กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 12, 2025, 06:45:37 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156391 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #60 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 12:30:21 AM »


ห่วงหลายชาติเอเชียต้องเผชิญภัยระดับน้ำทะเลจะ เพิ่มขึ้นสูงอีก
 
นายสตีฟ วิลเลียมส์ ผู้อำนวยการบริษัท เอเนอร์จี้ โซลูชั่นส์ ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แสดงความเป็นห่วงหลายชาติใน เอเชียจะเผชิญปัญหาใหญ่จากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น จากสภาวะโลกร้อนและพายุตามฤดูกาลที่รุนแรงขึ้น

นายวิลเลียมส์ระบุว่า ประชากร 1 ใน 10 ของภูมิภาคเอเชียที่อาศัยบริเวณชายฝั่งตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนความพร้อมในการรับมือกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ยังมีน้อยมาก มีเพียงไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่มีแผนปฏิบัติการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าหลายชาติไม่มีงบประมาณ เพียงพอในการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลเหมือนเนเธอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม การวางนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ที่เหมาะสมเตรียมการไว้น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในระยะยาว

ทั้งนี้ จากสถิติประชากรเอเชีย จีนมีประชากรอาศัยในแถบพื้นที่ลุ่มริมชายฝั่งทะเลมากที่สุด 143 ล้านคน รองลงมาเป็น อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น.
 
 
จาก    :    ไทยรัฐ  7 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #61 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 12:49:57 AM »


ญี่ปุ่นทุ่ม 100 ล้านดอลล์ช่วยเอเชียสู้โลกร้อน
 

โคจิ โอมิ
 
เกียวโต- ญี่ปุ่นประกาศทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดเอเชีย

นายโคจิ โอมิ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่นประกาศกลางที่ประชุมประจำปีของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ว่า ญี่ปุ่นจะให้เงินสนับสนุนโครงการด้านพลังงานสะอาดในเอเชียมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ รวมถึงจะให้เงินกู้มูลค่ารวมกัน 2,000 ล้านดอลลาร์ ระยะ 5 ปี เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมาตรการรับมือความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

"ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเอเชียมีบทบาทมากขึ้นเรื่องในเวทีโลก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในเอเชียกำลังเพิ่มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน" นายโอมิ กล่าว พร้อมระบุว่า ปัจจุบัน เอเชียมีการใช้พลังงานในสัดส่วนราว 30% เทียบกับทั่วโลก แต่จะเพิ่มอีกเท่าตัวภายในปี 2573

ก่อนนี้ เอดีบีเผยว่าจะลงทุน 900 ล้านดอลลาร์กับโครงการพลังงานสะอาดภายในปีนี้ โดยเน้นที่การลงทุนในจีน อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
 
 

จาก    :    กรุงเทพธุรกิจ  7 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Sea Man
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2208


ท้องฟ้า/ภูเขา/ป่าไม้/ทะเล


« ตอบ #62 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 04:01:20 PM »

 ..............มีเกิด.........มีแก่..........มีดับ...............
บันทึกการเข้า

.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
Sky
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2506



« ตอบ #63 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 04:24:45 PM »

พี่แม่หอยคะ ถ้าช่วงนี้ ที่ศูนย์อนุรักษ์โดนฝนมากๆ น้ำทะเลจืดเนี่ย เรารีบเอาหอยไปปล่อยสู่ธรรมชาติ หาที่เหมาะๆ เลยได้มั้ยคะ ดีกว่าปล่อยให้ลูกหอยตายไปแบบนี้น่ะค่ะ
ช่วยให้ความรู้ด้วยนะคะ Sky ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากน่ะค่ะ
บันทึกการเข้า
Sea Man
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2208


ท้องฟ้า/ภูเขา/ป่าไม้/ทะเล


« ตอบ #64 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2007, 02:40:10 AM »

 .........แม่หอยตอบด่วน...........หรือเพลินดำน้ำกับวิลลี่เพลิน...อิอิอิอิ
บันทึกการเข้า

.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #65 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:05:49 AM »


เผยอีก 40 ปี พันล้านคนต้องพลัดถิ่น เอี่ยวโลก ร้อน

ในปี 2593 ผู้คนกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกจะต้องระเห็จเร่ร่อนอพยพ เนื่องจากความขัดแย้งและภัยพิบัติธรรมชาติ รวมทั้งสภาวะโลกร้อนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง จากการเปิดเผยในรายงานฉบับล่าสุด 52 หน้า เมื่อ 14 พ.ค. โดยกลุ่มคริสเตียน เอด กลุ่ม ก่อตั้งในอังกฤษ เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

รายงานระบุปัจจุบันประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศยากจนกำลังเผชิญกับการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีประชากรกว่า 66 ล้านคนทั่วยุโรปต้องพลัดจากที่อยู่ในเดือน พ.ค. ปี 2488 รวมถึงประชากรนับล้านคนในจีน ขณะที่ในปัจจุบันประ-ชากรกว่า 163 ล้านคนทั่วโลกต้องอพยพ เนื่องมาจากเหตุ ขัดแย้ง เหตุรุนแรง ภัยพิบัติอย่างความแห้งแล้ง น้ำท่วม รวมทั้งโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างเขื่อน การตัดไม้ การเพิ่มพื้นที่ปลูกพืช

รายงานยังระบุตัวเลขการอพยพทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และยังเตือนว่าในอนาคตอันใกล้ราว 4 ทศวรรษนี้ ปัญหาสภาวะโลกร้อนจะยิ่งทำให้ตัวเลขการอพยพพุ่งสูงขึ้นอีก ซึ่งทางกลุ่มคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี 2593 จะมีผู้จำต้องพลัดถิ่นถึง 1 พันล้านคน ในจำนวนนั้น 645 ล้านคนต้องอพยพจากโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจใหม่ๆ และอีก 250 ล้านคน ต้องอพยพจากปรากฏการณ์ที่เกี่ยวเนื่องสภาวะโลกร้อน อาทิ ความอดอยาก ความแห้งแล้งและอุทกภัย รายงานยังยกตัวอย่างปัญหาสงครามกลางเมืองและความขาดแคลนน้ำและอาหารเลี้ยงสัตว์ในภูมิภาคดาร์ฟูร์ของซูดาน ที่ทำให้ประชาชนกว่า 2 ล้านคน ต้องอพยพหนี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิตกว่าการอพยพครั้งใหม่นี้จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งปะทุและจะสร้างกลุ่มคนยากแค้นกลุ่มใหญ่ขึ้นในโลก ขณะที่กรณีศึกษาในโคลอมเบีย มาลี และพม่า ก็ยังเป็นที่น่าวิตกเช่นกัน

ด้านสภาวะโลกร้อนจะทำให้ประเทศร่ำรวยเพิ่มความต้องการพื้นที่ปลูกวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการใช้น้ำมันดิบ อันจะทำให้ ประชากรจำนวนมากต้องย้ายถิ่นที่อยู่ ซึ่งในประเทศมาลีเผชิญปัญหาผลผลิตลดลง ขณะที่ปริมาณน้ำฝนลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวไร่ชาวนาต้องอพยพจากพื้นที่ทำกิน ทั้งนี้ องค์กรคริสเตียน เอด ตีพิมพ์รายงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ที่กลุ่มขอรับบริจาคตามบ้านทั่วเกาะอังกฤษ ซึ่งตั้งเป้ายอดบริจาคไว้ที่ 15.5 ล้านปอนด์ หรือราว 1,060 ล้านบาท ขณะเดียวกันการศึกษาของบรรดาผู้เชี่ยวชาญโครงการโกลบอล คาร์บอน  โปรเจกต์  และเดอะ  ซีเอสไอ-อาร์โอ  ของคณะวิจัยทางน้ำและชั้นบรรยากาศ ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลออสเตรเลียเผยว่า หากในปี 2593 มนุษย์สามารถลดการทำลายป่าได้ร้อยละ 50 จากปัจจุบัน จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงได้อย่างดี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ ได้ถึง 50,000 ล้านตัน. 


