กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 19, 2024, 02:33:35 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2551  (อ่าน 3469 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 12:07:25 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกเพิ่มมากขึ้น  ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลงและคลื่นลมอ่อนลง
   
อนึ่ง บริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกจะมีเมฆเพิ่มมากขึ้น


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีอากาศเย็นและมีหมอกบางในตอนเช้า  อุณหภูมิต่ำสุด 21 องศา สูงสุด 31 องศา  ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

 ในช่วงวันที่ 14-16 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศอุ่นขึ้น กับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ สำหรับภาคใต้มีจะมีฝนลดลง และคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง

ส่วนในช่วงวันที่ 17-20 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลง มาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรง ขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง และอุณหภูมิจะลดลง ส่วนภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนเพิ่มขึ้นและคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น


ข้อควรระวัง

ส่วนในช่วงวันที่ 14-16 พ.ย. ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา ในวันที่ 19-20 พ.ย. ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคใต้จังหวัดชุมพรลงไประมัดระวังอันตราย จากสภาวะฝนที่ตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่ง ส่วนชาวเรือในอ่าวไทยควรระวังอันตรายในการเดินเรือ



* Forecast2.jpg (42.03 KB, 693x430 - ดู 681 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (36.77 KB, 400x435 - ดู 649 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 12:17:42 AM »

ไทยรัฐ


หัวหิน....ยังไม่สิ้นมนต์ขลัง                   :                 โลกหลากวิถี



หลายวันก่อนชีพจรมีอันลงเท้าให้ต้องเดินทางไปหัวหิน เมืองท่องเที่ยวสุดฮิป เพราะอยากสัมผัสบรรยากาศ ตลาดกลางคืนของที่นี่ ซึ่งอยู่ถนนเดชานุชิต ที่มักมีหนุ่มสาวไฮโซชาวกรุงนิยมมาช็อปปิ้งหรือหาของอร่อยๆกิน โดยขับรถจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางถนนพระราม 2 เชื่อมต่อถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ที่ปัจจุบันนับเป็นเส้นทางที่ดีมากอีกเส้นหนึ่ง ไม่มีรถราติดหนึบเป็นตังเมเหมือนเมื่อหลายปีที่ผ่านมาที่มีการขยายเส้นทาง

สองข้างทางช่วงจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นที่น่าสังเกตว่าพื้นที่การทำนาเกลือเริ่มหายไป แต่ก็ยังพอเห็นร้านขายเกลือเม็ด หรือเกลือสินเธาว์ตั้งเรียงรายอยู่หลายเจ้า บรรยากาศการเดินทางท่ามกลางฝนพรำๆ เย็นสบายทำให้ได้อารมณ์คลาสสิกไปอีกแบบ เพียงชั่วโมงเศษจากถนนพระราม 2 ก็ถึงจังหวัดเพชรบุรี ที่แน่ใจว่าเป็นเพชรบุรีเพราะเห็นร้านขายขนมหม้อแกงกันพรึ่บพรั่บ ไม่ว่าจะเป็น แม่กิมลั้ง แม่กิมไล้ แม่กิมลุ้ย และสารพัด แม่ จากเมืองเพชรฯ ผ่านเข้าชะอำไม่นานก็ถึงหัวหินค่ำพอดี ด้วยความตั้งใจที่จะมาหาของอร่อยๆ ดินเนอร์กับสาวรู้ใจกันสองคน จึงมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดโต้รุ่งหัวหิน ศูนย์รวมอาหารทะเลสดๆ และของอร่อยนานาชนิด ข้างตลาดฉัตรไชย ตลาดเก่าแก่ดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงของหัวหินทันที

จอดรถเสร็จสรรพเดินลัดเลาะไปตามฟุตปาท มองเห็น ร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะเจ้าดัง ศูนย์รวมอาหารและเครื่องดื่มที่ขายทั้งกลางวันและกลางคืน และร้านหัวหินหรือร้านโกทิ ที่เลื่องชื่อ มีคนอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง มองซ้ายมองขวาอยากแวะชิมบ้าง แต่หาที่นั่งไม่ได้เพราะทุกโต๊ะเต็มหมด เลยเดินไปที่ตลาดโต้รุ่งที่มีของอร่อยมากมายให้หม่ำ ไม่ว่าจะเป็นโรตีทั้งเจ้าเก่าเจ้าใหม่ที่อร่อยไปคนละแบบ ไอศกรีม ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หอยทอด หมูสะเต๊ะ ฯลฯ รวม ทั้งอาหารตามสั่ง ซีฟู้ด ข้าวต้มกุ๊ยแต่ละร้านมีทั้งแบบหะรูหะรา หรือแบบธรรมดาแต่รสชาติอร่อยล้ำ ใครอยากกินอะไรพอใจร้านไหนก็เข้าไปได้เลย แต่เราเลือกนั่งที่ร้านริมถนน เพราะอยากสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่



