กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 28, 2025, 06:03:45 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2552  (อ่าน 3599 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 02:57:31 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

ลักษณะอากาศทั่วไป   
 
บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยเกิดพายุฤดูร้อนขึ้นได้ โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงและอาจมีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติดังกล่าวในช่วง 1 - 2 นี้ไว้ด้วย 
 
พยากรณ์อากาศสำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล   
 
อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรงเป็นแห่ง ๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา
ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. 
 
คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 1 – 3 มีค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนอบอ้าว ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของ ฝนฟ้าคะนอง และมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่ในระยะแรก ต่อจากนั้นอุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 4-7 มีค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้อากาศร้อนขึ้น สำหรับสภาวะฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงจะลดน้อยลง
     
ข้อควรระวัง
     
ในช่วงวันที่ 1 – 3 มี.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ซึ่งจะมีลักษณะฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง

 
 
 
 
 
 
 
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 03:07:51 AM »

มติชน

โลกร้อน...ร้อน ในกระทรวงร้อนๆ..ทส.  โดย ชุติมา นุ่นมัน aae_ok@yahoo.com
 
ในเรื่องของสภาวะแวดล้อม และเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ หากไม่คิดอะไรมาก มองกันแบบชิว ชิว หรือมีชีวิตไปวัน วัน เราก็พออยู่ได้



ร้อนก็เปิดแอร์ หนาวก็ห่มผ้า ใครมาบอกว่าโลกเราร้อนขึ้น ก็ใช้ถุงผ้า หรือไม่ก็ตามพรรคพวกที่ทำงานไปสร้างฝาย เพราะเขาพูดกันว่าสร้างฝาย และใช้ถุงผ้าแก้ปัญหาโลกร้อนได้

ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่คิดอะไรมาก คิดไปทำไมให้เครียด ลำพังสภาพเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันนี้ก็แย่พอแล้ว อะไรที่พอจับจ่ายบำรุงบำเรอความสุขได้ก็ทำไปเถอะ...

แต่ในขณะที่เรายังต้องสูดเอาอากาศที่ปนเปื้อนสารอะไรต่อมิอะไรทั้งที่อันตรายและที่ร่างกายยังพอรับได้เข้าไปในร่างกายของเราอยู่ เราต้องกินต้องใช้ อาหาร ข้าวของ ที่ทั้งมีคุณภาพหรือด้อยคุณภาพยังต้องเสียภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่

เราคงต้องย้อนมองการทำงานขององค์กรที่ต้องทำงานแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้กันบ้าง

ในแต่ละปี รัฐบาลทุกชุดได้จัดงบประมาณสำหรับการดูแล ทำนุบำรุง และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมนับหมื่นล้านบาท โดยในปี 2552 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ ทส.ได้รับงบประมาณเป็นตัวเลขกลมๆ จำนวน 22,000 ล้านบาท ไม่รวมงบฯกลางกับงบฯฉุกเฉิน และเงินพิเศษอื่นๆ ที่แต่ละหน่วยงานจะได้รับต่างหาก เงินงบประมาณ ล้วนมาจากภาษีที่เก็บมาจากประชาชนตาดำๆ อย่างเราทั้งสิ้น

เราจึงมีสิทธิที่จะตรวจสอบ และรับรู้ถึงการใช้จ่ายงบประมาณเหล่านั้น ว่าคุ้มค่าหรือไม่ เอาเงินของเราไปทำอะไรอะไรให้เราได้ชื่นใจ หรือช้ำใจบ้าง

ปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปีนี้ กระแสเรื่องโลกร้อนมาแรงสุด เกือบทุกกรม กอง ใน ทส.ต่างก็มีกิจกรรมสำหรับการนี้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์กรหลักใน ทส.ที่จะดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมก็ได้รับงบประมาณ สำหรับกิจกรรมแก้และลดปัญหาโลกร้อน