จาก    :    ไทยรัฐ 15 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #66 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:25:19 AM »


มาร่วมลดภาวะโลกร้อนกับยาฮูกันเถอะ


หน้าจอเว็บไซต์ YahooGreen

       หลังจากที่ นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้สร้างภาพยนตร์สารคดี "An Inconvenient Truth" นำเสนอความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเอาไว้อย่างน่าสนใจ ก็เริ่มมีหลายองค์กรออกมาตอบรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ล่าสุด ยาฮู ผู้ให้บริการฟรีอีเมล และเสิร์ชเอนจินชื่อดังของสหรัฐอเมริกาเปิดตัวแคมเปญลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมาพร้อมกิจกรรมน่าสนับสนุนมากมาย เช่น การแจกรถแท็กซี่แก่เมืองที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากที่สุด หรือเปิดตัวเว็บไซต์ Yahoo Green เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง
       
       ยาฮูเลือกใช้เว็บไซต์ green.yahoo.com เป็นที่ทำการของโครงการ Yahoo Green ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแหล่งให้ข้อมูล และรวบรวมความร่วมมือจากผู้ใช้บริการ ภายในเว็บไซต์จะมีเทคนิคง่าย ๆ ที่ปฏิบัติแล้วช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างเห็นผล นอกจากนั้นยังมีข่าว บทความ ที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนมานำเสนอประกอบด้วย
       
      เดวิด ฟิโล (David Filo) ผู้ร่วมก่อตั้งยาฮูกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า "สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราในการลงมือทำโครงการยาฮูกรีนก็คือ การที่ประชาชนให้การตอบรับโครงการดังกล่าว และมีฟีดแบ็กกลับมายังองค์กร ไม่ว่าจะเป็นทางแมสเซสส่งตรงถึงเว็บไซต์ หรือการร่วมมืออื่น ๆ"     
 
       ภายในเว็บไซต์ยาฮูกรีนจะมีทางเลือกให้ผู้บริโภคมากมายในการช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ เดินทางโดยใช้ระบบขนส่งมวลชน ลดการใช้ถุงพลาสติก นำของเก่ามารีไซเคิล ฯลฯ และจะมียอดสรุปแจ้งให้ทราบว่า ปัจจุบันในแต่ละวิธีมีผู้เข้าร่วมแล้วกี่คน และการลด ละ เลิก พฤติกรรมเหล่านั้นจะส่งผลต่อโลกอย่างไรบ้าง
       
       "ยาฮูกรีนเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือโลก และช่วยสร้างพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ถูกต้องสำหรับโลกในปัจจุบัน เราเชื่อว่า การที่หลายคนร่วมกันลงมือทำจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน" ฟิโลกล่าว
       
       จากการเปิดเผยของเว็บไซต์ชื่อดังระบุว่า บริษัทได้เริ่มโครงการต่าง ๆ มาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น การประกาศว่าจะเป็นบริษัท "Carbon Neutral" ให้ได้ภายในสิ้นปี 2007 นี้ การประกาศตัวเป็นองค์กร Carbon Neutral หมายความว่า บริษัทจะมีมาตรการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ ไปพร้อม ๆ กับการจ่ายเงินซื้อเครดิตมลภาวะ (Pollution Credit) เพื่อชดเชยอีกทางหนึ่ง
       
       Pollution Credit คือ หนึ่งในมาตรการที่ทั่วโลกนำมาใช้เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยทางรัฐบาลของแต่ละประเทศจะกำหนดค่าของมลภาวะที่บริษัท หน่วยงาน หนึ่ง ๆ จะสามารถปลดปล่อยออกมาสู่ธรรมชาติได้ ซึ่งหากบางองค์กรมีความจำเป็นต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมามากกว่าเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนดไว้ จะต้องจ่ายเงินซื้อสิทธิ (หรืออาจเรียกว่าเครดิตในการปล่อยมลพิษสู่ธรรมชาติ) จากองค์กรอื่น ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมในหลายภูมิภาค
       
       เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของยาฮูเปิดเผยว่า บทบาทที่ยาฮูสามารถทำเพื่อช่วยเหลือโลกได้ก็คือ การกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงให้ช้าลงได้บ้างไม่มากก็น้อย โดยปัจจุบัน ยาฮูมีผู้ใช้บริการทั่วโลกประมาณเดือนละ 500 ล้านคน ดังนั้น หากทุกคนช่วยกันก็เชื่อว่าจะทำให้ลดการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตลงได้บ้าง
       
       สำหรับแผนการในการช่วยรักษาธรรมชาติที่หน่วยงานภายในของยาฮูริเริ่มนั้น มีตั้งแต่ การลดใช้พลังงานภายในออฟฟิศ และการสนับสนุนให้พนักงานใช้ระบบขนส่งมวลชนมาทำงาน นอกจากนั้นยังเปลี่ยนหลอดไฟบนป้ายโฆษณาของบริษัทที่ให้แสงสว่างมากเกินความจำเป็นมาเป็นหลอดประหยัดพลังงานด้วย
       
       นอกจากนั้น ในส่วนของการปฏิบัติงาน ยาฮูพบว่าศูนย์ข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์นับแสนตัว เป็นจุดที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงมากที่สุด เพื่อให้ระบบสามารถรองรับบริการแก่ผู้บริโภคได้ ทั้งอีเมล ภาพถ่าย วิดีโอ บริษัทจึงมีการใช้พลังงานทดแทน เช่น กระแสไฟฟ้าพลังน้ำ และระบบควบคุมความเย็นมารักษาอุณหภูมิห้องเซิร์ฟเวอร์อีกทางหนึ่ง
       
       นอกจากนั้น ยาฮูยังได้จัดการแข่งขันที่น่าสนใจขึ้นงานหนึ่ง โดยเปิดให้ผู้ใช้บริการของยาฮูในสหรัฐอเมริกาเข้ามาเขียนข้อความว่าพวกเขาจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อมโลกได้อย่างไร หรือมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเมืองใดที่มีผู้เข้ามาโพสต์ข้อความไว้มากที่สุด บริษัทจะบริจาครถแท็กซี่ ฟอร์ด เอสเคป ที่ใช้พลังงานทางเลือกจำนวน 10 คันให้เมืองนั้น ๆ ทันที   
   
       กิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนการลดภาวะโลกร้อนของยาฮูมีอีกมากมาย เช่น การเปิดตัวแคมเปญแจกรถแท็กซี่พลังงานทางเลือกที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์กจำนวน 10 คัน โดยมีดารานักแสดงชื่อดัง แมตต์ ดิลลอน (Matt Dillon) มาร่วมงานด้วย และผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม 150,000 คนแรกจะได้รับปลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ฟรีหนึ่งชิ้น
       
       สำหรับโครงการยาฮูกรีนได้เริ่มต้นปฏิบัติการแล้วในสหรัฐอเมริกา และจะขยายออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกต่อไป



จาก    :     ผู้จัดการออนไลน์   วันที่   15 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #67 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:31:26 AM »


โลกร้อน... ความรับผิดชอบของธุรกิจ จากกระแสสังคมสู่แนวปฏิบัติ



เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมาเมื่อกรุงเทพมหานครรณรงค์เรื่องลดภาวะโลกร้อนผ่านโครงการ "หยุดเพิ่มความร้อนใส่กรุงเทพมหานคร" นอกจากจะประกาศปฏิญญาร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนกว่า 33 องค์กรที่สำนักงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยังมีการเริ่มต้นการสร้างความตระหนักเรื่องภาวะโลกร้อนให้กับคนกรุงเทพฯ ให้ช่วยกันงดใช้ไฟฟ้าในช่วงระหว่างเวลา 19.00-19.15 น. เป็นเวลา 15 นาที และประกาศว่าจะจัดกิจกรรมเช่นนี้ไปตลอด โดยจะจัดกิจกรรมรณรงค์ขึ้นทุกวันที่ 9 ของทุกเดือน

ประเด็นเรื่อง "โลกร้อน" กำลังถูกจุดพลุในสังคมไทย จึงมีองค์กรธุรกิจไม่น้อยที่สนใจจะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR : Corporate Social Responsibility) ผ่านประเด็นดังกล่าว

โลกร้อนประเด็นร้อนในภูมิภาค

หนึ่งในนั้นคือ "ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส" ที่ในปีนี้ไม่เพียงจะหันมาทำเรื่อง CSR แบบเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันยังเลือกประเด็นทางสังคมที่กำลังได้รับความสนใจสูงสุดขึ้นมาทำ

"สุดวิณ ปัญญวงศ์ขันติ" หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด ในฐานะผู้รับผิดชอบด้าน CSR กล่าวว่า "ในปีนี้ภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นสำคัญโดยจะมีการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายของบริษัทกว่า 7-8 ประเทศในภูมิภาค โดยอยู่ในระหว่างการหารือถึงกระบวนการและวิธีการทำงาน โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการ

ศึกษาในประเด็นนี้เพื่อพิจารณาถึงปัจจัย โดยจะดูประเด็นในเรื่องใกล้ๆ ตัวขึ้นมาพิจารณาในการคัดเลือกกิจกรรม CSR ที่จะมาดำเนินการ โดยจะมองทั้ง 2 ส่วน คือการลดพลังงานในออฟฟิศ เดิมเราอาจมองการประหยัดพลังงานเป็นการลดต้นทุนเรื่องค่าใช้จ่าย แต่วันนี้เราอาจจะมามองกันว่าต้องพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อทำให้เกิดการใช้พลังงานลดลงเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน ขณะเดียวกันอาจจะมีกิจกรรมเพื่อสังคมภายนอกในเรื่องการสร้างความตระหนัก ให้กับผู้คนในสังคม หรืออาจจะออกมาในรูปแบบการให้การสนับสนุนกลุ่มองค์กรที่ทำงานทางด้านนี้"

โจทย์จึงน่าสนใจที่ว่าจำเป็นหรือไม่ที่ธุรกิจจำเป็นจะต้องเลือกประเด็นร้อนๆ เช่นนี้ในการทำ CSR และธุรกิจจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม !!

ทำในแบบฉบับไทย

"สุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง" ประธานเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเด็นที่สำคัญว่าธุรกิจจะทำอย่างไร จึงจะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนนั้น อาจจะต้องมองประยุกต์ให้เข้ากับแนวปฏิบัติในแบบไทย อย่างเช่นมีฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งหนึ่งที่นำเอาของเสียมาผลิตเป็นไบโอก๊าซ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมาระดมสมองกัน มีตัวอย่างการลดภาวะโลกร้อนในแนวปฏิบัติของธุรกิจในอังกฤษที่มีการตั้ง KPI ในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่สำหรับไทยนั้นอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะแค่การวัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกการดำเนินกิจกรรมของบริษัทก็เป็นเรื่องที่อาจจะไม่มีหน่วยงานที่ทำ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นสิ่งสำคัญที่องค์กรธุรกิจจะแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ น่าจะเริ่มต้นจากกระบวน การภายในองค์กร อย่างการลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิล เพราะไม่เพียงจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทในเวลาเดียวกันยังจะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ด้วย

"พิมพร ศิริวรรณ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทมายแบรนด์ เอเยนซี่ที่ปรึกษาด้าน CSR ให้ความเห็นไว้ว่า ในต่างประเทศมีแนวปฏิบัติเรื่องการลดภาวะโลกร้อนไว้ว่า วิธีที่ภาคธุรกิจจะมีส่วนลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก คือมีแผนงานและขั้นตอนและเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ให้ความรู้ความเข้าใจกับพนักงงาน คู่ค้า ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และร่วมกันลดผลกระทบ ที่สำคัญต้องมีการพัฒนา ปรับปรุง การใช้พลังงานในอาคาร ในที่ทำงาน และนอกอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจจะประกาศเป็นนโยบายในเรื่องนี้ มีการให้รางวัลพนักงาน หรือฝ่ายที่ทำสำเร็จ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับทุกคนในการมีส่วนร่วม

ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง

"ในการทำ CSR เรื่องนี้สิ่งสำคัญก็คือต้องทำทั้งวงจรการผลิต การจะทำแต่รณรงค์กับสังคมภายนอกอาจจะเป็นเรื่องระยะสั้นเกินไป ขณะที่คุณพยายามบอกคนข้างนอก ตัวเองก็ต้องแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างกรณีการรณรงค์ของกรุงเทพมหานครนั้น ไม่ควรจบแต่การรณรงค์และบอกว่าประชาชนต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ทางกรุงเทพมหานครเองต้องแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าจริงจังอย่างไร ผลในระยะยาวจึงจะเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเพียงไฟไหม้ฟาง"

การดำเนินกิจกรรม CSR เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนจึงอาจจะต้องเริ่มที่กำหนดวิสัยทัศน์และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่มองว่าองค์กรสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้บ้าง ซึ่งในบ้างครั้งอาจจะต้องมีนวัตกรรมใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง

มีกรณีศึกษาขององค์กรในต่างประเทศ อาทิ บริษัท อินเตอร์เฟด จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพรม ยอมลงทุนทางด้านเทคโนโลยีการผลิต โดยยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้า มีการนำวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในโรงงาน มีการนำเสนอบริการ ติดตั้งและดูแลรักษาพรมให้ลูกค้า เพื่อให้พรมที่ลูกค้าซื้อไปมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ทำให้ลดปริมาณขยะของพรมลงได้