ไม่นานนักต้มยำรวมมิตรทะเลน้ำข้นเห็นกุ้งตัวโตๆโผล่หัวมาแต่ไกล ปลาทะเลเผาตัวใหญ่ๆ ข้าวสวยร้อนๆ และน้ำแก้เหนื่อยสีเหลืองอำพันก็มาวางอยู่ตรงหน้า แต่หลังจากนี้คงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นอย่างไร...??

ที่การันตีได้คือ แซบ สด สะอาด สำคัญสุดคือราคาไม่หนักกระเป๋าอย่างที่คิด!!!

ระหว่างนั่งกินสังเกตเห็นว่า บรรยากาศที่ตลาดแห่งนี้ ยิ่งค่ำยิ่งคึกคัก แต่ ส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนจะเป็นคนกรุงเทพฯ แทบทั้งนั้นที่มาเดินๆกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาหนุ่มสาวไฮโซหรือพวกเศรษฐีมีกะตังค์ ที่มักจะขับรถมาเที่ยวมานอนหัวหิน ตั้งแต่คืนวันศุกร์ พักผ่อนชาร์จไฟให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยแล้วก็กลับไปทำงานต่อในเช้าวันจันทร์ บางกลุ่มก็ขับรถมากันตอนเช้าวันเสาร์ นอนสูดอากาศ กินลม ชมทะเล ให้ร่างกายสดชื่นมีชีวิตชีวา มีแรงกลับไปทำงานต่อ



นอกเหนือจากคนไทยแล้ว ยังเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายนั่งกินซีฟู้ดกุ้ง หอย ปู ปลาที่ล้วนแล้วแต่ตัวโตๆกันเป็นที่เอร็ดอร่อย หรือไม่ก็นั่งดริงก์ค็อกเทลเรียกน้ำย่อยในสนนราคาที่จิ๊บจ๊อยสำหรับนักท่อง เที่ยวเหล่านี้ ส่วนเราพออิ่มแปล้พุงกาง!! ก็ออกเดินทัวร์ชมแสงสีของตลาดกลางคืนหัวหิน หาซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านและ “กิ๊ก” (เอ๊ย!) เพื่อนที่ทำงาน

ค่ำคืนของที่นี่นอกเหนือจากอาหารรสเลิศแล้ว ยังมีตลาดนัดให้เลือกซื้อสินค้าหลากหลายชนิดไม่ว่ารองเท้าแตะ เสื้อผ้า เครื่องประดับแบบกิ๊บเก๋ ที่สนนราคาเริ่มต้นไว้แบบสมน้ำสมเนื้อกว่ากรุงเทพฯ ขนาดหนุ่มไฮโซเมืองกรุงชื่อดังบางคน ยังอุตส่าห์ขับรถมาซื้อรองเท้าแตะถึงตลาดกลางคืนแห่งนี้ บอกว่าใส่แล้วนิ่มเท้าดีกว่ารองเท้าแตะที่ซื้อในกรุงเทพฯ อุแม่เจ้า!! และสิ่งที่ ขาดไม่ได้เลยก็คือสินค้าประเภทพื้นบ้านพื้นเมือง อย่างกางเกงเลยอดฮิตไว้ใส่เวลาเดินเล่นบนชายหาดหรือใส่ชิล...ชิล... อยู่ที่บ้านมีให้เลือกหลากแบบ ทั้งสีสันจัดจ้านลวดลายฉูดฉาด หรือแบบธรรมดา ก็แล้ว แต่ความพอใจของแต่ละคน แต่ที่แน่ๆ เพื่อนสาวของผมควักกระเป๋าซื้อกลับบ้านไปหลายตัว

