กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 03, 2024, 03:08:16 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2551  (อ่าน 2305 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: สิงหาคม 17, 2008, 02:03:50 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับประชาชนที่มีบ้านเรือนอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มแม่น้ำสาขาต่างๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นจังหวัดอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ขอให้ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำล้นตลิ่งและน้ำท่วมฉับพลันในระยะ 1-2 วันนี้(17-19 ส.ค.)ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากในระหว่างบ่ายถึงค่ำ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 17-18 ส.ค.มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับในช่วงวันที่ 19-23 ส.ค.จะปรากฎร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และจะมีกำลังค่อนข้างแรง ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ส่วนมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มน้ำสาขาต่างๆ รวมทั้งพื้นที่ที่ทำการเกษตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาทิ เช่น อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำล้นตลิ่งและน้ำท่วมฉับพลัน

ส่วนในช่วงวันที่ 19-23 ส.ค.ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ อาทิเช่น จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน เพชรบูรณ์ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (40.21 KB, 665x415 - ดู 410 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 18, 2008, 12:42:08 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2008, 02:15:03 AM »

เดลินิวส์


โลกใต้น้ำเชียงใหม่ที่สุดของแหล่งศึกษาพันธุ์สัตว์น้ำ
 

 
 อีกไม่นานเชียงใหม่จะกลายเป็นศูนย์การศึกษาพันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้....
งานนี้ไม่ได้โม้หรือยกเมฆแต่อย่างใด ถึงแม้จังหวัดเชียงใหม่ไม่มีส่วนใดติดทะเลเลย แต่ในเร็ว ๆ นี้ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่จะมีสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ หรือ Chiang Mai Zoo Aquarium เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นสถานแสดงสัตว์น้ำแห่งแรกของภาคเหนือ และจะมีอุโมงค์ใต้น้ำยาว 133 เมตรซึ่งยาวที่สุดในโลก
 
Chiang Mai Zoo Aquarium เป็นความร่วมมือกันระหว่างองค์การสวนสัตว์ และบริษัท มารีน สเคป (ประเทศไทย) จำกัด ในวงเงิน 600 ล้านบาท บนเนื้อที่ 10 ไร่ ภายใต้คอนเซปต์ตะวันออกบรรจบตะวันตก แม่น้ำโขงสู่แม่น้ำอเมซอน โดยเริ่มตั้งแต่ส่วนที่สูงที่สุดตามเส้นทางของหยดน้ำจากดอยอินทนนท์ไล่ลงมาเป็นป่าธรรมชาติ หุบเขา เขื่อนภูมิพล ป่าชุ่มน้ำ ป่าชายเลน เรื่อยไปจนถึงมหาสมุทร
 
โครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ ที่จะเป็นในรูปแบบนิทรรศการที่จำลองบรรยากาศเสมือนจริง และส่วนที่เป็นอุโมงค์โลกใต้น้ำ แบ่งเป็นอุโมงค์น้ำเค็มและอุโมงค์น้ำจืดอย่างละ 66.5 เมตร รวม 133 เมตร
 
ซึ่งนอกจากจะเป็นอุโมงค์ใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลกอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว ยังเป็นอุโมงค์แห่งเดียวในโลกที่มีอุโมงค์น้ำเค็มและน้ำจืดต่อเชื่อมกัน และยังเป็นอุโมงค์น้ำจืดที่ยาวที่สุดในโลกด้วย


 
นายโรจน์ ธุวนลิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทมารีน สเคป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เราได้จำลองโลกใต้น้ำให้เหมือนจริงมากที่สุดเพื่อให้สัตว์น้ำรู้สึกเหมือนว่าอยู่ในธรรมชาติ สำหรับสัตว์น้ำจะมีไม่ต่ำกว่า 8,000 ตัว กว่า 250 สายพันธุ์ ไฮไลต์ในส่วนของน้ำจืดจะอยู่ที่ปลาบึกขนาดใหญ่ 2.5 เมตร ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกและพบในแม่น้ำโขงแห่งเดียวเท่านั้น และสัตว์น้ำพันธุ์พื้นเมืองอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจุดนี้เชื่อว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ในขณะที่ไฮไลต์ของน้ำเค็มจะอยู่ที่สัตว์หายากอย่าง กระเบนราหู ปลาหมอทะเล ฉลามขาว ฉลามเสือตอ ซึ่งเป็นฉลามพันธุ์ที่นักดำน้ำใฝ่ฝันอยากเจอมากที่สุด
 