เริ่มตั้งแต่วิสัยทัศน์

หรือกรณีของ "ฮอนด้า" พิมพรเล่าว่า ตัวอย่างการทำ CSR เรื่องสิ่งแวดล้อมของฮอนด้า นั้นชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ มีการประกาศ environment statement อย่างชัดเจน โดยมีการกำหนดว่าจะลดการปล่อยก๊าซสู่ชั้นบรรยากาศลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเป็น 0 ในที่สุด โดยมองตั้งแต่ว่าจะทำให้ผลิตภัณท์ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร เช่น การใช้พลังงานทดแทน หรือการลงทุนมหาศาลในการนำนวัตกรรมใหม่อย่างโซลาร์เซลล์มาใช้จริงในโรงงาน รวมไปถึงการทำกิจกรรมรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมภายนอก

ล่าสุดมีการประกาศ "ศูนย์บริการรักษ์สิ่งแวดล้อม" (Green Dealer) จากจุดเริ่มต้นในปี 2543 ที่เข้าร่วมสัมมนาและรับนโยบายสถานประกอบการลดมลพิษทางอากาศและเสียง โดยได้รับการประเมินและแต่งตั้งเป็นคลินิกไอเสียมาตรฐานดีเด่น ก่อนที่ปี 2549-2550 เอ.พี.ฮอนด้าได้เข้าปรับปรุงยกระดับศูนย์ผู้จำหน่ายทั้งสถาน

ที่และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตอบสนองการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยวางนโยบายขยายผลให้สถาน ประกอบการเน้นการบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมุ่งควบคุมมลพิษทางน้ำที่เกิดจากการล้างรถ มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการทดสอบรถยนต์ มลพิษทางเสียงที่เกิดจากการทำงานของปั๊มลม การจัดการขยะและของเสียอันตรายที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ภายใต้หลักการในการไม่เป็นผู้ก่อมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมและมีวิธีการควบคุม จัดการ การบริการซ่อมบำรุงรถไม่ให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อดี-ข้อเสียเมื่อจับประเด็นร้อน

อย่างไรก็ตามการตามกระแสนั้นไม่ใช่มีแต่เรื่องดีเสมอไป นายอนันตชัย ยูรประถม นักวิชาการด้าน CSR จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่องค์กรธุรกิจทำ CSR ในประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมในระยะเวลานั้น ข้อดีก็คือโครงการเพื่อสังคมจะได้รับความสนใจและทำให้มีความชัดเจนว่าองค์กรนั้นมีความห่วงใยต่อสังคมด้วยการแสดงความรับผิดชอบในประเด็นที่สังคมต้องการ

ขณะเดียวกันข้อควรระวังก็คือการเลือกประเด็นทางสังคมที่ได้รับความสนใจในขณะนั้นอาจจะซ้ำกับสิ่งที่หลายองค์กรทำและทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบว่าองค์กรไหนทำดีกว่าองค์กรไหน หรือใครจริงใจที่จะช่วยสังคมหรือไม่จริงใจ โดยเฉพาะในองค์กรที่ไม่ได้ทำเพื่อสังคมอย่างสม่ำเสมออาจจะได้รับการตั้งคำถามถึงความจริงใจในลักษณะนี้

การเกาะกระแสประเด็นร้อนในสังคมจึงอาจไม่แตกต่างจากหลักการในการดำเนินกิจกรรม CSR กับประเด็นทางสังคมอื่นๆ ที่ท้ายที่สุดต้องมองการวางแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการลดผลกระทบจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของทั้งองค์กรและสังคม !!


จาก    :     กรุงเทพธุรกิจ   วันที่   15 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #68 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:33:49 AM »


สารพัดวิธีหยุดโลกร้อน www.epa.gov



หน่วยงานด้านการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา United State Environment Protection Agency หรือ EPA ซึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มแข็ง เข้มงวด และน่าเชื่อถือมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและปกป้องสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวเมริกัน โดยงานหลักคือ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และประเมินผล รวมถึงพัฒนากำหนดมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมระดับชาติ

ความน่าสนใจของเว็บนี้อยู่ที่ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน ซึ่งสามารถเชื่อม link ไปยังเรื่องต่างๆ ที่เว็บไซต์ของ EPA ในส่วนของ climate change นั้นได้ให้แนวทางในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อช่วยโลกของเรา ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน บนท้องถนน ที่ทำงาน ซึ่งคนที่บอกว่าห่วงโลกร้อนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ที่บ้าน ว่ากันว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จะนำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก แถมยังประหยัดเงินด้วย โดยอาจจะเริ่มจากการเปลี่ยนหลอดไฟอย่างน้อย 5 หลอด ให้เป็นหลอดประหยัดไฟ ทุกครั้งที่จะซื้อหรือเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ควรซื้อสินค้าประหยัดไฟ ใครจะมีสัดส่วนสินค้าประเภทนี้มากกว่า 50% ขึ้นไป ออกแบบให้บ้านใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ ใช้พลังแสงอาทิตย์ ในแต่ละวันก็ควรเอาจริงเอาจังกับการ reduce reuse และ recycle โดยสามารถลดปริมาณขยะ การหาวิธีนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ใหม่ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีหีบห่อ หรือผลิตจากวัตถุดิบที่รีไซเคิลได้ ฯลฯ

ที่โรงเรียน ทั้งเด็กนักเรียน ครู และผู้บริหารโรงเรียน สามารถช่วยได้มากทีเดียว โดยระดับนักเรียนนั้นอาจเริ่มจากการบูรณาการเรื่องวิทยาศาสตร์สู่การใช้ชีวิตประจำวัน ให้เด็กได้รู้จักธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ และรู้วิธีที่จะช่วยลดผลกระทบ ซึ่งที่เว็บไซต์นี้ได้มีการใช้การ์ตูนแอนิเมชั่นเล่าเรื่องราวของโลกร้อนให้เด็กๆ ได้เข้าใจ และยังมีเกมให้เล่นไปเรียนรู้ไป นอกจากนี้ยังมีแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอากาศโลกด้วย สำหรับเด็กโตนั้น ควรจะมีการ

บูรณาการเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเข้าสู่ห้องเรียน ให้เด็กมัธยมได้ร่วมกันค้นหา ว่าตัวเขา เพื่อนเขา และโรงเรียน มีส่วนช่วยสร้างผลกระทบ และให้ช่วยกันคิด ศึกษา หาวิธีลดผลกระทบ ด้านครูและผู้บริหารโรงเรียนก็อาจจะทำหลักสูตร ซึ่งที่เว็บนี้ก็มีตัวอย่างและเครื่องมือที่ครูอาจจะนำไปปรับใช้ได้

ที่ทำงาน วิธีง่าย ก็อาจจะเริ่มจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ รู้จักปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อเลิกใช้แล้ว ก็ควรจะเอาจริงเอาจังกับการ reduce reuse recycle

