กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 12, 2025, 08:59:31 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156409 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
WayfarinG
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2388



« ตอบ #90 เมื่อ: มิถุนายน 11, 2007, 01:05:11 AM »

  มากขึ้นทุกวัน..ตอนนี้ออกไปเดินกินข้าวตอนกลางวัน...กลับมาตัวแทบละลาย.. .. เราจะทำงัยดีเพื่อสิ่งแวดล้อมของเรา..
บันทึกการเข้า

If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home.  -- > James Michener
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #91 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2007, 12:07:04 AM »


"โลกร้อน"อีก20ปีแค่ฝนปรอยกรุงเทพฯก็จมนํ้า  ดร.โจจี้กทม.หาทางรับมือ-ประชาชนต้องปรับตัว

นายพิจิตต รัตตกุล ผู้อำนวยการบริหารศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) กล่าวถึงสถานการณ์ภาวะโลกร้อนว่า ปัจจุบันหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยหันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้สูงมาก และพยายาม หาทางแก้ปัญหาด้วยการจัดประชุมและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ผู้สนใจศึกษาเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรทำและพูดเพ้อเจ้อ ทั้งนี้มีการศึกษาพบว่าใน พื้นที่กรุงเทพฯ น่าเป็นห่วงเพราะปัจจุบันพื้นดินอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางราว 45 ซม. แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพราะภาวะโลกร้อนจะทำให้อุณหภูมิสูง ลมแรง น้ำสูง ระดับน้ำจะค่อย ๆ สูงขึ้นเสมอพื้นดิน และในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าเมื่อฝนตกเพียงเล็กน้อยจะทำให้น้ำท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและคูคลองต่าง ๆ อย่างน้อย 50% ระดับอุทกภัย วาตภัย และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ จะรุนแรงขึ้น ดังนั้นจะต้องคิดค้นวิธีป้องกันอุบัติภัยพร้อม ๆ กับที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้วิธีปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติให้ได้ อย่างไรก็ตามการหาวิธีแก้ปัญหาโลกร้อนของเมืองไทยนั้นจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่พูดกันคนละทีสองที ที่สำคัญรัฐบาลจะต้องเป็นแกนนำวางยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อวางทิศทางการศึกษาและทำงานเรื่องนี้อย่างจริงจัง
 
นายศุภกรณ์ ชินวรรณโณ ที่ปรึกษากลุ่มงานวิจัยศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัยและฝึกอบรมเรื่องการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแก้ปัญหาโลกร้อนไม่ได้เห็นผลทันตาเหมือนกินยาแล้วหายปวดหัวทันที แต่ต้องทำระยะยาว สร้างเครือข่ายระดับชุมชน สังคม ประเทศเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือกันทั้งโลก ทั้งเรื่องของการหาทางลดอุณหภูมิและวางแผนรับมือให้มนุษย์อยู่ได้ หากไม่ทำจริงจัง ปัญหาจะทวีความ รุนแรงมากขึ้น.

 

จาก     :     เดลินิวส์    วันที่ 12 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #92 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2007, 12:17:25 AM »


10 ปรากฎการณ์ประหลาด ผลกระทบวิกฤต"โลกร้อน!"



ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย "โลกร้อน" ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ!


สารภูมิแพ้แพร่ระบาด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ

นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน

คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย


สัตว์อพยพไร้ที่อยู่

ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น

สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว




"พืช"ขั้วโลกคืนชีพ

ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก

ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี

แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง

กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ


ทะเลสาบหายสาบสูญ

เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น

มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก

สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง

นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย


น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย

ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน

ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา

เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป

สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย

ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น



ชนวนเกิดไฟป่า

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่า

ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต

ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว

เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี


ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด

โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น

บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน

สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น

ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่



ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม

การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน

ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม

ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ


ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก

ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน!

นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว

เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง


โบราณสถานเสียหาย

โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน

เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว

โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน


จาก     :     ข่าวสด    วันที่ 12 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #93 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2007, 12:22:20 AM »


โลกร้อนให้คุณแถบซีกโลกเหนือ ชาติยากจนซีกโลก ใต้กลับได้โทษ
 
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า แม้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจะส่งผลร้ายแรงต่อโลก แต่ประเทศในแถบซีกโลกเหนือจะได้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศร่ำรวยทางยุโรปเหนือ รัสเซีย และสหรัฐฯ

นายยาน กุนนาร์ วินเธอร์ ผู้อำนวยการสถาบันขั้วโลกนอร์เวย์ กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมภาวะโลกร้อนที่เมืองทรอมโซของนอร์เวย์ ว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจะทำให้ประเทศร่ำรวยแถบซีกโลกเหนือได้เปรียบ ขณะที่ประเทศยากจนแถบซีกโลกใต้จะเสียเปรียบ ปลาหลายชนิดจะว่ายไปทางเหนือเพิ่มขึ้น การปลูกต้นไม้สำหรับอุตสาหกรรมป่าไม้จะขยายขึ้นไปทางเหนือได้มากขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่ผู้คนจะหนีอากาศร้อนแถบยุโรปใต้ขึ้นไปยังยุโรปเหนือ แม้แต่ประเทศที่ไม่มีชื่อเสียงด้านการผลิตไวน์อย่างอังกฤษก็จะปลูกองุ่นได้คุณภาพสูงขึ้น ขณะที่แหล่งปลูกองุ่นชื่อดังในฝรั่งเศสอาจมีคุณภาพลดลงเพราะอากาศร้อนขึ้น

ด้านนายปาล เพรสตรัด ผู้จัดทำรายงานของสหประชาชาติว่าด้วยหิมะและน้ำแข็งละลาย ระบุว่า การเพาะปลูกแถบตอนเหนือของแคว้นไซบีเรียและแคนาดาจะง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะโลกที่ร้อนขึ้นทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น นายเพรสตรัดระบุว่า ประโยชน์ทำเงินมากที่สุดของภาวะโลกร้อน คือเปิดทางให้คนเข้าไปสำรวจน้ำมันและก๊าซบริเวณขั้วโลกเหนือได้ง่ายขึ้น ทางการสหรัฐฯประมาณว่า ขั้วโลกเหนือมีแหล่งน้ำมันถึง 1 ใน 4 ของแหล่งน้ำมันทั่วโลกที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์
 
 

จาก     :     ไทยรัฐ    วันที่ 13 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #94 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2007, 12:44:30 AM »


ธ.โลกเจียดเงิน แก้ปัญหาโลกร้อน หวังฟื้นพื้นที่ป่าไม้

เนเธอร์แลนด์ - ธนาคารโลกผุดแผนฟื้นฟูป่าไม้ทั่วโลก พร้อมทุ่มงบประมาณกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หวังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ธนาคารโลกมีแผนการตั้งกองทุนระหว่างประเทศ พร้อมทั้งงบประมาณจำนวนอย่างน้อย 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

โดยนายเวอร์เนอร์ คอร์เน็กซ์ล ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสประจำหน่วยการเงินเพื่อต่อสู้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของธนาคารโลก กล่าวว่า เป้าหมายกองทุนดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในเขตป่าฝนในภูมิภาคละตินอเมริกา แอฟริกากลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ทางธนาคารโลกหวังว่า ป่าไม้ที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่จะเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ต่อ 1 ทศวรรษ เพื่อจะช่วยดูดซับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก ให้ได้ประมาณ 3 พันล้านตัน หรือในอัตราเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์

พร้อมกันนี้ นายคอร์เน็กซ์ล ยังได้เรียกร้องให้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำหรือจี 8 เข้าร่วมโครงการของกองทุนดังกล่าวด้วย



จาก     :     สยามรัฐ    วันที่ 13 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #95 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2007, 12:08:55 AM »