ที่ผ่านมามักจะมีปัญหาเรื่องการดูแลสัตว์น้ำที่มาเลี้ยงในอควาเรี่ยม รวมไปถึงระบบกำจัดของเสีย และบำบัดน้ำ ส่งผลให้การทำอควาเรี่ยมแทนที่จะเป็นการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ กลับกลายเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม กรรมการผู้จัดการ บริษัท มารีน สเคป ย้ำว่า การทำอควาเรี่ยมเชียงใหม่จะเน้นหลักวิชาการ โดยน้ำทั้งหมด 8,000 คิวบิกเมตรจะถูกถ่ายออกและใส่น้ำใหม่เข้าไปแทนทุก 2 ชม. เท่ากับ 12 รอบต่อวัน โดยน้ำที่ออกมาจะผ่านเครื่องกรอง 3 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นตะกอนหนัก ซึ่งจะกำจัดพวกน้ำมัน เมือกและมูลสัตว์ออก ขั้นที่สองจะกำจัดพวกสารแขวนลอยต่าง ๆ ขั้นที่สามจะสกัดพวกโปรตีนออกจากน้ำโดยการฉีดโอโซนเข้าไป ก่อนที่น้ำทั้งหมดจะหมุนเข้าไปในระบบอีกครั้งหนึ่ง จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาน้ำเสียแน่นอน
 
ระบบการควบคุมสิ่งแวดล้อมและพันธุ์สัตว์ที่นี่ยังได้พันธมิตรคือมหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้ามาทำวิจัยร่วมกัน โครงการแรกคือการนำตะกอนจากระบบบำบัดมาทำเป็นดินโป่งเพื่อเป็นอาหารสำหรับสัตว์ โดยนายอภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ ม.แม่โจ้ กล่าวว่า จากการคำนวณคาดว่าจะได้ตะกอนซึ่งเป็นโปรตีนที่สามารถนำกลับมาทำประโยชน์ได้ราว 3.5 คิวบิกเมตรต่อเดือน โปรตีนเหล่านี้เราจะนำกลับมาผ่านกระบวนการเพื่อทำเป็นอาหารปลาได้ และอาจจะมีงานวิจัยอื่น ๆ ออกมาอีกในอนาคต นอกจากนี้อควาเรี่ยมเชียงใหม่ยังจะเป็นสถานศึกษาเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์สัตว์น้ำสำหรับศึกษา รวมไปถึงจะเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสัตว์น้ำในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
 
ตอนนี้อควาเรี่ยมเชียงใหม่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จสิ้น เดือน ก.ย.นี้ จะเริ่มลงพันธุ์ปลาทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม แต่หากใครอยากเห็นความเป็นที่สุดในหลาย ๆ ด้านของสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำแห่งนี้ อดใจรออีกแค่ 2 เดือน.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2008, 03:18:57 AM »

ไทยโพสต์


จากดอยอินทนนท์ถึงเกาะสิมิลัน วิกฤติอุทยานฯ ในกระแสการท่องเที่ยว

การจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อลดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และลดความแออัดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว

ด้วยการที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช   กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ประกาศกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวสำหรับ  10  อุทยานสำคัญในการไปเยือนและพักค้างแรม ซึ่งกำหนดใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง  จ.เชียงใหม่  อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก  จ.เชียงใหม่  อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์  จ.เชียงใหม่  อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย   จ.เชียงใหม่  อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย  อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  จ.ปราจีนบุรี สระบุรี นครนายก และ จ.นครราชสีมา อุทยานแห่งชาติเอราวัณ  จ.กาญจนบุรี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา

เป็นที่รู้กันสำหรับอุทยานฯ  ยอดฮิตติดอันดับทั้งหลายนี้  มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าไปใช้บริการ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเทศกาลหรือฤดูกาลท่องเที่ยวยิ่งแออัดเต็มไปด้วยผู้คน ทำให้เกิดผลกระทบตามมาคือ  สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมและทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย  และจากการศึกษาขีดความสามารถในการรองรับได้ของอุทยานแห่งชาติ  10  แห่ง  ทั้งหมดอยู่ในภาวะเกินขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวได้  ทั้งนี้  การกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวก็เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความสวยงามของสภาพธรรมชาติในพื้นที่อุทยานฯ นั่นเอง

ในการประชุมสัมมนาเรื่อง  แนวทางการจัดการผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่เกินขีดความสามารถในการรองรับได้ของอุทยาน  โดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ   ณรงค์   มหรรณพ   หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่   กล่าวว่า  สถิตินักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ปี 47 จำนวน  840,240 คน ปี 48  จำนวน  903,823  คน ปี 49 จำนวน 939,556 คน  และปี 50 จำนวน 771,903 คน เฉพาะเดือนธันวาคม  50 มีนักท่องเที่ยวสูงสุดถึง 210,300 คน และตลอดทั้งปีมีรถยนต์เข้าอุทยานฯ เขาใหญ่ถึง  166,132  คัน  ในอุทยานฯ   มีสถานที่กางเต็นท์ในรองรับได้ 1,400 คนต่อวัน แต่ในช่วงวันหยุดเคยมีนักท่องเที่ยวมาสูงสุด   3,400   คน   ที่ผ่านมาอุทยานฯ เขาใหญ่มีปัญหามาก เพราะนักท่องเที่ยวมีมากเกินขีดความสามารถรองรับได้ และจะหนาแน่นในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.ของทุกปี

ณรงค์บอกว่า  ผลการศึกษาปี 50 พบพื้นที่ที่เกินขีดความสามารถในการรองรับได้ 12  แห่ง ประกอบศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พื้นที่นี้รองรับได้ 720 คนต่อวัน ตอนนี้เกินอยู่ที่ 854 คนต่อวัน แล้วยังมีที่น้ำตกกองแก้ว  น้ำตกเหวสุวัต  น้ำตกเหวนรก น้ำตกผากล้วยไม้ สถานที่กางเต็นท์ลำตะคอง ผาเดียวดาย ทั้งที่เป็นพื้นที่ชมทิวทัศน์  และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ   คณะทัวร์หรือนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเดินออกนอกเส้นทางเหยียบย่ำพันธุ์ไม้เสียหาย บางกลุ่มก็หลงป่า แล้วยังมีที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติดงติ้ว-อ่างเก็บน้ำสายศร  แก่งหินเพิง น้ำตกตะคร้อ น้ำตกสาริกา อย่างไรก็ตาม ขาดการศึกษาการรบกวนสัตว์บางเรื่อง ซึ่งยังต้องศึกษาให้ครบทุกด้านและต่อเนื่อง

"ขณะนี้เขาใหญ่กำหนดนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปเที่ยวในอุทยานแบบไป-กลับ   4,400  คน  พักค้างคืนได้สูงสุด  2,600 คน เราจะควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง จำกัดจำนวนให้เข้า ปิดพื้นที่ในบางฤดู

นอกจากนี้ยังมีมาตรการในการจัดการอื่นๆ  เช่น ส่งเสริมให้ภาคเอกชนรอบๆ พื้นที่เขาใหญ่สร้างรีสอร์ต  ที่พักเพิ่ม เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่อุทยาน  มีการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวรอบๆ  เขาใหญ่  และรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวให้มากกว่านี้ รวมทั้งปรับปรุงพื้นที่ที่ง่ายต่อการถูกทำลาย  เช่น  ทำทางเดิน  จัดระบบการจอดรถและจราจร มีรถบริการในวันที่นักท่องเที่ยวมาก เตรียมพื้นที่กางเต็นท์ด้านล่าง  พร้อมให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในพื้นที่  ด้านการศึกษาและวิจัยผลกระทบก็ยังจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง" หัวหน้าอุทยานฯ เขาใหญ่กล่าว

