กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 15, 2024, 02:31:37 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2551  (อ่าน 2138 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 12:39:48 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และอ่าวไทยเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลจีนใต้ตอนล่าง  ทำให้บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ยังคงมีฝนกระจาย กับมีฝนตกหนักในบางพื้นที่  สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศอุ่นขึ้น และมีหมอกในตอนเช้า


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่  อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 34 องศา  ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องความกดอากาศต่ำจะพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และอ่าวไทยตลอดช่วง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ในช่วงวันที่ 28-31 ต.ค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศอุ่นขึ้น และมีหมอกในตอนเช้า

ส่วนในช่วงวันที่ 1-3 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือจะมีฝนในระยะแรก จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา


ข้อควรระวัง

ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนในภาคกลาง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออกบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร ให้ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก ส่วนชาวเรือในอ่าวไทยตอนบนโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (38.78 KB, 693x430 - ดู 342 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (31.99 KB, 400x442 - ดู 357 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 12:50:47 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ดินไหวปาปัวนิวกินี 6.0 ริกเตอร์ โชคดีไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ

เกิดเหตุแผ่นดินไหววัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.0 ริกเตอร์ทางตอนเหนือของปาปัวนิวกินีเมื่อเช้าวันพุธ (29) แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บ
       
ศูนย์สำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น (23.00 น.ตามเวลาในไทย) โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองมาดัง บริเวณชายฝั่งทางตอนเหนือของปาปัวนิวกินี ไปทางตอนเหนือประมาณ 185 กิโลเมตร และเกิดลึกลงไปใต้พื้นดินประมาณ 35 กิโลเมตร
       
ขณะที่ศูนย์เตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐฮาวายของสหรัฐฯ ไม่มีการออกประกาศเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิแต่อย่างใด
       
ทั้งนี้ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่มักเกิดเหตุแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากมีภูมิประเทศตั้งอยู่บนแนววงแหวนแห่งไฟในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นแนวที่เปลือกโลกเคลื่อนตัวมาบรรจบกัน


******************************************************************************************************************************


วางทุ่นที่หมู่เกาะสิมิลัน                   :                      วินิจ รังผึ้ง



      เมื่อฝนขาดเม็ดสายลมหนาวเริ่มเดินทางมาเยือน คลื่นลมในท้องทะเลฝั่งอันดามันเริ่มสงบเงียบ อันดามันก็จะเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนอีกหน ฤดูกาลท่องเที่ยวอันดามันจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทันทีที่เริ่มเปิดฤดูกาล เรือท่องเที่ยวก็จะพานักท่องเที่ยวมุ่งไปเยือนหมู่เกาะน้อยใหญ่กันอย่าง คึกคัก หาดทรายชายทะเล แนวปะการัง และหมู่เกาะที่สวยงามในท้องทะเลอันดามันก็ต้องทำงานหนักอีกหนในการรองรับการ มาเยือนของนักท่องเที่ยว หลังจากที่ได้มีโอกาสพักผ่อนเพื่อให้ธรรมชาติได้มีโอกาสฟื้นตัวมาราว 6 เดือนในช่วงฤดูมรสุม
       
       และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวและการดำน้ำที่ ใกล้จะมาถึงในปีนี้ กลุ่มคนรักและห่วงใยท้องทะเลที่มีทั้งหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มนักดำน้ำอาสาสมัครก็จะได้ร่วมใจกันทำการวางทุ่นสำหรับผูกเรือ และทุ่นสำหรับการลงดำน้ำที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่ได้รับการขนานนามว่าสวยงามที่สุดของท้องทะเลอันดามัน และที่นั่นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์ของคนรักทะเลที่ไม่มีใครปฏิเสธ
       
       ด้วยระยะทางจากภูเก็ตถึงหมู่เกาะสิมิลันนั้นมีระยะทางถึงราว 70 กิโลเมตรเลยทีเดียว เรือบริการดำน้ำจากภูเก็จอาจต้องใช้เวลาเดินทางถึงราว 6-7 ชั่วโมง แต่จุดที่อยู่ใกล้สุดนั้นต้องเดินทางจากท่าเรือทับละมุ จังหวัดพังงา ซึ่งระยะทางห่างออกไปราว 40 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่งเรือราว 4 ชั่วโมงหรือเรือเร็วราวชั่วโมงเศษเท่านั้น
       
