กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 12, 2025, 03:23:07 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156384 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #75 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2007, 11:40:31 PM »


เมืองใหญ่กับโลกร้อน


ตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา บรรดาตัวแทนจากเมืองใหญ่ในระดับ "มหานคร" ทั่วโลกเขาไปประชุมกันที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ตัวแทนของบรรดาเมืองต่างๆ เหล่านี้ รวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มก้อน เรียกตัวเองว่ากลุ่ม ซี-40 หรือ "ซี โฟร์ตี้" เขาเรียกการประชุมหนนี้ว่า เป็นการประชุมสุดยอด ซี โฟร์ตี้ ลาร์จ ซิตี้ ไคลเมต หรือการประชุมสุดยอดกลุ่ม ซี 40 ว่าด้วยอากาศเหนือเมืองใหญ่

บรรดาตัวแทนเหล่านี้ตั้งเป้าหมายจะใช้ที่ประชุมเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และค้นหาแนวทางว่า จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจกได้อย่างไร ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นการลดเงื่อนไขการทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น

ถ้าลดไม่ได้ เขาก็อยากรู้กันว่า แต่ละเมืองเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสภาวะโลกร้อนอย่างไร อย่างเช่น จะรับมือกับภาวะน้ำท่วมที่เกิดจากการที่น้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ได้อย่างไร เป็นต้น

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า การประชุมหนนี้เป็นการหารือในแนวทางปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่บอกอย่างนั้นเพราะ เมืองใหญ่ๆ เหล่านี้เมื่อรวมกันแล้ว จะเป็นกลุ่มก้อนของแหล่งที่มาของสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนขึ้นในสัดส่วนเกือบ 70-80 เปอร์เซ็นต์

บรรดามหานครต่างๆ เหล่านี้ บริโภคพลังงานคิดเป็นสัดส่วน 75 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณพลังงานที่โลกทั้งโลกบริโภค และเป็นที่มาของก๊าซพิษ ที่เป็นต้นตอของภาวะโลกร้อน หรือที่เราเรียกว่าก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ของสัดส่วนการปล่อยก๊าซพิษรวมกันทั้งโลก

จะเรียกเมืองใหญ่ๆ เหล่านี้ว่า "ไอ้ตัวร้าย" ก็คงไม่ผิดนักหรอกครับ

ในบรรดาไอ้ตัวร้ายราว 30-40 เมืองที่ว่านี้ มี "กรุงเทพมหานคร" ของเราอยู่ด้วย

ตัวเลขจำนวนประชากรอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 12 ล้านคน คิดแล้วไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรไทยทั้งประเทศราว 66 ล้านคน แต่คนจำนวนน้อยเหล่านี้ บริโภคพลังงานคิดเป็น 30-50 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานที่บริโภคกันทั้งประเทศ

และกรุงเทพมหานครของเราก็เป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปสู่บรรยากาศมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณการปล่อยก๊าซทั้งหมดของทั้งประเทศครับ

ผมถึงบอกว่า ความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซ หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าการปรับพฤติกรรมของ "ไอ้ตัวร้าย" ของแต่ละประเทศนั้นมีความสำคัญและมีความหมายอย่างมากต่อทั้งโลก

มีข้อเสนอมากมายครับ สำหรับให้ กทม.หยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองที่ว่านี้ อย่างเช่นกรณีที่ คุณคาร์ลอส ริค่า นายกเทศมนตรีนครคูริตีบา ในบราซิล เคยปฏิบัติมาแล้ว ปรากฏว่าได้ผล

คุณคาร์ลอสใช้อำนาจนายกเทศมนตรีสั่งลดค่าโดยสารรถประจำทางและรถไฟในเขตเมืองของท่าน ปรากฏว่ามีคนหันมาใช้บริการเพิ่มขึ้นปีเดียว 12 ล้านคน ลดจำนวนรถยนต์และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 12 เปอร์เซ็นต์

ส่วนคุณเคน ลิฟวิ่งสตัน นายกเทศมนตรีนครลอนดอน เมืองหลวงเก่าแก่ของโลก ท่านใช้วิธีการตรงกันข้าม นั่นคือสั่งให้มีการเรียกเก็บเงินสำหรับรถยนต์ที่ขับเข้ามาในใจกลางเมืองคันละ 10 ดอลลาร์ หรือราว 350 บาท

คนที่นั่นเขาเรียกว่าภาษีรถติด...ปรากฏว่าได้ผลทันทีครับ ลดจำนวนรถราที่เข้ามาติดกันในใจกลางกรุงลอนดอนลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ทันทีทันควัน

ผมในฐานะที่เป็นหนึ่งใน 12 ล้านคน ของ กทม. อยากบอกว่าเอาไงเอากันครับ

ไหนๆ ก็เป็นไอ้ตัวร้ายมานานแล้วนี่!



จาก    :     มติชน คอลัมน์ 360 องศา  วันที่   19 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #76 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2007, 11:26:51 PM »


รายงานออสซี่ชี้โลกร้อนเร็วกว่าที่คาดการณ์ในอดีต
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 22 พ.ค. อ้างรายงานที่จัดทำโดยองค์กรวิจัยอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เครือจักรภพของออสเตรเลีย (ซีเอสไออาร์โอ) ว่า สภาวะโลกร้อนในปัจจุบันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่มีการทำนายไว้ อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีปริมาณสูงกว่าการคาดการณ์มาตั้งแต่ปี 2543 โดยการปล่อยเชื้อเพลิงที่เผาไหม้แล้วได้เพิ่มขึ้นราว  3% ในทุกปี จากที่เคยเพิ่มขึ้นเพียง 1% ต่อปี ช่วงทศวรรษ 1990

นายไมค์ รอแพช นักวิทยาศาสตร์ซีเอสไออาร์โอระบุในแถลงการณ์ว่า การขับเคลื่อนครั้งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ขยายตัวขึ้นมาจากการเผาไหม้ คาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากขึ้น ซึ่งนายรอแพช กล่าวว่า ขณะที่ประเทศต่างๆดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรม พวกเขาได้ใช้เชื้อเพลิงอย่างหนักหน่วง บ่อยครั้งใช้เชื้อเพลิงเก่า และไม่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เนื้อหาในรายงานของซีเอสไออาร์โอระบุว่า ได้มีการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเกือบ 8,000 ล้านตัน ในปี 2548 เทียบกับปี 2538 การปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมีเพียง 6,000 ล้านตัน รายงานระบุอีกว่า นับตั้งแต่เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม สหรัฐฯ และยุโรปปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 50% มากว่า 2 ศตวรรษ ขณะที่จีนรับผิดชอบน้อยกว่า 8% ชาติที่พัฒนาแล้วเป็นอย่างน้อยจำนวน 50 ประเทศ รับผิดชอบน้อยกว่า 0.5% มานานกว่า 200 ปี นอกจาก นี้ แต่ละคนในออสเตรเลียและสหรัฐฯปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยเฉลี่ยกว่า 5 ตันต่อปี ขณะที่จีนอยู่ที่ตัวเลข 1 ตัน ต่อปี

