กระดานข่าว Save Our Sea.net
มีนาคม 29, 2024, 03:32:45 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2552  (อ่าน 3183 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« เมื่อ: เมษายน 12, 2009, 03:50:13 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

ลักษณะอากาศทั่วไป    
     ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้ไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีกำลังแรง ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ 
 
คาดหมาย
     ในช่วงวันที่ 12-14 เม.ย. ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 15-18 เม.ย. ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ปริมาณฝนลดลง และมีอากาศร้อนขึ้น
     
ข้อควรระวัง
     ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับในช่วงวันที่ 12-14 เม.ย. ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง 

 
 
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 12, 2009, 04:20:35 AM »

มติชน

ปล่อย"แร้ง" อพยพกลับถิ่นเกิด
นุเทพ สารภิรมย์



ในแต่ละปีจะมีนกบินอพยพหนีหนาวจากทางตอนเหนือ ผ่านมายังประเทศไทย บางชนิดพักอยู่ที่นี่ก่อนบินต่อไปทางใต้ บางชนิดอาศัยหากินอยู่ตามแหล่งน้ำ ป่าเขาในไทย หรือบางพวกอาจได้รับบาดเจ็บขณะบินผ่านมา

"แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย" นกหายากหนึ่งในจำนวนนั้น

ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกองทุนฟื้นฟูนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ร่วมกันจัดโครงการปล่อยนกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย 10 ตัว คืนสู่ธรรมชาติ ที่หน่วยพิทักษ์ป่าซับฟ้าผ่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา

จากการสำรวจพบว่า ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. จะมีลมฤดูร้อนจากทะเลทางใต้พัดขึ้นมา เพื่อช่วยส่งแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยบินไปทางเหนือ อพยพกลับขึ้นไปยังเทือกเขาหิมาลัยถิ่นอาศัยของมัน

โดยนำแร้งทั้ง 10 ตัวใส่ไว้ในกรง และนำมาปล่อยยังที่บริเวณป่าเต็งรัง เนื่องจากสภาพป่ามีความเหมาะสม มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก แร้งสามารถที่จะใช้ชีวิตไปอย่างอิสระ และเพื่อให้แร้งอยู่ได้ในช่วงแรกก่อนการบินกลับ พร้อมทั้งนำซากวัวผ่าท้องมาวางไว้ เพื่อเป็นอาหารของแร้ง สัปดาห์ละ 1 ตัว จนกว่าแร้งทั้งหมดจะแข็งแรงอพยพกลับไปได้

น.สพ.ไชยยันต์ เกษรดอกบัว หัวหน้าหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลว่า แร้งสีน้ำตาลหิมาลัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ 2 แหล่ง ถิ่นแรกคือ เนปาล ภูฏาน ทิเบต อินเดีย อีกแห่งคือ มองโกเลีย และทางทิศตะวันตกของประเทศจีน อาศัยอยู่ตามที่สูงตั้งแต่ 400-4,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในช่วงฤดูหนาวจะอพยพลงมาทางทิศใต้ในช่วงเดือนพ.ย. ผ่านประเทศพม่า ไทย กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
 


แร้งสีน้ำตาลหิมาลัยเป็นนกอพยพนอกฤดูกาลผสมพันธุ์ที่หายากมากในประเทศไทย จากการศึกษาพบว่ามันใช้เส้นทางอพยพแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกใช้เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก กลุ่มที่ 2 ใช้เส้นทางภาคตะวันตก และภาคใต้

ตลอดต้นปีพ.ศ.2552 พบว่ามีแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยบินตกในประเทศไทย เนื่องจากขาดอาหาร และประสบอุบัติเหตุ มีทั้งสิ้น 10 ตัว โดยพบที่ จ.ชัยภูมิ จ.กาญจนบุรี จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.ตรัง จ.สตูล จ.นครศรีธรรมราช จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ระนอง แยกเป็นตัวผู้ 4 ตัวเมีย 4 ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบเพศอีก 2 ตัว อายุตั้งแต่ 8 เดือน ถึง 1 ปี และอีกตัวอายุ 3 ปี โดยแร้งทั้งหมดถูกนำมารักษาและฟื้นฟูสภาพร่างกาย ที่ร.พ.สัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม

จากนั้นตรวจสุขภาพ ตรวจไข้หวัดนก บันทึกข้อมูล ชั่งน้ำหนัก วัดขนาด ถ่ายพยาธิ เก็บตัวอย่างเลือด โดยพบว่าทั้ง 10 ตัวแข็งแรงสมบูรณ์ บินได้ดี สามารถอยู่ร่วมกันได้ เชื่อว่าเมื่อปล่อยไปจะอยู่ร่วมกันในธรรมชาติได้ จึงติดห่วงขา และแถบปีกสีเขียว ตัวอักษรสีขาว ระบุหมายเลขประจำตัวนก THA BKK DNP 17A00006-17A00015 เพื่อให้เครือข่ายวิจัยนกล่าเหยื่อในภูมิภาคเอเชีย สามารถติดตามศึกษาการเดินทางอพยพของแร้งกลุ่มนี้ เพื่อนำมาใช้ประกอบการวิจัยครั้งนี้ต่อไป
 


นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยให้นกรอดชีวิตมากขึ้น ทางหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อร่วมกับกรมอุทยานฯ ทำ "ร้านอาหารแร้ง" หรือ "ภัตตาคารแร้ง" โดยนำซากวัวปลอดเชื้อโรค ผ่าท้องนำไปวางทิ้งไว้ เพื่อให้แร้งลงมากิน เป็นการทำร้านนำร่องในพื้นที่ป่าซับฟ้าผ่า

การสร้างร้านอาหารแร้งถือว่าเหมาะสมมากในช่วงเวลาที่ซากสัตว์ในธรรมชาติ ซึ่งเป็นอาหารแร้งขาดแคลน เพราะจะช่วยเหลือให้แร้งรอดชีวิตมากยิ่งขึ้น ในประเทศไทยเพิ่งจะนำร่องเป็นครั้งแรก และหวังว่าประเทศไทยอาจจะมีแร้งเพิ่มขึ้นก็เป็นได้

น.สพ.ไชยยันต์กล่าวว่า ในอดีตประเทศไทยเคยมีพญาแร้ง และแร้งสีเทาหลังขาว และแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แต่ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีรายงานพบในไทย คาดว่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว

ดังนั้น การทำร้านอาหารแร้งอาจจะทำให้นกกลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่ห้วยขาแข้งอีกครั้ง นอกจากจะทำให้มีอาหารเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต และขยายพันธุ์ในธรรมชาติแล้ว ระยะยาวยังอาจจะเชิญชวนให้แร้งจากพื้นที่อื่นเข้ามาหากินอาหารในประเทศไทยด้วย

"นกล่าเหยื่อเป็นสัตว์ควบคุม ไม่สามารถครอบครองเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงได้ หากครอบครองถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขณะนี้พบว่ามีการซื้อขายนกล่าเหยื่อเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อผู้ซื้อนำไปเลี้ยงระยะหนึ่ง แต่เลี้ยงไม่ได้ มักจะปล่อยไปตามธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่วิถีการดำรงชีวิตของพวกมัน ดังนั้นอย่าสนับสนุนการซื้อนกล่าเหยื่อ เพราะเป็นการทำลายระบบนิเวศอย่างมาก หากใครที่ครอบครองอยู่ แต่ไม่สามารถเลี้ยงได้ ก็ให้นำมาให้ที่คณะสัตวแพทย์ เพื่อนำไปฟื้นฟูก่อนปล่อยคืนธรรมชาติต่อไป" น.สพ.ไชยยันต์กล่าว

ด้านนางเรวดี เลิศอริยฤต จากกองทุนฟื้นฟูนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ กล่าวว่า กองทุนฯ เริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2550 ด้วยความร่วมมือของนักดูนก เพื่อฟื้นฟูช่วยเหลือแร้งดำหิมาลัย หรือ อนาคิน ให้บินกลับยังถิ่นกำเนิด และเพื่อเป็นการศึกษาเส้นทางการอพยพของแร้งดำหิมาลัย เราจึงคิดติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียม (Satellite Telemetry) แต่เนื่องจากมีราคาแพง จึงต้องระดมทุน ในครั้งนั้นเราได้รับความร่วมมือจากหลายส่วน จึงนำ Satellite มาติดที่อนาคิน และต่อไปจะติดที่แร้งสีน้ำตาลหิมาลัยด้วย

ในอนาคตเราอยากให้ทางรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะกระทรวงวิทยาศาสตร์ ที่มีหน่วยงานที่มีศักยภาพในการคิดค้นวิจัยเครื่อง Satellite ติดตั้งในนกได้ และหากสร้างได้เป็นผลสำเร็จ จะช่วยลดต้นทุนในการซื้อเครื่องนี้จากต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกษานก และสัตว์ต่างๆ อีกมากมาย ถือเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างสูง

 
 
 
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 12, 2009, 04:22:43 AM »

ถก"มาบตาพุด" เขตควบคุมมลพิษ
สุจิต เมืองสุข


หลังศาลปกครองจังหวัดระยอง มีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวให้เขตพื้นที่เทศบาลมาบตาพุดทั้งเทศบาล รวมทั้งพื้นที่อีก 4 ตำบลในอ.เมือง และอ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ และให้ดำเนินการประกาศเขตภายใน 60 วัน

