|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #60 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 12:30:21 AM » |
|
ห่วงหลายชาติเอเชียต้องเผชิญภัยระดับน้ำทะเลจะ เพิ่มขึ้นสูงอีก นายสตีฟ วิลเลียมส์ ผู้อำนวยการบริษัท เอเนอร์จี้ โซลูชั่นส์ ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แสดงความเป็นห่วงหลายชาติใน เอเชียจะเผชิญปัญหาใหญ่จากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น จากสภาวะโลกร้อนและพายุตามฤดูกาลที่รุนแรงขึ้น
นายวิลเลียมส์ระบุว่า ประชากร 1 ใน 10 ของภูมิภาคเอเชียที่อาศัยบริเวณชายฝั่งตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนความพร้อมในการรับมือกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ยังมีน้อยมาก มีเพียงไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่มีแผนปฏิบัติการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าหลายชาติไม่มีงบประมาณ เพียงพอในการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลเหมือนเนเธอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม การวางนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ที่เหมาะสมเตรียมการไว้น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในระยะยาว
ทั้งนี้ จากสถิติประชากรเอเชีย จีนมีประชากรอาศัยในแถบพื้นที่ลุ่มริมชายฝั่งทะเลมากที่สุด 143 ล้านคน รองลงมาเป็น อินเดีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น. จาก : ไทยรัฐ 7 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #61 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 12:49:57 AM » |
|
ญี่ปุ่นทุ่ม 100 ล้านดอลล์ช่วยเอเชียสู้โลกร้อน
โคจิ โอมิ เกียวโต- ญี่ปุ่นประกาศทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดเอเชีย
นายโคจิ โอมิ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่นประกาศกลางที่ประชุมประจำปีของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ว่า ญี่ปุ่นจะให้เงินสนับสนุนโครงการด้านพลังงานสะอาดในเอเชียมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ รวมถึงจะให้เงินกู้มูลค่ารวมกัน 2,000 ล้านดอลลาร์ ระยะ 5 ปี เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมาตรการรับมือความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
"ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเอเชียมีบทบาทมากขึ้นเรื่องในเวทีโลก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในเอเชียกำลังเพิ่มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน" นายโอมิ กล่าว พร้อมระบุว่า ปัจจุบัน เอเชียมีการใช้พลังงานในสัดส่วนราว 30% เทียบกับทั่วโลก แต่จะเพิ่มอีกเท่าตัวภายในปี 2573
ก่อนนี้ เอดีบีเผยว่าจะลงทุน 900 ล้านดอลลาร์กับโครงการพลังงานสะอาดภายในปีนี้ โดยเน้นที่การลงทุนในจีน อินเดีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
จาก : กรุงเทพธุรกิจ 7 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
Sea Man
|
 |
« ตอบ #62 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 04:01:20 PM » |
|
 ..............มีเกิด.........มีแก่..........มีดับ............... 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
Sky
|
 |
« ตอบ #63 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2007, 04:24:45 PM » |
|
พี่แม่หอยคะ ถ้าช่วงนี้ ที่ศูนย์อนุรักษ์โดนฝนมากๆ น้ำทะเลจืดเนี่ย เรารีบเอาหอยไปปล่อยสู่ธรรมชาติ หาที่เหมาะๆ เลยได้มั้ยคะ ดีกว่าปล่อยให้ลูกหอยตายไปแบบนี้น่ะค่ะ ช่วยให้ความรู้ด้วยนะคะ Sky ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากน่ะค่ะ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Sea Man