ด้านการวิจัยร่วมของสหรัฐฯ ก็ระบุเช่นกันว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนในทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3 เท่า ระหว่างปี 2543-2547 ขณะที่ชาติกำลังพัฒนาและชาติร่ำรวย ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความคืบหน้าในการจัดการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจากการวิจัยยังเผยว่า การเร่งอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจากการบริโภคพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และการใช้คาร์บอนในการผลิตพลังงานเหล่านี้ ควบคู่กับการเพิ่มจำนวนประชากรโลกและการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัว

วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานอ้างคำกล่าวของนายถัง เจียซ่วน นักการทูตระดับสูงของจีน ว่าชาติร่ำรวยต่างๆต้องดำเนินการให้มากขึ้นในการต่อสู้ภาวะโลกร้อน และอนุญาตให้ชาติที่ยากจนมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน จีนยินดีดำเนินบทบาทในการแก้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ แต่ความรับผิดชอบดังกล่าวก็ต้องอยู่ที่ชาติพัฒนาแล้วที่จะเป็นฝ่ายจัดการปัญหา ทั้งนี้ นายถังเรียกร้องให้ชาติพัฒนาแล้วเป็นฝ่ายนำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและให้ความช่วยเหลือชาติกำลังพัฒนาในด้านการถ่ายโอนเทคโนโลยีและเงินทุน.
 
 
จาก    :     ไทยรัฐ  วันที่   23 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #77 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2007, 11:52:51 PM »


เผยโลกร้อนลามเร็วกว่าที่คิด

นักวิทยาศาสตร์เผยปัญหาภาวะโลกร้อนลุกลามเร็วเกินคาด ผลจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีต ย้ำรัฐบาลทั่วโลกต้องพัฒนาประเทศควบคู่กับสิ่งแวดล้อม

องค์การวิจัยอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์แห่งเครือจักรภพ  (ซีเอสไออาร์โอ) ซึ่งมีสำนักงานในนครซิดนีย์  ออสเตรเลีย ออกรายงานระบุว่า ปัญหาภาวะโลกร้อนได้ลุกลามรวดเร็วเกินกว่าที่คาดไว้ อันเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา

การปล่อยมลภาวะจากการเผาผลาญพลังงานฟอสซิลเพิ่มขึ้นราว   3%   ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ซึ่งมากกว่าในช่วงทศวรรษที่แล้วที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% ต่อปีเท่านั้น

"การปล่อยมลภาวะทำลายสิ่งแวดล้อมที่เพิม่ขึ้นทั่วโลกนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างยิ่ง  ซึ่งเรากำลังเผาคาร์บอนไปตามความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น"   ไมค์  ราพาช นักวิทยาศาสตร์ของซีเอสไออาร์โอ ระบุในแถลงการณ์ "มันหมายความว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจะรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ในการศึกษาที่ทำไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว"

ราพาช   ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านวงจรคาร์บอน   ด้านมลภาวะ  และนักเศรษศาสตร์ มาวิจัยในโครงการนี้เพื่อสำรวจปริมาณคาร์บอนทั่วโลก   พบว่ามีปริมาณคาร์บอนถึง 8,000 ล้านตันถูกปล่อยออกสู่อากาศในปี 2548 มากกว่าปี 2538 ที่มีเพียง 6,000 ล้านตัน

รายงานดังกล่าวระบุว่า   นับตั้งแต่เริ่มยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา  สหรัฐและยุโรปปล่อยมลภาวะสู่โลกมากกว่า   50%   ในช่วงสองศตวรรษหลังสุด ขณะที่จีนปล่อยก๊าซน้อยกว่า 8%  นอกจากนี้  โดยเฉลี่ยแล้ว  คนออสเตรเลียนและอเมริกัน  1 คนปล่อยก๊าซราว 5 ตันต่อปี ขณะที่คนจีนปล่อยก๊าซราว 1 ตันต่อปี

"มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดการเร่งด่วนกับปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อม   ผลการศึกษาที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า   การปล่อยคาร์บอนมีประวัติศาสตร์ที่จะต้องจับตา"   ราพาชกล่าว  "เราจะต้องจัดการกับการปล่อยก๊าซ เพื่อลดปัญหานี้"

ซีเอสไออาร์โอพบด้วยว่า การปล่อยมลภาวะของออสเตรเลีย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มากที่สุดในโลก  อันเป็นผลมาจากการใช้พลังงานฟอสซิลเพื่อพลังงานไฟฟ้า และการพึ่งพารถยนต์ในการขนส่งเป็นจำนวนมาก

"หมายความว่าเราจะต้องจัดการปัญหาคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศ"    ราพาชกล่าว  "การพัฒนาในการจัดการพลังงานของออสเตรเลีย ยังไม่รวดเร็วเท่ากับการพัฒนาประเทศ"

ออสเตรเลียและสหรัฐ    ซึ่งเป็นพันธมิตรแนบแน่นยังคงปฏิเสธที่จะลงนามในพิธีสารเกียวโต   ซึ่งมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  โดยทั้งสองประเทศเรียกร้องให้ทั่วโลกหามาตรการใหม่มาทดแทนพิธีสาร "เกียวโตเก่า" เช่นนี้.