กรมอุทยานฯใช้เงินราว 770 ล้าน กรมป่าไม้ 200 ล้านบาท และกรมทรัพยากรทะเลฯอีกเกือบๆ 100 ล้านบาท แก้ปัญหาโลกร้อน

กรมอุทยานฯสร้างฝายและปลูกแฝก

กรมป่าไม้ สร้างฝาย ปลูกหวาย และปลูกป่า

กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ปลูกป่าชายเลน และจัดนิทรรศการให้ความรู้

ทุกหน่วยงานล้วนถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการใช้งบประมาณ ว่าคุ้มค่าแค่ไหน และสุจริตหรือไม่

โครงการฝายแม้วของกรมอุทยานฯก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะมีการร้องเรียน และหลักฐานการทุจริต

ขณะที่คณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนฯ ได้เข้าไปตรวจสอบการสร้างฝาย ปลูกหวาย และปลูกป่า ภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาโลกร้อนของ ทส.ใช้เงินงบประมาณ 199.55 ล้านบาท โดยจัดให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 157 คน ดำเนินการ 3 อย่าง คือ ปลูกป่า 200 ไร่ ปลูกหวาย 100 ไร่ และสร้างฝายแม้วจำนวน 70 ตัว ภายใต้งบประมาณ 1 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า เมื่อ กมธ.เข้าไปตรวจการดำเนินการเรื่องนี้ในพื้นที่ จ.ลพบุรี กลับพบว่า ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่สมบูรณ์เลย ได้ปลูกป่าไปเพียง 40 ไร่เท่านั้น ทั้งๆ ที่โครงการนี้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม มีการเบิกใช้งบประมาณไปหมดแล้ว

และยังมีรายงานด้วยว่า มีอีกหลายพื้นที่ที่มีลักษณะเดียวกัน เรื่องนี้ยังคงคั่งค้างและไม่มีคำอธิบายใดๆ ออกมาจากปากผู้ที่เกี่ยวข้อง

ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง กรมป่าไม้ยังถูกร้องเรียนอีกรอบ เมื่อคณะกรรมาธิการชุดเดิมได้พิจารณาคำร้องเรียนขอให้ตรวจสอบเรื่องการใช้เงินที่ได้รับมาจากหน่วยงานที่ได้รับสัมปทานในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม หรือพื้นที่ ที่กรมป่าไม้ดูแลอยู่ โดยหน่วยงานดังกล่าวจะต้องจัดเงินส่วนหนึ่งเพื่อนำไปจัดการปลูกป่าชดเชยตลอดระยะเวลาที่ได้รับสัมปทาน ถือเป็นเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ในสัญญาสัมปทาน กรมป่าไม้จะได้รับเงินจากเงื่อนไขดังกล่าวนี้ปีละประมาณ 70 ล้านบาท เพื่อปลูกป่าในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบการใช้เงินดังกล่าวเลย ว่าไปปลูกป่ากันที่ไหนอย่างไร ปลูกกันจริงหรือไม่ เพราะไม่ใช่งบประมาณหลัก ทำให้เกิดข้อสงสัยกันว่า อาจจะมีการทุจริต และนำเงินดังกล่าวไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง

อีกหน่วยงานที่ทำกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน คือกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)

ทช.ร่วมกับกองทัพบก ทำโครงการมาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อน ภายใต้งบประมาณ 60 ล้านบาท ด้วยการสร้างพื้นที่สาธิต ที่สถานตากอากาศบางปู กองอำนายการสถานพักผ่อน กรมพลาธิการทหาร จ.สมุทรปราการ ใช้เงิน 40 ล้านบาท และอีก 20 ล้านบาท สำหรับปลูกป่าชายเลน จำนวน 5,000 ไร่ ที่ จ.นครศรีธรรมราช ระยอง และตราด มีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี มีส่วนประกอบหลักคือ แนวป้องกันชายฝั่งโดยใช้ไม้ไผ่ บ่อบำบัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติ กังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานลม และนิทรรศการภายในอาคารเพื่อแสดงเนื้อหาทางวิชาการ เปิดให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน เข้าไปหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

