กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 18, 2024, 06:59:53 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2551  (อ่าน 2873 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 01:53:38 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

ลักษณะอากาศทั่วไป 
   
   
    บริเวณ ความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและ ทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเล็กน้อยกับมีอากาศหนาวเย็น โดยอุณหภูมิ จะลดลง 1-3 องศา และ มีลมแรง
    สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัด ปกคลุมภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนหนา แน่น และมีฝนหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยตามภูเขาสูงและริมแม่น้ำบริเวณดังกล่าว ระมัดระวังอันตรายจากภาวะฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 6-9 ธันวาคม 2551ไว้ด้วย
   
         
     พยากรณ์อากาศสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล
         
   
มีเมฆมากกับมีฝนเล็กน้อย และมีลมแรง
อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 32 องศา
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
   
   
     คาดหมาย

     ใน ช่วงวันที่ 5-10 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ตอนบนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศหนาวเย็นต่อไปอีก โดยอุณหภูมิจะลดลง 4-6 องศากับมีลมแรง สำหรับในช่วงวันที่ 6-10 ธ.ค. มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง จะเคลื่อนผ่านประเทศมาเลเซียในช่วงวันที่ 6-8 ธ.ค. ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ตอนล่างจะมี ฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยสูง 2-4 เมตร
     
      ข้อควรระวัง

     ใน ช่วงวันที่ 6-10 ธ.ค. ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคใต้ตอนล่างบริเวณจังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ และชาวเรือในอ่าวไทยระวังอันตรายจากการเดินเรือในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


* SEch2.jpg (83.74 KB, 600x600 - ดู 289 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2008, 01:55:13 AM โดย Sri_Nuan.Ray » บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 02:04:38 AM »

มติชน

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ฉบับที่ 2


คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการประชวรว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้น มีพระปรอท (ไข้) ต่ำกว่าเมื่อวานนี้ ทรงพระกรรสะ (ไอ) เล็กน้อย ผลการตรวจเอกซเรย์พระอุระไม่พบการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) และพระหทัย (หัวใจ) ปกติ ผลการตรวจพระเสมหะโดยกล้องจุลทรรศน์ซ้ำในวันนี้ไม่พบเชื้อแบคทีเรีย ผลการตรวจดีเอ็นเอของไวรัสไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza A and B) และกำลังตรวจสอบเพื่อหาเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ต่อไป นอกจากนั้นยังเสวยพระกระยาหารเหลวได้มากขึ้น คณะแพทย์จึงได้ถวายน้ำเกลือผสมน้ำตาลทดแทนน้อยลง

จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

สำนักพระราชวัง

6 ธันวาคม 2551

 

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร ฉบับที่ 3
 

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร ฉบับที่ 3 ความว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการประชวร ว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้นเป็นลำดับ พระปรอท (ไข้) ลดลงอีกจากเมื่อวันวาน (6 ธ.ค.) จนบางเวลาถึงระดับปกติ เจ็บพระศอ (คอ) น้อยลง เสวยพระกระยาหารอ่อนได้ ผลของการตรวจพระโลหิตติดตามพระอาการเมื่อวานนี้  (6 ธ.ค.) แสดงว่า การอักเสบลดลง
       

จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
สำนักพระราชวัง
7 ธันวาคม พุทธศักราช 2551

 
บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 02:06:00 AM »

ข่าวสด

วิวัฒนาการเต่า





นัก วิทยาศาสตร์จากแคนาดา จีน และสหรัฐ เชื่อว่า พบจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งของวิวัฒนาการเต่าแล้ว หลังจากนำฟอสซิลที่พบจากมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน อายุ 220 ล้านปีมาศึกษา

ฟอสซิ ลนี้เป็นของเต่า 3 ตัว มีลักษณะแตกต่างไปจากฟอสซิลเต่าอื่นๆ คือ มีทั้งฟัน กระดองเต่าด้านบน แม้จะเป็นกระดองที่ยังไม่สมบูรณ์ ผู้ที่ค้นพบคือ ดร.หลี่ชุน จากสถาบันสัตว์มีกระดูกสันหลังโบราณ ประเทศจีน