       ชื่อของสิมิลันมี ความหมายถึงเกาะทั้ง 9 เพราะหมู่เกาะแห่งนี้ตั้งเรียงรายกันตามแนวเหนือใต้เรียงรายกันอยู่ 9 เกาะ สิ่งที่ทำให้หมู่เกาะสิมิลันนั้นมีความแตกต่างไปจากหมู่เกาะอื่นๆก็คือ ความใสของน้ำ และสีสันที่สดใสของน้ำทะเล อีกทั้งยังมีหาดทรายที่ขาวละเอียดสะอาดสะอ้านเป็นธรรมชาติกว่าหมู่เกาะอื่นๆ ซึ่งก็คงเป็นเพราะทำเลที่ตั้งของหมู่เกาะสิมิลันแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ไกลฝั่ง มาก จึงไม่ถูกอิทธิพลของตะกอนปากแม่น้ำและมลพิษต่างๆที่ไหลลงมาจากฝั่งแพร่ กระจายมาถึง อีกทั้งยังตั้งอยู่ในแนวน้ำลึกที่ได้รับอิทธิพลของกระแสน้ำจากภายนอก ที่เชื่อมต่อกับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้ฝูงปลาและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่นี่มีความหลากหลายของสายพันธุ์และ ปริมาณที่มาชุมนุมกันอยู่มากมาย โลกใต้ทะเลที่นี่จึงงดงามเป็นแหล่งดำน้ำที่ติดอันอับ 1 ใน 10 ความสวยงามของโลกเลยทีเดียว
       
       เมื่อชื่อเสียงความงดงามของหมู่เกาะสิมิลันแพร่กระจายออกไป จนผู้คนไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ชื่อของสิมิลันยังโด่งดังไปในหมู่นักดำน้ำจากทั่วโลก ทำให้ทุกวันนี้ในช่วงฤดูการดำน้ำที่เริ่มจากปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงสิ้นสุด เมษายน จะมีเรือบริการดำน้ำพานักท่องเที่ยวมาดำน้ำจำนวนมากมายมาเยือนหมู่เกาะแห่ง นี้ โดยแบ่งนักท่องเที่ยวนักเดินทางเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมเกาะและดำน้ำแบบน้ำตื้นที่ใช้เพียง หน้ากากและท่อหายใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยที่มากันเป็นหมู่คณะหรือมาเที่ยวกับ บริษัทนำเที่ยวต่างๆ นักท่องเที่ยวเหล่านี้มักจะพักแรมบนเกาะสี่ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการ อุทยานฯ กับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มซึ่งเป็นนักดำน้ำลึกแบบสคูบาซึ่งส่วนใหญ่จะเดินทาง มากับเรือบริการดำน้ำที่มีห้องพักบนเรือพร้อมสรรพ นักดำน้ำประเภทนี้แทบจะไม่ขึ้นเกาะเลย เพราะมาเพื่อดำน้ำ ขึ้นมาพักผ่อนรับประทานอาหารบนเรือ บางลำมีห้องชมภาพยนตร์ ห้องพักผ่อนพร้อม จนได้เวลาลงดำน้ำก็จะลงดำกัน
       
       แต่ละวันมีเรือบริการดำน้ำมาเยือนหมู่เกาะสิมิลันนับสิบลำ มีนักดำน้ำหลายร้อยคนเลยทีเดียว และส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างประเทศ ปีหนึ่งๆสิมิลันจึงสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวนับร้อยล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนหากหมู่เกาะแห่งนี้ไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ และปล่อยให้มีการบุกรุกทำลาย การทำประมงอย่างผิดกฎหมาย สิมิลันก็คงจะย่อยยับหมดคุณค่าไปในไม่ช้า
       