จาก    :     ไทยโพสต์ วันที่   23 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #78 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2007, 11:33:36 PM »


โลกจะร้อนขึ้น เมื่อมหาสมุทรดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ได้น้อยลง



โลกจะร้อนยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หากมหาสมุทรไม่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ก๊าซเรือนกระจกทีสำคัญเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทว่าขณะนี้นักวิทยาศาสตร์พบว่ามหาสมุทรใต้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ได้น้อยลง ซึ่งจะทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นกว่าที่เคยคาดกันไว้ นั่นหมายความว่าโลกจะร้อนขึ้นกว่าที่คาดกันไว้ด้วย

ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในชั้นบรรยากาศเท่ากับ 280 ส่วนในล้านส่วน(ppm) แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 380 ppm จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ(ไอพีซีซี) มีเป้าหมายที่จะควบคุมการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่า450 ppm ขณะที่ประเทศอุตสาหกรรมบางประเทศต้องการให้มีก๊าซเรือนกระจกในปริมาณ 550 ppm ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของอากาศเชื่อว่า ปริมาณขนาดนี้เพียงพอที่จะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 5.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้น้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ละลายจนหมด และจะทำให้ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 6 เมตร

ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในชั้นบรรยากาศจะสูงกว่านี้และโลกก็จะร้อนกว่าที่เป็นอยู่หากก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ไม่ถูกดูดซับจากมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตบนโลก

ครึ่งหนึ่งของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่มนุษย์ปล่อยออกมาจะถูกดูดซับไว้โดยมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตบนโลกในปริมาณที่พอๆกัน



มหาสมุทรจะดูดซับและเป็น"แอ่งเก็บกัก"ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเก็บกักไว้บริเวณท้องทะเลลึก

นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา มหาสมุทรของโลกดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่ปล่อยโดยมนุษย์ประมาณ 125 กิกาตัน

นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจมหาสมุทรใต้(Antarctica"s Southern Ocean) มหาสมุทรที่ล้อมรอบทวีปแอนตาร์ติกาเป็นพิเศษเพราะมหาสมุทรแห่งนี้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่โลกปล่อยออกมาได้ประมาณ 15 % ของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด

นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ประสิทธิภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของมหาสมุทรจะลดลงเมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 21หรือในอีก 40 ปีข้างหน้า

แต่ขณะนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ผลการศึกษาโดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาตินำโดย ดร. โครินเน เลอ เควียร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิสต์ แองเกลีย สหราชอาณาจักร ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร "Science" พบว่าประสิทธิภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของมหาสมุทรใต้ลดลง

ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาโดยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดซับจากธรรมชาติจาก 40 สถานีทั่วโลก เป็นเวลา 4 ปี ซึ่งในจำนวนนี้ 11 สถานีอยู่ในบริเวณมหาสมุทรใต้และบริเวณรอบๆ

โครินเน เลอ เคลียร์ เปิดเผยการค้นพบว่านับตั้งแต่เริ่มมีการสังเกตเมื่อปี 1981 ทีมนักวิทยาศาสตร์พบว่าการสะสมก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของมหาสมุทรใต้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย



" เราพบว่าการเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของมหาสมุทรใต้ไม่เปลี่ยนแปลงเลยในเวลา 24 ปี " เลอ เควียร์ กล่าวและว่า " สิ่งนี้น่าประหลาดใจ เพราะว่าในระหว่างช่วงเวลาเดียวกันนี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของโลกเพิ่มถึง 40 % ขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพิ่มขึ้น เราก็คาดหวังว่าการเก็บกักก็น่าจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย"

นักวิทยาศาสตร์พบว่าสาเหตุที่มหาสมุทรใต้เก็บกักก๊าซคาร์บอนได้อ๊อกไซด์ได้น้อยลงเกิดจากกระแสลมที่แรงขึ้นตั้งแต่ปี 1958 เป็นต้นมา ความแรงของกระแสลมทำให้น้ำทะเลไหลมารวมกันมากขึ้น และน้ำจะเย็นลงซึ่งจะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่สะสมอยู่ใต้ทะเลลึกขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำ ทำให้มหาสมุทรใต้ไม่สามารถจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากบรรยากาศได้มากขึ้น

กระแสลมในมหาสมุทรใต้แรงขึ้นจากสองสาเหตุและเป็นผลย้อนกลับจากฝีมือของมนุษย์นั่นเอง

สาเหตุแรก คือ ปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศเหนือขั้วโลกลดลง ทำให้บรรยากาศชั้นบนเย็นลง อากาศที่เย็นจะไหลลงต่ำทำให้เกิดกระแสลม อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อน ซึ่งทำให้บริเวณเขตร้อนมีอุณหภูมิสูงกว่ามหาสมุทรใต้มาก ความกดดันของอากาศที่แตกต่างกันทำให้กระแสลมแรงขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ารศึกษาน้ำแข็งเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของอากาศเมื่อ 800,000 ปีก่อนพบว่า อุณหภูมิที่สูงในยุคนั้นได้ดูดเอาก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกจากแอ่งเก็บกักของมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดกับโลกอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยที่สุดก็อีก 20 ปีข้างหน้า ทว่าวันนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

โครินเน เลอ เควียร์ บอกว่า มันเป็นเรื่องที่ซีเรียส " โมเดลการพยากรณ์อากาศทั้งหมดพยากรณ์ว่าผลย้อนกลับแบบนี้จะดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้นตลอดทั้งศตวรรษนี้"

การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของมหาสมุทรยังมีผลอีกด้านหนึ่ง นั่นคือ น้ำทะเลจะเป็นกรดมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณผิวน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล อย่างเช่น ปะการัง ซึ่งการศึกษาล่าสุดชี้ว่า ปรากฎการณ์นี้จะเลวร้ายยิ่งขึ้นตลอดทศวรรษนี้

พอล ฟราเชอร์ ผู้เชี่ยวชาญของสถาบัน CSIRO Marine and Atmospheric Research ของออสเตรเลียให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ระดับของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศในอนาคตจะสูงขึ้นกว่าที่ไอพีซีซีทำนายไว้เมื่อเร็วๆนี้ เพราะในรายงานของไอพีซีซีไม่ได้ใช้ปัจจัยนี้ในการศึกษา

นั่นหมายความว่า การควมคุมระดับของก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ใต้ระดับหายนะจะบรรลุผลยากกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ และหนทางเดียวที่จะชดเชยการลดลงของการดูดซับของมหาสมุทรก็คือ การเพิ่มความพยายามของเราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ฟราเชอร์ บอก



จาก     :     คอลัมน์ โลกสามมิติ   มติชน   วันที่ 26 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #79 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2007, 12:12:44 AM »


ญี่ปุ่นเสนอวิธีแก้โลกร้อน ทดแทนพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุ 
 

ผู้นำญี่ปุ่น ประกาศร่างข้อตกลงใหม่ของโลกเพื่อต่อสู้สภาวะโลกร้อนด้วยการเรียกร้องให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2593

โตเกียว(บีบีซี นิวส์)-นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ได้แสดงความเป็นผู้นำโลกด้วยการประกาศนโยบายเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน โดยกำหนดร่างข้อตกลงใหม่ของโลกให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงจากระดัยปัจจุบันลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2593 เพื่อใช้ทดแทนพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุในปี 2555

ทั้งนี้แผนดังกล่าวได้กำหนดข้อเรียกร้องในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าข้อเสนออื่นๆจากประเทศในยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ซึ่งนายอาเบะ กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญของข้อตกลงจะต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะทำให้ประเทศที่อยูในกลุ่มที่ปล่อยก๊าศเรือนกระจกมากที่สุดในโลกยอมรับได้