ด้าน  สุรชัย   อจลบุญ   หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ   จังหวัดกาญจนบุรี   บอกว่า    ปัญหาของอุทยานฯ  เอราวัณ อยู่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวบริเวณน้ำตกเอราวัณที่มีจำนวนมากเกินขีดความสามารถในการรองรับได้ของพื้นที่   โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเทศกาล วันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีนักท่องเที่ยวเกินถึงวันละ  2,000  คน  ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ต.ค.50-เม.ย.51 มีสถิตินักท่องเที่ยวรวม 218,472 คน   ในภาพรวมทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อทรัพยากรป่าไม้    และระบบนิเวศวิทยาทางน้ำของน้ำตกเอราวัณ  ด้านสัตว์ป่าก็กระทบ โดยเฉพาะเลียงผาที่พบบริเวณถ้ำพระธาตุ จำนวนรังลดลงและพบเห็นตัวได้น้อยลง
สำหรับมาตรการในการจำกัดยอดนักท่องเที่ยว   ซึ่งเวลานี้กำหนดให้พักค้างคืนได้  742 คน ไป-กลับ 2,000 คน สุรชัยบอกว่า เพื่อให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ทั้งพื้นที่กิจกรรม สิ่งอำนวยความสะดวก ลานจอดรถ ห้องน้ำ สุขา ที่พัก พื้นที่กางเต็นท์ และลดผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่  ในการค้างแรมในอุทยานฯ จะต้องมีการจองล่วงหน้า ทั้งบ้านพักและสถานที่กางเต้นท์ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดราชการติดต่อกัน มีการจำกัดเวลาในการเข้าชมน้ำตกเอราวัณ
"อุทยานฯ เตรียมแจกบัตรหรือตั๋วบริเวณด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมเพื่อแจ้งล่วงหน้าในการเข้าชมน้ำตกเอราวัณที่มีนักท่องเที่ยวสนใจมาก  กำหนดให้นักท่องเที่ยวหรือคณะทัวร์มีเวลาในการเที่ยวชมและนันทนาการในน้ำตกไม่เกิน 4 ชั่วโมง ไม่ให้แออัดในที่ๆ เดียวและเวลาเดียวกันมากไป คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้   เราจะแจ้งและเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการดังกล่าวเพื่อสร้างความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว"  สุรชัยกล่าว และให้ข้อมูลเพิ่มเติมวันหยุดเทศกาลมีนักท่องเที่ยวมาก   ก็สามารถจองเข้าเที่ยวชมน้ำตกเอราวัณล่วงหน้า  แจ้งก่อนอย่างน้อย 15 วัน ทั้งชื่อ จำนวนคน รูปแบบกลุ่มเป็นครอบครัว หน่วยงาน เพื่อน รวมถึงพาหนะที่เดินทาง

การสร้างทางเลือกและกระจายนักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ  เป็นอีกแนวทางสำคัญ  หัวหน้าอุทยานฯ เอราวัณอธิบายให้ฟังว่า ห่างจากที่ทำการฯ 4 กม. มีเขื่อนศรีนครินทร์ที่ชมวิวทิวทัศน์และพักค้างได้  หรือถ้ำพระธาตุ  ห่างจากที่ทำการประมาณ  10 กม. เป็นถ้ำสวยงาม มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ให้บริการ  ไกลออกไปอีกนิด 45 กม. เป็นอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์  และจะส่งเสริมให้มาเที่ยวน้ำตกเอราวัณในช่วงวันธรรมดาผ่านสื่อต่างๆ   ทั้งแผ่นพับ  วิทยุชุมชน จังหวัด เวปไซต์ของกรมอุทยานฯ ตอนนี้ยังมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการของเอกชนใกล้ๆ   อุทยาน เพื่อจัดทำข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร เพื่อเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยว

แม้การจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าอุทยานฯ   ในครั้งนี้  จะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง  รายได้ของอุทยานฯ  ลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เขาแสดงทัศนะว่า ถือเป็นมาตรการสำคัญลดการรบกวนระบบนิเวศที่วันนี้ถึงขั้นวิกฤติ ถ้าไม่ดำเนินการใดๆ จะยากเกินเยียวยา

ลัดเลาะลงใต้มีอุทยานฯ หลายแห่งเสื่อมโทรม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ก็เช่นกัน สมเกียรติ   หลวงบำรุง   หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์กล่าวว่า  ตอนนี้อุทยานฯ  ได้รับผลกระทบทางนิเวศรุนแรง  และการใช้ประโยชน์อุทยานเพื่อการท่องเที่ยวอยู่ในภาวะวิกฤติ  พื้นที่ที่เป็นปัญหามากคือ  พื้นที่กางเต็นท์หาดไม้งาม  เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่าวช่องขาด-หาดไม้งามในเกาะสุรินทร์เหนือ  แล้วยังมีจุดดำน้ำ  10 จุด และท่าเรือคุระบุรี พื้นที่เหล่านี้ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมท่องเที่ยว  ทั้งขยะ คุณภาพน้ำ จนกระทั่งพันธุ์พืชและสัตว์ในแนวปะการัง

"อ่าวช่องขาด  อ่าวไม้งามจะมีนักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนถึงวันละ  100-300  คน เกินกว่าที่รองรับได้เป็นร้อย  มีปัญหาขยะล้น  เรามีมาตรการเข้มงวดห้ามนำขยะที่ย่อยสลายยากลงเกาะ รวมทั้งปรับพฤติกรรมให้นักท่องเที่ยวนำขยะ กลับฝั่ง ขณะที่อุทยานฯ เองเพิ่มความถี่ในการขนขยะกลับฝั่ง แม้จะมีต้นทุนสูงก็ตาม   ด้านพันธุ์พืชที่บอบช้ำจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติจะเข้มงวดกับนักท่องเที่ยวไม่ให้เดินนอกเส้นทางที่จัดไว้    รวมถึงจุดกางเต็นท์ต้องอยู่ในเขตบริการเท่านั้น  ปัญหาคราบน้ำมันที่ท่าเรือคุระบุรีได้ร่วมกับเอกชนและหน่วยงานท้องถิ่น  เจ้าของเรือ เรือประมง ในการรักษาคุณภาพน้ำ ไม่ปล่อยของเสียลงทะเล"  สมเกียรติกล่าว โดยขณะนี้หมู่เกาะสุรินทร์ถูกกำหนดให้จำกัดนักท่องเที่ยวไป-กลับจำนวน  2,065 คน พักค้างคืน 620 คน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่พยายามประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวจองล่วงหน้า  และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว เพราะจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขาจรเข้าพื้นที่จนล้นอีก

นอกจากการประกาศจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ดีเดย์ไปเมื่อวันที่  1 กรกฎาคม 50 แล้วนั้น ขณะนี้กรมอุทยานฯ    ได้เตรียมคลอดมาตรการลดผลกระทบจากการท่องเที่ยวและควบคุมไม่ให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรมากจนเกินไปอีกด้วย
ดร.ทรงธรรม   สุขสว่าง    ผู้อำนวยการส่วนศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติ    สำนักอุทยานแห่งชาติ กล่าวในเวทีเดียวกันว่า กรมอุทยานฯ กำลังจะประกาศห้ามนำโฟม ขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ เข้าอุทยานแห่งชาติ พร้อมกับขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวให้ลดการนำขยะเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว และอุทยานฯ เองต้องปรับปรุงขยะเปียกให้เป็นปุ๋ย รวมถึงนำเงินรายได้อุทยานสนับสนุนให้มีระบบขนส่งและกำจัดขยะเพื่อลดปัญหาด้านขยะ   ถ้าแหล่งท่องเที่ยวไหนมีนักท่องเที่ยวแออัดให้ทำการกระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ยังมีนักท่องเที่ยวน้อย   สำหรับอุทยานแห่งชาติทางทะเลจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่พักค้างที่เกาะ ช่วยลดปัญหาขยะ  ปัญหาคราบน้ำมันบริเวณท่าเรือและแหล่งท่องเที่ยวต้องดำเนินการจัดโซนจอดเรือและจุดเรือเข้าออกให้ชัดเจน อันนี้ต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ

ผอ.ส่วนศึกษาและวิจัยอุทยานฯ  กล่าวว่า  ที่ผ่านมาอุทยานฯ  ทางทะเลมีปัญหาปะการังเสื่อมโทรม  จากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวทั้งไทย  ต่างชาติ และเจ้าหน้าที่เรือ ทำลายแหล่งปะการัง เช่น ยืน เหยียบ  สัมผัส เตะปะการัง หักเด็ดปะการัง มีการรบกวนสัตว์น้ำ ทิ้งขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ลงทะเล สำหรับมาตรการด้านนี้ให้แต่ละอุทยานฯ  จัดทำแผนที่แหล่งปะการังให้ชัดเจน  มีการประเมินสภาพแหล่งปะการังและติดตามอย่างต่อเนื่อง เก็บข้อมูลจำนวนนักดำน้ำ กำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ในแนวปะการัง กิจกรรมนันทนาการ  ทำได้เฉพาะบริเวณที่มีความลึกมากกว่า 2 เมตร ป้องกันการยืนบนปะการัง จัดทำแพหรือที่พักลอยน้ำให้นักดำน้ำมีที่พักขณะดำน้ำ ซึ่งแพนี้สามารถเคลื่อนย้ายตามความเหมาะสมของพื้นที่และฤดูมรสุม  กวดขันการลักลอบจับปลาสวยงามในแนวปะการัง มาตรการต่อมาคือ อบรมเจ้าที่อุทยานฯ ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวัง ไม่ทำลายปะการัง

"ในอุทยานฯ  ทางทะเลที่มีที่พัก รีสอร์ต โรงแรมของเอกชนบนเกาะ เช่น อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี  อุทยานฯ เขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ต้องควบคุมจำนวนห้องพัก  สิ่งก่อสร้างไม่ให้ขยายจำนวนไปมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน  เป็นการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวเช่นกัน ต้องยอมรับว่าตอนนี้ธรรมชาติรองรับไม่ไหวแล้ว" ดร.ทรงธรรมกล่าวในท้ายที่สุด.
อ่านข่าวย้อนหลัง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 17, 2008, 03:21:10 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Bluefin
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2008, 08:17:38 AM »

 
1. ปลาที่นำมาแสดงได้จากการเพาะเลี้ยงหรือจับจากธรรมชาติครับ และถ้าจับจากธรรมชาติแล้วมีการนำมาศึกษาหาข้อมูลถึงผลได้ผลเสียหลังจากการจับมาทั้งปลาที่ถูกจับมา และแหล่งที่ปลานั้นๆถูกจับมาหรือไม่ เพราะเมื่อสัตว์ในระบบนิเวสลดลงย่อมส่งผลต่อระบบนิเวสนั้นๆเสมอ ตลอดจนทำการศึกษาและเพาะพันธ์เพื่อปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติหรือไม่ หรือเพียงเพื่อหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เท่านั้น
2. น่ายินดีที่มีการออกกฏที่เฝ้ารอมานานเสียที การออกกฏนั้นช่วยปกป้องธรรมชาติที่ถูกกระทำเสมอ ผมเป็นคนหนึ่งที่ยินดีจะปฏิบัติตามถึงแม้มันอาจจะนำมาซึ่งความไม่สะดวกบ้าง
     พวกเราเหล่านักดำน้ำก็น่าจะต้องเริ่มมีกฏ ข้อบังคับและข้อห้ามต่างๆเพื่อการท่องเที่ยวและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างยั่งยืนเสียที และน่าอาจจะรวมถึงบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ได้ดำรงอยู่ต่อไปตามสิทธิที่สิ่งมีชิวิตหนึ่งๆควรจะได้รับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.107 วินาที กับ 20 คำสั่ง