ส่วน ใครชอบสะสมหรือส่งโปสต์การ์ด สถานที่ที่ ได้เดินทางไปเก็บไว้เป็นที่ระลึก รับรองถูกใจวัยรุ่นแน่ๆ เพราะตั้งแต่ต้นซอยจะเจอกับร้านขายโปสต์การ์ด ทั้งภาพวิวทิวทัศน์ หาดทรายสีขาวท้องฟ้ากับน้ำทะเลสีคราม ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอ ซื้อเสร็จยังเขียนข้อความลงโปสต์การ์ด แล้วฝากให้เจ้าของร้านหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์ ส่งกลับไปให้ตัวเองหรือให้เพื่อนได้ เซอร์ไพรส์อีกด้วย

แต่ถ้าใครชอบแนวอาร์ตขีดๆ เขียนๆ ให้เดินตรงเข้าไปด้านในตลาด แล้วพกเงินไปให้เต็มกระเป๋า เพราะโซนนี้มีแต่ร้านขายภาพถ่าย ภาพวาดสีน้ำและสีน้ำมัน แต่ละร้านจะแข่งกันเอาภาพวาดตั้งแต่ชนิดเรียบง่ายสบายตา ไปจนถึงแนวฮาร์ดคอร์ มาตั้งโชว์ที่หน้าร้านสะกดให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา อยากได้กลับไปติดฝาบ้านคนละภาพสองภาพ...เหมือนผมนั่นเอง!!

ผ่านงานอาร์ตมาถึงร้านขายงานไม้ งานแกะสลัก ที่นี่มีไว้เอาใจนักท่องเที่ยวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นถ้วย จาน ชาม ช้อนที่ทำจากไม้ หรือของตกแต่งบ้าน แกะสลักจากไม้เก่าและไม้ใหม่ หรือไม้กันเกราที่จมอยู่ในน้ำมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ถูกนำขึ้นมาจากใต้น้ำและกำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ เพราะเชื่อกันว่าเป็นไม้มงคลสามารถกันเภทภัยอันตรายต่างๆได้ เดินเลือกของจนเพลินผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง แต่ยังไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่นิดเดียวคงเพราะอากาศที่แสนจะเย็นสบายของที่นี่นั่นเอง...



แม้ยังมีของให้เราเลือกซื้ออีกมากก็ตาม แต่ก็จำใจต้องถึงเวลาเดินทางกลับระหว่างหิ้วของเดินเลาะ ไปตามฟุตปาทกลับไปหาเจ้าเสือดำรถคู่ใจ ก็ต้องพบกับอีกหนึ่งความประทับใจเพราะฟุตปาทเมืองนี้ไม่มีแม้แต่เงา “ถังขยะ” แม้พยายามมองหาก็ยังไม่เห็น เราจึงต้องทำหน้าที่เป็นเทศกิจ ติดตามหาถังขยะไปพร้อมๆกับตรวจดูว่าจะมีเศษขยะกี่มากน้อยตกอยู่บนพื้นถนน

ไม่น่าเชื่อ!! ที่หาถังขยะไม่เจอ แม้แต่เศษขยะบนพื้นก็หาไม่เจอเหมือนกัน แถมยังไม่ได้กลิ่นเหม็นไม่ว่าจะมาจากขยะหรือปัสสาวะมาเตะจมูกให้รู้สึกรำคาญ ใจ ถามไถ่ได้ความว่าผู้ที่ดูแลเมืองหัวหินใส่ใจกับการรักษาความสะอาดของท้อง ถิ่นเป็นอย่างดี



ระหว่างทางขับรถกลับบ้านสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาเยือนเมืองหาดทรายขาวละเอียดแห่งนี้อีกครั้ง เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน แต่หัวหินยังไม่สิ้นมนต์ขลัง... ยังมีมนต์เสน่ห์อีกมากมาย ให้คนที่มาเยือนต้องหลงใหลทุกครั้งที่ได้มา.......