เฝ้าระวังโลกร้อนกระทบ "พันธุกรรมเชื้อโรค" เปลี่ยน



ความวิตกเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนนอกเหนือจากการคาดการณ์ถึงระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทำให้พื้นที่ชายฝั่งและเกาะต่างๆ ในหลายประเทศอาจมีพื้นที่บางส่วนหายไป ยังมีความวิตกหนึ่งที่สำคัญเช่นกันคือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรคที่แพร่ระบาดทั้งในคนและสัตว์ โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ทนทานและไวต่อการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น เชื้อไวรัส จึงเป็นหนึ่งในเชื้อโรคที่ควรเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะไวรัสเป็นจุลชีพขนาดเล็กที่ไม่ใช่เซลล์ จึงมีโครงสร้างพื้นฐานไม่ซับซ้อน ประกอบด้วย สารพันธุกรรม 2 แบบ ซึ่งอาจเป็น DNA หรือ RNA และโปรตีนที่ห่อหุ้มสารพันธุกรรม พบว่า ไวรัสบางสายพันธุ์มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และความร้อนสูง อาทิ ไวรัส กลุ่มพ็อกไวรัส (Poxvirus) ซึ่งมีหลายชนิดที่ก่อโรคทั้งในสัตว์ปีก สัตว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิด รวมทั้งคน เช่น วาริโอลา ไวรัส (Variola virus) ซึ่งมีสารพันธุกรรม เป็น DNA เป็นเชื้อก่อโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) ที่ระบาดในอดีต

จากข้อมูลการวิจัยใน ปี 2007 โดย ภาควิชา Molecular Genetics and Microbiology มหาวิทยาลัยฟลอริดา เกี่ยวกับไวรัส กลุ่ม Poxvirus อีกชนิดหนึ่ง คือ วัคซิเนีย ไวรัส (Vaccinia virus) สายพันธุ์ Cts9 ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ทำให้เบสบน DNA ถูกตัดออก 2 ตัว (ในตำแหน่งยีน A28 ที่เกี่ยวกับการสร้างโปรตีน A28 ของไวรัส) ทำให้เกิดการย้ายกรดอะมิโน cysteine ไปอยู่ใกล้ C-terminus (carboxyl-terminus) ของโครงสร้างของโปรตีนดังกล่าว ทำให้ไวรัส vaccinia virus สายพันธุ์กลายพันธุ์ Cts9 มีลักษณะที่ไม่สามารถติดต่อเข้าสู่เซลล์สิ่งมีชีวิตได้ แต่ไวรัสดังกล่าวสามารถรวมกับเซลล์สิ่งมีชีวิตได้ที่ อุณหภูมิ 31 องศาเซลเซียส ในสภาพ pH ที่ไม่ต่ำมาก

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสภาพอากาศที่แปรปรวนจากภาวะโลกร้อน ทำให้บางบริเวณมีสภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ และแห้ง รวมทั้งมีความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจเป็นเหตุให้เชื้อไวรัสบางชนิดอาจปรับโครงสร้างทางพันธุกรรมใหม่ หรือกลายพันธุ์ (mutation) ได้ด้วยตนเอง เพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศดังกล่าวได้

ประกอบกับความอ่อนแอของร่างกายสิ่งมีชีวิตที่ไวรัสเข้าไปอาศัย จนอาจมีปริมาณและความรุนแรงของโรคเพิ่มมากขึ้น และการแพร่ระบาดอาจยาวนานขึ้นและเชื้อโรคบางชนิดอาจกลับมาแพร่ระบาดได้อีก

สำหรับประเทศไทย มีการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ซึ่งมีสารพันธุกรรม เป็น RNA โดยจากการสัมมนาวิชาการไข้หวัดนก (AI Symposium) ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดโดย คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และองค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนด้านการวิจัย อาทิ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบว่าผลการตรวจวิเคราะห์ในปี 2007 พบ ไวรัส H5N1 สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นที่ จังหวัดหนองคาย และจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งต่างจากสายพันธุ์เดิมที่พบที่จังหวัดพิษณุโลก

จากความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกและการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเชื้อโรคเป็นสิ่งใกล้ตัวที่มนุษยชาติต้องมีการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพื่อการรับมือกับโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและรุนแรงมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต



จาก     :     มติชน  คอลัมน์ จับกระแสโลกร้อน  วันที่ 18 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #96 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2007, 12:26:45 AM »


โลกร้อนเขย่าขั้วโลกใบไม้ผลิก่อนนับเดือน

เดนมาร์ก-ปัญหาโลกร้อนร้ายกว่าคาด นักวิทยาศาสตร์พบฤดูใบไม้ผลิเยือนเกาะกรีนแลนด์เร็วกว่าปกติร่วมเดือน พร้อมเตือนระยะยาวส่งผลต่อระบบนิเวศวิทยา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างการเปิดเผยของสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยอาร์ฮัส ประเทศเดนมาร์ก ว่า ผลพวงที่สืบเนื่องจากปัญหาภาวะโลกร้อน เป็นเหตุให้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติกเร็วกว่าเดิมประมาณกว่า 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือนเป็นอย่างน้อย หากเปรียบเทียบกับสภาพภูมิอากาศในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา

โดย ดร.โทเค โฮเย ประธานโครงการศึกษาวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า ทางคณะนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับบรรดาต้นพืช แมลง และนก บริเวณแซคเคนเบิร์ก ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะกรีนแลนด์ และจัดว่าเป็นตอนบนของมหาสมุทรอาร์กติกแล้วพบว่า มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990 เช่น ฝูงนกจะพากันเดินทางมายังเกาะกรีนแลนด์ก่อนเมื่อช่วง 10 ปีที่แล้ว ประมาณ 14.6 วันเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ ฝูงนกจะพากันเดินทางมายังกรีนแลนด์ได้นั้น จะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า หิมะบนเกาะดังกล่าว เริ่มละลายตัวและฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

พร้อมกันนี้ ดร.โฮเย ยังระบุด้วยว่า จากการศึกษาพืชพรรณต่างๆ บนเกาะกรีนแลนด์ เมื่อปี 2005 ก็พบว่า พืชพรรณเหล่านั้นผลิดอกผลัดใบ เร็วกว่าเมื่อปี 1996 ถึง 30 วันด้วยกัน ซึ่งตามกระบวนการผลิดอกผลัดใบดังกล่าว จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออุณหภูมิในบริเวณนั้นเพิ่มสูงขึ้น จนมีความเหมาะสมทึ่จะผลิดอกออกใบ

นอกจากนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ยังได้ออกมาเตือนว่า ในระยะยาวคาดว่า ภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาต่างๆ ของเกาะกรีนแลนด์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสภาพอากาศ และกระบวนการห่วงโซ่อาหารของบรรดาสัตว์พืชบนเกาะดังกล่าวด้วย


จาก     :     สยามรัฐ    วันที่ 20 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #97 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2007, 12:28:05 AM »


จีนแซงสหรัฐปล่อยก๊าซโลกร้อนมากสุด
 
ลอนดอน - จีนแซงหน้าสหรัฐ ขึ้นเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว เร็วกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญคาดไว้หลายปี โดยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 6,200 ล้านตัน

สำนักงานประเมินสภาพแวดล้อมเนเธอร์แลนด์เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (19 มิ.ย.) ว่า จีนแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลกเมื่อปี 2549 ผลจากความต้องการถ่านหินเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าและการผลิตปูนซีเมนต์ที่พุ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมคาดว่า กว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐได้ คงต้องใช้เวลาหลายปี ขณะที่รายงานบางชิ้นคาดว่าอาจเป็นปีหน้าที่จีนจะปล่อยก๊าซมากกว่าสหรัฐ

สำนักงานประเมินสภาพแวดล้อมเนเธอร์แลนด์ระบุว่าจีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 6,200 ล้านตันเมื่อปีที่แล้ว เทียบกับ 5,800 ล้านตันจากสหรัฐ และ 600 ล้านตันจากอังกฤษ

จีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าสหรัฐ 8% ขณะที่การปล่อยก๊าซของสหรัฐลดลง 1.4% เมื่อปีที่แล้ว ผลจากสภาพเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว

ส่วนปี 2548 การปล่อยก๊าซของจีนต่ำกว่าสหรัฐ 2% นอกจากนั้น เมื่อคิดเฉลี่ยต่อหัว อัตราการปล่อยก๊าซของจีนยังค่อนข้างต่ำ หรือประมาณ 1 ใน 4 ของสหรัฐและครึ่งหนึ่งของอังกฤษ

ตัวเลขใหม่นี้คำนวนจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการผลิตปูนซีเมนต์เท่านั้น ไม่รวมแหล่งอื่นที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เช่น การปล่อยก๊าซมีเทนจากภาคเกษตร และการปล่อยก๊าซไนตรัส ออกไซด์จากกระบวนการทางอุตสาหกรรม ทั้งยังไม่รวมการปล่อยก๊าซจากอุตสาหกรรมการบิน เดินเรือ รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า และการเผาไหม้ถ่านหินใต้ดิน

ดร.จอส โอลิเวียร์ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสแห่งสำนักงานประเมินสภาพแวดล้อมเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่าเป็นการยากที่จะหาตัวเลขการประเมินที่น่าเชื่อถือได้เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเหล่านี้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา แต่การนำตัวเลขการปล่อยก๊าซเหล่านี้รวมเข้าไปด้วย ก็ไม่น่าจะทำให้จีนหลุดจากอันดับแรกไปได้

การเปิดเผยรายงานชิ้นนี้มีขึ้นในช่วงที่หลายฝ่ายหาทางจัดทำสนธิสัญญาภูมิอากาศ เพื่อใช้ต่อจากพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุในปี 2555 ที่ผ่านมาสหรัฐไม่ยอมให้สัตยาบันพิธีสารเกียวโต ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีการกำหนดให้จีนลดการปล่อยก๊าซ นายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์แห่งอังกฤษ เชื่อว่าวิธีดีที่สุดคือพัฒนาตลาดระดับประเทศขึ้นมา เพื่อจำกัดและซื้อขายคาร์บอน

เมื่อต้นเดือนนี้ จีนได้เผยแผนภูมิอากาศระดับประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากเตรียมการมา 2 ปี แต่ไม่ได้มีการกำหนดเป้าหมายโดยตรงสำหรับการลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพียงตั้งเป้าลดการบริโภคพลังงานต่อหน่วยจีดีพีลง 20% ภายในปี 2553 และเพิ่มส่วนแบ่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้เป็น 10% รวมถึงปลูกป่าให้ปกคลุมพื้นที่ 20% ของประเทศ

จีนย้ำว่าเทคโนโลยีและต้นทุนเป็นอุปสรรคใหญ่ในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมระบุว่าสิ่งที่จีนต้องการคือความร่วมมือระหว่างประเทศให้จีนสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ด้านภาคอุตสาหกรรมของจีนมีท่าทีลังเลในการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ซึ่งยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นในประเทศพัฒนาแล้ว
 
 

จาก     :     กรุงเทพธุรกิจ    วันที่ 21 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #98 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2007, 11:26:26 PM »


ถึงเวลาใกล้สิ้นยุคสุขกันเถอะเรา      :      ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์



       กระแสโลกร้อนคือประเด็นอินเทรนด์อันดับหนึ่ง แม้ในบ้านเรา อาจถูกกลบบ้างด้วยกระแสการเมืองหรือเศรษฐกิจ แต่ถ้าพูดถึงบ้านอื่นเมืองอื่นทั้งโลก ในแทบทุกการประชุม ไม่ว่าระดับประเทศหรือระดับโลก ไม่ว่าเรื่องสังคมเศรษฐกิจหรือเรื่องอื่นใด ใครต่อใครล้วนพูดถึง "ภาวะโลกร้อน"
       
       ครั้งนี้ผมอยากอธิบายว่า โลกเอ๋ยทำไมร้อนนัก โดยตั้งต้นจากที่มาของความร้อน หนึ่งคือความร้อนภายในโลก พวกเราล้วนอยู่บนเปลือกโลก ลึกลงไปไม่เกิน 50 กิโลเมตร คือแมกม่าหรือของเหลวร้อนรุ่ม พลังงานความร้อนอาจพลุ่งพล่านออกมาสู่ข้างบนบ้าง ผ่านทางภูเขาไฟหรือแหล่งความร้อนจากใต้ดินทั้งหลาย เช่น น้ำพุร้อน โป่งเดือด แต่หากเทียบกับความร้อนแหล่งที่สอง นับว่าจิ๊บจ้อย
       
       แหล่งความร้อนสำคัญคือดวงตะวันบนฟากฟ้า ตะวันส่งแสงแรงกล้าลงมายังโลกเรา แสงมีทั้งที่เรามองเห็น เช่น แสงแดด และแสงในช่วงคลื่นที่เราไม่เห็น เช่น UV และ Infrared แสงเหล่านั้นมีพลังงานความร้อนอยู่ด้วย เราจึงรู้สึกร้อนในตอนกลางวัน รู้สึกเย็นลงในยามค่ำคืน เมื่อดวงอาทิตย์จากไป แต่ความเย็นจะไม่เกิดฉับพลันทันใด เพราะผืนโลกเก็บความร้อนในตอนกลางวันไว้ ก่อนคลายตัวอย่างช้า ๆ ใครที่ลงเล่นน้ำยามค่ำ คงเข้าใจความหมายนี้ หรืออีกที ลองดูอุณหภูมิก็ได้ครับ อากาศจะหนาวสุดหลังเที่ยงคืน เพราะความร้อนที่โลกคายมาตั้งแต่หัวค่ำ เริ่มลดลงแล้ว
       
       คราวนี้อยากให้คิดถึง "เรือนกระจก" หรือให้เนียนปากหน่อย เรียกว่า "กรีนเฮ้าส์" เรือนกระจกดังกล่าวอาจพบบ้างในเมืองไทย แต่พบเยอะเลยในเมืองนอกเขตอบอุ่น โดยเฉพาะในประเทศที่คนมีตังค์พอและชอบปลูกต้นไม้ เมื่อถึงฤดูหนาว อุณหภูมิภายนอกลดลง ต้นไม้เหี่ยวเฉาแข็งตาย แต่ไม้ในเรือนกระจกยังอยู่ดีกินดี เพราะอุณหภูมิสูงกว่าภายนอก โดยที่ไม่ต้องติดฮีตเตอร์ให้เปลืองไฟ อาศัยแสงตะวันสาดส่อง ผ่านกระจกเข้ามา ก่อเกิดความร้อนภายใน แต่คลื่นความร้อนที่ปล่อยออกไป กลับถูกกักเก็บไว้ในเรือนกระจก
       
       ตรงนี้สำคัญนิดครับ เพราะระหว่างที่ผมไปพูดคุยเรื่องนี้ในหลายสถานที่ มักมีผู้สงสัย ทำไมแสงส่องผ่านมายังโลก สะท้อนออกไป แล้วโลกยังร้อนอยู่ คำตอบแบบง่าย ๆ คือแสงเมื่อส่องลงมายังพื้นโลก มาด้วยช่วงคลื่นหนึ่ง แต่เมื่อคลื่นความร้อนออกไปจากโลก ไปด้วยอีกช่วงคลื่น ก๊าซเรือนกระจกอนุญาตให้แสงตะวันส่องผ่านไปยังผิวโลกได้ แต่ไม่ยอมให้คลื่นความร้อนจากโลกหลุดออกไปสู่ห้วงอวกาศ หรือยอมก็เพียงเล็กน้อย ทำให้ความร้อนในโลกมีมากขึ้น
       