|
 |
« ตอบ #64 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2007, 02:40:10 AM » |
|
 .........แม่หอยตอบด่วน...........หรือเพลินดำน้ำกับวิลลี่เพลิน...อิอิอิอิ 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #65 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:05:49 AM » |
|
เผยอีก 40 ปี พันล้านคนต้องพลัดถิ่น เอี่ยวโลก ร้อน
ในปี 2593 ผู้คนกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกจะต้องระเห็จเร่ร่อนอพยพ เนื่องจากความขัดแย้งและภัยพิบัติธรรมชาติ รวมทั้งสภาวะโลกร้อนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง จากการเปิดเผยในรายงานฉบับล่าสุด 52 หน้า เมื่อ 14 พ.ค. โดยกลุ่มคริสเตียน เอด กลุ่ม ก่อตั้งในอังกฤษ เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
รายงานระบุปัจจุบันประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศยากจนกำลังเผชิญกับการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีประชากรกว่า 66 ล้านคนทั่วยุโรปต้องพลัดจากที่อยู่ในเดือน พ.ค. ปี 2488 รวมถึงประชากรนับล้านคนในจีน ขณะที่ในปัจจุบันประ-ชากรกว่า 163 ล้านคนทั่วโลกต้องอพยพ เนื่องมาจากเหตุ ขัดแย้ง เหตุรุนแรง ภัยพิบัติอย่างความแห้งแล้ง น้ำท่วม รวมทั้งโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างเขื่อน การตัดไม้ การเพิ่มพื้นที่ปลูกพืช
รายงานยังระบุตัวเลขการอพยพทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และยังเตือนว่าในอนาคตอันใกล้ราว 4 ทศวรรษนี้ ปัญหาสภาวะโลกร้อนจะยิ่งทำให้ตัวเลขการอพยพพุ่งสูงขึ้นอีก ซึ่งทางกลุ่มคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี 2593 จะมีผู้จำต้องพลัดถิ่นถึง 1 พันล้านคน ในจำนวนนั้น 645 ล้านคนต้องอพยพจากโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจใหม่ๆ และอีก 250 ล้านคน ต้องอพยพจากปรากฏการณ์ที่เกี่ยวเนื่องสภาวะโลกร้อน อาทิ ความอดอยาก ความแห้งแล้งและอุทกภัย รายงานยังยกตัวอย่างปัญหาสงครามกลางเมืองและความขาดแคลนน้ำและอาหารเลี้ยงสัตว์ในภูมิภาคดาร์ฟูร์ของซูดาน ที่ทำให้ประชาชนกว่า 2 ล้านคน ต้องอพยพหนี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิตกว่าการอพยพครั้งใหม่นี้จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งปะทุและจะสร้างกลุ่มคนยากแค้นกลุ่มใหญ่ขึ้นในโลก ขณะที่กรณีศึกษาในโคลอมเบีย มาลี และพม่า ก็ยังเป็นที่น่าวิตกเช่นกัน
ด้านสภาวะโลกร้อนจะทำให้ประเทศร่ำรวยเพิ่มความต้องการพื้นที่ปลูกวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการใช้น้ำมันดิบ อันจะทำให้ ประชากรจำนวนมากต้องย้ายถิ่นที่อยู่ ซึ่งในประเทศมาลีเผชิญปัญหาผลผลิตลดลง ขณะที่ปริมาณน้ำฝนลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวไร่ชาวนาต้องอพยพจากพื้นที่ทำกิน ทั้งนี้ องค์กรคริสเตียน เอด ตีพิมพ์รายงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ที่กลุ่มขอรับบริจาคตามบ้านทั่วเกาะอังกฤษ ซึ่งตั้งเป้ายอดบริจาคไว้ที่ 15.5 ล้านปอนด์ หรือราว 1,060 ล้านบาท ขณะเดียวกันการศึกษาของบรรดาผู้เชี่ยวชาญโครงการโกลบอล คาร์บอน โปรเจกต์ และเดอะ ซีเอสไอ-อาร์โอ ของคณะวิจัยทางน้ำและชั้นบรรยากาศ ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลออสเตรเลียเผยว่า หากในปี 2593 มนุษย์สามารถลดการทำลายป่าได้ร้อยละ 50 จากปัจจุบัน จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงได้อย่างดี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ ได้ถึง 50,000 ล้านตัน.