       ในอดีตเมื่อเริ่มราว 20 ปีก่อนนั้น การมาเที่ยวเกาะหรือการจอดเรือเพื่อลงดำน้ำ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเดินทางมากับเรือท่องเที่ยวที่ถูกดัดแปลงมาจาก เรือประมง กัปตันเรือก็เป็นไต้ก๋งเรือประมงเก่า เคยแต่ใช้วิธีการทิ้งสมอเรือมาตลอดชีวิต ก็จะใช้วิธีการทิ้งสมอเพื่อจอดเรือ ซึ่งการทิ้งสมอเรือขนาดใหญ่ลงไปแต่ละครั้ง ก็จะไปโดนปะการังแตกหักเสียหาย หรือเมื่อกระแสน้ำคลื่นลมพัดเรือให้เลื่อนลอยไป สมอเรือก็จะครูดแนวปะการังแตกหักเสียหายไปเป็นบริเวณกว้าง และเมื่อมีเรือท่องเที่ยวมากขึ้น ปะการังก็จะถูกทำลายลงไปมากขึ้นทุกที
       
       จึงได้มีแนวความคิดของคนรักทะเลร่วมกันจัดทำโครงการวางทุ่นจอดเรือด้วย การผูกสายทุ่นไว้กับโขดหินหรือโขดปะการังขนาดใหญ่ใต้น้ำแล้วผูกขึ้นมาเป็น ทุ่นลอยอยู่บนผิวน้ำ เมื่อเรือท่องเที่ยวเข้ามาก็จะนำเชือกเรือมาผูกโดยไม่ต้องใช้การทิ้งสมอ ทำลายปะการังอีก ซึ่งการวางทุ่นผูกเรือและทุ่นตามจุดดำน้ำนั้น ในอดีตแต่ละปีก็จะมีการวางทุ่น การผูกทุ่นกัน 1 ครั้งตอนต้นฤดูกาล และทุ่นก็จะถูกใช้งานตลอดฤดูกาลท่องเที่ยว อาจจะมีการขาด และเสียหายทรุดโทรม ซึ่งในช่วงปิดฤดูกาลดำน้ำ ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันที่เป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ ก็จะทำการเก็บทุ่นเพื่อนำมาตรวจเช็คเก็บรักษาไว้เพื่อจะนำไปวางทุ่นใหม่อีก ครั้งในช่วงต้นฤดูกาลปีถัดไป
       
       การวางทุ่นในช่วงแรกๆนั้น ได้เริ่มต้นจากความร่วมมือร่วมใจของบรรดานักดำน้ำอาสาสมัคร ผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำ ธุรกิจภาคเอกชน และทางอุทยานฯซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ร่วมกันตั้งแต่ระดมทุนหางบประมาณ และลงแรงดำน้ำลงไปผูกทุ่นวางทุ่น และต่อมาก็ได้ส่งผ่านให้เป็นหน้าที่ของทางกรมอุทยานฯซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับ ผิดชอบพื้นที่เป็นผู้ดำเนินการวางทุ่น เพราะทางอุทยานฯมีงบประมาณที่ได้จากการเก็บเงินค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว ที่เข้าไปดำน้ำมาดำเนินการ ซึ่งในปี 2550 ที่ผ่านมาหมู่เกาะสิมิลันมีรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมถึง 16,217,516 บาท บรรดานักดำน้ำทั้งหลายจึงไม่มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการวางทุ่นมานานหลายปี
       
       กระทั่งในปีนี้ได้มีการรื้อฟื้นโครงการผูกทุ่นดำน้ำโดยความร่วมมือ ร่วมใจของนักดำน้ำอาสาสมัคร หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความรู้สึกรักและหวงแหนทรัพยากรท้องทะเลร่วมกันโดยใช้ชื่อ โครงการว่า “อาสาฯอนุรักษ์ทะเลไทย 2551” ซึ่งจะมีการระดมอาสมัครนักดำน้ำลงไปวางทุ่นกันที่หมู่เกาะสิมิลันระหว่างวันที่ 7-8 พฤศจิกายน 2551
       