บนท้องถนน ควรเลือกยานยนต์ประหยัดพลังงาน มลพิษต่ำ หมั่นเช็กรถอยู่เสมอ ไม่เหยียบคันเร่งหนักเกินไป ไม่บรรทุกของหนักโดยไม่จำเป็น เปลี่ยนไปใช้รถขนส่งมวลชนบ้าง เพราะการจอดรถไว้สัปดาห์ละ 2 วัน จะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 1,600 ปอนด์

ภาคธุรกิจนั้นจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดย EPA ระบุว่า ประมาณ 30% ภาคธุรกิจของสหรัฐ

อเมริกา เป็นผู้สร้างก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ภาคธุรกิจจะต้องช่วยโลก โดยทุกองค์กรควรมีรูปธรรมการปฏิบัติที่ชัดเจน จริงจัง ในการลดมลพิษ การดูแลสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนแล้วว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม ยอมลงทุนทาง เทคโนโลยี หาเครื่องมือเครื่องจักรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการทำงาน ก็ยังมีผลประกอบการดี บางแห่งมีกำไรมากขึ้นด้วยซ้ำ

สนใจสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บ www.epa.gov


จาก    :     คอลัมน์ up date  กรุงเทพธุรกิจ   วันที่   15 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #69 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:36:29 AM »


ความจริงจากแม่แจ่ม โลกร้อนเรื่อง...ใกล้ตัว



ขณะที่ปัญหาโลกร้อนสำหรับใครหลายคนอาจจะเป็นเรื่องไกลตัว ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ อ.แม่แจ่ม ทางตอนเหนือ จ.เชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับปัญหานี้ จึงได้เริ่มลงมือปรับเปลี่ยนวิถีการผลิต และวิถีชีวิตของตนเอง เพื่อจัดการลดผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนต่อชุมชนของพวกเขาด้วยตัวเอง

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อำเภอแม่แจ่มได้ประสบกับปัญหาน้ำท่วมและดินถล่ม ที่คร่าชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนครั้งใหญ่ๆ ถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน แม้ปัญหาและความเสียหายจะไม่หนักเท่าพื้นที่อื่นๆ เช่น กรณีน้ำก้อ น้ำชุน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อปี 2544 และหลายอำเภอในอุตรดิตถ์เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ชาวแม่แจ่มก็ตระหนักและตื่นตัวว่าปัญหาเหล่านี้จะต้องเพิ่มความรุนแรงขึ้นในอนาคต หากพวกเขายังเพิกเฉยกับมัน

"ในอำเภอแม่แจ่มของเรา มีหลายพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีแดงที่กรมทรัพยากรธรณีจับตาดูเป็นพิเศษ เกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วมและดินถล่ม ชาวบ้านก็กังวลกันมาก เรากำลังปรึกษากันถึงเรื่องการสร้างระบบเตือนภัย เพื่อการอพยพที่ทันท่วงที ตลอดจนถึงการโยกย้ายหมู่บ้านหรือหลังคาเรือนที่อยู่ในพื้นที่อันตรายเหล่านั้นออกมาก่อนที่จะสายเกินไป" อาจารย์อุทิศ สมบัติ ผู้นำชุมชนและประธานเครือข่ายลุ่มแม่น้ำแม่แจ่มกล่าว

ความกังวลของชาวบ้านมีเหตุผลสนับสนุนโดยอาจารย์ศุภกร ชินวัณโณ หัวหน้าทีมวิจัยผลกระทบปัญหาโลกร้อนต่อแหล่งน้ำในประเทศไทยและประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (ลาว เขมร และเวียดนาม) แห่งสถาบัน Southeast Asia START Regional Center จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวจากข้อสรุปการศึกษาครั้งล่าสุดว่า การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศจะมีผลต่อการมีฝนตกที่หนักขึ้นแต่ละครั้งในฤดูฝน และฤดูร้อนจะร้อนขึ้นและยาวขึ้น ในขณะที่ฤดูหนาวจะสั้นลง

"การที่เราจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง จะทำให้ดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้หมด ดินที่หนักไปด้วยน้ำจะทลายลงมา พื้นที่ที่เป็นภูเขาสูงทางภาคเหนือของไทยจะเจอกับปัญหาน้ำท่วม ฉับพลัน และดินถล่มมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเริ่มคิดมาตรการการป้องกันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างเร่งด่วน" อาจารย์ศุภกรกล่าว



ผู้ได้รับผลกระทบต่อวิถีชีวิตกลุ่มแรกๆ จากภาวะโลกร้อนคือ คนจน !!

อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ ผู้ประสานงานอาวุโสภาคเหนือของมูลนิธิรักษ์ไทย ที่ติดตามทำงานกับชุมชนชาวบ้านเพื่อพยายามลดผลกระทบของปัญหานี้ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยชาวบ้านจัดการรับมือกับปัญหา

"คนจนจะเดือดร้อนก่อนใคร ถ้าโลกร้อนไม่มีน้ำ คนจนจะไม่มีปัญญาแข่งซื้อปั๊มน้ำ ถ้าโลกร้อนทำให้ปลาลดลงจากทะเลแถบชายฝั่ง คนจนที่มีได้แค่เรือเล็กก็จะไม่สามารถจับปลาได้อีกต่อไป เราทำงานกับชาวบ้านมานานจึงรู้ว่านี่คือปัญหาเร่งด่วนที่เราต้องทำในการรับมือกับภาวะโลกร้อน" อุดมกล่าว

ประสบการณ์การสูญเสียโดยตรง ทำให้ชาวแม่แจ่มไม่รอให้รัฐบาลเริ่มต้น แต่ได้พยายามคิดมาตรการของตัวเองในศักยภาพที่ชาวบ้านประกาศตัวจะปกป้องรักษาป่าต้นน้ำของลำน้ำแม่แจ่มเมื่อเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นปฐมฤกษ์ของการที่ชาวบ้านประกาศตัวจะปกป้องรักษาป่าต้นน้ำของลำน้ำแม่แจ่มอย่างจริงจัง โดยการรวบรวมผืนป่าในพื้นที่ตำบลต่างๆ ได้มากถึง 70,000 ไร่ เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสฉลองหกทศวรรษแห่งการครองราชย์ในปีที่แล้ว และ 80 ปี แห่งการเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนี้

"เรารู้ว่าปัญหาน้ำท่วมและดินถล่มจะไม่หยุดไปง่ายๆ ตราบเท่าที่อากาศยังแปรปรวนมากขึ้นทุกทีแบบนี้" พ่ออินคำ นิปุณะ ผู้อาวุโสแห่งอำเภอแม่แจ่มกล่าว "เดี๋ยวนี้หน้าหนาว ไม่หนาวมากเท่าเมื่อก่อน หน้าแล้งก็แล้งนานขึ้น หน้าฝนฝนก็ตกหนักขึ้น ต่างประเทศเขาว่าอากาศมันจะร้อนขึ้นไปเรื่อยๆ พ่อก็เห็นว่าน่าจะจริงอย่างที่เขาว่าล่ะนะ บ้านเราตอนนี้ก็รู้สึกได้แล้ว"