จาก : ไทยรัฐ 15 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #66 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:25:19 AM » |
|
มาร่วมลดภาวะโลกร้อนกับยาฮูกันเถอะ
 หน้าจอเว็บไซต์ YahooGreen
หลังจากที่ นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้สร้างภาพยนตร์สารคดี "An Inconvenient Truth" นำเสนอความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเอาไว้อย่างน่าสนใจ ก็เริ่มมีหลายองค์กรออกมาตอบรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ล่าสุด ยาฮู ผู้ให้บริการฟรีอีเมล และเสิร์ชเอนจินชื่อดังของสหรัฐอเมริกาเปิดตัวแคมเปญลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมาพร้อมกิจกรรมน่าสนับสนุนมากมาย เช่น การแจกรถแท็กซี่แก่เมืองที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากที่สุด หรือเปิดตัวเว็บไซต์ Yahoo Green เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง ยาฮูเลือกใช้เว็บไซต์ green.yahoo.com เป็นที่ทำการของโครงการ Yahoo Green ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแหล่งให้ข้อมูล และรวบรวมความร่วมมือจากผู้ใช้บริการ ภายในเว็บไซต์จะมีเทคนิคง่าย ๆ ที่ปฏิบัติแล้วช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างเห็นผล นอกจากนั้นยังมีข่าว บทความ ที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนมานำเสนอประกอบด้วย เดวิด ฟิโล (David Filo) ผู้ร่วมก่อตั้งยาฮูกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า "สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราในการลงมือทำโครงการยาฮูกรีนก็คือ การที่ประชาชนให้การตอบรับโครงการดังกล่าว และมีฟีดแบ็กกลับมายังองค์กร ไม่ว่าจะเป็นทางแมสเซสส่งตรงถึงเว็บไซต์ หรือการร่วมมืออื่น ๆ" ภายในเว็บไซต์ยาฮูกรีนจะมีทางเลือกให้ผู้บริโภคมากมายในการช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ เดินทางโดยใช้ระบบขนส่งมวลชน ลดการใช้ถุงพลาสติก นำของเก่ามารีไซเคิล ฯลฯ และจะมียอดสรุปแจ้งให้ทราบว่า ปัจจุบันในแต่ละวิธีมีผู้เข้าร่วมแล้วกี่คน และการลด ละ เลิก พฤติกรรมเหล่านั้นจะส่งผลต่อโลกอย่างไรบ้าง "ยาฮูกรีนเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือโลก และช่วยสร้างพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ถูกต้องสำหรับโลกในปัจจุบัน เราเชื่อว่า การที่หลายคนร่วมกันลงมือทำจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน" ฟิโลกล่าว จากการเปิดเผยของเว็บไซต์ชื่อดังระบุว่า บริษัทได้เริ่มโครงการต่าง ๆ มาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น การประกาศว่าจะเป็นบริษัท "Carbon Neutral" ให้ได้ภายในสิ้นปี 2007 นี้ การประกาศตัวเป็นองค์กร Carbon Neutral หมายความว่า บริษัทจะมีมาตรการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ ไปพร้อม ๆ กับการจ่ายเงินซื้อเครดิตมลภาวะ (Pollution Credit) เพื่อชดเชยอีกทางหนึ่ง Pollution Credit คือ หนึ่งในมาตรการที่ทั่วโลกนำมาใช้เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยทางรัฐบาลของแต่ละประเทศจะกำหนดค่าของมลภาวะที่บริษัท หน่วยงาน หนึ่ง ๆ จะสามารถปลดปล่อยออกมาสู่ธรรมชาติได้ ซึ่งหากบางองค์กรมีความจำเป็นต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมามากกว่าเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนดไว้ จะต้องจ่ายเงินซื้อสิทธิ (หรืออาจเรียกว่าเครดิตในการปล่อยมลพิษสู่ธรรมชาติ) จากองค์กรอื่น ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมในหลายภูมิภาค เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของยาฮูเปิดเผยว่า บทบาทที่ยาฮูสามารถทำเพื่อช่วยเหลือโลกได้ก็คือ การกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงให้ช้าลงได้บ้างไม่มากก็น้อย โดยปัจจุบัน ยาฮูมีผู้ใช้บริการทั่วโลกประมาณเดือนละ 500 ล้านคน ดังนั้น หากทุกคนช่วยกันก็เชื่อว่าจะทำให้ลดการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตลงได้บ้าง สำหรับแผนการในการช่วยรักษาธรรมชาติที่หน่วยงานภายในของยาฮูริเริ่มนั้น มีตั้งแต่ การลดใช้พลังงานภายในออฟฟิศ และการสนับสนุนให้พนักงานใช้ระบบขนส่งมวลชนมาทำงาน นอกจากนั้นยังเปลี่ยนหลอดไฟบนป้ายโฆษณาของบริษัทที่ให้แสงสว่างมากเกินความจำเป็นมาเป็นหลอดประหยัดพลังงานด้วย