       ความสำคัญจึงมาอยู่ที่ก๊าซเรือนกระจก หากมีมากไป โลกย่อมร้อนขึ้น แต่ถ้ามีน้อยไป โลกย่อมเย็นลง ก๊าซเรือนกระจกจึงไม่ใช่ผู้ร้าย ต้องกำจัดให้สิ้นซาก เพราะหากไม่มีเลย มีหวังหมีขาวครองโลก แต่ถ้ามีมากไป หมีขาวก็สูญพันธุ์ สมดุลของปริมาตรก๊าซดังกล่าวจึงเป็นเครื่องควบคุมภูมิอากาศของโลก
       
       แล้วอะไรคือก๊าซเรือนกระจก ? ก๊าซดังกล่าวมีหลายประเภท แต่พระเอกคงไม่พ้นคาร์บอนไดออกไซด์ พระรองคือมีเทน ยังมีตัวประกอบอื่น ๆ เช่น ไนตรัสออกไซด์ แต่ละครเรื่องนี้พระเอกหล่อเข้มนำโด่ง พระรองกับตัวประกอบแทบไม่มีความหมาย
       
       จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าปริมาตรของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงไปมา ตลอดช่วงเวลา 400,000 ปี ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้เทคนิคทางไสยศาสตร์เพื่อย้อนอดีต แต่ใช้การศึกษาชั้นน้ำแข็งเก่าแก่และฟองอากาศที่ติดอยู่ในนั้น และเมื่อลองนำกราฟอุณหภูมิของโลกในอดีตเข้ามาเทียบ พบว่าสอดคล้องกันเปี๊ยบเลย หมายความว่า ช่วงไหนมีคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเยอะ โลกย่อมร้อน ว่าแต่...ช่วงนั้นไม่มีมนุษย์ หรือมีก็ดำรงชีวิตแบบเบี้ยน้อยหอยน้อย ไม่มีเทคโนโลยีหรือเก่งกล้าสามารถจะไปรบกวนสมดุลธรรมชาติได้ แล้วทำไมคาร์บอนไดออกไซด์จึงเปลี่ยนแปลง ทำให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
       
       คำตอบอยู่ที่ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติสามารถครับ ในบางช่วงเกิดภูเขาไฟระเบิดตูมตาม คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นรวดเร็ว โลกร้อนแล้วจ้า บางช่วงเกิดภัยแล้งแสนสาหัส ต้นไม้ตายเป็นแถบ ไม่มีต้นไม้ ย่อมไม่มีผู้คอยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นไม้ที่ล้มตายเน่าเปื่อย ยังทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โลกก็ร้อนอีกแล้วล่ะ
       
       แต่เมื่อโลกร้อน ย่อมเกิดภูมิอากาศแบบใหม่ ทำให้ป่าดิบชื้นเกิดและขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กลายเป็นการลดคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศไปโดยปริยาย นอกจากนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเรือนกระจก ยังมีช่วงอายุ เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่มีการเพิ่มก๊าซอย่างต่อเนื่อง ปริมาตรก๊าซย่อมลดลงเองโดยปริยาย ทำให้อุณหภูมิโลกลดลง
       
       สมดุลเยี่ยงนี้จึงเนียนนัก เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินคำว่ามหัศจรรย์ โลกเรามีความสุขเรื่อยมาในสมดุลดังกล่าว แต่หลังจากนั้น มนุษย์เริ่มยึดโลก ก่อเกิดสองสาเหตุที่ทำให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลง สาเหตุแรกคือทำร้ายผู้กำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันได้แก่ ต้นไม้ทั้งหลาย เราตัด ๆๆ เพื่อขยายถิ่นฐานบ้านเรือน สาเหตุที่สองคือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศ เพราะนอกจากเราตัดต้นไม้ เรายังเผาป่า ปล่อยก๊าซขึ้นสู่อากาศโดยตรง
       
       สาเหตุที่สอง ยังครอบคลุมถึงการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรืออะไรใด ๆ ก็ตามที่เราขุดขึ้นมาจากโลก จึงหมายถึงแทบทุกกิจกรรมของเรา ไม่ว่าจะขับรถไปทำงาน เข้าออฟฟิศเปิดไฟเปิดแอร์ ทำโน่นทำนี่อีกร้อยแปดพันเก้า ล้วนมีส่วนเพิ่มก๊าซเรือนกระจกให้โลก
       
       หลายคนสงสัย มันจะเยอะปานนั้นเชียวเหรอ แต่มันเยอะปานนั้นจริงครับ เพราะนักวิทยาศาสตร์เค้าศึกษาแล้ว เรามีเทคโนโลยีพอติดตามความเปลี่ยนแปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในเมื่อห้าสิบปีก่อน ตลอดเวลาห้าสิบปี เจ้าก๊าซที่ว่า มีแต่เพิ่มและเพิ่ม เป็นการเพิ่มแบบสุดขีดขั้ว เรียกว่าถ้าเป็นรักก็รักจริงหวังแต่ง (กับโลกร้อน)
       
       ตลอดเวลาหลายแสนปีที่เราศึกษาจากชั้นน้ำแข็ง นำมาประกอบกับการวัดจากบรรยากาศโดยตรงที่เราทำได้เมื่อห้าสิบปีก่อน พบว่าไม่มีครั้งไหนที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีมากเกิน 300 ส่วนในล้านส่วน แต่เมื่อค.ศ.2002 เรามีแล้วถึง 370 ล้านส่วน และเพิ่มเป็น 380 ส่วนในเวลาเพียงไม่กี่ปี นักวิทยาศาสตร์บางท่านคาดการณ์ว่า หากเรามีถึง 420 ส่วนในล้านส่วนเมื่อไหร่ น้ำแข็งยักษ์ที่ขั้วโลกจะละลายจริงจัง เมื่อนั้นแย่แน่นอน และกาลเวลาดังกล่าวอาจมาถึงในหนึ่งชั่วชีวิตคน
       
       คุณอาจสงสัย โลกจะร้อนสุดจริงเหรอ ไม่มีสักครั้งเหรอที่โลกร้อนกว่านี้ คำตอบคือมีครับ ในยุคครีเทเชียส เมื่อร้อยล้านปีก่อน โลกร้อนกว่าปัจจุบันตั้ง 10 องศา แต่สัตว์หลายชนิดก็ยังรอดมาได้ โลกไม่ได้แตกสักหน่อย
       
       ไม่แตกหรอกครับ แต่ยุคนั้น ประเทศอเมริกาถูกแบ่งเป็นสอง น้ำท่วมทะลุเกินกรุงเทพขึ้นไปถึงนครสวรรค์ ถึงกระนั้น ในความเชื่อของผม มนุษย์คงไม่ตายหมดหรอกครับ เพราะเราก็ใช่ย่อย ขนาดยุคน้ำแข็งที่ว่าเจ๋งเมื่อหลายปีก่อน คนเรายังทุบหัวช้างแมมมอธ เอาตัวรอดมาได้เลย เราย่อมรอดต่อไป โดยมีข้อแม้นิดหนึ่ง คือ เราไม่ได้ตีหัวเฉพาะช้างแมมมอธ เรายังตีหัวพวกเดียวกันเองด้วยครับ
       
       ปัญหาของภาวะโลกร้อน ไม่ใช่มนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ทว่า...จะหมายถึงการสิ้นยุคแสนสบาย เพราะคำว่า “รอด” ไม่ได้หมายความว่ารอดกันทุกคน และรอดแล้ว ไม่ได้สบาย พื้นดินเหลือน้อย อาหารเหลือน้อย โรคระบาดเพียบ และอีกอย่างที่เพียบแน่คือ...สงคราม
       
       คำคาดการณ์นี้ ไม่เกินจริงแน่ ขนาดเราอยู่ในยุคดินดำน้ำชุ่ม ยังเกิดสงครามโน้นนี้อยู่เนือง ๆ ถ้าถึงยุค "กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม"อภิมหาอมตะโคตรสงครามย่อมเกิดขึ้น ถึงเวลานั้น ตายอาจดีกว่ารอด
       
       เวลาแสนสุขใกล้หมดแล้ว แต่เรายังมัวทะเลาะมัวก่อม๊อบกันแบบนี้ กว่าจะดีกันได้ มีหวังถึงยุคแห่งภัยพิบัติ เพราะงั้น...รีบดีกันเถอะครับ เพราะถึงเวลาใกล้สิ้นยุคสุขกันเถิดเรา...