อาเบะได้แสดงความชัดเจนในการที่จะให้ญี่ปุ่นมีบทบาทนำในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็เชื่อว่าความพยายามดังกล่าวจะไม่สำเร็จหากประเทศในกลุ่มที่ปล่อยมลภาวะมากที่สุดอย่างจีน อินเดีย และสหรัฐ ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการดำเนินการอย่างจริงจัง

ผู้นำญี่ปุ่นกล่าวว่าหลายประเทศอาจจะต้องใช้มาตรการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งญี่ปุ่นเองต้องการช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วยการแบ่งปันความรู้ในเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในฐานะที่เป็นประเทศที่ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่ามากที่สุดในโลกโดยญี่ปุ่นจะร่วมมือกับธนาคารโลกและสหประชาชาติเพื่อหาเงินสนับสนุนประเทศที่ยากจนที่ประสบความยุ่งยากในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน

ทั้งนี้ คาดว่าประเด็นสิ่งแวดล้อมจะเป็นประเด็นหลักในการประชุมระดับผู้นำกลุ่มจี-8 ที่ญี่ปุ่น จะเป็นเจ้า

ภาพในปีหน้า ส่วนการประชุมในระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายนในปีนี้ที่เยอรมนีเจ้าภาพ เชื่อว่าจะมีพยายามในการผลักดันให้สมาชิกจี-8 ให้คำมั่นเรื่องจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากระดับการปล่อยเมื่อปี 2533 ลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2593 


จาก     :     แนวหน้า   วันที่ 28 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #80 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2007, 11:52:58 PM »


"โลกร้อน"จุดเปลี่ยนแนวคิดเชิงบวกรักษ์สิ่งแวดล้อม



จากผลของภาวะโลกร้อนที่อาจเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต (diversity loss) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์ประกอบของระบบนิเวศ ทั้ง มนุษย์ สัตว์ พืช รวมทั้งกลุ่มจุลินทรีย์ ดังนั้น ประชาคมโลกจึงพยายามร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนแนวคิดให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ เพื่อลดปัญหาสภาวะโลกร้อนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เริ่มจากตัวอย่างการจัดกิจกรรมคอนเสิร์ต Live Earth เริ่มในวันที่ 7 กรกฎาคม 2550 เพื่อปลุกกระแสให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อนมากขึ้นในหัวข้อการรณรงค์ "Climate in Crisis" โดยมีผู้ที่มีบทบาทและมีชื่อเสียง ร่วมในกิจกรรมเป็นจำนวนมาก อาทิ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ, คาเมรอน ดีแอซ, ฟาเรลล์ วิลเลียมส์ จะจัดขึ้นในเมืองสำคัญทั่วโลก อาทิ เซี่ยงไฮ้ ซิดนีย์ โจฮันเนสเบิร์ก และลอนดอน

สำหรับประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ได้จัดกิจกรรม "ปิดไฟ 15 นาที เพื่อกรุงเทพฯ ของเรา" เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน เมื่อ 9 พฤษภาคม 2550 และมีการลงนามบันทึกข้อตกลง ในปฏิญญากรุงเทพมหานคร ซึ่งมีวัตถุประสงค์ แรก คือ ลดการใช้พลังงานใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สอง คือ การส่งเสริมบทบาทการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สาม คือ สนับสนุนและส่งเสริมวิถีชีวิตบนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นการป้องกัน เตรียมตัว และปรับตัวสู้กับภาวะโลกร้อน

สี่ คือ ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ยืนต้น

ห้า คือ ส่งเสริมการลดและป้องกันภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนด้วยการเผยแพร่ข้อมูลและให้ความรู้สู่การปฏิบัติทุกโอกาส

นอกจากนั้นสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งนับว่ามีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังเยาวชนให้ตระหนักเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนก็ได้มีการจัดกิจกรรมด้วยเช่นกัน อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการจัดโครงการวันพัฒนาและปลูกต้นไม้ ครั้งที่ 4 โดยได้รับเกียรติจาก นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี พร้อมทั้ง นายวุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี และนายนิพนธ์ ลิ้มแหลมทอง รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนากายภาพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ รวมทั้งประชาชนที่สนใจเป็นจำนวนมาก ณ บริเวณพุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อ 27 พฤษภาคม 2550

อย่างไรก็ตาม การรวมกันปลูกต้นไม้มากขึ้นเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ พบว่าการปลูกพืชกลางแจ้งสามารถดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิได้มากถึง 30-60 กรัมต่อตารางเมตรพื้นที่ดินต่อวัน โดยพืชแต่ละชนิดมีอัตราการสังเคราะห์แสงที่แตกต่างกันตามสายพันธุ์พืช เช่น อัตราการสังเคราะห์แสงของต้นดาวเรือง ซึ่งเป็นไม้ดอก มีประมาณ 34 ไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที ต้นไผ่ซึ่งเป็นไม้ประดับ มีประมาณ 10.1 ไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที ต้นสักทอง มีประมาณ 9.1 ไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที และต้นนนทรี 7.7 ไมโครโมลต่อตารางเมตรต่อวินาที

จากตัวอย่างกิจกรรมดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าหลายฝ่ายทั้งในต่างประเทศ และประเทศไทย ในส่วนของภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างเห็นถึงความสำคัญของผลกระทบภาวะโลกร้อนเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาควบคู่ไปพร้อมกับการคงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน



จาก     :     คอลัมน์ จับกระแสโลกร้อน   มติชน   วันที่ 29 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #81 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2007, 12:48:40 AM »


โลกร้อน..แก้ด้วยโลกที่เย็นกว่า
 
 
ผลลัพธ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบลืมตัวลืมความพอดี  ทำเอาโลกใบนี้ย่อยยับ ดังเห็นได้จากปรากฏการณ์โลกร้อนที่ส่งผลกระทบเดือดร้อนไปทั่วโลก

 แม้กระนั้นมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย ที่ใช้พลังงานและขยายอุตสาหกรรมซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้างก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าคาร์บอนไดออกไซด์ มีเธน  ก็ยังเมินเฉยต่อการเข้าร่วมแก้ไขปัญหาในเวทีระดับโลก อาทิ พิธีสารเกียวโตภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกแห่งสหประชาชาติ

 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ไปทำร้ายประชาชนทั่วทุกมุมโลกจะเป็นตัวผลักดันเร่งเร้าให้ประเทศตัวการทั้งหลาย ต้องหันมาให้ความใส่ใจและต้องพยายามควบคุมหรือลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆลงในที่สุด

 ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย บอกว่า แม้ว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนยังไม่ถึงขั้นรุนแรงแต่เริ่มส่งสัญญาณในหลายระดับ บางเรื่องอาจเคยเป็นปรากฏการณ์ปกติแต่เมื่อเกิดถี่ขึ้นก็มีความเป็นไปได้ว่ามีเหตุปัจจัยจากภาวะโลกร้อน

 "คนไทยไม่ควรตระหนกตื่นกลัวจนเกินไป แต่อยากให้ตระหนักและสนใจศึกษาให้เข้าใจจริงจัง เพราะการจะห้ามไม่ให้เกิดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละประเทศก็ยังมุ่งพัฒนาด้านเศรษฐกิจ"

 กระนั้นก็ดี ดร.อานนท์เล่าว่า เมื่อเอามาตรการที่ต่างประเทศรับมือกับปัญหาโลกร้อน เขาพบว่ามีความละม้ายกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อน คือพัฒนาแบบยั่งยืน ไม่อดแต่ไม่ฟุ่มเฟือย

 ตัวอย่างการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกร้อน คือ การนำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปใช้ในการพัฒนาพื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เดิมพื้นที่8,500 ไร่นี้เป็นป่าเต็งรังเสื่อมโทรม ดินแข็งเป็นหินกรวด แห้งแล้ง ทำประโยชน์ไม่ได้และเกิดไฟป่าไหม้ลุกลามวัชพืชแทบทุกปี

 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางแก้ไขโดยการผันน้ำจากห้วยแม่ลายแล้วปล่อยลงมาเก็บในอ่างเก็บน้ำเล็กๆ ลดหลั่นลงมาสู่อ่างเก็บน้ำห้วยฮ่องไคร้และสร้างฝายชลอความชุ่มชื้นในร่องห้วยเล็กๆโดยผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำมาลงในร่องห้วยอีกที  ทั้งนี้โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่-เล็กถึง 16 อ่างและฝายกว่า 300 ฝายเพื่อสร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่ 

 ผลคือต้นไม้ที่ถูกทำลายค่อยๆฟื้นตัวเติบโตเป็นป่าสมบูรณ์

 สมบูรณ์อย่างไร นายประดับ กลัดเข็มเพชร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บอกว่า นับแต่เข้าไปพัฒนาพื้นที่นี้เมื่อปี 2525 จนถึงปัจจุบัน ป่าเต็งรังที่เสื่อมโทรมลดจาก ก51%เหลือ 22.12%  ป่าเบญจพรรณที่สมบูรณ์เพิ่มจากก 16.55% เป็น45.4 %  ความหนาแน่นของต้นไม้จาก 100 ต้น/ไร่ขยายเป็น 200-240 ต้น/ไร่ ธาตุอาหารในดินจากที่มีไม่ถึง 1 % เพิ่มเป็น 3.5 % ปริมาณน้ำฝนเพิ่มจาก 1,142.2 มิลลิเมตร/ปีเป็น 1,314.7 มิลลิเมตร ทำให้ป่าชุ่มชื้นและความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยขยับจาก 76%เป็น 88% อุณหภูมิลดลงจาก 26.7 องศาเซลเชียสเป็น 25.0 องศา

 นอกจากนี้ยังพบว่ามีกล้วยไม้ป่าและสารพัดสัตว์คืนถิ่น เช่น นก นกยูงป่า ไก่ป่า เก้ง  กระต่ายป่า หมูป่า  อีกทั้งทำให้พื้นที่ห้วยฮ่องไคร้รอดพ้นจากไฟป่ามานานมากกว่า 15 ปี!!!

 ผลลัพธ์ทั้งหลายทั้งปวงข้างต้นคือการทำให้โลกเย็นลงนั่นเอง


จาก     :     แนวหน้า   วันที่ 5 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #82 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2007, 12:55:47 AM »


จีนเผยยุทธศาสตร์แก้ปัญหาโลกร้อน
 
ปักกิ่ง- จีนเตรียมเสนอแผนสู้โลกร้อนต่อที่ประชุมจี8 เน้นลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ไม่ยอมผูกมัดตัวเอง ยืนยันชาติร่ำรวยต้องเป็นแกนนำแก้ปัญหา ขณะญี่ปุ่นเตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือชาติกำลังพัฒนา

ทางการจีนได้เปิดตัวโครงการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อภาวะโลกร้อนหนา 62 หน้า ซึ่งมีเป้าหมายที่การควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นตอภาวะโลกร้อน แต่ยังยืนยันจุดยืนเดิมว่า ชาติร่ำรวยมีความรับผิดชอบหลักต่อการแก้ปัญหาโลกร้อน ซึ่งรวมถึงให้ความช่วยเหลือการเงินและเทคโนโลยีกับชาติกำลังพัฒนา

รัฐบาลจีนระบุว่า มาตรการดังกล่าวเป็นแผนระยะยาว และไม่ได้มีข้อผูกมัดเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเน้นว่า ชาติกำลังพัฒนาอย่างจีน มีภารกิจแรกที่ต้องฝ่าฝันคือ การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ปัญหาความยากจน

"จีนมีศักยภาพจำกัดในการรับมือภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง เนื่องจากยังเป็นชาติกำลังพัฒนา มีประชากรจำนวนมากและมีอัตราการใช้ถ่านหินระดับสูง ชาติพัฒนาแล้วควรเป็นผู้นำการแก้ปัญหาดังกล่าว" รายงานระบุ

ตามแผน จีนยืนยันจะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานราว 20% ภายในปี 2553 และจะใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่จาก 7% ในปัจจุบัน เป็น 10% ในปี 2553 รวมถึงจะลดการใช้พลังงานต่อหน่วยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีละ 4% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละ 2% ภายในปี 2553

จีนเปิดตัวโครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อภาวะโลกร้อน 2 วัน ก่อนที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาจะไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและรัสเซีย (จี8) ที่เยอรมนี โดยคาดว่าภาวะโลกร้อนจะเป็นหนึ่งในประเด็นหารือที่มีการโต้แย้งรุนแรงที่สุด

ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีจีนได้ออกคำสั่ง ให้อาคารสาธารณะในประเทศต้องกำหนดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ไม่ต่ำกว่า 26 องศาเซลเซียส ส่วนหนึ่งของมาตรการประหยัดพลังงานขณะจีนเข้าสู่ฤดูร้อนที่มีความต้องการใช้พลังงานพุ่งสูงลิ่ว