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 12:22:18 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


แปดริ้วเชิญนักเที่ยวเข้าชมปลาโลมาปากอ่าวบางปะกง
 
ฉะเชิงเทรา - จังหวัดฉะเชิงเทราเชิญนักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมปลาโลมาปากอ่าวบางปะกง ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี
       
นายวีรวิทย์ วิวัฒนวานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดจังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นห้วงเวลาที่น้ำเค็มหนุนเข้ามาในน้ำจืดมากกว่าทุกฤดูกาลที่บริเวณปากแม่ น้ำบางปะกง ทำให้กระแสน้ำ พัดพาสัตว์ทะเลเข้ามาสู่ห้วงน้ำบางปะกง และได้นำ “โลมา” ทูตสันถวไมตรีแห่งทะเลไทยมาด้วย จึงทำให้โลมากลายเป็นสีสันของรอยต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเล ณ บริเวณปากแม่น้ำบางปะกง การล่องเรือออกไปชมโลมา ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งแตกต่างจากที่อื่นๆ
       
โลมาอิรวดี เป็นพันธุ์ที่พบมากที่สุดในบริเวณนี้และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ลำดับที่ 138 ในพระบรมราชินูปถัมภ์ของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ ห้ามล่า ห้ามค้า ห้ามครอบครอง หรือห้ามเพาะพันธุ์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังพบโลมาชนิดอื่นอีกด้วย เช่น โลมาปากขวด โลมาหลังโหนก และโลมาหัวบาตรหลังเรียบ เป็นต้น

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 12:36:27 AM »

มติชน


เทศบาลเตือนนักท่องเที่ยวระวัง"หาดบางเสร่"ยุบตัว

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลบางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้นำป้ายเขียนข้อความเตือนภัยระวังอันตรายจากทรายยุบตัว ไปติดตั้งบริเวณชายหาดบางเสร่ จุดที่เทศบาลถมทรายทดแทนทรายเดิม และเรียงหินป้องกันทรายไหลลงสู่ทะเล ทำให้พื้นที่ด้านล่างเป็นโพรงในช่วงน้ำทะเลกัดเซาะ และอาจยุบตัวทำให้นักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้บรรยากาศชายหาดเงียบเหงาจากเดิมมาก นอกจากนี้ ชายหาดยาว 1,500 เมตรถูกคลื่นกัดเซาะเสียหาย

ด้านนายปิ่นโสม นิ่มสุวรรณ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเสร่ กล่าวว่า บางเสร่สูญเสียแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ปัญหาเกิดจากการสร้างเขื่อนหินกันคลื่นยาวออกไปในทะเล ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางและพุ่งเข้าหาชายหาด


***************************************************************************************************************************


สงขลาจี้สร้างเขื่อน หลังเจอคลื่นเซาะชายฝั่งลึกกว่า 10 ม.

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่สำนักงานเทศบาลตำบลเขารูปช้าง อ.เมืองสงขลา นายวิทยา พานิชพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 โครงการสำรวจออกแบบโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งยาว 8 กิโลเมตร บ้านทุ่งใหญ่ หมู่ที่ 3-7 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง ชาวบ้านส่วนใหญ่เลือกแนวทางก่อสร้างเขื่อนหินทิ้งกันคลื่นสลับกับก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นใต้น้ำ ซึ่งสอดรับกับวิถีชีวิตชุมชน สามารถใช้ประโยชน์ชายฝั่งได้อย่างเหมาะสม ส่วนผู้ไม่เห็นด้วยขอให้ชะลอโครงการเพื่อศึกษาผลดีผลเสียก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้แนวชายหาดของอำเภอชายฝั่ง จ.สงขลา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะที่บ้านปึก หมู่ที่ 10 ต.นาทับ อ.จะนะ ถูกคลื่นซัดจนต้นสนริมหาดล้มรากลอย เป็นแนวยาว 500 เมตร คลื่นกลืนชายหาดเข้ามาฝั่งกว่า 10 เมตร เหลือเพียง 1-2 เมตร จะถึงถนน

นายหมัดสาและ สาบวช ชาวบ้าน อ.จะนะ กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา เนื่องจากชายหาดเสียหายเป็นระยะกว่า 500 เมตร คาดว่าปีนี้ปัญหาจะรุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา


*******************************************************************************************************************************


จดหมายฉบับสุดท้าย...กับความตายของลูกเรือประมงไทย

“กราบแทบเท้าแม่ที่เคารพรักเป็นอย่างสูง แม่ครับตอนนี้ผมโดนจับที่อินเดีย นี่ก็เป็นเวลา 1 ปีกว่าแล้ว ก็ไม่รู้จะได้กลับเมื่อไร ...." เป็นจดหมายที่ผู้ชาย อกสามศอกในวัยกำยำคนหนึ่ง เขียนถึงแม่ ...เล่าชีวิตรันทดของเขา