       บุคคลที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในโครงการวางทุ่นครั้งนี้ก็คือคุณสมพันธ์ จารุมิลินท รองประธานกรรมการบริหาร ทรูวิชั่นส์ ซึ่งทางคุณสมพันธ์นั้นเป็นนักดำน้ำตัวยงที่เริ่มทำโครงการวางทุ่นอนุรักษ์ ทะเลมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน โดยในปีนี้ทาง ทรูวิชั่นส์ก็ได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกองทัพเรือ โดยการสนับสนุนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ธนาคารกสิกรไทย กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจน้ำ และอีกหลายๆหน่วยงาน จะได้ร่วมกันทำโครงการวางทุ่นตามจุดจอดเรือและจุดดำน้ำต่างๆ บริเวณหมู่เกาะสิมิลันจำนวน 70 ทุ่น แยกเป็นทุ่นขนาดเล็กสำหรับผูกเรือยาง เรือหางยาว ทุ่นขนาดกลางเพื่อไว้สำหรับผูกเรือบริการดำน้ำและเรือท่องเที่ยวขนาดกลางไป ถึงใหญ่ และทุ่นจอดเรือขนาดใหญ่ที่จะมีไว้สำหรับผู้เรือสำราญขนาดใหญ่ เรือรบ หรือเรือประมงขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาจอดหลบลมเป็นครั้งคราว
       
       ซึ่งการวางทุ่นสมัยใหม่นั้นจะมีการนำฐานทุ่นคอนกรีตหล่อขนาดใหญ่ทิ้ง ลงไปวางตามจุด แล้วผูกสายทุ่นขึ้นมาถึงทุ่นลอยบนผิวน้ำ โดยจะไม่มีการนำไปผูกไว้กับโขดหินหรือโขดปะการังขนาดใหญ่เหมือนในอดีต ซึ่งจะเป็นการหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อแนวปะการังได้เป็นอย่างดี
       
       การผูกทุ่นครั้งนี้จะมีอาสาสมัครนักดำน้ำทั้งจากทางกรมอุทยานฯ จากกองทัพเรือ จากบริษัทไดฟ์มาสเตอร์ จำกัด และนักดำน้ำอาสาสมัครทั่วไปซึ่งมีทั้งดาราและผู้มีชื่อเสียง โดยได้รับเกียรติจากพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี จะลงไปดำน้ำเป็นอาสาสมัครกิตติมศักดิ์ร่วมผูกทุ่นในโครงการนี้ด้วย ก็หวังว่าโครงการวางทุ่นโดยการมีส่วนร่วมจากหลายๆหน่วยงานและด้วยความร่วม มือร่วมใจของอาสาสมัครนักดำน้ำในครั้งนี้ จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรักความหวงแหนในทรัพยากรแห่งท้องทะเลร่วมกัน
       
       ฤดูกาลแห่งการเดินทางสู่ท้องทะเลอันดามันกำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง หมู่เกาะสิมิลันยังคงความงดงามและจะยังคงเป็นสวรรค์ของคนรักทะเล รักการดำน้ำอย่างไม่เสื่อมคลาย หากมีโอกาสไปเยี่ยมเยือนก็อย่าลืมช่วยกันดูแลทะนุถนอมหมู่เกาะแห่งนี้ให้งดงามเป็นเกาะสวรรค์ของคนรักทะเลตลอดไป.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 12:58:46 AM »

มติชน


"เกาะมันใน" ห้องเรียนอนุรักษ์ทางทะเล


ต้นประสัก

โลกใบนี้คือห้องเรียนธรรมชาติที่กว้างใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นครูให้เราได้เรียนรู้ได้ทั้งสิ้น

เช่น ที่ "เกาะมันใน" ซึ่งนับว่าเป็นเกาะที่มีศักยภาพในการเป็นเกาะแห่งการเรียนรู้ เนื่องจากมีทั้งความพร้อมและครบครันของทรัพยากรทางธรรมชาติ ปัจจุบันมีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อสนับสนุน "เกาะมันในสู่การเป็นเกาะแห่งการเรียนรู้ และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งตะวันออกแห่งแรกของไทย"

ล่าสุด ฟอร์ด ประเทศไทย นำโดย นายอดิศักดิ์ หวังพงษ์สวัสดิ์ รองประธานฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจผู้จำหน่าย ฟอร์ด ประเทศไทย และอาสาสมัครของฟอร์ด ได้ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมในโครงการ "Ford Global Week of Caring" หรือ "สัปดาห์ฟอร์ดห่วงใยโลก" ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีทั่วโลก สำหรับฟอร์ด ประเทศไทยได้สร้างแคมป์เฮาส์ เพื่อเป็นที่พักสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่มาเข้าค่ายเรียนรู้ทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งฯ บนเกาะมันใน ตลอดจนจัดตั้งป้ายอธิบายสถานที่ต่างๆ ป้ายบอกทาง