แต่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมจึงใช้งบประมาณในเรื่องการสร้างพื้นที่สาธิตมากถึง 40 ล้านบาท ทั้งๆ ที่สถานที่พักตากอากาศบางปู ของกองทัพบกนั้น มีการทำศูนย์เรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ได้รับคำชี้แจงว่า การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาโลกร้อน เงินจำนวนดังกล่าวไม่ถือว่ามากเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ ซึ่งในจำนวน 40 ล้านบาทนั้น 30% หรือประมาณ 12 ล้านบาท สำหรับทำกังหันลม 20% หรือ 8 ล้านบาท สำหรับสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย และ 10% หรือ 4 ล้านบาท สำหรับทำไม้ไผ่ปักกันคลื่น ที่เหลืออีก 40% หรือ 16 ล้านบาท ใช้ในการทำนิทรรศการและศูนย์เรียนรู้

คำตอบกระจ่างหรือไม่ คิดกันเอาเอง

เรื่อง อินเทรนด์ หรือที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ว่าด้วยเรื่อง ร้อนแล้ง และปัญหาหมอกควัน เป็นปัญหาที่หลายพื้นที่กำลังประสบ โดยเฉพาะภาคเหนือ มีปัญหาหนักเรื่องหมอกควัน ภาคกลาง อีสาน ก็ว่ากันว่าประสบปัญหาภัยแล้ง

ตั้งงบประมาณ ขุดบ่อ แจกโอ่งกันทุกปี โอ่งไม่เคยพอ น้ำในบ่อ หรืออ่างที่ขุดเอาไว้เมื่อปีก่อน หรือปีก่อนหน้าโน้น และโน้นโน้นก็ไม่เคยพอ

สิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดก็คือ เรารณรงค์เรื่องการหยุดเผาตอซัง หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหมอกควัน รวมทั้งเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดินเอาไว้ ทั้งเกษตรอำเภอ เกษตรจังหวัด นักวิชาการสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอ อธิบดี และรัฐมนตรี ทุกยุคทุกสมัยต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำดังกล่าวเลย

ทุกครั้งที่ขับหรือนั่งรถผ่านไร่ นา ช่วงเก็บเกี่ยวเสร็จ จะเห็นร่องรอยการเผาบนพื้นดินดำเป็นพืด เขม่าควันลอยล่องฟุ้งเต็มถนน

แสดงว่า งบประมาณที่จัดไว้เพื่อการนี้ ทุกปีที่ผ่านมาไม่ได้ผลเอาเสียเลยใช่หรือไม่

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ถามว่า หน่วยงานที่ดูแลสิ่งแวดล้อม อย่าง ทส.ทำให้เราชื่นใจ หรือว่าช้ำใจกันแน่
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 03:12:12 AM »

ไทยโพสต์ ซันเดย์

13 สมุนไพรอันตราย นัยแห่ง "ผลประโยชน์" ซ่อนไม่มิด

การประกาศให้พืชสมุนไพร  13  ชนิดที่เคยเห็นเคยกินกันแต่อ้อนแต่ออก  มาขึ้นบัญชีให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่  1  ของกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมวิชาการเกษตร  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ที่จับมือกันผุด  พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมา  สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับคนไทยไม่น้อย  อย่างแรกเพราะสังคมไม่เคยระแคะระคายมาก่อนว่ามีกฎหมายฉบับนี้
   
   อย่างที่สองคือ  ความสับสนแปลกใจ  และคาดไม่ถึงว่า  สมุนไพรที่อยู่ใกล้ตัว  ไม่ว่าสะเดา  ข่า  พริก  ขมิ้น  ขึ้นฉ่าย  (ที่เราบริโภคอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  และเป็นวัตถุดิบหลักของต้มยำกุ้งอาหารเลื่องชื่อระดับโลก)   หรือตะไคร้หอม  ที่เคยเอามาฉีดกันยุง  หรือหนอนตายหยาก  ที่พวกเกษตรกรเคยเอามาจำกัดแมลงศัตรูพืชมานมนาน  จะมากลายเป็น  "วัตถุอันตราย"  ได้