“กราบแทบเท้าแม่ที่เคารพรักเป็นอย่างสูง แม่ครับตอนนี้ผมโดนจับที่อินเดีย นี่ก็เป็นเวลา 1 ปีกว่าแล้ว ก็ไม่รู้จะได้กลับเมื่อไร คดียังไม่เสร็จ เดินเรื่องช้ามาก จะติดต่อให้ทูตช่วยก็ติดต่อไม่ได้เลย ที่ผมได้ส่งจดหมายมาได้เพราะ ได้เจอกับทหารไทยที่มาประเทศอินเดีย เขาให้ความช่วยเหลือเป็นธุระช่วยส่งจดหมายให้ผม"

"ตอนนี้ผมก็ลำบากพอสมควร เพราะทางเถ้าแก่เมืองไทยเขาไม่รับผิดชอบให้ความช่วยเหลืออะไรเลย มีแต่ทางอินเดียที่เขาให้เพียงแต่ข้าวกินไปวันหนึ่ง เสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน ของใช้ต่างๆ ก็ไม่มีเงินให้ซื้อ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมทำใจได้ เป็นห่วงเพียงแม่คนเดียว สุดท้ายนี้ ผมขออำนาจของหลวงพ่อทวด ช่วยคุ้มครองแม่ผมให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาวตลอดไปด้วยเทอญ"


รักเทิดทูลแม่เสมอ

              “ลูกแม่”

 

**************************

 

ชีวิตแรงงานประมงที่ยังรอคอยความช่วยเหลือ สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือได้กลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ ได้แต่นั่งรอนับจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แต่ยังไร้หนทาง.......

ชีวิตของลูกเรือประมงที่ต้องทำงานหนักกลางทะเล ไม่รู้วันรู้เวลา ชีวิตที่เสี่ยงกับความตายทุกวินาทีท่ามกลางมรสุมทะเล อุปกรณ์เครื่องมือการหาปลาที่มีขนาดใหญ่ ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งต้องละทิ้งครอบครัวมาอยู่กลางทะเลนับปีถึงจะได้เข้าเยียบแผ่นดินสัก ครั้ง  หวังเพียงแค่จับปลาให้ได้มากที่สุด เพื่อแลกกับค่าแรงที่แสนจะต่ำจะได้รับมากขึ้นตามจำนวนปลาที่เพิ่มขึ้นเพียง เท่านั้น  ด้วยวิธีการจากความเห็นแก่ตัวของผู้ประกอบการ ที่ไม่ได้คำนึงถึงขอบเขตน่านน้ำในการหาปลาที่ถูกต้องตามกฎหมาย นึกเพียงอย่างเดียว คือผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี  ผลสุดท้ายการกระทำผิดกฎหมายนั้นต้องตกอยู่กับลูกเรือประมง  ชีวิตที่ต้องอยู่เพียงแต่เรือท่ามกลางท้องทะเล กลับกลายเป็นชีวิตที่ต้องอยู่ในคุกต่างแดน

การถูกจับกุมในน่านน้ำต่างแดน ในเขตน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย รัสเซีย อินเดีย และโซมาเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรทางทะเลเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการ ทำให้ลูกเรือประมงกลายเป็นนักโทษที่กระทำผิดกฎหมาย อยู่อย่างนักโทษ กินข้าวเพียงวันละมื้อ เสื้อผ้าของใช้ไม่มีให้หาซื้อใช้กันเองแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ ต้องทนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่

นี่คือสิ่งที่เจ้าของน่านน้ำมอบให้ สภาพชีวิตที่ไร้ค่าที่ไม่ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการ  สิ่งที่ผู้ประกอบการจะไถ่ออกมาเป็นอันดับแรกคือเรือประมง ที่เป็นสินทรัพย์ของตัวเอง หากลูกเรือเป็นแรงงานที่มีฝีมือ ยังคงมีประโยชน์ในการทำงานได้ก็จะได้รับการช่วยเหลือออกมาพร้อมเรือ หากแต่เป็นลูกเรือที่ไร้ตำแหน่งไร้ฝีมือ ก็ไร้ความช่วยเหลือ หรือเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ประกอบการจะยอมเสียเงินไถ่กลับคืนมา นี่เหรอคือสิ่งที่ลูกเรือประมงควรจะได้รับ จากไม่รับผิดชอบของผู้ประกอบการประมงนอกน่านน้ำไทย