นอกจากนั้น ในส่วนของการปฏิบัติงาน ยาฮูพบว่าศูนย์ข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์นับแสนตัว เป็นจุดที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงมากที่สุด เพื่อให้ระบบสามารถรองรับบริการแก่ผู้บริโภคได้ ทั้งอีเมล ภาพถ่าย วิดีโอ บริษัทจึงมีการใช้พลังงานทดแทน เช่น กระแสไฟฟ้าพลังน้ำ และระบบควบคุมความเย็นมารักษาอุณหภูมิห้องเซิร์ฟเวอร์อีกทางหนึ่ง นอกจากนั้น ยาฮูยังได้จัดการแข่งขันที่น่าสนใจขึ้นงานหนึ่ง โดยเปิดให้ผู้ใช้บริการของยาฮูในสหรัฐอเมริกาเข้ามาเขียนข้อความว่าพวกเขาจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อมโลกได้อย่างไร หรือมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเมืองใดที่มีผู้เข้ามาโพสต์ข้อความไว้มากที่สุด บริษัทจะบริจาครถแท็กซี่ ฟอร์ด เอสเคป ที่ใช้พลังงานทางเลือกจำนวน 10 คันให้เมืองนั้น ๆ ทันที กิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนการลดภาวะโลกร้อนของยาฮูมีอีกมากมาย เช่น การเปิดตัวแคมเปญแจกรถแท็กซี่พลังงานทางเลือกที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์กจำนวน 10 คัน โดยมีดารานักแสดงชื่อดัง แมตต์ ดิลลอน (Matt Dillon) มาร่วมงานด้วย และผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม 150,000 คนแรกจะได้รับปลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ฟรีหนึ่งชิ้น สำหรับโครงการยาฮูกรีนได้เริ่มต้นปฏิบัติการแล้วในสหรัฐอเมริกา และจะขยายออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกต่อไป
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 15 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #67 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:31:26 AM » |
|
โลกร้อน... ความรับผิดชอบของธุรกิจ จากกระแสสังคมสู่แนวปฏิบัติ

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมาเมื่อกรุงเทพมหานครรณรงค์เรื่องลดภาวะโลกร้อนผ่านโครงการ "หยุดเพิ่มความร้อนใส่กรุงเทพมหานคร" นอกจากจะประกาศปฏิญญาร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนกว่า 33 องค์กรที่สำนักงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยังมีการเริ่มต้นการสร้างความตระหนักเรื่องภาวะโลกร้อนให้กับคนกรุงเทพฯ ให้ช่วยกันงดใช้ไฟฟ้าในช่วงระหว่างเวลา 19.00-19.15 น. เป็นเวลา 15 นาที และประกาศว่าจะจัดกิจกรรมเช่นนี้ไปตลอด โดยจะจัดกิจกรรมรณรงค์ขึ้นทุกวันที่ 9 ของทุกเดือน
ประเด็นเรื่อง "โลกร้อน" กำลังถูกจุดพลุในสังคมไทย จึงมีองค์กรธุรกิจไม่น้อยที่สนใจจะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR : Corporate Social Responsibility) ผ่านประเด็นดังกล่าว
โลกร้อนประเด็นร้อนในภูมิภาค
หนึ่งในนั้นคือ "ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส" ที่ในปีนี้ไม่เพียงจะหันมาทำเรื่อง CSR แบบเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันยังเลือกประเด็นทางสังคมที่กำลังได้รับความสนใจสูงสุดขึ้นมาทำ
"สุดวิณ ปัญญวงศ์ขันติ" หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด ในฐานะผู้รับผิดชอบด้าน CSR กล่าวว่า "ในปีนี้ภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นสำคัญโดยจะมีการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายของบริษัทกว่า 7-8 ประเทศในภูมิภาค โดยอยู่ในระหว่างการหารือถึงกระบวนการและวิธีการทำงาน โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการ
ศึกษาในประเด็นนี้เพื่อพิจารณาถึงปัจจัย โดยจะดูประเด็นในเรื่องใกล้ๆ ตัวขึ้นมาพิจารณาในการคัดเลือกกิจกรรม CSR ที่จะมาดำเนินการ โดยจะมองทั้ง 2 ส่วน คือการลดพลังงานในออฟฟิศ เดิมเราอาจมองการประหยัดพลังงานเป็นการลดต้นทุนเรื่องค่าใช้จ่าย แต่วันนี้เราอาจจะมามองกันว่าต้องพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อทำให้เกิดการใช้พลังงานลดลงเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน ขณะเดียวกันอาจจะมีกิจกรรมเพื่อสังคมภายนอกในเรื่องการสร้างความตระหนัก ให้กับผู้คนในสังคม หรืออาจจะออกมาในรูปแบบการให้การสนับสนุนกลุ่มองค์กรที่ทำงานทางด้านนี้"
โจทย์จึงน่าสนใจที่ว่าจำเป็นหรือไม่ที่ธุรกิจจำเป็นจะต้องเลือกประเด็นร้อนๆ เช่นนี้ในการทำ CSR และธุรกิจจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม !!