     ขณะที่เอ็นจีโอ  ที่มาแฉเรื่องนี้  ก็ยืนยันแล้วยืนยันอีกว่า  เรื่องนี้มี  "นัยซ่อนเร้น"  มีบริษัทผลิตสารเคมีเอี่ยวผลประโยชน์  ท่ามกลางการรู้เห็นเป็นใจของทางการไทย  และนี่ยังไม่นับถึงความสูญเสียใหญ่หลวงในการต่อยอดใช้ภูมิปัญญาบรรพบุรุษที่สั่งสมมากาลนาน  เพราะการมีพ.ร.บ.ฉบับนี้ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธการใช้สมุนไพรไทย  และปฏิเสธภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมของชาตินั่นเอง

     ท่ามกลางเสียงคัดค้าน  ไม่เห็นด้วยกึกก้อง  แต่ก็มีเพียง  2  เสียงเท่านั้น  คือ  กรมวิชาการเกษตร   กับกระทรวงอุตสาหกรรมเท่านั้น  ที่ยืนหยัดคอเป็นเอ็นว่า  การออกกฎหมายฉบับนี้เป็นเรื่องถูกต้อง  ส่วนกระแสคัดค้านที่เป็นอยู่  เป็นเรื่องของคน  "ไม่เข้าใจ"  กฎหมาย

     ความคิดเห็นของภาคส่วนอื่นๆ  จะเป็นอย่างไร  ลองฟังความเห็นดู

     เดชา  ศิริภัทร  ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ  กล่าวว่า  ก่อนประกาศฉบับนี้ออกมาเคยพูดคุยกับกรมวิชาการเกษตร   กระทรวงอุตสาหกรรม  กระทรวงสาธารณสุข  (สธ.)  ทางกรมวิชาการเกษตรชี้แจงว่าทำตามนโยบายลดการนำเข้าสารเคมีและส่งเสริมการใช้สมุนไพรในการกำจัดศัตรูพืช  มองว่าเป้าหมายตรงกัน  แต่การปฏิบัติไม่ถูกต้อง  และคิดว่าไม่มีความโปร่งใส  คณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดนี้มีบทบาทมาก  แม้จะครบวาระในวันที่  17  กุมภาพันธ์  2552  ที่ผ่านมา  แต่เร่งรีบจัดทำประกาศนี้ให้เสร็จให้ได้  ทั้งๆ  ที่ก็รู้ว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ที่จะเข้ามา  จะมีผู้แทนเพิ่ม  3  ฝ่ายจากทางองค์กรผู้คุ้มครองผู้บริโภค  จากฝ่ายเกษตรกรรมยั่งยืน  และฝ่ายวัถตุมีพิษในชนบท  ถ้าจะให้มีธรรมาภิบาลจริง  ต้องรอคณะกรรมการชุดใหม่

     "สธ.มีตัวแทนในคณะกรรมการชุดเก่า   ไม่ยอมรับมติ  13  พืชสมุนไพรเป็นวัตถุอันตราย  ขอเวลาปรึกษาหารือในวงกว้าง  ปรากฏไม่ทันประชุม  ประกาศออกมาเสียก่อน  ขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  ไม่ฟังเสียงทักท้วง  แล้วยังใช้วิธีทำหนังสือเวียนแทนการประชุมด้วย  ทำแบบนี้ถือว่าเร่งรีบ  รวบหัวรวบหาง  อ้างไม่ได้ด้วยว่าจำเป็นเร่งด่วน  เพราะไม่มีใครขอร้องให้ทำ  สธ.เคยทำเรื่องพืชสมุนไพรกวาวเครือ  จะป้องกันการหลอกขายผลิตภัณฑ์และสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ  กว่าจะประกาศใช้กฎหมายควบคุมกวาวเครือได้ต้องใช้เวลา  3  ปีเต็ม  เพื่อศึกษาข้อมูลผลดี-ผลเสีย  และให้ผ่านการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆ  นี่แค่กวาวเครือชนิดเดียว  แต่นี่พืชสมุนไพรถึง  13  ชนิด  รอไม่ได้  แสดงว่ามีเบื้องหลัง  ถ้ากรมวิชาการเกษตรบริสุทธิ์ใจจริง  ถอนประกาศฉบับนี้ออกไปเลย"