จากจดหมายของลูกเรือไทยรายหนึ่ง ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้รับข้อมูลจากผู้เป็นญาติได้เล่าว่าหลานชายของตนได้เป็นหนึ่งในลูกเรือ ประมงที่ถูกจับในประเทศอินเดียในช่วงปี 2549 เนื่องจากไต้ก๋งเรือได้นำเรือประมงเข้าลุกล้ำน่านน้ำประเทศอินเดีย และได้ถูกจับกุมทั้งเรือและลูกเรือทั้งหมดดำเนินคดีขังคุกในประเทศอินเดีย จากข้อมูลได้กล่าวว่ายังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางสถานทูต หรือกระทรวงการต่างประเทศแต่อย่างไร ส่วนผู้ประกอบการเรือประมงดังกล่าวไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ หรือรับผิดชอบ สิ่งที่ผู้ประกอบการได้ทำคือ ทำการไถ่เรือประมงทรัพย์สินของตนเอง พร้อมกับไต้ก๋งเรือ และลูกเรือที่มีต่ำแหน่งและมีฝีมือในการทำประมงเพียงเท่านั้น ทำให้ลูกเรือประมงที่เป็นเพียงแรงงานลูกมือไร้ฝีมือต้องติดคุกอินเดีย เพียงเพราะไม่ต้องการจะเสียค่าใช้จ่ายในการไถ่ตัวออกมา 

หลังจากที่ผู้เป็นแม่ได้รับทราบข่าวจากลูกชายของตนเอง ก็ได้หาทุกวิธีทางที่จะช่วยลูกชายให้หลุดพ้นจากการจับกุมครั้งนี้ ผู้เป็นแม่ได้เข้าขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทย และสถานทูตอินเดียในไทย ได้รับคำตอบเพียงแค่ว่า “ ให้ติดต่อไปที่สถานทูตที่อินเดียเอง ”

สิ่งที่ผู้เป็นแม่พยายามได้ไร้ผล เพราะเพียงแค่เป็นประชาชนธรรมดาไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้นหรือ ถึงไม่เหลียวแล และให้ความช่วยกันอย่างที่ควรจะทำให้ สุดท้ายต้องรอให้คดีสิ้นสุดไปเอง และด้วยสภาพเป็นอยู่ในระหว่างการถูกจับกุมที่ย่ำแย่และทรมานทำให้ ลูกชายของแม่ไม่สามารถอดทนรอจนสิ้นสุดคดี ได้เสียชีวิตลงในระหว่างถูกขังคุกในประเทศอินเดีย นี่คือสิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้รับ หลังจากรอคอยการกลับมาของผู้ที่เป็นลูกถูกขังคุกในประเทศอินเดีย สิ่งที่คงเหลือไว้ต่างหน้าคือจดหมายฉบับสุดท้ายจากลูกชายได้สั่งเสียไว้

จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายที่ลูกเรือประมงไทยได้เขียนถึงแม่ ด้วยความหวังว่าจะกลับมาอยู่ดูแลแม่หลังจากออกจากคุกอินเดีย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นลูกเรือประมงไทยได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมๆ กับเพื่อนลูกเรือด้วยกัน แต่สิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้พบเหลือเพียงแค่เถ้ากระดูกของผู้เป็นลูกเพียงเท่านั้น

ชีวิตที่ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ค่าจากผู้ที่เป็นเจ้าของเรือ ผู้ประกอบการ ด้วยเพียงแค่เป็นลูกเรือที่ไม่มีต่ำแหน่งสำคัญอย่างใดบนเรือ ไม่มีค่าเพียงพอต่อการช่วยเหลือ หรือเป็นเพราะว่าความเห็นแก่ตัวของผู้ประกอบการ ลูกเรือไทยได้กลายเป็นหนึ่งในลูกเรือที่ถูกกระทำเช่นนี้ จากผู้ประกอบการที่หวังเพียงแต่ผลิตผลจากท้องทะเลเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของลูกเรือแม้แต่น้อย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามผู้ที่เป็นนายจ้างไม่ควรทอดทิ้งผู้ที่เป็นลูกจ้าง ให้ตกอยู่ในสภาพอย่างนี้