1. นิเวศวิทยาป่าโกงกาง ที่ช่วยรักษาแนวชายฝั่ง
2.ขะมักเขม้นเก็บขยะที่ปากแม่น้ำประแสร์
3.สร้างแคมป์เฮาส์เป็นที่พักสำหรับนักเรียนที่มาเข้าค่าย
4.ชมอาคารพิพิธภัณฑ์ทรัพยากรสัตว์ทะเลหายาก


รวมทั้งให้อาหารเต่า ทายาเต่า และทำความสะอาดบ่ออนุบาลเต่าทะเลบนเกาะมันใน พร้อมทั้งร่วมปลูกต้นประสักเพื่อช่วยลดความเสียหายบริเวณชายฝั่งทะเล และเป็นแนวป้องกันการกัดเซาะน้ำทะเล และเก็บขยะบริเวณชายฝั่ง

นายมิคมินทร์ จารุจินดา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตะวันออก กล่าวว่า "การเรียนรู้และการอนุรักษ์ที่ดีคือการเดินเข้าหาธรรมชาติ มาศึกษา มาเรียนรู้จากของจริง สัตว์ทะเลหลายอย่างมีคุณค่ากว่าที่เรารู้ อย่างเต่าทะเลอาจเรียกอีกอย่างว่าเป็นทูตสันติภาพของทั่วทั้งโลก เพราะสามารถไปได้ทุกที่ไม่ต้องมีวีซ่าหรือพาสปอร์ต

"ที่สำคัญการ ที่เรามีเกาะมันในเป็นแหล่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่ง ตะวันออกแห่งแรกของไทย ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 70% นอกจากให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมทางทะเลแล้ว ยังทำให้เกิดความร่วมมือและตระหนักถึงประโยชน์ของธรรมชาติทั้งจากชุมชนโดย รอบรวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่สุดแล้วจะทำให้เกิดความรักและหวงแหนและพัฒนาเป็นการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนใน ที่สุด"


ลูกเต่าทะเลที่บาดเจ็บ

นายอดิศักดิ์ หวังพงษ์สวัสดิ์ รองประธานฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจผู้จำหน่าย ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า

" เนื่องจากเกาะมันในมีศักยภาพในการเป็นแหล่งการเรียนรู้ด้านธรรมชาติวิทยา และปลูกฝังแนวคิดการอนุรักษ์ในรูปแบบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสำหรับนัก เรียน นักศึกษา ในปีนี้ ฟอร์ดจึงนำร่องด้วยการให้การสนับสนุนแก่เกาะมันในเพิ่มเติมผ่านการพัฒนาและ ปรับปรุงต่างๆ เต็มความสามารถ เพื่อส่งเสริมให้เกาะมันในเป็นเกาะแห่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรทาง ทะเลชายฝั่งตะวันออกแห่งแรกของไทย แบบครบวงจร

"คือจะเป็นการศึกษา ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตบนท้องฟ้า เช่น ผีเสื้อ นกต่างๆ ที่อยู่บนเกาะ สิ่งมีชีวิตบนบก เช่นสัตว์บก และพันธุ์ไม้ต่างๆ และสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น เต่าทะเล ปะการัง เป็นต้น"

อนึ่ง เกาะมันในเป็นเกาะพระราชทานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในโครงการสมเด็จฯ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2522 นับเป็นแหล่งอนุบาลและเผยแพร่พันธุ์เต่าทะเลแห่งแรกของประเทศไทย และได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ ให้ครอบคลุมถึงสัตว์ทะเลประเภทอื่นๆ เช่น การปลูกและเพาะพันธุ์ปะการัง รวมทั้งอนุบาลหอยมือเสือ เป็นต้น

นอกจากนี้ บนเกาะยังมีการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่น่าสนใจ เช่น การนำน้ำทะเลมาผลิตเป็นน้ำจืดเพื่อการอุปโภค-บริโภค การใช้กังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า นิเวศวิทยาป่าโกงกาง เป็นต้น พร้อมทั้งมีอาคารพิพิธภัณฑ์ทรัพยากรสัตว์ทะเลหายาก บ้านหอยและปะการัง และคอกเต่าทะเล ขนาด 30 ไร่

