ถก"มาบตาพุด" เขตควบคุมมลพิษ สุจิต เมืองสุข
หลังศาลปกครองจังหวัดระยอง มีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวให้เขตพื้นที่เทศบาลมาบตาพุดทั้งเทศบาล รวมทั้งพื้นที่อีก 4 ตำบลในอ.เมือง และอ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ และให้ดำเนินการประกาศเขตภายใน 60 วัน
แต่ต่อมาคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติให้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง โดยให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาประเด็นในการยื่นอุทธรณ์
ทางศูนย์เศรษฐศาสตร์นิเวศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนา "มาบตาพุดกับการประกาศเขตควบคุมมลพิษ" เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความเห็นถึงการจัดการกับพื้นที่มาบตาพุด
นายสมยศ แสงสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) หรือเจนโก้ บริษัทกำจัดกากสารพิษและขยะตกค้างจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ร่วมพูดคุยถึงที่มาของปัญหาขยะและการลักลอบทิ้งกากสารพิษ
โดยนายสมยศระบุว่า ข้อมูลของประเภทอุตสาหกรรมไม่ชัดเจน ขาดการรายงานแผนการบริหารจัดการ บทลงโทษน้อย เห็นว่าควรมีศาลสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการขาดจิตสำนึก รัฐให้ความสำคัญการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมน้อย และขาดการติดตามการกำจัดของภาคอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ คือการออกใบอนุญาตให้โรงงานกำจัดกากของเสียและกากสารพิษที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่ได้มาตรฐาน โดยนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งออกใบอนุญาตโดยไม่จำกัดจำนวน ส่งผลให้เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากสารพิษในจังหวัดต่างๆ
สำหรับปริมาณขยะอุตสาหกรรมในมาบตาพุดนั้น นายสมยศระบุว่า ขยะชุมชนมีจำนวนมากถึง 32 ล้านตันต่อปี เฉลี่ยมีการสร้างขยะชุมชนมากถึง 500,000 ตันต่อคนต่อปี ในจำนวนนี้มีขยะที่เป็นสารพิษสูงถึงร้อยละ 5 และไม่ถูกกำจัด
ผู้บริหารเจนโก้ระบุด้วยว่า แต่จำนวนโรงงานรับกำจัดกากสารพิษที่เพิ่มขึ้น จากการให้ใบอนุญาตแบบมีผลประโยชน์แอบแฝง จึงส่งผลให้ลูกค้าที่ใช้บริการกำจัดกากกับเจนโก้ ลดลงจากเดิมเกือบ 4,000 ราย เหลือราว 1,000 รายในปัจจุบัน
ขณะที่นายพิทยา ปราโมทย์วรพันธ์ หัวหน้าฝ่ายคดีและนิติกรรมสัญญา กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองว่า กรมควบคุมมลพิษไม่ได้ต้องการให้ยกเลิกประกาศเขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด เพียงแต่เห็นว่าส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ระบุในคำฟ้องเปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องอุทธรณ์ให้ถูกต้องเท่านั้น
"ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่อยากประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ แต่คณะกรรมการเห็นว่า ปัญหามลพิษในแต่ละแห่งมีความสลับซับซ้อนต่างกัน การประกาศเขตควบคุมมลพิษ 17 พื้นที่ใน 12 จังหวัด เป็นเพราะเห็นว่าการประกาศเขตควบคุมมลพิษเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่สำหรับมาบตาพุดมีข้อแตกต่างกว่า 17 พื้นที่ การประกาศเขตควบคุมมลพิษจึงไม่ใช่ยาหม้อใหญ่ ที่จะใช้สำหรับแก้ปัญหามลพิษในทุกที่ได้ ดังนั้น คณะกรรมการจึงเลือกใช้เครื่องมืออื่นในการแก้ปัญหา" นายพิทยากล่าว
ส่วนนายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก หนึ่งในองค์กรเรียกร้องให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ เห็นว่าการอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ถือเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว จะได้ถือเป็นมาตรฐานและบรรทัดฐานของสังคมได้
อีกทั้งยังเห็นว่าการประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ จะนำมาซึ่งการปฏิบัติตามข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ที่ให้ประชาชนในพื้นที่ต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนลดและกำจัดมลพิษ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
"การดึงเวลาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่ยอมประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษมาเนิ่นนาน มีต้นเหตุเพียงประการเดียว คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อันเนื่องมาจากผู้บริหาร หรือคณะกรรมการของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ยังคงทำหน้าที่บริหารในส่วนของภาครัฐ อาทิ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรี หรืออธิบดีกรม ไปพร้อมกัน หากประกาศเขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด ย่อมเสียประโยชน์ในเชิงธุรกิจ และเศรษฐกิจในพื้นที่ตามมา" นายสุทธิกล่าว
ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า 6 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมทรัพยากรน้ำบาล กรมทรัพยากรธรณี กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้รับงบประมาณหลายร้อยล้าน เพื่อสำรวจเก็บข้อมูลการปนเปื้อนของสารพิษทุกประเภทในมาบตาพุด
โดยเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 แต่ปัจจุบันกลับไม่มีหน่วยงานใด เปิดเผยข้อมูลการสำรวจในพื้นที่ออกสู่สาธารณะ ทั้งที่ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ แต่ทำไมไม่เปิดเผย และเก็บข้อมูลไว้ สูญเสียงบประมาณเปล่าๆ
ปัญหามาบตาพุดยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ยังไม่รู้ว่าผลการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครอง จะออกมาเช่นไร รวมถึงการประกาศเขตควบคุมมลพิษที่ยังไม่เริ่ม ขณะที่ชีวิตของชาวมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงอายุสั้นลงทุกวัน