เต่าเขียวที่กาลาปากอส


ดร.เชาชุนวู นักสัตว์และมานุษยโบราณวิทยา จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแคนาดา กล่าวว่า "ตั้งแต่ ค.ศ.1800s เป็นต้นมา มีหลายสมมติ ฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของเต่าหลายสมมติฐาน ซึ่งกระดองเต่านี้นับเป็นหลักฐานของขั้นตอนการวิวัฒนาการ และสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า กระดองเต่าส่วนล่างที่เรียกว่าพลาสตรอนอาจเป็นส่วนหนึ่งของการขยายกระดูก สันหลังและซี่โครง เพื่อให้เกิดการก่อตัวที่กระดองเต่าด้านบนหรือที่เรียกว่าคาราเพซ ขั้นตอนการเกิดกระดองเต่านี้ยังตรงกับการสร้างกระดองในลูกเต่าด้วย"



สำ หรับฟอสซิลเต่าอายุมากที่สุดเท่าที่เคยพบก่อนหน้านี้ เป็นฟอสซิลจากเยอรมนี อายุประมาณ 210 ล้านปี แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการเต่า นอกจากนี้ คณะของ ดร.เชาชุนวู ยังพบอีกด้วยว่า เต่าเป็นสัตว์น้ำ ไม่ใช่สัตว์บก เนื่องจากกระดองส่วนล่างของมันมีหน้าที่ป้องกันศัตรูที่อยู่ในน้ำ
บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #3 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 03:08:11 AM »

ขออนุญาติมาช่วยเพิ่มเติมนะค่ะ พี่ติ่ง

มติชน

"แคดเมียม"ลุ่มน้ำตาว เร่งรัฐพิสูจน์ที่มาสารพิษ

 
เป็นเวลาถึง 5 ปี หลังจากสถาบันจัดการทรัพยากรน้ำนานาชาติ นำเสนอผลศึกษาการปนเปื้อนแคดเมียมในดิน และข้าวพื้นที่ 554 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 13,000 ไร่ ของ ต.แม่ตาว ต.พระธาตุผาแดง และ ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตากรวม 13 หมู่บ้าน เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2546 กระนั้นผลการศึกษาพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมียมยังไม่กระจ่างชัด โดยเฉพาะแหล่งที่มาของสารแคดเมียม เพราะหลักฐานที่มาของสารแคดเมียมอาจเป็นไปได้ทั้งเหตุจากธรรมชาติ และการเปิดหน้าดินโดยไม่มีมาตรการควบคุมตะกอนดิน

แต่ข่าวการปนเปื้อน "แคดเมียม" แพร่สะพัด ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกหวาดผวา หลายคนเลิกปลูกข้าวเพราะเกรงสารพิษดูดซึมเข้าไปสู่ต้นข้าว

นายเชิดศักดิ์ ชูศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาสารแคดเมียม ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันมีพื้นที่ที่ได้รับการแก้ไขปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยงดปลูกพืชห่วงโซ่อาหารไปแล้วกว่า 7,500 ไร่ หรือเกือบร้อยละ 60 ของพื้นที่ปนเปื้อน 13,000 ไร่
 

จากการประเมินของกำนันผู้ใหญ่บ้านคาดว่า เกษตรกรกว่าร้อยละ 50 ที่ปลูกข้าวในฤดูกาลที่แล้ว เปลี่ยนมาปลูกอ้อยในปี 2552 เพราะเห็นว่าโรงงานเอทานอลก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่าร้อยละ 95 และจะเปิดหีบอ้อยในเดือนมกราคมปีหน้า ประกอบกับอ้อยเป็นพืชที่ประกันราคาจากภาครัฐ ในขณะที่พืชอื่นราคาตกต่ำทำให้เกษตรกรมั่นใจในการปลูกอ้อยมากยิ่งขึ้น

"ส่วนพื้นที่ที่ปลูกข้าวยังมีอยู่บ้าง ทางจังหวัดมีมาตรการป้องกัน และจัดเก็บข้าวปนเปื้อน โดยหารือร่วมกับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงผู้ประกอบการรับซื้อข้าวในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้รับแจ้งว่า ทางศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมศึกษาวิจัยวิธีการปลูกข้าวที่ไม่ดูดซึมแคดเมียมในพื้นที่" นายเชิดศักดิ ์กล่าว