นอกจากนี้ยังมีลูกเรืออีกเป็นจำนวนมากที่ถูกกระทำเช่นเดียวกัน เช่น เรือประมงนอกน่านน้ำลำหนึ่งจากปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ได้ลักลอบเข้าไปจับปลาในน่านน้ำประเทศอินโดนนีเซีย และได้ถูกจับกุมในน่านน้ำอินโดนีเซีย เรือพร้อมด้วยลูกเรือทั้งหมดถูกจับกุมตัวลูกเรือที่ไม่รู้เรื่องกลับต้องตกเป็นตัวประกันรอวันผู้ประกอบการมาไถ่ตัวออกไป แต่ผู้ประกอบการกลับไถ่เพียงแค่เรือประมง และลูกเรือที่สำคัญกับกิจการประมงของเขาออกไปเท่านั้น

นับตั้งแต่วันนั้นลูกเรือทั้งหมดก็ยังคงต้องอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะนักโทษที่กระทำความผิดตามกฎหมาย หรือเป็นตัวประกันเพียงเพื่อต้องการค่าไถ่ตัวจากผู้ประกอบการ และญาติของลูกเรือ เพราะจากข้อมูลที่ลูกเรือได้ให้มานั้น ได้กล่าวว่า ลูกเรือทั้งหมดไม่ได้อยู่ในคุก ไม่มีการขึ้นศาล แต่ถูกเจ้าหน้าที่ของสมาคมประมงเมืองเปอร์มังกัต ประเทศอินโดนีเซีย กักตัวไว้ในบริเวณสมาคมประมง สภาพความเป็นอยู่อนาถา ได้กินข้าวในแต่และวันเพียง 2 มื้อ ต้องออกไปรับจ้างงานก่อสร้าง ขึ้นปลา และก็งานอื่นๆ อีกมากมายที่เขาต้องการให้ทำ ค่าจ้างที่ได้มาก็เพียงเล็กน้อย แทบจะไม่พอที่จะซื้อมาม่ากินกับข้าวในแต่ละวัน หากถามว่าทำไมไม่หนีออกมา คำตอบที่ได้รับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดหนี แต่หนีไปแล้วไม่พ้น ถูกจับได้ก็จะโดนซ้อม ทำร้ายร่างกายปางตาย ด้วยความย่ำแย่ของสภาพความเป็นอยู่ ขออย่าได้เจ็บป่วยใดๆเลย

และนี้ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศแต่อย่างใด ผู้เป็นญาติได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวที่เข้าไปติดต่อ แต่เรื่องก็ยังคงเงียบไป จนต้องทำการติดต่อทางสมาคมประเทศอินโดนีเซียเอง และมีการโอนเงินให้กับทางสมาคมเป็นจำนวนหลายแสนบาทหวังเพียงเพื่อต้องการไถ่ ตัวลูกเรือที่เป็นญาติคนอื่นๆออกมาด้วย แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เงินที่สูญไปเปล่าแต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทำให้สิ้นหวังทั้งทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงแค่การทำใจเท่านั้น ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นเพียงเท่านี้หรือ

ใครจะสามารถช่วยลูกเรือที่ประสพชะตากรรมเหล่านี้ได้ หรือจะให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับแรงงานประมงเรื่อยไป ถูกทอดทิ้งและจบชีวิตลงเพียงเท่านี้  หรือต้องมีจดหมายสั่งเสียฉบับต่อไป...

นางสาวมาลิสา พรมโคตร์
ศูนย์ปฎิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์
มูลนิธิกระจกเงา
www.notforsale.in.th

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 12:41:47 AM »

แนวหน้า


สตูลฮือต้านรื้อถอนรีสอร์ท อบจ.ร่อนหนังสือร้องพ่อเมือง ชี้คำสั่งกฤษฎีกาไม่เป็นธรรม