จาก     :     ผู้จัดการออนไลน์    วันที่ 26 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #99 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2007, 12:29:22 AM »


ตัวพ่นก๊าซ



สปาย-กลาส



เพิ่งผ่านการประชุมประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกไปได้ไม่กี่วัน โม้กันน้ำลายกระเด็น ว่าจะพยายามลดปัญหาโลกร้อนอย่างนั้นอย่างนี้

ล่าสุดก็มีรายงานการสำรวจภาวะก๊าซเรือนกระจกจากสถาบันวิจัยในเนเธอร์แลนด์ระบุว่า บัดนี้จีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่อากาศไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ใช่ว่าสหรัฐสมัยคาวบอยบุช เกิดกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีอะไรขึ้นมา

แต่เพราะว่าเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างร้อนแรง (และไม่ค่อยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม) ของจีน ยังขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งต่างหาก

แต่ถ้านับสถิติรวมในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาแล้ว จีนก็ยังถือว่าห่างชั้นสหรัฐอยู่อีกไกล

จากการรวบรวมและจัดอันดับสถิติประเทศที่ปล่อยควันพิษสู่ชั้นบรรยากาศ สะสมตั้งแต่ทศวรรษ 1950 จะเรียงกันออกมาได้ดังนี้

1.สหรัฐอเมริกา 187,100 ล้านตัน

2.สหภาพยุโรป 127,800 ล้านตัน

3.รัสเซีย 68,400 ล้านตัน

4.จีน 57,600 ล้านตัน

5.ญี่ปุ่น 31,200 ล้านตัน

6.ยูเครน 21,700 ล้านตัน

7.อินเดีย 15,500 ล้านตัน

8.แคนาดา 14,900 ล้านตัน

9.โปแลนด์ 14,400 ล้านตัน

10.คาซัคสถาน 10,100 ล้านตัน

11.แอฟริกาใต้ 8,500 ล้านตัน

12.เม็กซิโก 7,800 ล้านตัน

13.ออสเตรเลีย 7,600 ล้านตัน

และประเทศไทยของเราๆ ท่านๆ อยู่ในอันดับที่ 23

แต่วันนี้อันดับไม่ใช่ประเด็น

จุดสำคัญอยู่ที่ว่า จะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศให้เป็นจริงได้อย่างไรมากกว่า

พูดมานานแล้ว เริ่มลงมือทำกันหรือยัง


จาก     :     ข่าวสด   คอลัมน์ รุ้งตัดแวง    วันที่ 26 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #100 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2007, 12:15:17 AM »


โลกร้อน สร้างปฏิบัติการรุก การกำจัดขยะของประเทศ


 

ทราบกันดีว่าการขยายตัวของสังคมเมือง การดำรงชีวิตของสังคมบริโภคนิยม และการขาดการคัดแยกขยะก่อนนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี เหล่านี้เป็นเหตุให้มีปริมาณขยะเพิ่มขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน เนื่องจากการกำจัดขยะโดยการฝังกลบจะเกิดการหมักแบบไม่ใช้ออกซิเจนทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทน

ทั้งนี้ ขยะติดเชื้อและขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ จำเป็นต้องกำจัดด้วยการเผาทำลาย ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

ปัจจุบันทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยมีการพยายามรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนในรูปแบบต่างๆ ดังกรณีที่องค์กร และสถาบันการศึกษา อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ใน "โครงการจัดทำระบบการจัดการขยะรีไซเคิลในสถาบันอุดมศึกษา" และได้มีการประกาศร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยการลดปัญหาโลกร้อนของ กทม. เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ตัวอย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ร่วมในการสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการต่างๆ แก่สังคม เช่น โครงการวันพัฒนาและปลูกต้นไม้ มก. ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี วันที่ 23 มิถุนายน โครงการรถสวัสดิการ มก.ฟรี เพื่อลดการใช้พลังงานและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มก. มีโครงการเดินรณรงค์เพื่อลดภาวะโลกร้อน ในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ล่าสุด มหาวิทยาลัยกำลังจะดำเนินโครงการสำรวจสาเหตุบางประการของภาวะโลกร้อน (global warming) : กรณีศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

โครงการดังกล่าว เป็นการจุดประกายความร่วมมือในการลดสาเหตุของภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะสาเหตุเกี่ยวกับขยะ เน้นให้มีการคัดแยกขยะเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ ขยะรีไซเคิล (กระดาษ กระป๋อง ขวดแก้ว ขวดพลาสติค) และขยะอันตราย (ขยะติดเชื้อ ขยะสารเคมี) ขยะสด (ขยะเศษอาหาร เศษวัสดุทางการเกษตร) ขยะแห้ง (กล่องโฟม ถุงพลาสติค)

โดยพบว่าขยะถุงพลาสติค ประเภทโพลีเอทิลีน (Polyethylene-PE) มีปริมาณมากและเป็นปัญหาในการกำจัดมากที่สุดชนิดหนึ่ง เนื่องจากการเผาอาจก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สารไดออกซิน (Dioxins) เป็นสารก่อมะเร็ง การฝังกลบเพื่อย่อยสลายต้องใช้เวลานานมาก ขณะนี้ กระทรวงพลังงานได้ดำเนินโครงการต้นแบบการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติค ซึ่งสามารถเปลี่ยนขยะพลาสติค 6 ตันต่อวัน เป็นน้ำมันดิบ 4500 ลิตร โดยกระบวนการ Thermal Depolymerisation-TDP เป็นกระบวนการสลายพันธะเคมีของโมเลกุลสารไฮโดรคาร์บอนให้เล็กลงภายใต้ความร้อนและแรงดันสูง

นอกจากนี้ ปี 2007 สถาบัน Institute of Heavy Organic Synthesis ประเทศโปแลนด์ ได้มีการวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการ PE depolymerisation เป็นกระบวนการสลายพันธะเคมีของสารไฮโดรคาร์บอน ชนิด Polyethylene ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา พบว่าทำให้เกิดสารผลิตภัณฑ์ทั้งสถานะก๊าซและของเหลว หากเพิ่มระดับอุณหภูมิในกระบวนการดังกล่าว ก็เพิ่มการเกิดผลิตภัณฑ์ก๊าซและสารประกอบของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำซึ่งเป็นสารไฮโดรคาร์บอน กลุ่ม aromatic hydrocarbon เป็นส่วนใหญ่ แต่หากระดับอุณหภูมิต่ำและใช้เวลานานขึ้นจะทำให้เกิดสารไฮโดรคาร์บอนที่มีสายตรงมากขึ้น (straight chained hydrocarbons) นอกจากนั้นยังพบว่าตัวเร่งปฏิกิยา acidic aluminosilicate catalyst สามารถเพิ่มการเกิดผลิตภัณฑ์สารประกอบของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำมากขึ้น ได้แก่ สารกลุ่ม isoalkane และ aromatic ด้วย

วันนี้ หากทุกคนเข้าใจถึงเหตุและผลที่เกิดจากปัญหาขยะด้วยการส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกที่ดีจากโครงการรณรงค์ต่างๆ ให้ขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคำว่า "ขยะล้นโลก" คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน


จาก     :     มติชน   คอลัมน์ จับกระแสโลกร้อน    วันที่ 28 มิถุนายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #101 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2007, 12:27:22 AM »


โลกร้อนคำรามที่ "ภาคเหนือ"


 
การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด "ภาวะโลกร้อน" กำลังส่งผลกระทบที่ทวีความร้ายแรงกับมนุษย์ทุกทวีปทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในประเทศไทย ผู้ที่ได้รับผลก่อนใคร คือคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่าง "เด็กชาวเขา" นั่นเอง