     ประธานมูลนิธิข้าวขวัญกล่าวอีกว่า  อยากให้ยกเลิกประกาศฉบับดังกล่าว  โดยให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายเข้ามาดำเนินงาน  ทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็น  เพื่อให้ได้มติซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย  ที่ผ่านมาฝ่ายเกษตรกรรมยั่งยืนเคยเสนอรัฐบาลมาแล้วตั้งแต่ปี  2545  หากรัฐมีนโยบาย  "ลดการใช้สารเคมี"  และเพิ่มการใช้สมุนไพรกำจัดแมลง  จะต้องประกาศมาตรการต่างๆ  ออกมา  เช่น  ห้ามโฆษณาสารเคมีกำจัดแมลง  เก็บภาษีจากธุรกิจเคมีการเกษตร  แล้วนำเงินภาษีเหล่านั้นมาจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการใช้สมุนไพรกำจัดศัตรูพืช  มั่นใจว่ามาตรการเหล่านี้ช่วยลดการใช้สารเคมีได้แน่นอน  เป็นข้อเสนอที่เกิดจากการมีระดมความคิดเห็นพี่น้องเกษตรกร  ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่เคยให้ความสนใจหรือสนับสนุนแต่อย่างใด  แต่กลับมาผลักดันออกประกาศพืชสมุนไพรวัตถุอันตรายที่ไม่ช่วยแก้ปัญหา  อ้างเกษตรกรคนยากคนจน  นักการเมืองไทย  ข้าราชการไทยทำแบบนี้มาตลอด

     จากประสบการณ์ทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืนมานาน   20  ปี  นักพัฒนาองค์กรเอกชนคนเดิมยืนยันว่า  การเกษตรทุกวันนี้ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและปัจจัยการผลิตจากภายนอก  โดยไม่สนใจความรู้ดั้งเดิมในการทำเกษตรของคนไทย  เป็นกลไกให้มีเงินสะพัดมหาศาล  แต่หาใบเสร็จไม่ได้  เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดเรื่องทุจริต  แต่อยากจะเน้นเรื่องธรรมาภิบาลที่ไม่โปร่งใสตั้งแต่ต้น  ยังไม่พูดถึงผลกระทบต่างๆ  ถ้ามีการกีดกันการค้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้กำจัดแมลง  ส่งเสริมสารเคมีมาใช้ในการเกษตร  ทำให้ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง  สุขภาพทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเสื่อมโทรม  น้ำเสียอากาศเป็นพิษ  อาหารตามธรรมชาติหมดไป  กระทบกันไปหมด  แล้วที่ชาวบ้านฟื้นฟูความรู้ดั้งเดิม  นำสมุนไพรที่มีประโยชน์มาหมักใช้ในการกำจัดแมลงจะปฏิบัติตัวยังไง  ไม่กล้าใช้  เพราะสวนทางกับประกาศฉบับนี้

