนในการประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัวต่อไปได้ แต่ถ้ายังไม่มีการชดเชย จะไม่มีการรื้อถอนเครื่องมือประมงใดๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐ
“ชาวประมงไม่มีใครอยากเลิกทำอาชีพที่ ทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษหรอก ถ้าเลือกได้พวกเราอยากให้มีการขุดคลองเชื่อมทะเลสาบกับอ่าวไทยที่อำเภอสทิง พระ หาพื้นที่ที่แคบที่สุด เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของทะเลสาบสงขลาจากต้นเหตุ มีความยั่งยืนมากกว่า ถึงแม้ปากน้ำทะเลสาบสงขลาจะมีท่าเรือน้ำลึกที่ทำให้ปากน้ำกลายเป็นคอขวด แต่การขุดคลองเชื่อมจะทำให้น้ำในทะเลสาบไหลเวียนกลับมาเป็นทะเลน้ำกร่อยได้ มีการถ่ายเทตะกอนตามธรรมชาติ คลองเชื่อมที่ขุดจะทำหน้าที่แทนปากระวะที่ถูกปิดไปเมื่อปีห้าสิบกว่าปีที่ แล้ว”
“นี่คือยุทศาสตร์ที่ชาวประมงในลุ่มน้ำจะผลักดันร่วมกันให้ถึงที่สุด” สมัคร กล่าวทิ้งท้าย
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...