กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 15, 2025, 01:00:52 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตที่ลอยล่องของแมงกะพรุน  (อ่าน 2350 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
@สายน้ำ@
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 14



« เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2008, 01:29:57 AM »


ชีวิตที่ลอยล่องของแมงกะพรุน                          :                      วินิจ รังผึ้ง



       ผู้คนมักจะหนีความรุ่มร้อนความสับสนวุ่นวายไปหาทะเล เพราะท้องทะเลพร้อมจะเป็นแหล่งรองรับความรุ่มร้อนของผู้คน ในท้องทะเลช่วงปลายฤดูฝนหลายคนอาจจะต้องเจอกับเจ้าแมงกะพรุน สัตว์ทะเลที่มีเรือนร่างอ่อนนุ่มบอบบางมีชีวิตล่องลอยเร่ร่อนไปในท้องทะเล กว้างอย่างไร้จุดหมาย แต่ในเรือนร่างอันอุ่นนุ่มบอบบางนั้นกลับแฝงไว้ด้วยพิษสงชนิดที่นักล่าที่ ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งท้องทะเลอย่างฉลามยังต้องอาย เพราะในแต่ละปีทั่วโลกนั้นมีคนที่ถูกฉลามทำร้ายนับหัวได้เพียงไม่กี่คน แต่กลับมีผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บจากแมงกะพรุนเป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี และในจำนวนนี้ถึงกับเสียชีวิตก็มี
       
       แมงกะพรุนนั้น เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอยู่ในไฟลัม Colenterata มีลำตัวลักษณะเป็นวุ้นใสๆ มีส่วนหัวลักษณะคล้ายหมวกหรือกระดิ่งคว่ำ และมีส่วนล่างของหมวกซึ่งมีปากและมีส่วนหางยาวออกมา ซึ่งบริเวณสวนหางที่ยาวเป็นสายนี้จะมีเข็มพิษที่เรียกว่านีมาโตซีส (nematocyst) ซึ่งเข็มพิษนี้จะใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวเอง และใช้สำหรับล่าเหยื่อ โดยอาหารของแมงกะพรุนนั้นมีตั้งแต่ แพลงก์ตอน กุ้ง ปลาขนาดเล็ก ซึ่งมันจะใช้เข็มพิษยิงให้เหยื่อเกิดอาการช็อคเป็นอัมพาตแล้วใช้หนวดลำเลียง เข้าสู่ปาก
       
       แม้นจะเป็นนักล่าที่มีพิษสงรอบตัวจนเหมือนจะไม่ค่อยมีใครกล้าตอแย แต่แมงกะพรุนก็กลายเป็นอาหารอันโอชะของเต่าทะเล และบรรดาปลาต่างๆที่มีขนาดใหญ่หน่อยก็สามารถจะกัดกินวุ้นส่วนหัวที่ไม่มี เข็มพิษของแมงกะพรุนได้ แม้กระทั่งบรรดานักชิมเยนตาโฟทั้งหลายก็บริโภคแมงกะพรุนไปปีละหลายตัน
       
       แมงกะพรุนนั้นไม่ได้เป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงไปเสียทุกตัว เพราะแมงกะพรุนส่วนใหญ่ที่ล่องลอยกันอยู่ในท้องทะเลนั้นแม้นจะมีเข็มพิษแต่ ก็อาจจะไม่ได้รุนแรงมากนัก ซึ่งผู้ที่สัมผัสอาจจะแค่แสบๆคันๆ หรือไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะผมเองก็เคยลงไปดำน้ำในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยแมงกะพรุนนับพันนับหมื่นตัว มาแล้วโดยไม่รู้สึกระคายเคืองแต่อย่างใด แต่ก็เคยมีบางครั้งที่ดำน้ำในแหล่งดำน้ำทั่วๆไปแล้ว รู้สึกว่าบริเวณริมผีปาก และใบหน้าไปโดนเข้ากับหนวดของแมงกะพรุนที่บางตัวตัวยาวเป็นเมตรเข้า ก็จะรู้สึกแสบแปลบปลาบขึ้นทันที
       
       แต่ผมอาจจะโชคดีที่ไม่แพ้พิษแมงกะพรุน เมื่อขึ้นมาแล้วก็ไม่เป็นไร หรือผมอาจจะยังโชคดีที่ไม่ไปเจอเข้ากับแมงกะพรุนบางชนิดที่มีพิษร้ายแรง อย่างแมงกะพรุนไฟที่เมื่อใครไปโดนเข้าก็จะเกิดอาการไหม้ตามผิวหนังที่สัมผัส ในทันที ไม่อย่างนั้นใบหน้าคงหมดหล่อ ซึ่งเท่าที่ผมตั้งข้อสังเกตในแหล่งดำน้ำที่น้ำทะเลใสๆ มักไม่ค่อยเจอกับแมงกะพรุนไฟหรือแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรง เพราะไม่ค่อยมีปรากฏข่าวว่านักดำน้ำโดนแมงกะพรุนจนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่กลับไปโดนเข้ากับนักเล่นน้ำตามชายหาดเสียมากกว่า โดยเฉพาะบริเวณน้ำทะเลที่ไม่ค่อยใสอย่างแถวๆ หัวหิน พัทยา หรือทางฝั่งอ่าวไทยเป็นหลัก
       
       และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศโดน "แมงกะพรุนกล่อง" (box jellyfish) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงถึงขั้นอาการบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณเกาะ หมาก จังหวัดตราด ถึงต้องส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหลายวันจึงพ้นขีดอันตราย และยังเคยมีข่าวว่ามีนักท่องเที่ยวโดนเจ้าแมงกะพรุนกล่องนี้จนถึงขั้นเสีย ชีวิตมาแล้วที่บริเวณเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพราะแมงกะพรุนกล่องเป็นแมงกะพรุนขนาดเล็กลำตัวใสยากจะมองเห็น มันมีหนวด 9 เส้นและหนวดบางเส้นยาวถึง 3 ฟุตเลยทีเดียว หนวดยาวๆ เล็กๆ ใสขนาดใกล้เคียงกับใยแมงมุมนี้ จะเป็นแหล่งรวมของเข็มพิษจำนวนมากมายมหาศาล
       
       และพิษอันทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัวนี้จะทำให้เหยื่อ เช่น ปลา หรือ กุ้ง โชคร้ายที่เข้ามาโดนหมดสติหรือเสียชีวิตทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการดิ้นรนหลบ หนีหรือสร้างความเสียหายให้กับหนวดที่แสนบอบบางของมัน พิษของแมงกะพรุนกล่องถือว่าเป็นหนึ่งในพิษที่เป็นอันตรายที่สุดในโลก เพราะนอกจากจะทำลายเซลล์ผิวหนังและทำลายประสาทสัมผัสให้ปวดแสบปวดร้อนถึง ขนาดต้องดิ้นรนกระวนกระวายอย่างแสนสาหัสแล้ว พิษของเจ้าแมงกะพรุนกล่องนี้ยังเข้าไปโจมตีระบบการทำงานของหัวใจอีกด้วย จึงมักจะมีรายงานว่าผู้โชคร้ายที่ไปโดนแมงกะพรุนกล่องจะเกิดอาการช็อคและจม น้ำหรือเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะขึ้นถึงฝั่งด้วยซ้ำ ในขณะผู้รอดชีวิตจะมีอาการเจ็บปวดอยู่เป็นสัปดาห์เลยทีเดียว
       
       ความจริงแมงกะพรุนกล่องนั้นไม่ใช่แมงกะพรุนที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำ ทะเลไทย แต่มักจะพบเจอกันบ่อยในแถบน่านน้ำออสเตรเลีย ซึ่งขณะนี้นักวิชาการของไทยก็กำลังทำการศึกษากันอย่างเร่งด่วนว่ามันเข้ามา ในน่านน้ำทะเลไทยกันได้อย่างไร อาจจะเพราะความแปรปรวนของทะเล ที่ทำให้อุณหภูมิของกระแสน้ำเปลี่ยนไป ทำให้แมงกะพรุนกล่องชนิดนี้ล่องลอยเข้ามาตามกระแสน้ำ แต่แมงกะพรุนนั้นก็เป็นสัตว์ที่อายุสั้น โดยจะมีอายุอย่างมากไม่เกิน 1 ปี ก็อาจจะทำให้เราเบาใจว่าปีนี้พบปีหน้าอาจจะไม่พบอีกก็ได้
       
       อย่างไรก็ตามเมื่อเผอิญโชคร้ายไปเจอกับเจ้าแมงกะพรุนไฟหรือแมงกะพรุน ที่มีพิษมากๆเหล่านี้เข้า โดยขณะลงเล่นน้ำถ้ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันทีทันใด ให้รีบขึ้นมาจากน้ำทันที เพราะขืนรีรออาจจะเกิดอาการเป็นตะคริวหรือช๊อคหมดสติจมน้ำได้ เมื่อขึ้นมาถึงชายฝั่งแล้วให้รีบเอาน้ำทะเลวักล้างบริเวณบาดแผล ไม่ควรใช้น้ำจืดล้างเด็ดขาด เพราะน้ำจืดซึ่งมีความเข้มข้นน้อยกว่าพิษที่อยู่ในหนวดแมงกะพรุน จะทำให้พิษนั้นกระจายไปสร้างความบาดเจ็บมากยิ่งขึ้นไปอีก หากมีผ้าเช็ดตัวให้จุ่มน้ำทะเลค่อยๆลูบบริเวณบาดแผลเพื่อกำจัดหนวดที่เต็มไป ด้วยเข็มพิษออก เพราะหนวดแมงกะพรุนนั้นแม้นจะหลุดขาดจากตัว แต่เมื่อไปโดนเข้าก็ยังสามารถจะยิงเข็มพิษทำให้ผู้ที่สัมผัสบาดเจ็บได้
       
       จากนั้นให้ใช้น้ำส้มสายชูเข้มข้นราดที่บาดแผล หรือจะใช้น้ำอุ่นที่ค่อนข้างร้อนเท่าที่จะทนได้ราดลงบริเวณบาดแผล เพราะพิษของแมงกะพรุนจะเป็นสารประกอบโปรตีนสามารถทำลายให้เสื่อมสภาพหรือลด ความรุนแรงลงได้ด้วยสิ่งต่างๆข้างต้น หรือหากเป็นตำราพื้นบ้านก็จะใช้ผักบุ้งทะเลทั้งใบ ยอด ก้านมาตำบดให้ละเอียดจนเป็นยางโปะที่บาดแผล หากมีความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลมากให้ใช้ยาบรรเทาปวด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล เพื่อจะได้ให้ยารักษาบาดแผล และบางรายอาจมีอาการแพ้มากจนเกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจขัด หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือพิษไปกดประสาทจนหัวใจหยุดเต้นได้ จึงไม่ควรประมาท
       
       แต่อย่างไรเสียก็อย่าได้ตื่นตระหนกใจจนไม่กล้าลงทะเลกันนะครับ และหากเป็นไปได้เมื่อจะลงเล่นน้ำทะเลก็ให้สวมชุดว่ายน้ำชุดดำน้ำที่มีแขนยาว ขายาวปกปิดร่างกายก็จะช่วยป้องกันได้.



จาก                :               ผู้จัดการออนไลน์       วันที่ 11 พฤศจิกายน 2551
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.023 วินาที กับ 19 คำสั่ง