รัฐบาลจีนระบุว่า หน่วยราชการ สมาคม บริษัท และภาคเอกชนที่มีสำนักงานในอาคารสาธารณะควรปฏิบัติตามคำสั่งที่ออกมาอย่างเคร่งครัด โดยมีการระบุด้วยว่า ในฤดูหนาว อุณหภูมิสูงสุดในสำนักงานควรไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส และห้ามการใช้เครื่องปรับอากาศที่ไม่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน

นครเซี่ยงไฮ้เพิ่งประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางการวิตกว่า อาจเกิดปัญหาดังกล่าวในช่วงฤดูร้อนตามเมืองใหญ่ต่างๆ เพิ่มเติม

ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะเสนอโครงการช่วยเหลือชาติกำลังพัฒนาฉบับใหม่ ระหว่างที่ผู้นำไปร่วมการประชุมจี8 ที่เยอรมนีระหว่างวันที่ 6-7 มิถุนายน เพื่อกระตุ้นให้ชาติต่างๆสู้ปัญหาโลกร้อน

แผนใหม่ได้รับการออกแบบให้ชาติชาติกำลังพัฒนาทั้งด้านการลดก๊าซเรือนกระจก และต่อสู้กับมลพิษและปัญหาความยากจน



จาก     :     กรุงเทพธุรกิจ   วันที่ 5 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #83 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2007, 12:54:32 AM »


รณรงค์คนไทยปลูกต้นไม้ 1 ต้นวันสำคัญ-บรรเทาโลกร้อน

กรมป่าไม้จัดสรรงบฯ 69 ล้านบาท ผลิตกล้าไม้คุณภาพดี 29.5 ล้านกล้า แจกจ่ายให้ประชาชนช่วยปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บรรเทาภาวะโลกร้อน

นายวิชัย แหลมวิไล อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า ในปี2550 กรมป่าไม้ยังได้เตรียมจัดสรรงบประมาณ 69 ล้านบาท เพื่อผลิตต้นกล้าไม้ คุณภาพดี 29.5 ล้านกล้า กระจายตามศูนย์เพาะชำกล้าไม้ 12 แห่ง และสถานีเพาะชำไม้ทุกจังหวัด เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปปลูกเสริมในพื้นที่ของตน ซึ่งจะเป็นการช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้ดีขึ้น รวมถึงช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาระดับนานาชาติที่สังคมโลกต้องร่วมมือกันแก้ไขนั้น มีสาเหตุสำคัญจากการเจริญเติบโตทางภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปล่อยทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศมากขึ้นถึง 3 ล้านล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของไทยพบว่าปล่อยก๊าซโลกร้อนปีละ 241 ล้านตัน รองจากประเทศสหรัฐ จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น อินเดีย อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่ล้วนเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด

การบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนแนวทางหนึ่งที่คนไทยสามารถทำได้ คือ การรักษาผืนป่าและทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ 104 ล้านไร่ ให้คงอยู่ต่อไปรวมถึงการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก่อนปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้น กรมป่าไม้จึงเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมกันปลูกต้นไม้อย่างน้อยคนละ 1 ต้น ในโอกาสและวันสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวันคล้ายวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือในโอกาสพิเศษอื่นๆ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณต้นไม้และพื้นที่สีเขียวสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เพราะหากคนไทย 60 ล้านคนช่วยกันปลูกต้นไม้ปีละ 1-2 ต้นจะช่วยเพิ่มต้นไม้ได้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านต้น


จาก     :     ข่าวสด   วันที่ 6 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #84 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2007, 11:45:16 PM »


น้ำแข็งขั้วโลก ละลายเร็วน่าวิตก



วิทยา ผาสุก http://futurethai.blogspot.com



3 วันที่แล้ว โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ (ยูเนป) ออกรายงานฉบับใหม่เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำแข็งและหิมะของโลก

ข้อมูลที่พยายามสื่อสารบอกกับชาวโลก ก็คือ

ขณะนี้ปริมาณน้ำแข็งและหิมะในแถบ "อาร์กติก" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือ

กำลังละลายกลายเป็น "น้ำ" อย่างน่าวิตก เพราะผลจากวิกฤตโลกร้อน!

ยูเนป สำรวจพบว่า เมื่อเทียบกับช่วง 30-40 ปีก่อน

ปริมาณแผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งในอาร์กติกลดหายไปจากเดิมราวๆ 7-10 เปอร์เซ็นต์

น้ำแข็งและหิมะขั้วโลกมีความสำคัญก็เพราะมันทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ "กระจก"

คอยสะท้อนพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์กลับออกไปนอกโลก

แตกต่างจากน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับความร้อน

เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกหายไป อุณหภูมิของโลกย่อมสูงขึ้นโดยปริยาย

ส่วนที่ละลายออกมาเป็นน้ำ ก็จะไปเพิ่มระดับ "น้ำทะเล" ของโลกให้สูงขึ้น ทำให้ชายฝั่งของชาติที่ตั้งอยู่ในทะเล หรือ ติดทะเล ถูกกลืนหายไป

ปรากฎการณ์น้ำแข็งของโลกละลายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแถบอาร์กติกที่เดียว แต่ยังเกิดกับน้ำแข็งบนภูเขาสูงหลายแห่ง เช่น เขาหิมาลัย

ผลกระทบประการแรกเลยที่เกิดขึ้นจากภาวะน้ำแข็งหายไป ก็จะส่งผลให้ "สิ่งมีชีวิต" ในพื้นที่ค่อยๆ สูญพันธุ์ตามไปด้วย

ส่วนประชากรท้องถิ่นในอนาคตก็จะประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำใช้และน้ำเพื่อการเกษตร

ภัยโลกร้อนที่จะอุบัติขึ้นนั้นมีคนทำนายไว้ในแนวทางเดียวกับยูเนปเช่นนี้เยอะมาก แต่ทางแก้ไขยังมืดแปดด้าน

ล่าสุด รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศออกมาว่า พัฒนาการทางอุตสากรรม ซึ่งเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศนั้นสำคัญกว่าปัญหาโลกร้อน ขณะที่รัฐบาลสหรัฐก็ยืนยันเช่นเดียวกัน ดังนั้นในอนาคตอะไรจะเกิดก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมล่ะครับ


จาก     :     ข่าวสด คอลัมน์ หมุนก่อนโลก  วันที่ 7 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #85 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2007, 12:13:34 AM »


อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นอีกครึ่งองศา คาดปีนี้อุ่นขึ้น อย่างทำลายสถิติ
 
เมต ออฟฟิซ สถาบันผู้เชี่ยวชาญ ด้านสภาวะอากาศในอังกฤษ กล่าวเตือนว่า อุณหภูมิโลกขยับขึ้นเกือบ 0.5 องศาเซลเซียสมากกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่ใกล้จะมีการประชุมสุดยอดจี 8 โดยมุ่งเน้นการหารือปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง

ผู้เชี่ยวชาญสถาบันอากาศในอังกฤษกล่าวก่อนหน้าการประชุมสุดยอดจี 8 ที่เยอรมนี ซึ่งเริ่มขึ้นแล้วว่า มีแนวโน้มถึงร้อยละ 60 ว่าโลกของเราจะมีอุณหภูมิอุ่นที่สุดในปี 2550 และว่าฤดูใบไม้ผลิที่อังกฤษนี้มีอุณหภูมิอุ่นที่สุดนับตั้งแต่ที่เริ่มมีการบันทึกเมื่อปี 2457 โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 9.0 องศาเซลเซียส มากกว่าสถิติเดิมที่เคยบันทึกไว้ 8.8 องศา เมื่อปี 2488

ทั้งนี้นางอังเกล่า แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมจี 8 จะขอให้บรรดาผู้นำร่วมดำเนินมาตรการในการรับมือกับสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น การจำกัดการปล่อยก๊าซที่เป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน.
 
 
จาก     :     ไทยรัฐ  วันที่ 8 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #86 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2007, 12:17:20 AM »


จี-8 แก้โลกร้อนเหลวไม่กำหนดเป้าลดก๊าซ

 ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและรัสเซีย และความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโลกร้อน กลายเป็นประเด็นหลักในการประชุมสุดยอดจี-8 สหรัฐตั้งท่าค้านไม่ให้มีการกำหนดเป้าหมายระยะยาวในการลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกในแถลงการณ์ครั้งสุดท้ายของการประชุม
 
นายจิม คอนนัจตัน ประธานสภาว่าด้วยคุณภาพสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า แถลงการณ์ครั้งสุดท้ายของที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสหกรรมชั้นนำของโลก 8 ชาติ หรือจี-8 จะไม่กำหนดเป้าหมายระยะยาวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน ทั้งนี้ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศโลก เป็นประเด็นสำคัญอันดับหนึ่งที่กำหนดขึ้นโดยนายกรัฐมนตรีอังเกลา เมอร์เคล ของเยอรมนี เจ้าภาพการประชุมจี-8
 
แต่นายคอนนัจตัน กล่าวว่า สหรัฐไม่อาจเห็นด้วยกับเป้าหมายระยะยาวที่กำลังจะถูกกำหนดขึ้น เพราะทุกประเทศต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลง เราไม่ได้นั่งคุยกับจีน อินเดีย บราซิล เม็กซิโก แอฟริกาใต้ เราไม่ได้นั่งคุยกับออสเตรเลีย เกาหลีใต้และประเทศอื่น ๆ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกี่ยวกับปัญหานี้
 
ส่วนนางเมอร์เคล กล่าวเรียกร้องให้บรรดาผู้นำจี-8 ในโอกาสเริ่มการประชุมสุดยอดในวันพุธ ช่วยกันแก้ปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นภัยคุกคามร้ายแรง หากยังไม่ช่วยกันแก้ไขก็จะกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมาก และยิ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ดังนั้น นานาประเทศจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันปกป้องสภาวะอากาศโลก
 
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและรัสเซีย และความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน กลายเป็นประเด็นร้อนในการเริ่มต้นการประชุมจี-8 โดยก่อนการประชุม ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ โจมตีประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ของรัสเซียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าล้มเหลวในการปฏิรูป แต่รัสเซียปฏิเสธ ยืนยันว่า เป็นรัฐที่มีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ความเป็นไปของประเทศในปัจจุบันตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหาความถดถอยในการปฏิรูปประชาธิปไตยของบุชโดยสิ้นเชิง
 
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมนีพยายามขัดขวางกลุ่มผู้ประท้วงไม่ให้มุ่งหน้าไปยังเมืองไฮลิเกนดัมม์ ที่พักตากอากาศชายทะเล ซึ่งเป็นสถานที่ประชุมจี-8 ที่จะเริ่มในวันพุธ.
 

จาก     :     เดลินิวส์  วันที่ 8 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #87 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2007, 12:29:33 AM »


"ธารน้ำแข็ง"จีนละลาย คาดส่งผลกระทบชีวิตเอเชียนับล้าน!



การละลายตัวอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "หลังคาโลก" อาจเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ตลอดจนภาวะอดอยาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวเอเชียหลายล้านคนในอนาคต

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ระบุว่า ปัญหาโลกร้อนส่งผลให้ธารน้ำแข็งบริเวณดังกล่าวละลายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งในเบื้องต้นก็ได้ส่งผลให้ทะเลสาบหลายแห่งในเมืองนาคู ทางเหนือของทิเบต มีระดับน้ำเอ่อล้น เข้าท่วมที่นาและบ้านเรือนประชาชน นับจากปี 2543 เป็นต้นมา

จีนมีธารน้ำแข็งมากกว่า 46,000 แผ่น ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 60,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นปริมาณน้ำแข็งรวมได้กว่า 5,500 ลูกบาศก์กิโลเมตร แต่นับจากช่วงทศวรรษที่ 60 เป็นต้นมา ธารน้ำแข็งในจีนก็มีปริมาณลดลงไปแล้ว 7 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบ 400 ลูกบาศก์กิโลเมตร

ธารน้ำแข็งในจีน ร้อยละ 84 จะอยู่ในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ซึ่งแต่ละปี ธารน้ำแข็งที่นี่จะละลายตัวคิดเป็นพื้นที่กว่า 130 ตารางกิโลเมตร และก็เป็นเช่นนี้มานานเกือบ 30 ปีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ถ้ายังไม่รีบหาทางแก้ไข ภายใน 43 ปีข้างหน้า ธารน้ำแข็งในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต จะมีพื้นที่หายไปถึง 13,000 ตารางกิโลเมตร สาเหตุหลักก็มาจากปัญหาโลกร้อน

"ธารน้ำแข็งละลายจะส่งผลให้แม่น้ำ ทะเลสาบ และที่ลุ่มชุ่มน้ำ มีระดับน้ำพุ่งสูงขึ้นในเบื้องต้น แต่ในระยะต่อมา น้ำก็จะค่อยๆ เหือดแห้งไป ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด และถ้ายังปล่อยให้ธารน้ำแข็งในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ละลายตัวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ คาดว่าที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต จะกลายเป็นทะเลทรายในอีก 93 ปีข้างหน้า" นักวิจัย ระบุ


จาก     :     ข่าวสด  วันที่ 8 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #88 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2007, 12:03:25 AM »