แต่ต่อมาคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติให้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง โดยให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาประเด็นในการยื่นอุทธรณ์

ทางศูนย์เศรษฐศาสตร์นิเวศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนา "มาบตาพุดกับการประกาศเขตควบคุมมลพิษ" เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความเห็นถึงการจัดการกับพื้นที่มาบตาพุด

นายสมยศ แสงสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) หรือเจนโก้ บริษัทกำจัดกากสารพิษและขยะตกค้างจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ร่วมพูดคุยถึงที่มาของปัญหาขยะและการลักลอบทิ้งกากสารพิษ

โดยนายสมยศระบุว่า ข้อมูลของประเภทอุตสาหกรรมไม่ชัดเจน ขาดการรายงานแผนการบริหารจัดการ บทลงโทษน้อย เห็นว่าควรมีศาลสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการขาดจิตสำนึก รัฐให้ความสำคัญการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมน้อย และขาดการติดตามการกำจัดของภาคอุตสาหกรรม

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ คือการออกใบอนุญาตให้โรงงานกำจัดกากของเสียและกากสารพิษที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่ได้มาตรฐาน โดยนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งออกใบอนุญาตโดยไม่จำกัดจำนวน ส่งผลให้เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากสารพิษในจังหวัดต่างๆ
 


สำหรับปริมาณขยะอุตสาหกรรมในมาบตาพุดนั้น นายสมยศระบุว่า ขยะชุมชนมีจำนวนมากถึง 32 ล้านตันต่อปี เฉลี่ยมีการสร้างขยะชุมชนมากถึง 500,000 ตันต่อคนต่อปี ในจำนวนนี้มีขยะที่เป็นสารพิษสูงถึงร้อยละ 5 และไม่ถูกกำจัด

ผู้บริหารเจนโก้ระบุด้วยว่า แต่จำนวนโรงงานรับกำจัดกากสารพิษที่เพิ่มขึ้น จากการให้ใบอนุญาตแบบมีผลประโยชน์แอบแฝง จึงส่งผลให้ลูกค้าที่ใช้บริการกำจัดกากกับเจนโก้ ลดลงจากเดิมเกือบ 4,000 ราย เหลือราว 1,000 รายในปัจจุบัน

ขณะที่นายพิทยา ปราโมทย์วรพันธ์ หัวหน้าฝ่ายคดีและนิติกรรมสัญญา กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองว่า กรมควบคุมมลพิษไม่ได้ต้องการให้ยกเลิกประกาศเขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด เพียงแต่เห็นว่าส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ระบุในคำฟ้องเปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องอุทธรณ์ให้ถูกต้องเท่านั้น

"ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่อยากประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ แต่คณะกรรมการเห็นว่า ปัญหามลพิษในแต่ละแห่งมีความสลับซับซ้อนต่างกัน การประกาศเขตควบคุมมลพิษ 17 พื้นที่ใน 12 จังหวัด เป็นเพราะเห็นว่าการประกาศเขตควบคุมมลพิษเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่สำหรับมาบตาพุดมีข้อแตกต่างกว่า 17 พื้นที่ การประกาศเขตควบคุมมลพิษจึงไม่ใช่ยาหม้อใหญ่ ที่จะใช้สำหรับแก้ปัญหามลพิษในทุกที่ได้ ดังนั้น คณะกรรมการจึงเลือกใช้เครื่องมืออื่นในการแก้ปัญหา" นายพิทยากล่าว
 


ส่วนนายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก หนึ่งในองค์กรเรียกร้องให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ เห็นว่าการอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ถือเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว จะได้ถือเป็นมาตรฐานและบรรทัดฐานของสังคมได้

อีกทั้งยังเห็นว่าการประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ จะนำมาซึ่งการปฏิบัติตามข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ที่ให้ประชาชนในพื้นที่ต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนลดและกำจัดมลพิษ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

"การดึงเวลาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่ยอมประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษมาเนิ่นนาน มีต้นเหตุเพียงประการเดียว คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อันเนื่องมาจากผู้บริหาร หรือคณะกรรมการของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ยังคงทำหน้าที่บริหารในส่วนของภาครัฐ อาทิ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรี หรืออธิบดีกรม ไปพร้อมกัน หากประกาศเขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด ย่อมเสียประโยชน์ในเชิงธุรกิจ และเศรษฐกิจในพื้นที่ตามมา" นายสุทธิกล่าว

ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า 6 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมทรัพยากรน้ำบาล กรมทรัพยากรธรณี กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้รับงบประมาณหลายร้อยล้าน เพื่อสำรวจเก็บข้อมูลการปนเปื้อนของสารพิษทุกประเภทในมาบตาพุด

โดยเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 แต่ปัจจุบันกลับไม่มีหน่วยงานใด เปิดเผยข้อมูลการสำรวจในพื้นที่ออกสู่สาธารณะ ทั้งที่ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ แต่ทำไมไม่เปิดเผย และเก็บข้อมูลไว้ สูญเสียงบประมาณเปล่าๆ

ปัญหามาบตาพุดยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ยังไม่รู้ว่าผลการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครอง จะออกมาเช่นไร รวมถึงการประกาศเขตควบคุมมลพิษที่ยังไม่เริ่ม ขณะที่ชีวิตของชาวมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงอายุสั้นลงทุกวัน
 
 
 
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 12, 2009, 04:24:59 AM »

โจรสลัดขู่สหรัฐ"หายนะ"ชิงตัวประกัน



ศึกนาวา - หน่วยคอมมานโดฝรั่งเศสบุกช่วยตัวประกันของชาติตนเอง ในอ่าวเอเดน ชายฝั่งประเทศโซมาเลีย โดยช่วยมาได้ 4 ราย เสียชีวิต 1 ราย ฝ่ายโจรสลัดถูกสังหาร 2 ราย เหตุเกิดขึ้นขณะที่กัปตันริชาร์ด ฟิลลิปส์ ของสหรัฐ (ภาพเล็ก) ถูกจับเป็นตัวประกันในอีกเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อ 11 เม.ย. (เอพี)

 
เมื่อ 11 เม.ย. บีบีซีรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์โจรสลัดโซมาเลียจับกัปตันเรืออเมริกันเป็นตัวประกันว่า หลังจากสหรัฐส่งเรือรบและทีมเอฟบีไอรุดไปใกล้จุดเกิดเหตุที่น่านน้ำโซมาเลีย ในมหาสมุทรอินเดีย ฝ่ายโจรสลัดเริ่มข่มขู่ว่า หากฝ่ายสหรัฐใช้กำลังเพื่อจะชิงตัวกัปตัน ริชาร์ด ฟิลลิปส์ เมื่อใด เหตุการณ์จะลงเอยด้วยหายนะ

สหรัฐพยายามจะช่วยพลเมืองของตนเอง นับจากที่โจรสลัดบุกปล้นเรือเมิร์กส์ อลาบามา ตั้งแต่วันพุธที่ 8 เม.ย. โดยลูกเรือสหรัฐยึดเรือคืนไปได้ แต่กัปตันฟิลลิปส์ตกอยู่ในมือโจรสลัด กระทั่งวันศุกร์ที่ผ่านมา กัปตันฟิลลิปส์พยายามหนีด้วยการกระโดดลงจากเรือชูชีพที่ถูกจับตัวไว้และว่ายน้ำมุ่งมายังเรือพิฆาตเบนบริดจ์ ของฝ่ายสหรัฐ แต่โจรสลัดตามมาจับตัวกลับไปได้อีกครั้ง

ในวันเดียวกันนั้น กองกำลังทหารฝรั่งเศสพยายามบุกช่วยตัวประกันของชาติตนเองในเรือทานิต เรืออีกลำหนึ่งที่ถูกโจรสลัดปล้นยึดไว้ในสัปดาห์ก่อน เป็นเหตุให้ชาวฝรั่งเศสเสียชีวิต 1 ราย ฝ่ายโจรสลัดเสียชีวิต 2 ราย แต่ช่วยตัวประกันจากเรือทานิตได้ 4 ราย รวมถึงเด็กอายุ 4 ขวบ

ในกรณีของกัปตันฟิลลิปส์ ทางรัฐบาลสหรัฐ โดยนายโรเบิร์ต เกตส์ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การช่วยชีวิตกัปตันฟิลลิปส์เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในการเผชิญหน้าครั้งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า การเจรจาต่อรองอาจต้องกินเวลานาน แม้จะมีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไปช่วยเป็นฝ่ายต่อรอง โดยมีข่าวว่า โจรสลัดเรียกเงินค่าไถ่ตัวกัปตัน 2 ล้านดอลลาร์ หรือราว 70 ล้านบาท

นายอับดี การัด หัวหน้ากลุ่มโจรสลัดให้สัมภาษณ์เอเอฟพีว่า ต้องการย้ายตัวประกันไปยังเรือพันธมิตรของกลุ่มโจรสลัดในเขตการาคัด เพื่อรอผลการต่อรอง เพราะเราเชื่อว่าต้องใช้เวลานาน นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลว่าสหรัฐเตรียมใช้กลยุทธ์แบบฝรั่งเศส จึงขอเตือนว่า อย่าทำ ไม่เช่นนั้นจะต้องพบกับหายนะ

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.031 วินาที กับ 19 คำสั่ง