     รศ.พร้อมจิต  ศรลัมพ์  อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล  แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า  การนำรายชื่อสมุนไพรทั้ง  13  ชนิด  ประกาศเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่   1  สร้างผลกระทบในวงกว้างกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ  ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือประชาชน  คนที่ไม่มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องสมุนไพร  จากที่ไม่เคยมีความสงสัยก็เกิดความสงสัยว่า  สมุนไพรที่กินอยู่ทุกวัน  ทำไมจึงเป็นวัตถุอันตรายเหมือนยาฆ่าแมลงได้  สาเหตุก็มาจากคำประกาศของรัฐที่ควรมีความน่าเชื่อถือสูงสุด   แต่กลับสร้างความสับสนให้ประชาชนและสังคมมากที่สุดในขณะนี้  และแม้ว่าจะมีการทบทวนประกาศดังกล่าว  คาดว่าความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อสมุนไพรก็คงไม่กลับมาเป็นเช่นเดิม

     ในด้านงานวิจัยก็ประสบปัญหา  นักวิชาการหลายคนบ่นไม่รู้จะเดินหน้าไปทางไหน  ยกตัวอย่างสารสกัดขมิ้นชัน  ขิง  พริก  ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักของชาติ  เดิมแพทย์สามารถสั่งจ่ายยาได้เลย  เพราะรัฐมีนโยบายใช้สมุนไพรทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ  ทว่าตอนนี้เกิดความชะงักงันไม่รู้ว่าการสั่งจ่ายจะมีความผิดหรือไม่  หรือจะเป็นในแง่ของฟาร์มออแกนิกที่กำลังมาแรง  เพราะผู้คนบนโลกเน้นการบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ  และผลิตผลของไทยก็อยู่ในเกณฑ์ดี  แต่ก็ต้องประสบปัญหาในเรื่องดังกล่าว  เหมือนกับว่านโยบายของรัฐต่างหน่วยงานต่างประกาศกันไปคนละทิศทาง  จึงควรถอน  พ.ร.บ.ดังกล่าวออก  ไม่ใช่แค่มีทบทวนเฉยๆ

     รศ.พร้อมจิตกล่าวต่อว่า  หากจำแนกสมุนไพรทั้ง  13  ชนิด  จะแบ่งออกได้เป็น  3  กลุ่ม  กลุ่มแรกคือ  ขิง  ขมิ้นชัน  ข่า  ขึ้นฉ่าย  และพริก  กลุ่มนี้คนไทยกินอยู่ทุกวันในจานอาหาร  สรรพคุณของสมุนไพรมีกลิ่นจะช่วยขับลม  ช่วยย่อยอาหาร  ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ  มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร  ฯลฯ  ทำให้คนในแถบเอเชียเป็นมะเร็งลำไส้น้อยกว่าทางยุโรป   กลุ่มที่  2  ได้แก่  ชุมเห็ดเทศ  และสะเดา  กลุ่มนี้จะเป็นยา  โดยชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ใหญ่  องค์การเภสัชกรรมนำไปทำเป็นชาสมุนไพรช่วยในการระบาย  ส่วนสะเดาจะกินยอดอ่อนและดอก  เมล็ดสะเดามีน้ำมันที่เป็นสารพิษฆ่าแมลงอยู่

     กลุ่มที่  3  ไม่นิยมนำมากิน  แต่นำสารสกัดที่ได้มาใช้ในชีวิตประจำวัน  ได้แก่  ตะไคร้หอมสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย  ดาวเรืองสกัดเอาสารสีเหลืองมาผสมกับเครื่องประทินผิว  หรือนำไปผสมเป็นอาหารเป็ดไก่  หนอนตายหยาก  นำมาวางบนไหลปลาร้า  ไหน้ำปลา  มีฤทธิ์ไล่แมลงและฆ่าไข่แมลง  สาบเสือใช้ห้ามเลือด  ดองดึงแม้จะมีพิษอยู่  แต่ทางวิชาการเกษตรก็นำพิษดังกล่าวมาใช้ปรับปรุงพันธุ์พืช   เว้นแต่กากเมล็ดชาที่ต้องนำเข้าจากเมืองจีน  ซึ่ง  2  ชนิดหลัง  ถ้าประกาศเป็นวัตถุอันตรายก็ไม่แปลกใจเท่าไร  เพราะไม่ส่งผลกระทบกับผู้คน