ความรู้ของชาวบ้านว่าป่าช่วยชะลอความรุนแรงของปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน จากการสังเกตพื้นที่ป่าไม้ที่ลดลง ซึ่งเกิดขึ้นตรงข้ามกับดินตะกอนที่เพิ่มขึ้นในน้ำแม่แจ่ม จนปัจจุบันทั้งลำน้ำตื้นเขินขึ้นทุกๆ ปี จนแม้ในช่วงเริ่มต้นฤดูแล้งเท่านั้นเด็กๆ ยังสามารถลงไปเดินลุยน้ำที่มีระดับแค่เข่าเล่น

อำเภอแม่แจ่มมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับหลายพื้นที่อื่นๆ ในภาคเหนือของไทย ที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงปกคลุมด้วยป่าไม้ และมีพื้นที่ราบสำหรับการเกษตรน้อย พ่ออินคำยังจำได้ดีถึงสมัยที่ตัวเองเป็นเด็กเมื่อ 70 ปีก่อน ผู้ใหญ่หลายคนในหมู่บ้านเป็นลูกจ้างบริษัททำไม้อังกฤษ พ่อหลวงเล่าว่าชอบไปเล่นแถวๆ ริมน้ำ และได้เห็นท่อนซุงที่ถูกตัดใหม่ๆ ผูกเป็นแพลอยลงตามแม่น้ำไปที่โรงเลื่อยข้างล่าง

"เมื่อก่อนไม่รู้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของป่ากับน้ำท่ามันจะสัมพันธ์กันมากแบบนี้ ป่าหาย น้ำแห้ง มีแต่ตะกอนในลำน้ำ ตอนนี้เรารู้แล้ว และก็หวังว่าจะยังไม่สายเกินไปที่เราจะกลับมาดูแลป่า ขุนน้ำที่เหลืออยู่อย่างจริงจัง" พ่ออินคำกล่าวในพิธีสืบชะตาแม่น้ำแจ่มเมื่อเร็วๆ นี้

ความรับรู้ผลกระทบของการหายไปของพื้นที่ป่า ต่อแม่น้ำลำธาร และอากาศที่ร้อนขึ้น ได้ทำให้ชาวแม่แจ่มที่มีพ่ออินคำเป็นผู้นำที่สำคัญคนหนึ่ง ได้ร่วมกันกับชาวบ้านปกากญอที่หมู่บ้านวัดจันทร์ ต่อต้านโครงการทำไม้ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เมื่อปี 2535-2536 ป่าสนบ้านวัดจันทร์ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของอำเภอแม่แจ่ม ถือเป็นป่าสมบูรณ์ที่รอดพ้นจากการทำไม้ในสมัยที่กรมป่าไม้ยังให้สัมปทานป่ากับบริษัทอังกฤษในยุคต้นศตวรรษที่ผ่านมา ที่ต่อเนื่องด้วยบริษัททำไม้จังหวัดและสัมปทานเอกชนรายอื่นๆ จนกระทั่งรัฐบาลประกาศยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศเมื่อปี 2532

ชัยชนะร่วมกันของขบวนการชาวบ้านและกลุ่มสิ่งแวดล้อม การปกป้องผืนป่าวัดจันทร์ เป็นบทเรียนสำคัญและเป็นกำลังใจให้ชาวบ้านรักษาป่าไม้ที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้นอีก

"การถวายป่าให้ในหลวง 70,000 ไร่ รวมถึงป่าสนบ้านวัดจันทร์ที่ชาวบ้านรักษาไว้ได้ เป็นเสมือนสัญลักษณ์คำปฏิญาณของชาวบ้านต่อบุคคลที่สูงสุดในแผ่นดินว่า ชาวบ้านจะรักป่าเหล่านี้ไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน" อาจารย์วีรพล ประเสริฐสุข ผู้นำชาวบ้านอีกคนหนึ่งกล่าว "พวกเราได้ช่วยกันกับชาวบ้านวาดแผนที่ขอบเขตป่าอนุรักษ์ ที่กันออกจากป่าใช้สอย โดยวิธีง่ายๆ เพื่อเป็นหลักฐานบันทึกว่าป่าเหล่านี้ชาวบ้านจะรักษาไม่ให้มีใครก้าวล่วงไปทำลาย ผู้ละเมิดต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากกฎเกณฑ์ที่ชาวบ้านร่วมกันตั้งขึ้น และจากกฎหมายบ้านเมืองด้วย"

ชาวบ้านบางกลุ่มยังทำมากไปกว่านั้นเพื่อลดผลกระทบของภาวะโลกร้อน สุดจา ลิขิตเบญจกุล แห่งบ้านแม่ละอุป ในอำเภอแม่แจ่ม เล่าว่า ที่เปลี่ยนจากการใช้น้ำมันดีเซลมาใช้พลังน้ำจากเขื่อนขนาดเล็กที่ชาวบ้านได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก United Nations Development Program (UNDP) จำนวนเริ่มต้น 430,000 บาท ในการก่อสร้างและซื้ออุปกรณ์

นอกจากนั้น แกลบที่ได้จากการสีข้าว ยังได้เอามาทำอิฐบล็อกสำหรับการก่อสร้างที่นอกเหนือจากการสร้างรายได้เสริมให้ชาวแม่ละอุปแล้ว ยังทดแทนการตัดไม้เพื่อการก่อสร้างอีกด้วย

สุดท้ายปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำแม่แจ่มที่เป็นต้นน้ำของลำน้ำปิง สาขาที่สำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา ยังคงอยู่ที่การมีฝายหลวง ซึ่งเป็นฝายคอนกรีตขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างเมื่อสามสิบปีก่อนโดยกรมชลประทาน ชาวบ้านอยากทุบฝายทิ้ง แล้วหันกลับมาใช้ฝายไม้ธรรมชาติแบบดั้งเดิมของภาคเหนือที่ไม่กักตะกอน แต่ปล่อยให้ตะกอนไหลลงไปตามแม่น้ำ ไม่ทำให้ลำน้ำตื้นเขิน

นี่เป็นความพยายามของชาวบ้านเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่มุ่งมั่นกับการจัดการปัญหานี้ด้วยภูมิปัญญาของตัวเอง เป็นการทำงานอย่างจริงจังมากไปกว่าองค์กรจำนวนไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุของปัญหาแต่ยังเพิกเฉยและทำเป็นทองไม่รู้ร้อน !!