ด้านการดูแลสุขภาพของผู้ที่มีผลแคดเมียมเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 844 ราย ทางโรงพยาบาลแม่สอดตรวจติดตามผลอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดคลีนิคแคดเมียม ทุกบ่ายวันพุธ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน และในปี 2551-2552 โรงพยาบาลแม่สอดตรวจหาสารแคดเมียมในร่างกายประชากร 3 ตำบลใน 13 หมู่บ้าน ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปอีกครั้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะ จะแล้วเสร็จในทุกหมู่บ้านกลางปีหน้า

นพ.พิสิฐ ลิบปธนโชติ นายแพทย์ 8 อายุรแพทย์โรคไต กล่าวว่า คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขอำเภอแม่สอด ออกหน่วยให้ความรู้ด้านสุขศึกษา และตรวจหาระดับแคดเมียมในปัสสาวะในประชากร 7,730 ราย จาก 13 หมู่บ้าน 3 ตำบล ที่ปนเปื้อนของสารแคดเมียมในสิ่งแวดล้อม และพืชผลการเกษตรตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 พบว่าประชากร 6,886 ราย หรือ ร้อยละ 89.1 มีระดับแคดเมียมในปัสสาวะปกติ ส่วนประชากร 844 ราย ของการสำรวจทั้งหมดมีระดับแคดเมียมสูงกว่าปกติ โดยพบอยู่ในระดับค่อนข้างสูง 654 ราย หรือ ร้อยละ 8.5 ของประชากรในพื้นที่และสูงมากกว่า 10 ไมโครกรัม/กรัมครีเอตินิน จำนวน 190 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.4

นพ.พิสิฐกล่าวว่า ผลสำรวจตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา กลุ่มที่มีระดับแคดเมียมสูงกว่าปกติเสียชีวิตแล้ว 38 ราย พบว่า ทั้งหมดเสียชีวิตจากโรคอื่น ที่ไม่ใช่ภาวะไตเสื่อมโดยตรงได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, ปอดอักเสบ, หอบหืด, มะเร็งปอด, มะเร็งตับ, มะเร็งปากมดลูก และอื่นๆ

แม้ในทางการแพทย์ ชี้ระดับแคดเมียมไม่สูงพอที่จะทำอันตรายถึงชีวิต แต่ชาวแม่ตาวยังคงเฝ้ารอเมื่อไหร่ภาครัฐสามารถบ่งชี้ "แคดเมียม" ในผืนดินปนเปื้อนมาจากสาเหตุอะไรกันแน่

ขณะเดียวกัน รัฐควรเฝ้าดูแลเกษตรกรที่ยึดอาชีพปลูกข้าว เพราะหากผลผลิตยังคงมีสารแคดเมียมปนเปื้อน ภาพลักษณ์ จ.ตาก จะเสียหายไม่รู้จบสิ้น

บันทึกการเข้า
Sri_Nuan.Ray
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1808



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 03:10:00 AM »