     "เดิมมีข้อกักกันไว้บ้างสำหรับสารสกัดจากพริก  ตะไคร้หอม  และดองดึง  แต่ปัจจุบันเปลี่ยนจากสารสกัดมาเป็นชิ้นส่วนพืชเลย  ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  และประกาศบนพื้นฐานอะไร  ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้  เมืองนอกที่ใช้สมุนไพร  หรือประเทศคู่แข่งที่ส่งออกสินค้าสมุนไพรเหมือนประเทศไทยคงขำตาย  เพราะเขารู้ดีว่า  สมุนไพรไทยดีและมีศักยภาพในการรักษาโรคขนาดไหน"

     รศ.พร้อมจิตกล่าวต่ออีกว่า   สำหรับคำอธิบายที่บอกว่า  หากย้ายสมุนไพรทั้ง  13  ชนิดมาเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่  1  จะช่วยให้เกษตรกรผลิตและจัดจำหน่ายน้ำหมักชีวภาพไล่แมลงได้ง่ายขึ้น  ในเรื่องนี้ตนไม่รู้ว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังมีอะไรหรือไม่  ถึงแม้จะไม่มีเบื้องหลังจริงก็คือการกระทำที่ไม่ฉลาดอยู่ดี  เป็นการแก้ปัญหาที่มองอะไรใกล้ตัวเกินไป  ไม่รอบด้าน  ซึ่งถ้าหวังดีจริง  การผลิตขึ้นทะเบียนทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายในปัจจุบันไม่มีการควบคุมคุณภาพ  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาช่วยกันทำตรงนี้จะดีกว่า  โดยนำเอาภูมิปัญหาท้องถิ่นของชาวบ้านมาวิจัยให้ชัดเจนว่า  สมุนไพรหลักๆ  3  ตัว  สะเดา  ข่า  ตะไคร้หอม  ที่นำมาเป็นยาฆ่าแมลงนั้น  ควรให้ปริมาณสัดส่วนเท่าไร  ระยะเวลาในการนำมาใช้ช่วงไหนให้ผลดีที่สุด  ฯลฯ  ให้ชาวบ้านผลิตใช้เอง  เหลือก็แบ่งขายบ้างตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง  ที่สำคัญคือ  ราคาถูกและไม่ปนเปื้อนสารเคมี  ไม่ใช่ว่ามีของดีอยู่กับตัว  แต่ต้องกลัวถูกจับหากนำมาใช้

     ด้าน  วริสร  รักษ์พันธุ์  กรรมการผู้จัดการชุมพรคาบาน่า  รีสอร์ต  ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติเพลิน  แสดงทัศนะต่อการขึ้นทะเบียนพืชสมุนไพรเป็นวัตถุอันตราย  ลงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่า  ต่อไปเกษตรกรจะไม่สามารถใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำพืชสมุนไพรมาหมัก  จนเป็นสารอินทรีย์กำจัดศัตรูพืชได้เอง  แต่ต้องไปขึ้นทะเบียนการผลิต  ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก  ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาตนเองและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มี  สวนทางกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

     ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ยึดหลักการเศรษฐกิจพอเพียง  ใช้ทฤษฎีเกษตรแบบพึ่งตนเองในการเพาะปลูกพืชสมุนไพรเหล่านี้  อย่างสะเดา  สาบเสือ  และหนอนตายหยาก  มีส่วนไปควบคุมแมลงและกำจัดศัตรูพืช   ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อพืชและคน  แนวคิดเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมบ้านเราที่เป็นประเทศร้อนชื้น  อยากตั้งข้อสังเกตว่าเป็นประกาศที่มีวาระซ่อนเร้น  เอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตสารเคมีจำกัดศัตรูพืชหรือไม่