 ด้วยฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ดินบนภูเขาถล่มลงมาปิดเส้นทางคมนาคมหลายๆ หมู่บ้านตามชนบทภาคเหนือ ชาวบ้านหลายพันครัวเรือนไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับพื้นที่ภายนอกได้ บ้านเรือนหลายแห่งหายไปกับสายน้ำ เด็กๆ หลายคนไม่ได้ไปโรงเรียนเนื่องด้วยเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง หลายๆ หน่วยงานเข้าไปสร้างที่พักชั่วคราว พร้อมทั้งนำยารักษาโรค และอาหารขึ้นไปให้อย่างเร่งด่วน ตามเส้นทางที่พอจะไปได้

 จากสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นพายุโซนร้อน พายุฤดูร้อน แผ่นดินไหว สึนามิ โคลนถล่ม ฯลฯ ล้วนแล้วแต่สร้างความสูญเสียไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ที่สำคัญคือชีวิตของผู้ประสบภัยซึ่งประเมินค่ามิได้ ทั้งหมดนี้มีผลส่วนใหญ่มาจากการกระทำของมนุษย์เอง

 ดังเช่นเสียงสะท้อนจาก "น้องอ้น" เด็กชายวัย 8 ขวบจากหมู่บ้านเล็กๆ บนดอยสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา น้องอ้นได้รับบาดเจ็บเพราะลูกเห็บตกอย่างหนักในหมู่บ้าน ซึ่งลูกเห็บแต่ละลูกมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าครึ่งกิโลกรัม ส่งผลให้หลังคาบ้านพังย่อยยับ โชคดีลูกเห็บที่หล่นใส่หัวอ้นนั้นไม่มีน้ำหนักมากเท่าใดหนัก แต่ก็ทำให้เกิดแผลถลอกเล็กๆ

 และกว่าความช่วยเหลือจะเข้าไปถึง เด็กๆ หลายคนในหมู่บ้านต้องล้มป่วยเพราะนอนตากแดด ตากฝนในบ้านที่ไร้หลังคา แม้หลายๆ บ้านจะเริ่มซ่อมแซมหลังคาเพื่อให้คุ้มแดด คุ้มฝนได้ แต่มรสุมระลอกใหม่ก็ถาโถมเข้ามาอีก เมื่อฝนเทลงมาห่าใหญ่ ดินโคลนจากภูเขาถล่มทับหมู่บ้าน บ้านที่เพิ่งซ่อมเสร็จกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าทันที โชคยังดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้อ้นและเพื่อนๆ ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกหลายวันเพราะโรงเรียนเลื่อนเปิดเทอมออกไป

 หนำซ้ำ เมื่อหลายวันก่อน ยังเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในแถบ จ.เชียงราย แรงสั่นสะเทือนไปถึงยอดดอยที่น้องอ้นอาศัยอยู่ คำพูดของอ้นที่ฟังแล้วสะเทือนใจไม่แพ้แรงแผ่นดินไหวก็คือ

 "ไม่รู้ว่าต่อไปจะเจออะไรอีก แล้วจะเอาชีวิตรอดทันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่รู้จะมีใครมาช่วยหรือเปล่า" น้องอ้น กล่าวเสียงเครือ

 ด้าน "น้องแพร" สมจิตร  มาเยอะ วัย 10 ขวบ เด็กหญิงที่อาศัยอยู่ใน ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง ซึ่งประสบภัยธรรมชาติหนักไม่แพ้กัน เล่าว่า "วันที่ลูกเห็บตก หนูต้องวิ่งออกจากบ้านไปหลบที่ที่แข็งแรงที่สุด ส่วนพ่อแม่ก็โดนลูกเห็บตกใส่จนเลือดออก พอออกมาหลังคาบ้านเราไม่เหลือแล้ว ไม่มีหลังคาบ้านแล้ว"

 และเช่นเดียวกับน้องอ้น ที่เวลานี้น้องแพรไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะฝนที่ตกกระหน่ำลงมาทำให้โคลนจากภูเขาถล่มทับเส้นทางการคมนาคมจากบ้านสู่โรงเรียนขาดวิ่นแหว่ง

 ขณะที่ "น้องพร" ศิริพร ปอจ่อ วัย 11 ขวบ จากดอยแม่สอง แถบติดชายแดนพม่า ซึ่งปัจจุบันยังมีอาการเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจจากสาเหตุไฟป่าที่ปกคลุมท้องฟ้านานนับเดือน บอกเล่าว่า "วันนี้ อาการหนูยังไม่ค่อยจะดีขึ้น เพราะตั้งแต่ไฟป่าเข้ามาครั้งนั้น ก็หายใจติดขัดมาตลอด ไปหายหมอทีก็ลำบาก เพราะหมออยู่ไกลมาก ยิ่งช่วงนี้ฝนตกหนักทำให้ไปหาหมอไม่ได้ เพราะทางไม่ดี แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไง"

 จะเห็นได้ว่า สถานการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลกระทบมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนสามารถร่วมแก้ไขได้ โดย ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานมูลนิธิกองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย แจกแจงว่า ถ้าเราไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ปัญหาภัยธรรมชาติจะไม่ทุเลาเบาบางลงเลย และนอกจากจะเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว มูลนิธิ ยังได้ตั้งกองทุนฉุกเฉินขึ้นมาก็เพื่อแก้ไขภัยธรรมชาติทั้งต้นเหตุและปลายเหตุ หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความสูญเสียได้

 เด็กผู้ผ่านลมผ่านฝนมาเพียงไม่กี่ปี ต้องมารับผลพวงจากสิ่งที่ผู้ใหญ่พร่าผลาญมาแล้วทั้งชีวิต ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะหันมาช่วยกันแก้ปัญหา "โลกร้อน" อย่างจริงจัง


จาก         :             คม ชัด ลึก  วันที่ 4 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #102 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2007, 12:35:05 AM »


อนามัยโลกเตือนเอเชีย รับมือภัยพิบัติโลกร้อน  
 
 

องค์การอนามัยโลกเตือนเอเชียต้องเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติจากปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นการด่วน เช่นเดียวกับการจัดการปัญหาเรื่องโรคระบาด

กัวลาลัมเปอร์-นายชิเกรุ โอมิ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นแปซิฟิก กล่าวว่า ในฐานะที่เอเชียก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงเผาไหม้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเร่งบรรเทาปัญหา และว่ากรณีปัญหาสิ่งแวดล้อม หากรอจนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ ก็อาจจะสายเกินไป นายโอมิ กล่าวด้วยว่า ขณะที่ทุกคนมุ่งสนใจการพัฒนาเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ควรจะหันมาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย

องค์การอนามัยโลกเคยประสบผลสำเร็จในการเรียกร้องให้ชาติสมาชิกเตรียมพร้อมในการต่อต้านโรค ติดต่อต่าง ๆ เช่น ซาร์ส และไข้หวัดนกมาแล้ว และเห็นว่าควรนำมาตรการในแบบเดียวกันนี้มาใช้ในการเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติ นายโอมิ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อการระบาดของโรคมาลาเรีย รวมทั้งโรคที่เพิ่งพบใหม่และโรคที่กลับมาระบาดใหม่ พร้อมกันนี้ ยังได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 28.4 องศาเซลเซียส ในปี 2541 จาก 26.9 องศาเซลเซียส ในปี 2521 ส่งผลให้อัตราการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา


จาก         :             แนวหน้า  วันที่ 4 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #103 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2007, 12:04:22 AM »


น้ำท่วมฟ้า อุ๊กอู และพ่อกล่อมลูก          โดย : ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์




       ตามตำราว่าด้วยการตั้งชื่อบทความ ชื่อนั้นต้องเร้าใจให้คนอยากอ่าน ผมยึดตามตำราที่ว่า ตั้งชื่อแบบสะดุ้งโหยง "น้ำท่วมฟ้า" แม้ว่าวันนั้นคงไม่มาถึง
       