ห้องเรียนแห่งนี้เปิดให้ชมตลอดทุกวัน


**************************************************************************************************************************


กสม.ให้ระงับอุทยานฯเกาะพยามไว้ก่อน

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม อนุกรรมการป่าไม้และที่ดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประชุมพิจารณากรณีชาวบ้าน ต.เกาะพยาม อ.เมืองระนอง ร้องเรียนเรื่องที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งรัดประกาศเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยาม ทับที่ทำกินชาวบ้าน โดยเชิญตัวแทนทั้งสองฝ่ายเข้าชี้แจง โดยนายธนเดช ดิษฐลำพู ชาวบ้านเกาะพยามยืนยันว่าเจ้าหน้าที่อุทยานฯไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าจะประกาศ พื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยมานับร้อยปีเป็นเขตอุทยานฯ ในขณะที่นายสมพล เรืองน้อย หัวหน้าอุทยานฯยืนยันว่าได้สอบถามความเห็นชาวบ้านมาตลอด และร่วมกันเดินรังวัดพื้นที่ มีการแบ่งเขตที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเป็นสัดส่วน

ด้านนางสุนี ไชยรส ประธานอนุกรรมการป่าไม้และที่ดิน กสม. กล่าวว่า กรมอุทยานฯยังไม่สามารถประกาศพื้นที่บริเวณหมู่เกาะพยามเป็นเขตอุทยานฯได้ เพราะมีชาวบ้านยื่นหนังสือคัดค้านถึง 2 พันรายชื่อ แต่หากยืนยันจะดำเนินการอีก ถือว่าเป็นการแสดงเอกสารเท็จ ขอแนะนำให้แจ้งอธิบดีกรมอุทยานฯระงับการประกาศไว้ก่อน และ กสม.จะส่งหนังสือแสดงความเห็นเรื่องนี้ด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2008, 01:00:17 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 01:12:25 AM »

แนวหน้า


สั่งระงับก่อสร้างรีสอร์ท หวั่นกระทบสวล.เกาะอาดัง อุทยานฯชี้ทำได้ตามหน้าที่

จากกรณีที่ บริษัท อาดังรีสอร์ท จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานจากกรมธนารักษ์เจ้าของพื้นที่ในการก่อสร้างรีสอร์ท เนื้อที่ 5 ไร่ บนเกาะอาดัง เขตอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา จ.สตูล ถูกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งต่อมาได้ตัดสินให้บริษัทระงับการ ก่อสร้างพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า การก่อสร้างรีสอร์ทอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล พื้นที่รอบเกาะได้

นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า การดำเนินการใดๆ ในระดับจังหวัด โดยปกติจะต้องเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือก่อนดำเนินการทุกขั้นตอน ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นเรื่องของเจ้าของพื้นที่ที่จะดำเนินการและมีการประสาน ส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากว่าพื้นที่เกาะอาดังเป็นพื้นที่ทับซ้อน เพราะเดิมทีเป็นของกรมธนารักษ์เป็นที่ราชพัสดุมาตั้งแต่ต้น แต่ภายหลังมีการประกาศเขตของอุทยานครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวด้วย ทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยให้ พื้นที่เกาะอาดังเป็นของกรมธนารักษ์ เนื่องจากว่าเป็น พื้นที่ที่ทางธนารักษ์ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว

ด้าน นายไพบูรณ์ เพชรแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ เกาะตะรุเตา เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกรมอุทยานฯ ได้ทำหนังสือส่งให้ทางกรมธนารักษ์พื้นที่สตูลเพื่อให้ชะลอการก่อสร้างไว้ ก่อน อีกทั้งรอการหารือระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืชกับกรมธนารักษ์ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป

ขณะที่ นายอุภัย วายุพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ขั้นตอนจากนี้ต้องดูว่าบริษัทจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลฎีกาหรือไม่ หากไม่มีการอุทธรณ์กรมอุทยานฯ ก็จะประกาศให้รื้อถอนภายใน 30 วัน ซึ่งสามารถขยายเวลารื้อถอนออกไปได้อีก 15 วัน แต่เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่ยอมรื้อถอน กรมอุทยานฯก็จะเข้าไปดำเนินการทันที ภารกิจหลักของกรมอุทยานฯจะต้องดูแลรักษาทรัพยากรที่มีอยู่ไม่ให้ถูกทำลาย แม้ว่าเอกชนจะมีการประมูลเช่าจากกรมธนารักษ์ แต่กรมอุทยานฯ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติไม่ให้ถูกทำลาย