จี 8 ตกลงแก้โลกร้อน คุยยูเอ็นหั่นลดข้อตกลงเกียวโต

สหรัฐ- สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมสุดยอดผู้นำชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ หรือจี 8 ที่เมืองเฮลิเก็นดาม ประเทศเยอรมัน เหล่าผู้นำจี 8 ได้ร่วมให้คำมั่นที่จะบรรลุการลดปริมาณสารก่อปฎิกิริยาเรือนกระจกซึ่งก่อปัญหาภาวะโลกร้อน ครั้งใหญ่ให้ได้ก่อนปี 2050โดยนางแองเจล่า มาร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมัน เปิดเผยว่า ข้อตกลงนี้รวมถึงการเสนอลดการปล่อยสารเรือนกระจกลง 50 เปอร์เซนต์ ของสนธิสัญญาเกียวโตซึ่งกลุ่มมีแผนจะเจรจาต่อรองกับสหประชาชาติ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาติกำลังพัฒนาร่วมปฎิบัติตามด้วย

ข่าวว่า การตกลงนี้ถือว่าเป็นข้อตกลงที่ต่ำกว่าที่เธอตั้งเป้าไว้ หรือข้อตกลงที่ต้องมีผลผูกพันบังคับร่วมกันของกลุ่มจี 8 อย่างไรก็ตาม ผู้นำเยอรมันและนายโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวต่อผู้สื่อข่าว รู้สึกพอใจต่อการตกลงนี้ เพราะเป็นขั้นตอนครั้งใหญ่
ของจี 8 ในการจับมือกันต่อสู้ปัญหาโลกรัอน

อย่างไรก็ตาม ด้านกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ 5 ชาติประกอบด้วย บราซิล,จีน,อินเดีย เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ ต่างแสดงจุดยืนจะไม่ยอมรับการกดดันจากประเทศจี 8 ให้กลุ่มร่วมแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างมีผลผูกพัน เพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มที่กำลังขยายตัว

รายงานกล่าวว่า การตกลงดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งมองว่าการประชุมนี้คว้าน้ำเหลวในการจับมือกันแก้ปัญหาโลกร้อน เพราะเห็นว่าข้อตกลงของกลุ่มจี 8 ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา เนื่องจากสหรัฐยังคงไม่ยอมจะมีผลผูกพันในการลดปริมาณการปล่อยสารภาวะเรือนกระจก ขณะที่บางกลุ่มมองว่า การตกลงของจี 8 และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีของการแก้ปัญหาโลกร้อนที่นานาชาติสามารถดึงสหรัฐให้เข้ามาร่วมปัญหาได้

อนึ่ง กลุ่มจี 8 ยังได้ยืนยันที่จะให้ความช่วยเหลือมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่แอฟริกาเพื่อแก้ปัญหาโรคเอดส์และมาลาเรีย


จาก     :     สยามรัฐ  วันที่ 9 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #89 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 12:23:31 AM »


โลกร้อนๆ



โลกร้อน คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับโลก อันเป็นผลจากกิจกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์

หากอธิบายด้วยทฤษฎีต่างๆ อาจจะเข้าใจยาก

หนังสือเล่มนี้ของมูลนิธิโลกสีเขียว "โลกร้อน ทุกสิ่งที่เราทำเปลี่ยนแปลงโลกเสมอ" จะช่วยให้เราเข้าใจภาวะโลกร้อนได้ง่ายและเห็นภาพมากขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ทุกคนควรรู้ก็คือ ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนก็คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การใช้ชีวิตประจำวันของคนทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการกิน การใช้ไฟฟ้า ช็อปปิ้ง การเดินทาง ล้วนเป็นช่องทางในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสิ้น

โลกร้อนน่ากลัวเพียงใด

หนังสืออธิบายง่ายๆ ว่า ในรอบร้อยปีที่ผ่านมา อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส

เพียงแค่ 1 องศาเซลเซียสก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะมีผลตามมาดังนี้

+1 องศาเซลเซียส ผลที่ตามมาจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำที่รุนแรงมากขึ้น จำนวนชนิดของสัตว์ที่อพยพย้ายถิ่นเพิ่มขึ้น น้ำท่วมและพายุสร้างความเสียหายรุนแรงขึ้น และเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวบ่อยครั้ง

+2 องศาเซลเซียส 30 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตทั่วโลกล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ ปริมาณผลผลิตข้าวและธัญพืชในเขตร้อนมีแนวโน้มลดลง แต่ในเขตอบอุ่นกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปะการังเกือบทั้งหมดเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาว

+3 องศาเซลเซียส ระบบนิเวศ 15-40 เปอร์เซ็นต์ของโลกต้องปั่นป่วน เพราะวัฏจักรคาร์บอนเสียสมดุล ผลผลิตข้าวและธัญพืชในเขตร้อนและบางพื้นที่ของเขตอบอุ่นลดลง ปะการังตายเป็นวงกว้างทั่วโลก

+4 องศาเซลเซียส สิ่งมีชีวิตทั่วโลกสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลเสียหายมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

และ +5 องศาเซลเซียส สถานการณ์ทุกด้านเลวร้ายลงจนถึงขีดสุด

ฉะนั้นทุกๆ คนในโลกนี้ต้องช่วยกันลดภาวะโลกร้อน หรือรอยตีนฝากโลก ด้วยการลดกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

เราจะเป็นอย่างไร ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ

คำตอบคือ อีก 45 ปีข้างหน้า ความเข้มข้นของคาร์บอนในชั้นบรรยากาศจะพุ่งขึ้นเป็น 600 ส่วนในล้านส่วน

ผลผลิตอาหารจากภาคเกษตรกรรมลดลง เพราะความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ

ผู้คนหลายล้านทั่วโลกจะขาดแคลนอาหาร จะเจ็บป่วยด้วยโรคท้องร่วง และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ จะประสบกับคลื่นความร้อน น้ำท่วม พายุ ไฟป่า และความแห้งแล้ง

โลกร้อนจะส่งผลให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามในโลกใบนี้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

"การก่อการร้ายฆ่าคนนับร้อยนับพัน แต่วิกฤตโลกร้อนจะคร่าชีวิตนับล้าน เราจึงควรทำสงครามกับโลกร้อนมากกว่าจะมัวไปสู้รบกับพวกผู้ก่อการร้าย"

คำเตือนของ สตีเฟน ฮอว์คิง นักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์

เจ้าของฉายา "ไอน์สไตน์" แห่งโลกยุคใหม่


จาก     :     ข่าวสด คอลัมน์   เก็บเรื่องมาเล่า    วันที่ 11 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.03 วินาที กับ 20 คำสั่ง