       แม้น้ำจะไม่มีโอกาสท่วมฟ้า แต่น้ำท่วมเข้ามาในแผ่นดินได้ครับ และน้ำที่มีปริมาตรมหาศาลสุดในโลก คงไม่พ้นน้ำในทะเลและมหาสมุทรที่ปกคลุมพื้นที่โลกมากกว่าร้อยละ 70
       
       ทำไมน้ำทะเลถึงท่วมขึ้นมาได้ ? คำตอบไม่ยากครับ เพราะน้ำแข็งละลายไงล่ะ เชื่อว่าคุณคงเคยผ่านตากับข้อมูลน้ำแข็งในโลกกำลังละลาย ยอดเขาหิมะและธารน้ำแข็งหดหายไปทุกปี เผอิญประเทศไทยมีแต่เขาดินกับคลองแสนแสบ (หลังบ้านผมเอง) คุณบางคนอาจไม่เข้าใจชัดเจน
       
       ถึงเวลาทำการทดลอง เข้าไปในร้านอาหาร ข้าวปลาไม่ต้องสั่ง ให้สั่งน้ำแข็งหลอดกับน้ำ นำแก้วน้ำมาวาง ใส่น้ำไว้สักครึ่งหนึ่ง หย่อนน้ำแข็งลงไปจนน้ำสูงเกือบเต็มแก้ว ต่อให้น้ำแข็งละลายจนหมด น้ำก็แค่ปริ่มแก้ว ไม่ถึงล้นขึ้นมามากมาย เพราะน้ำแข็งลอยตุ๊บป่องอยู่ในน้ำอยู่แล้ว
       
       นั่นเป็นการทดลองแบบที่หนึ่ง เริ่มแบบที่สองได้ ขอตะเกียบบ๋อยมาหนึ่งคู่ ใช้เพียงหนึ่งข้าง เทน้ำใส่แก้วให้เกือบเต็ม ไม่ต้องใส่น้ำแข็งลงไปลอยในน้ำ แต่บรรจงใช้ตะเกียบเสียบเข้ารูตรงกลางน้ำแข็งหลอด เอาตะเกียบที่ว่าไปวางไว้บนขอบแก้ว ให้น้ำแข็งอยู่สูงเหนือน้ำในแก้ว เมื่อน้ำแข็งละลายหยดติ๋งลงแก้ว จะเห็นว่าน้ำในแก้วเพิ่มชัดเจน สูงไปสูงมาก็เริ่มล้นแก้ว (ทดลองเสร็จแล้ว อย่าลืมจ่ายตังค์ค่าน้ำแข็งกับน้ำเปล่า ตะเกียบไม่ต้อง...ล้างได้)
       
       การทดลองทั้งสองแบบ บ่งบอกถึงสภาพน้ำแข็งที่มีในโลก น้ำแข็งแบบหนึ่งลอยอยู่ในทะเลอยู่แล้ว เช่น ขั้วโลกเหนือ แม้จะละลาย แต่อาจส่งผลไม่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับน้ำแข็งอีกแบบ คือน้ำแข็งที่อยู่บนแผ่นดิน ไม่ได้ลอยตุ๊บป่องอยู่ในทะเล
       
       น้ำแข็งในแผ่นดินที่สำคัญคือเกาะกรีนแลนด์และขั้วโลกใต้ ถึงตรงนี้ บางท่านอาจสงสัย ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ไม่เหมือนกันเหรอ ? คำตอบคือผิดกันครับ ขั้วโลกเหนือคือน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำทะเล แต่ขั้วโลกใต้เป็นแผ่นดินมีทวีป แต่โดนน้ำแข็งปกคลุมจนเกือบหมด
       
       น้ำแข็งที่เคยอยู่บนแผ่นดิน แต่เมื่อโลกร้อนขึ้น น้ำแข็งเริ่มละลายลงจากแผ่นดิน หลุดเป็นชิ้นตกสู่ทะเล เป็นการเพิ่มระดับน้ำในทะเลอย่างแน่นอน
       
       คราวนี้มาลองดูกราฟ แกนนอนคือระยะเวลา เริ่มจากค.ศ.1850 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน แกนตั้งแบ่งเป็น 3 ส่วน บนสุดคืออุณหภูมิเฉลี่ยของโลก อันกลางคือระดับน้ำทะเลเฉลี่ยของโลก ล่างสุดคือพื้นที่ของน้ำแข็งในซีกโลกเหนือ แม้เส้นกราฟจะกระโดกกระเดกนิดหนึ่ง แต่นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ เนื่องจากมีสถานีวัดหลายจุด ข้อมูลย่อมแปรปรวนบ้าง เอาเป็นว่า ดูแนวโน้มก็แล้วกันนะครับ
       
       กราฟสองอันบน มีแนวโน้มเห็นชัดว่าสูงขึ้น หมายถึงอุณหภูมิสูงขึ้นและระดับน้ำทะเลเฉลี่ยสูงขึ้น สัมพันธ์กันเห็นชัดแจ๋ว ขณะที่กราฟล่างสุดกำลังดิ่งลง หมายถึงพื้นที่น้ำแข็งในซีกโลกเหนือกำลังลดลงเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงหกสิบเจ็ดปีหลัง น้ำแข็งละลายไปเยอะเชียว
       
       กราฟนี้ง่ายต่อความเข้าใจ ผมจึงเลือกมาให้ดูกัน เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งย่อมละลาย พื้นที่น้ำแข็งน้อยลง ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นเป็นธรรมดา
       
       มาถึงเรื่องน้ำท่วมฟ้า สังเกตนิดว่า ผมใช้คำ "ระดับน้ำทะเลเฉลี่ย" หมายถึงของทั้งโลก ไม่ใช่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ทำนายทายทักไว้หลายประการ แต่ตรงกันที่ว่า น้ำทะเลจะสูงขึ้น ที่อาจผิดแผกคือสูงขึ้นแค่ไหน ? เนื่องจากเป็นการทำนายจากหลายตัวเลขหลายทฤษฎี ผลจึงอาจไม่ตรงกันเป๊ะ แต่เชื่อเถิด...น้ำสูงขึ้น
       
       นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มบอกว่า ภายในค.ศ.2030 หรือในอีกยี่สิบปีเศษ น้ำทะเลจะสูงกว่าปัจจุบันถึง 30 เซนติเมตร โดยมีข้อแม้ว่า ดูจากผลการกระทำของพวกเราในปัจจุบัน หากในอนาคต คนทั้งโลกร่วมใจ ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง น้ำอาจสูงขึ้นน้อยกว่านั้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าทำตัวตามสบายเฮ้ไฮ้โลกไม่ใช่ของไอคนเดียว ระดับน้ำอาจสูงมากกว่านี้ เท่าที่ติดตามมา ผลมักเป็นอย่างหลังครับ
       น้ำสูงขึ้นหนึ่งศอก จะมีผลอะไรมากมาย ลำพังน้ำท่วมก็สูงกว่าศอกแล้ว แต่น้ำท่วมเพราะฝนตก ย่อมมีลดลง แต่น้ำทะเลสูงขึ้น ไม่มีลดครับ มีแต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่น่ากลัว อีกประการหนึ่ง คือผมไม่อยากให้เราคิดถึงเพียงแค่น้ำท่วม เพราะจะมีอะไรหลายอย่างติดตามมา
       
       ผลจากภาวะโลกร้อน ไม่ใช่เป็นประเภทหมัดเดียวจอด แต่จะเป็นการปล่อยหมัดต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ น้ำจึงไม่สูงขึ้นเฉย ๆ แต่จะมีพายุถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ทั้งระดับน้ำสูง ทั้งพายุรุนแรง ย่อมทำให้ชายฝั่งเกิดการพังทลาย จะไปสร้างเขื่อนยังไง น้ำก็ข้ามมา ผู้คนที่อยู่ชายฝั่งทะเลก็ซวยไป
       