******************************************************************************************************************************


เปิดฤดูท่องเที่ยว‘ทุ่งแสลงหลวง’

พิษณุโลก:นายไพบูรณ์ พวงเพชร หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ขณะนี้ถึงฤดูท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ทุ่งโนนสนภายในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลง หลวง ดอกไม้นานาชนิดจะเริ่มบานสะพรั่งเต็มลานหินของทุ่งโนนสนตั้งแต่ช่วงปลาย เดือน ต.ค.-พ.ย. ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูฝนและเข้าสู่ฤดูหนาว

โดยทุ่งโนนสนตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง บ้านเผ่าไทย ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าสนเขาที่สวยงาม ตามบริเวณลานหินจะเต็มไปด้วยดอกไม้เล็กๆ เช่น ดุสิตา สร้อยสุวรรณา กระดุมเงิน ฯลฯ รวมทั้งกล้วยไม้ดินนานาชนิด เช่น เอื้องม้าวิ่ง ยี่โถปีนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่านานาชนิด

สำหรับการเข้าไปท่องเที่ยวทุ่งโนนสน เขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ปัจจุบันมีการเปิดเส้นทางเข้าไปใหม่ทางด้าน จ.พิษณุโลก ระยะทางการเดินทางในเขตป่าจะสั้นกว่าทางด้าน จ.เพชรบูรณ์ ที่สามารถเข้ามาได้สองเส้นทาง คือ ถนนพิษณุโลก-หล่มสัก บริเวณหลักกม.ที่ 32 เข้าทางด้าน ต.วังนกแอ่น ถนนสายบ้านแก่ง-รักไทย และถนนสายพิษณุโลก-เนินมะปราง เข้าทางเส้นทางบ้านน้ำปาด-รักไทย นักท่องเที่ยวที่สนใจติดต่อที่โทรศัทพ์หมายเลข 0-87199-1345


****************************************************************************************************************************


ผวจ.แม่ฮ่องสอนเชิญชวนคนไทย ร่วมสัมผัสอากาศหนาว-ชมทุ่งบัวตอง

แม่ฮ่องสอน:นายธงชัย วงศ์เหรียญทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ทาง จ.แม่ฮ่องสอน ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกภาคที่ต้องการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ สามารถมาสัมผัสของจริงที่แม่ฮ่องสอนได้ ซึ่งในช่วงฤดูหนาวทุกอำเภอมีแหล่งท่องเที่ยวของตัวเอง พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างแดนไม่จำกัดจำนวน

โดยเริ่มจาก อ.ปาย และอ.สบเมย ซึ่งมีสถานท่องเที่ยวทั้งแบบธรรมชาติและวิถีชีวิตการดำรงชีวิตที่หลากหลาย ด้านวัฒนธรรมของพี่น้องชนเผ่าต่างๆ และไม่สามารถหาชมได้ในจังหวัดอื่น สำหรับแหล่งท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ เช่น น้ำตก ถ้ำ ฝูงนกต่างๆ จำนวนมากที่บินมาในช่วงฤดูหนาว ที่สำคัญ คือ พระตำหนักปางตองที่เป็นแหล่งรวมของเฟิร์นนานาพันธุ์มากที่สุดของประเทศไทย

อีกทั้งในช่วงนี้ จ.แม่ฮ่องสอน ยังมีเทศกาลทุ่งบัวตองบัน ณ ดอยแม่อูคอ อ.ขุนยวม ซึ่งมีพื้นที่กว่า 500 ไร่ ความสูงจากทะเลถึง 1,200 เมตร เลยจากทุ่งบัวตองประมาณ 3 กม.มีดอกไม้รองเท้านารีและน้ำตกแม่สุรินทร์ ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย จึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ามาพักผ่อนสมองและรับบรรยากาศแบบธรรมชาติที่ แม่ฮ่องสอนในช่วงปลายฝนต้นหนาวด้วยกัน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.115 วินาที กับ 20 คำสั่ง