จาก    :     กรุงเทพธุรกิจ   วันที่   15 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #70 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 12:35:19 AM »


นักวิจัยดีเด่นเผย “โลกร้อน” ไม่ทำน้ำล้นอ่าวไทย แจงเชื่อข้อมูลฝรั่งอาจเสียงบฯ


ชายฝั่งอ่าวไทยประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะมากกว่า หาใช่เพราะอิทธิพลจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย

นักวิจัยดีเด่นชี้ “โลกร้อน” ไม่ทำให้ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งน้ำแข็ง แจงออกมาเตือนหวั่นไทยถูกฝรั่งต้มให้เสียงบประมาณป้องกันแนวชายฝั่งแบบไม่ถูกจุด พร้อมทั้งระบุแนวชายฝั่งของไทยถูกกัดเซาะเพราะขาดตะกอนทราย-แผ่นดินทรุดจากการสูบน้ำบาดาล
       
       ศ.ดร.สุภัทร์ วงศ์วิเศษสมใจ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2543 กล่าวว่าปัญหาภาวะ “โลกร้อน” ไม่ได้ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยสูงขึ้น แต่มีข้อมูลที่ระบุระดับน้ำในอ่าวไทยลดลงหรืออาจคงที่ และที่ออกมาให้ข้อมูลนี้เพราะเกรงว่าทั้งไทยและชาวต่างชาติ จะเสียงบประมาณเตรียมรับปัญหาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
       
       ทั้งนี้ สาเหตุที่แท้จริงของน้ำท่วมตามแนวชายฝั่งนั้น เกิดจากการขาดแคลนตะกอนทรายที่แม่น้ำต่างๆ พัดพามา และการทรุดตัวของแผ่นดินเนื่องจากการสูบน้ำบาดาล ดังนั้นจึงควรแก้ปัญหาให้ถูกจุด


น้ำแข็งขั้วโลกละลายมีผลถึงชายฝั่งทะเลในประเทศเขตทางซีกโลกเหนือ โดยนักวิจัยไทยเชื่อว่าไม่มีผลถึงประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตร
       
       ทั้งนี้ ศ.ดร.สุภัทร์ ซึ่งศึกษาทางด้านวิศวกรรมแหล่งน้ำมากว่า 40 ปีได้ยกข้อมูลการวิจัยของนักวิจัยจากหลายแหล่งที่ระบุว่าระดับน้ำทะเลของไทยไม่เพิ่มขึ้น อาทิ นักวิจัยชาวอเมริกันที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลจากการละลายของน้ำแข็ง ซึ่งไทยจัดอยู่ในเขตที่ไม่ได้ผลกระทบจากการละลายของน้ำแข็งเนื่องจากอยู่ไกลจากแหล่งน้ำแข็ง
       
       นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของอังกฤษที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของประเทศอังกฤษศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลอันเรื่องจากการเพิ่มของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 1% เป็นเวลา 75 ปี พบว่าน้ำทะเลในอ่าวไทยจะลดลงตั้งแต่ 0-50 มิลลิเมตร เป็นต้น
       
       ส่วนภาวะโลกร้อนนั้น ศ.ดร.สุภัทร์เชื่อว่าอาจมีผลต่อปัญหาการกัดเซาะดินทรายชายฝั่งของไทย แต่มีผลที่น้อยมาก ขณะที่สาเหตุสำคัญจากการขาดตะกอนทรายและการทรุดตัวของแผ่นดินเป็นปัจจัยสำคัญ โดยในส่วนของการขาดตะกอนทรายนั้นเขาชี้ว่าเกิดจากการสร้างเส้นทางคมนาคมบริเวณชายหาดซึ่งกั้นการไหลของตะกอนทรายที่ไหลลงสู่ชายหาด ซึ่งแก้ไขได้โดยเปิดช่องทางให้ตะกอนเหล่านั้นไหลลงสู่ทะเลได้
       
       ขณะที่ข้อมูลของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ (ไอพีซีซี) ที่ออกมาระบุว่า ระดับน้ำทะเลบริเวณละติจูดสูงจะเพิ่มขึ้นนั้น ศ.ดร.สุภัทร์กล่าวว่าเป็นข้อมูลการทำนายระดับน้ำทะเลที่เนเธอร์แลนด์และอังกฤษ โดยนักวิทยาศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ทำงานให้กับไอพีซีซี แต่ไทยกลับนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ ทั้งนี้ไทยควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลด้วยข้อมูลของไทยเอง


ศ.ดร.สุภัทร์ วงศ์วิเศษสมใจ
       
       ปัจจุบัน ศ.ดร.สุภัทร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำและสิ่งแวดล้อมให้กับบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด โดยก่อนหน้านี้ได้สอนที่ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำและการจัดการ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเอเชีย (เอไอที) เป็นเวลากว่า 40 ปี และเกษียณมาเป็นผู้เชียวชาญให้กับบริษัทดังกล่าวได้ 5 ปี


จาก    :     ผู้จัดการออนไลน์   วันที่   16 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #71 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 11:04:31 PM »


WWF ฟันธงเหลือเวลาคิดแค่ 5 ปีหากจะแก้ "โลกร้อน"
 

หมีขาวสัตว์โลกที่จะไดรับผลกระทบจาก "โลกร้อน" ก่อนใคร

กองทุนสัตว์ป่าโลกเผยรัฐบาลประเทศต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เรื่องปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใน 5 ปี เพื่อรับมือกับความต้องการพลังงานที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่าในอีก 50 ปีข้างหน้า
       
       องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ระบุไว้ในรายงานว่าการถ่วงเวลาออกไปอาจจะทำให้โลกต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนขั้นอันตรายภายในเวลาชั่วชีวิตหนึ่ง หรืออาจทำให้ต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายแพงขึ้น ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่เศรษฐกิจโลกได้
       
       "ปัญหาสำหรับผู้นำและรัฐบาลต่างๆทั่วโลกก็คือ จะควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ให้อยู่ในระดับสูงจนเป็นอันตราย โดยไม่กระทบการพัฒนาประเทศและลดระดับมาตรฐานการครองชีพได้อย่างไร" เจมส์ ลีป (James Leape) ผู้อำนวยการ WWF กล่าว
       
       "เรามีเวลาอีกน้อยนิดที่เราจะสามารถเพาะเมล็ดแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ และนั่นก็คืออีก 5 ปีข้างหน้า เราไม่สามารถปล่อยเวลาให้สูญเปล่าได้อีก" เขาเสริม
       
       รายงานฉบับนี้ ตั้งเป้าสำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกภายในปี 2050 ว่าไม่ควรเพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับเพิ่มขึ้น 0.7 องศาเซลเซียสแล้ว นอกจากนั้นรายงานนี้ยังตั้งเป้าตัดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50%
       
       WWF สนับสนุนรายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (IPCC) จากองค์การสหประชาชาติ ที่ได้เน้นย้ำว่า เราสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบขั้นเลวร้ายที่สุดจากภาวะโลกร้อนได้ด้วยการใช้เทศโนโลยีที่มีอยู่แล้ว ใช้พลังงานทางเลือก และดำเนินมาตรการประหยัดพลังงาน
       
       อย่างไรก็ตาม WWF ระบุว่า การตัดสินใจของฝ่ายเศรษฐกิจและการเมืองยังคง "มีแนวทางที่แตกต่างกันและเป็นอันตราย"
       
       รายงานส่งเสริมวิธีแก้สำคัญๆ 6 ประการ เช่น การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น, การปลูกป่า, การเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ อาทิ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึง การเก็บกักสะสมพลังงาน
       
       ทาง WWF ยังต้องการให้โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหิน เปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทน และต้องการให้กักและแยกก๊าซคาร์บอนให้มากกว่านี้ เพื่อรับมือกับการปล่อยก๊าซดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
       
       เมื่อรวมกันแล้ว วิธีเหล่านั้นอาจตัดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 60-80% ภายในปี 2050 โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องนำมาปฏิบัติให้ทันเวลา
       