       น่าสงสารจังเนอะ คนที่ไม่ได้อยู่ริมฝั่งคงคิดเช่นนั้น แต่ลองคิดในทางกลับกัน ผู้คนย่อมต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ใครจะไปมีตังค์สร้างเขื่อนป้องกันแผ่นดินไว้ตลอดกาล ว่าแต่อพยพไปไหนล่ะ ? เพราะที่ดินลึกเข้าไปข้างในก็ถูกจับจองหมดแล้ว ถางป่าดีกว่า ผลจากการกระทำแบบนี้ จะต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ มนุษย์ต้องการแผ่นดินมากขึ้น ป่าถูกทำลายหนักขึ้น ต้นไม้น้อยลง คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น โลกร้อนขึ้น วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะเกิดกลียุค
       
       ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ยังทำให้เกิดปัญหาต่อการเกษตรกรรม โดยเฉพาะตามปากแม่น้ำต่าง ๆ น้ำทะเลจะหนุนลึกเข้าในแผ่นดิน ทำให้พื้นที่น้ำกร่อยมีมากขึ้น เกิดปัญหาดินเค็ม สวนตามปากแม่น้ำย่อมเกิดปัญหา ปลูกพืชผักใด กลายเป็นดองเค็มหมด
       
       มาคิดดูถึงเมืองไทย ในอีกสี่ห้าสิบปีข้างหน้า กรุงเทพอยู่ริมฝั่งทะเล อีกหลายเมืองก็อยู่ตามปากแม่น้ำ เมื่อน้ำทะเลสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะ แย่จัง แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเราประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงน้ำทะเลหนุนสูง
       
       น้ำทะเลหนุนสูงที่เราเจอในปัจจุบัน เป็นการขึ้นตามแรงดึงดูดของดวงจันทร์ มีขึ้นก็มีลง แต่ถ้าระดับน้ำทั้งโลกสูงขึ้น น้ำทะเลหนุนตลอด น้ำท่วมของเราย่อมรุนแรงและยาวนานกว่าเดิม สงสัยได้ซื้อกระสอบทรายกันทุกปี กั้นได้กั้นดีกั้นกันตลอดกาล
       
       เรือกสวนไร่นาที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ จะเกิดปัญหาติดตามมา ไม่ใช่เฉพาะพืชผักผลไม้ แต่ยังรวมถึงสัตว์น้ำนานา เมื่อน้ำกร่อยมากขึ้นและกินเขตล้ำเข้าไปในแม่น้ำ ระบบนิเวศย่อมเปลี่ยนแปลง สัตว์น้ำที่เคยจับได้ ก็อาจจะหายไป เกิดความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรุนแรงต่อเนื่อง วิถีชีวิตของคนตามลุ่มน้ำ เคยชินกับธรรมชาติที่คาดเดาได้มานับร้อยปี ต่อแต่นี้ อาจจะเริ่มคาดเดาไม่ได้ เดาใจเมียอาจง่ายกว่า
       
       ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดจากการกระทำของพวกเรา แม้โลกจะมีวัฏจักรของตัวเอง แต่เราดันไปเร่งให้โลกร้อน คล้ายกับคนอ้วนที่มีไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจ ดันไปสูบบุหรี่ ที่ควรจะตายตามวาระ อีกสามสิบสี่สิบปี ก็ดันจะตายวันตายพรุ่ง (เริ่มใกล้ตัวแล้วครับ)
       
       น่าเสียดาย พฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนยาก มันเป็นความเคยชิน จนมิอยากเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะคนไร้รสนิยมเช่นผม คืนวันศุกร์สิ้นเดือน ยังไปเต้นเฉิบ ๆ ฟังเพลง Love Me or Hate Me ของ LadySoverigh ร้องอะไรก็ไม่รู้ อุ๊กอู ๆ อยู่ท่ามกลางแสงสีและควันบุหรี่ในผับ ถึงคืนวันเสาร์ ข้าพเจ้าไปนั่งซาบซึ้งฟังคอนเสิร์ตเฉลียงอยู่ที่เมืองทอง
       
       เนื้อหาของ Love Me or Hate Me มีแต่อุ๊กอู ๆ ไม่ต้องเขียนเนื้อก็ได้ แต่เพลงที่พี่เจี๊ยบร้องให้ลูกฟัง ในค่ำคืนวันนั้น มีบางอย่างอยากเขียนถึง
       
       "ดาวดวงน้อย อยู่บนฟ้า อีกไม่ช้า คงเหม็นคาว
       โลกมันร้อน ก้อนน้ำแข็ง ขั้วโลกเหนือ จะละลาย
       ท่วมแผ่นดิน ท่วมแผ่นหิน ท่วมแผ่นฟ้า...
       ปลาใหญ่น้อย คอยกินดาว แล้วพ่อ จะนับอะไรดี..."
       
       สงสัยถึงเวลาที่ผมต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วครับ



จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์  วันที่ 9 กรกฎาคม 2550

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 09, 2007, 12:11:07 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #104 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2007, 12:12:17 AM »


โลกร้อนไปถึงทิเบต อุณหภูมิใกล้ 30 องศา



ทุกมุมโลก พบกับอากาศร้อนอ้าวเป็นแถวๆ

ไม่เว้นทิเบต ที่ได้ชื่อว่ามีอากาศหนาวเหน็บ

เดือนกรกฎาคมของปีนี้ อากาศของทิเบตร้อนกว่าช่วงเดียวกันของทุกๆ ปี เพราะอุณหภูมิมากกว่าเฉลี่ยถึง 5 องศาเซลเซียส

นายเหอ เซียวหง เจ้าหน้าที่สำนักงานพยากรณ์อากาศ ระบุว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อทิเบต ทำให้ทิเบตอากาศร้อนจัดขึ้นทุกปี

โดยเมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา อุณหภูมิในกรุงลาซา ร้อนที่สุดในรอบ 30 ปี ปรอทเกือบแตก เพราะวัดอุณหภูมิได้ 29 องศา ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ยังพบว่า ร้อนกว่าเดิมถึง 3-9 องศา

โลกร้อนยังแผลงฤทธิ์ ทำให้ธารน้ำแข็งของทิเบตละลาย คิดเป็น 131 ตร.กม. ต่อปี

ธารน้ำแข็งหิมาลัย เป็นแหล่งธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นลำดับ 2 ของโลก รองจากทางเหนือของอลาสกา และเป็นแหล่งน้ำสำคัญของแม่น้ำ 7 สายของเอเซีย คือแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านอินเดีย แม่น้ำอินดุส ของปากีสถาน แม่น้ำบราห์มาปุตราของบังคลาเทศ แม่น้ำอิระวดีในพม่า แม่น้ำแยงซีในจีน และแม่น้ำแม่โขงที่ไหลผ่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อโลกร้อนขึ้น ผู้ที่อยู่แถบเทือกเขาใกล้เคียงตามที่ราบสูงทิเบต จะประสบกับหายนะ เพราะถ้าธารน้ำแข็งละลายหายไปหมด แม่น้ำในช่วงหน้าร้อนจะแห้งขอด ไม่มีแหล่งน้ำมาให้ดื่มกินอีกต่อไป

สหประชาชาติประเมินว่า ถ้าโลกร้อนในอัตราเช่นนี้ต่อไปอีก 30 ปี หรือประมาณ ค.ศ. 2035 ธารน้ำแข็งหิมาลัยจะหายไปเกือบหมด จากพื้นที่ 193,051 ตางรางไมล์ จะเหลือเพียง 38,600 ตารางไมล์ เนื่องจากธารน้ำแข็งแห่งนี้ละลายเร็วกว่าธารน้ำแข็งในที่อื่นๆ ของโลก


จาก         :             ข่าวสด  วันที่ 9 กรกฎาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.068 วินาที กับ 20 คำสั่ง