     "ที่ผ่านมาชาวบ้านเป็นเครืองมืออันหอมหวานของพ่อค้าที่ขายของสนองกิเลส  ปัญหาคือชาวบ้านไม่รู้เท่าทันและมีกิเลส  ต้องการความรวดเร็ว  เห็นผลเร็ว  ซึ่งปุ๋ยเคมี  สารเคมีกำจัดศัตรูพืชสนองกิเลสดีมาก  แต่พอพวกเขาเห็นว่า  มันไม่ยั่งยืน  อยากพึ่งพาตัวเอง  กลับมาใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น  ทำให้การใช้สารเคมีหายไปมาก  มีตัวอย่างความสำเร็จเกิดขึ้นทั่วประเทศ  เหมือนขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มพ่อค้า  ผู้ผลิตเกษตรเคมี"  นายวริสรกล่าว

     พร้อมระบุว่า  ไม่รู้สึกแปลกใจกับประกาศดังกล่าวมากนัก  และคิดว่าเบื้องลึกน่าจะมีกลุ่มบริษัทข้ามชาติเข้ามาเกี่ยวข้องผลักดันให้หน่วยราชการออกประกาศฉบับนี้  เป็นวิธีการล่าอาณานิคมแบบใหม่  ไม่ต้องใช้อาวุธสงคราม  แต่ล่าด้วยการครอบงำความคิด  ซึ่งพี่ไทยก็ยินยอมพร้อมใจเป็นผู้ถูกล่าเสียด้วย  คิดว่าควรยกเลิกประกาศไปเลย.
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 03:16:09 AM »

ข่าวสด

หมอกควันยังคลุมเชียงใหม่-บังพระธาตุ



ควันคลุม- อากาศในตัวเมืองเชียงใหม่ ยังคงมีหมอกควันปกคลุม จนมองไม่เห็นองค์พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งตามปกติสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนแล้ว

 
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพบรรยากาศทั่วไปในตัวเมืองเชียงใหม่ ว่าสภาพท้องฟ้าหลัวมองไม่เห็นพระธาตุดอยสุเทพ หมอกควันค่อนข้างหนา ส่งผลกระทบให้ประชาชนรู้สึกแสบตาแสบจมูก บางรายใส่หน้ากากเมื่อจะออกมาทำธุระนอกบ้าน เทศบาลนครเชียงใหม่ก็ส่งเจ้าหน้าออกรดน้ำต้นไม้และพื้นถนนเพื่อลดปัญหาหมอกควันอย่างเต็มที่

นายชูชาติ กีฬาแปง รองผวจ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูแล้งจ.เชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง มักจะประสบปัญหาไฟป่าและหมอกควันปกคลุม ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ตลอดจนนักท่องเที่ยว ดังนั้นทางจังหวัดได้ประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่เกิดขึ้น โดยประสานให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ ร่วมกันนำรถฉีดน้ำออกฉีดน้ำ รดน้ำต้นไม้ ล้างถนน หรือกิจกรรมที่เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศอย่างต่อเนื่อง

นายชูชาติกล่าวว่า ทางจังหวัดได้ประสานกับหน่วยฝนหลวง ได้ออกไปก่อกวนความชื้นในชั้นเมฆอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศและลดปริมาณฝุ่น พร้อมกับงดเว้นการเผาที่ไม่จำเป็นทุกกรณี และหากพบเห็นไฟป่าหรือการเผาป่า ขอให้แจ้งได้ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์ 053-275-265 หรือ 053-408-997 หรือสายด่วน 1310 ตลอด 24 ชั่วโมง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 01, 2009, 03:25:02 AM โดย แมลงปอ » บันทึกการเข้า
ตุ๊กแกผา
อีกไม่กี่กระทู้ก็ได้5ดาวแล้วเร่งมือหน่อย
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 378



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 07:26:05 AM »

เช้าวันนี้ ที่กม.0 ของกรุงเทพฯ มีฝนตกปรอยๆค่ะ อากาศไม่ร้อน(จัด)แบบเมื่อวาน   
ตอนบ่ายๆก็ตกปรอยๆอีก........
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.022 วินาที กับ 19 คำสั่ง