       ส่วนทางแก้ในอีกด้านหนึ่ง รายงานนี้ไม่เห็นด้วยกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ แม้ว่าวิธีดังกล่าวอาจไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเลย โดยรายงานบอกว่าเพราะการใช้พลังงานนิวเคลียร์อาจมีความเสี่ยงเกิดมลพิษจากกัมมันตภาพรังสี, ความเสี่ยงแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ และความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและปลดระวาง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่คุ้มกับประโยชน์ที่ได้
       
       รายงานย้ำว่า ถ้าทุกประเทศตัดสินใจแก้ปัญหาร่วมกันภายใน 5 ปี มาตรการต่างๆก็จะเริ่มมีผลดังประสงค์ได้ภายใน 1 ทศวรรษ โดยขึ้นอยู่กับโลกความจริงว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีความสามารถปรับตัวอย่างแข็งขันเพียงใด



จาก    :     ผู้จัดการออนไลน์   วันที่   16 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #72 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2007, 12:52:15 AM »


เร่งลดอัตราทำลายป่าไม้ ช่วยบรรเทาวิกฤต"โลกร้อน"



ชี้การชะลอการตัดไม้ทำลายป่าเขตร้อน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศลงอย่างได้ผล

ดร.เพ็บ คานาเดลล์ ผู้อำนวยการบริหารโครงการโกลบอลคาร์บอน แผนกวิจัยทะเลและบรรยากาศ ประจำองค์กรวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพแห่งออสเตรเลีย (ซีเอสไออาร์โอ) กล่าวว่า การทำลายป่าเขตร้อนเป็นสาเหตุร้อยละ 20 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์

หากชะลอการทำลายป่าจากระดับปัจจุบันลงได้ครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2593 จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้ราว 50,000 ล้านตัน หรือเท่ากับการปล่อยก๊าซของทั่วโลกเป็นเวลา 6 ปี ขณะเดียวกัน ยังเป็นการอนุรักษ์ป่าเขตร้อนของโลกที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารไซเอินซ์ เป็นงานวิจัยของ ดร.คานาเดลล์ ร่วมกับคณะนักวิจัยสหรัฐ อังกฤษ บราซิล และฝรั่งเศส ผลวิจัยระบุว่า ป่าเขตร้อนจะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกต่อไป แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากภาวะโลกร้อน เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงต้องช่วยกันอนุรักษ์ป่าเขตร้อนในอินโดนีเซียและอะเมซอน

ทุกวันนี้อินโดนีเซียมีพื้นที่ป่าราว 570 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 10 ของป่าเขตร้อนที่เหลืออยู่ทั่วโลก นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางคนเตือนว่า ป่าของอินโดนีเซียอาจจะสูญสิ้นไปภายใน 15 ปีข้างหน้า เพราะมีการลักลอบตัดไม้และถางป่า เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน สำหรับผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างกว้างขวาง


จาก    :     ข่าวสด   วันที่   17 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Sea Man
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2208


ท้องฟ้า/ภูเขา/ป่าไม้/ทะเล


« ตอบ #73 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2007, 04:25:06 AM »

......มนุษย์.....ไม่ยอมเดินสายกลาง..........อย่าที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้.......เลยเกิดวิบัติดังปัจจุบันและในอนาคตอันใก้ลนี้...........
บันทึกการเข้า

.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #74 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2007, 11:36:34 PM »


โลกร้อนเพิ่ม ความหลากหลายของระบบนิเวศหด



การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศปัจจุบัน ทำให้หลายฝ่ายมีการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในมุมมองต่างๆ กันออกไป พบว่าในอนาคตหากมีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนพื้นผิวโลก จะนำมาสู่ "การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Diversity Loss)" ทำให้เกิดการลดบทบาทหน้าที่ขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบนิเวศ นอกจากนั้นสภาพอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปยังมีผลทำให้ความชื้นและความกดอากาศเปลี่ยนแปลงและเกิดสภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น

เหล่านี้เป็นเหตุสำคัญที่สิ่งมีชีวิตต้องมีการปรับตัวเองให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพอุณหภูมิที่สูงขึ้นในระยะยาวแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่หากปรับตัวไม่ได้ก็อาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ในที่สุด

จากผลการวิจัยในปี 2007 โดยภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัย Antwerp ประเทศเบลเยียม ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วมกับอีกหลายสถาบันในเบลเยียม เกี่ยวกับผลกระทบของอุณหภูมิและความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อระบบนิเวศ โดยทำการประเมินผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความหลากหลายทางชีวภาพต่อความอุดมสมบูรณ์ (productivity) ทั้งบนดินและใต้ดินของระบบนิเวศทุ่งหญ้าที่ทำการศึกษา ในการวิจัยนี้มีการจัดทำระบบนิเวศทุ่งหญ้า 1 ชุด ซึ่งประกอบด้วยชุมชนสิ่งมีชีวิตที่มี 1 ชนิด 3 ชนิด และ 9 ชนิด โดยให้สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทุ่งหญ้า เจริญเติบโตในสภาพที่ได้รับแสง จำนวน 12 ชุด แต่ในจำนวนนี้มีการควบคุมอุณหภูมิ 2 ชุด ด้วย ซึ่งครึ่งหนึ่งมีสภาพอุณหภูมิอากาศปกติ ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง ให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นหรือได้รับความร้อนกว่าปกติ 3 องศาเซลเซียส และมีการให้ปริมาณน้ำเท่ากันทุกชุมชนสิ่งมีชีวิตทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับความร้อน

ผลการศึกษาพบว่า พืชมีการคายน้ำจากการระเหยของน้ำ (evapotranspiration) เพิ่มขึ้น เมื่ออยู่ในสภาวะที่ได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นในสภาพดินแห้งทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศทุ่งหญ้าทั้งส่วนบนดินลดลง 18% และใต้ดินบริเวณรอบรากพืชลดลง 23%

นอกจากนั้น ระบบนิเวศที่มีชุมชนสิ่งมีชีวิตที่มีหลากหลายสายพันธุ์ (multi-species communities) ที่อยู่ในสภาวะอุณหภูมิเท่ากัน พบว่าความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในส่วนบนดินมีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ชุมชนที่มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสภาวะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นนั้นไม่ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในพื้นดินระดับล่างบริเวณรากพืช ดังนั้น ในอนาคตเป็นไปได้ว่าเมื่อสภาวะอุณหภูมิสูงขึ้น จะยิ่งทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและจำนวนสิ่งมีชีวิตลดลงได้

จึงชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเป็นภัยที่เกิดขึ้นรอบตัว และมีผลเชื่อมโยงต่อความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งที่อยู่บนดินและใต้ดินทุกชนิด ที่เกี่ยวโยงกันในระบบนิเวศที่ต้องพึ่งพาปัจจัยทางกายภาพในการดำรงชีวิต เช่น ดิน น้ำ อากาศ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ


จาก    :     มติชน คอลัมน์ จับกระแสโลกร้อน  วันที่   18 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.87 วินาที กับ 19 คำสั่ง