ยินดีมากค่ะ มาช่วยกันหาข้อมูลที่เป็น ความเคลื่อนไหวให้กับพวกเรา

ทุกท่านที่เข้ามาอ่านก็สามารถมาช่วยกันได้นะคะ
บันทึกการเข้า

~~~ หากเราหยุดนิ่ง ทุกอย่างที่ผ่านมา คือ อดีต.... ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมันจะได้เป็นอดีตที่มีค่าแก่ ความทรงจำของเรา  ~~~
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #5 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 03:14:09 AM »

ไทยรัฐ

กินปลาดีกว่าน้ำมันปลา ป้องกันความเสี่ยง -โรค หัวใจ  

สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์
มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล

นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆกัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นอีกด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็งแล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย.
 
 
บันทึกการเข้า
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #6 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 03:17:36 AM »

ไทยรัฐ

ลอกกาวออกจากเส้นไหม ด้วยน้ำหมักสับปะรดกับ มะละกอ  


ผ้าไหม....มีกระบวนการผลิตก่อนนำเส้นไปทอและตัดเป็นเครื่องนุ่งห่ม ต้องผ่านการลอกกาวออกจากเส้นไหมเสียก่อน มิฉะนั้นการย้อมสีไม่ติด...!!!

ปัจจุบันผู้ประกอบการทอผ้าไหมจะพัฒนาโดยการใช้ สารเคมี จำพวก โซเดียมคาร์บอเนต ซึ่งจะมีน้ำเสียปล่อยทิ้งสู่ธรรมชาติ ทำให้ค่า pH สูงถึง 8-9 กลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

อาจารย์ศรันยา เกษมบุญญากร หัวหน้าสาขาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ร่วมกับนิสิตจากภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกอบด้วย นางสาวทักษอร แซ่ยุ้ง กับ นางสาววรวรรณ รุ้งแสงเจริญทิพย์ จึงทำโครงการวิจัย “การลอกกาวไหมด้วยเอนไซม์ธรรมชาติ” ด้วย เอนไซม์ปาเปน จาก มะละกอดิบ กับ เอนไซม์โบรมิเลน จาก น้ำสับปะรด โดยวิธีการแช่หมักและการแช่หมักและเติม Wetting agent พร้อมกับนำไปเปรียบเทียบกับ การใช้สารเคมี

อาจารย์ศรันยา เกษมบุญญากร บอกว่า...การศึกษาผลการลอกกาวจากร้อยละของน้ำหนักที่สูญหาย รวมถึงความรู้สึกสัมผัสและความขาวของเส้นใย วิธีการใช้โดยเริ่มหาน้ำหนักไหมดิบ (ที่เป็นเส้นยังไม่ได้ย้อมสี) แล้วนำเข้าอบด้วยเครื่องอบ (WTC binder) ที่ อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง จากนั้นนำไหมเข้าเครื่องดูดความชื้นนาน 90 นาที หรือจนกว่าค่าความชื้นคงที่ ชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งดิจิตอล


ขั้นตอน....นำไหมดิบไปลอกกาวด้วย มะละกอดิบ และ น้ำสับปะรด ใช้อัตราส่วนน้ำ : ไหม เท่ากับ 10 : 1 ใส่มะละกอดิบหรือน้ำสับปะรด 2 เท่าของน้ำหนักไหม แช่หมักรวมกันพร้อมกับขยำทำความสะอาดเป็นระยะๆในเวลานาน 30 นาที 60 นาที และ 90 นาที ก่อนจะล้างไหมด้วยน้ำให้สะอาด 5 ครั้ง และผึ่งบนราวให้แห้งสนิท

ส่วนวิธีการลอกกาวโดยใช้สารเคมี ใช้อัตราส่วน น้ำ : ไหม เท่ากับ 30 : 1 โซเดียมคาร์บอเนต 5% ของน้ำหนักไหม Wetting agent 1% ของน้ำหนักไหม นำไหมดิบลงต้มที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที ล้างไหมด้วยน้ำให้สะอาด 5 ครั้ง ผึ่งไหมให้แห้งสนิท หาน้ำหนักไหมหลังการลอกกาวด้วยวิธีการเดียวกับการหาน้ำหนักก่อนการลอกกาว


ผลการทดลองพบว่า....การลอกกาวไหมด้วยน้ำสับปะรดได้ผลดีกว่าใช้มะละกอ ซึ่งจะให้ผลดีกว่าเมื่อใช้ Wetting agent และการใช้เวลาที่นานกว่าจะให้ผลที่ดีมากขึ้น ทั้งนี้ ผลการลอกกาวด้วยสารเคมี น้ำสับปะรดและมะละกอดิบ โดยมี Wetting agent ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละ น้ำหนักที่สูญหาย 22.480, 10.803, 13.820 ตามลำดับ

ฉะนั้น หากจะต่อยอดผลงานนี้ เพื่อต้องการให้ผู้ประกอบอาชีพทำผ้าไหมหันมาปรับเปลี่ยนจาก การลอก กาวไหมด้วยสารเคมี มา ใช้เอนไซม์ จากธรรมชาติ แล้ว ย่อมสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งยังประหยัดเงินที่ใช้ซื้อสารเคมีอีกด้วย.
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #7 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2008, 03:55:58 AM »

ขอบคุณค๊าบบ 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.306 วินาที กับ 20 คำสั่ง