สตูล:นายธานินทร์ ใจสมุทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สตูล เปิดเผยว่า ตามที่ภาคส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสตูล พร้อมด้วยหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว ได้เปิดเวทีเสวนา “ทิศทางและโอกาสการลงทุนการท่องเที่ยวจังหวัดสตูล” เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้มีการหยิบยกปัญหาการก่อสร้างรีสอร์ท บนเกาะอาดัง อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ของบริษัท อาดัง รีสอร์ท จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานและมีการก่อสร้างอาคารรีสอร์ทบนเกาะจนใกล้แล้วเสร็จไปกว่า 80% แล้วนั้นจนเกิดข้อพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เนื่องจากเป็นพื้นที่ทับซ้อนและมีการให้คณะกรรมการกฤษฎีตีความออกมาว่า ทางกรมอุทยานฯ มีอำนาจในการสั่งรื้อถอนได้นั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นภาคเอกชนซึ่งได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คำสั่งรื้อถอนดังกล่าวถือว่าไม่เป็นธรรมทำให้บรรยากาศของการท่องเที่ยวการลง ทุนต้องเสียไป และขาดความน่าเชื่อถือ พร้อมกันนี้ยังเห็นว่าการที่อุทยานฯ สั่งรื้อถอนการก่อสร้างรีสอร์ท ของบริษัทรับสัมปทานนั้นไม่สมควร

ล่าสุดตนพร้อมด้วยสมาชิกได้นำหนังสือมติองค์กรท้องถิ่นและองค์กรภาคเอกชน 7 องค์กรที่ลงรายชื่อกว่า 100 คน และมติของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในการแสดงเจตจำนง ให้มีการชะลอคำสั่งรื้อถอนโครงการฯ ไปก่อน และเสนอให้มีการแก้ปัญหาให้บริษัท อาดังรีดสอร์ท จำกัด ได้ดำเนินโครงการต่อไปผ่านนายช่วงชัย เปาอินทร์ รองผวจ.สตูล เพื่อให้ ผวจ.สตูล ได้พิจารณา

นายธานินทร์ เปิดเผยอีกว่า เมื่อการเจรจาระดับจังหวัดไม่ได้ผล ก็เดินทางไปเจรจาระดับประเทศแล้วก็จะเรียนถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพราะประชาชนเดือดร้อนและเรียนอย่างหนึ่งว่าสตูลเป็นเมืองสงบมานานแล้วเรา ไม่ต้องการไม่ให้เกิดความไม่สงบและการกระทำของราชการและวันนี้พวกเราไม่พอใจ จริง เราขอเจรจาอย่างสันติสุขไม่ยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ของคนทั้ง ประเทศ ผมไม่ได้ขู่แต่ถ้ากระทำจริง ๆ พวกเราก็ไม่ยอม

อีกทั้งจากการเดินทางไปดูพื้นที่ก่อสร้างรีสอร์ทบนเกาะอาดังแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะทำความเสียหายอะไร บริษัทฯก็ได้ก่อสร้างบนพื้นที่ของธนารักษ์ที่ได้รับอนุญาตไม่ได้ถางป่าจนโล่งเตียนแต่อย่างใด

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2008, 12:49:35 AM »

สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น


เปิดตัวโครงการ “ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล”
 
   

    เปิด ตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว สำหรับโครงการ “ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล” ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังภูเก็ต มูลนิธิเพื่อทะเลไทย และอีกหลายหน่วยงานจากภาคเอกชน ร่วมกันจัดขึ้น โครงการนี้เป็นการนำเครื่องบินจากกองทัพอากาศ จำนวน 10 ลำ ที่ปลดระวาง หลังสงครามเกาหลี-เวียดนาม ประกอบด้วยเครื่องบินลำเลียงรุ่น ดาโกต้า (DAKOTA) จำนวน 4 ลำ และ เฮลิคอปเตอร์ จำนวน 6 ลำ ไปจัดวางเป็นแนวปะการังเทียม ในพื้นอ่าวบางเทา ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อเป็นการสร้างแหล่งดำน้ำแห่งใหม่ และ ส่งเสริมให้จังหวัดภูเก็ต เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลก

รวมทั้งเพื่อลดความเสียหายของปะการังธรรมชาติ และลดความแออัดของนักดำน้ำในแหล่งดำน้ำธรรมชาติ ขณะเดียวกันเชื่อว่า จะทำให้เกิดแรงจูงใจดึงดูดนักดำน้ำได้ดี ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้



และในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 จะมีการเปิดให้นักดำน้ำกลุ่มแรกดำน้ำลงไปชมจุดดำน้ำใหม่ โดยจะมีการจำหน่ายบัตรกับนักดำน้ำที่สนใจลงไปดำน้ำในวันนั้น ในราคาท่านละ 3,500 บาท นักดำน้ำที่ลงดำน้ำในวันนั้นจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าเป็นนักดำน้ำกลุ่มแรกที่ได้ลงดำน้ำชม

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.11 วินาที กับ 21 คำสั่ง