ทำในแบบฉบับไทย
"สุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง" ประธานเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเด็นที่สำคัญว่าธุรกิจจะทำอย่างไร จึงจะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนนั้น อาจจะต้องมองประยุกต์ให้เข้ากับแนวปฏิบัติในแบบไทย อย่างเช่นมีฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งหนึ่งที่นำเอาของเสียมาผลิตเป็นไบโอก๊าซ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมาระดมสมองกัน มีตัวอย่างการลดภาวะโลกร้อนในแนวปฏิบัติของธุรกิจในอังกฤษที่มีการตั้ง KPI ในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่สำหรับไทยนั้นอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะแค่การวัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกการดำเนินกิจกรรมของบริษัทก็เป็นเรื่องที่อาจจะไม่มีหน่วยงานที่ทำ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นสิ่งสำคัญที่องค์กรธุรกิจจะแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ น่าจะเริ่มต้นจากกระบวน การภายในองค์กร อย่างการลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิล เพราะไม่เพียงจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทในเวลาเดียวกันยังจะช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ด้วย
"พิมพร ศิริวรรณ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทมายแบรนด์ เอเยนซี่ที่ปรึกษาด้าน CSR ให้ความเห็นไว้ว่า ในต่างประเทศมีแนวปฏิบัติเรื่องการลดภาวะโลกร้อนไว้ว่า วิธีที่ภาคธุรกิจจะมีส่วนลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก คือมีแผนงานและขั้นตอนและเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ให้ความรู้ความเข้าใจกับพนักงงาน คู่ค้า ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และร่วมกันลดผลกระทบ ที่สำคัญต้องมีการพัฒนา ปรับปรุง การใช้พลังงานในอาคาร ในที่ทำงาน และนอกอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจจะประกาศเป็นนโยบายในเรื่องนี้ มีการให้รางวัลพนักงาน หรือฝ่ายที่ทำสำเร็จ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับทุกคนในการมีส่วนร่วม
ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง
"ในการทำ CSR เรื่องนี้สิ่งสำคัญก็คือต้องทำทั้งวงจรการผลิต การจะทำแต่รณรงค์กับสังคมภายนอกอาจจะเป็นเรื่องระยะสั้นเกินไป ขณะที่คุณพยายามบอกคนข้างนอก ตัวเองก็ต้องแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง อย่างกรณีการรณรงค์ของกรุงเทพมหานครนั้น ไม่ควรจบแต่การรณรงค์และบอกว่าประชาชนต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ทางกรุงเทพมหานครเองต้องแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าจริงจังอย่างไร ผลในระยะยาวจึงจะเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเพียงไฟไหม้ฟาง"
การดำเนินกิจกรรม CSR เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนจึงอาจจะต้องเริ่มที่กำหนดวิสัยทัศน์และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่มองว่าองค์กรสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้บ้าง ซึ่งในบ้างครั้งอาจจะต้องมีนวัตกรรมใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง
มีกรณีศึกษาขององค์กรในต่างประเทศ อาทิ บริษัท อินเตอร์เฟด จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพรม ยอมลงทุนทางด้านเทคโนโลยีการผลิต โดยยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้า มีการนำวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในโรงงาน มีการนำเสนอบริการ ติดตั้งและดูแลรักษาพรมให้ลูกค้า เพื่อให้พรมที่ลูกค้าซื้อไปมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ทำให้ลดปริมาณขยะของพรมลงได้
เริ่มตั้งแต่วิสัยทัศน์
หรือกรณีของ "ฮอนด้า" พิมพรเล่าว่า ตัวอย่างการทำ CSR เรื่องสิ่งแวดล้อมของฮอนด้า นั้นชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ มีการประกาศ environment statement อย่างชัดเจน โดยมีการกำหนดว่าจะลดการปล่อยก๊าซสู่ชั้นบรรยากาศลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเป็น 0 ในที่สุด โดยมองตั้งแต่ว่าจะทำให้ผลิตภัณท์ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร เช่น การใช้พลังงานทดแทน หรือการลงทุนมหาศาลในการนำนวัตกรรมใหม่อย่างโซลาร์เซลล์มาใช้จริงในโรงงาน รวมไปถึงการทำกิจกรรมรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมภายนอก
ล่าสุดมีการประกาศ "ศูนย์บริการรักษ์สิ่งแวดล้อม" (Green Dealer) จากจุดเริ่มต้นในปี 2543 ที่เข้าร่วมสัมมนาและรับนโยบายสถานประกอบการลดมลพิษทางอากาศและเสียง โดยได้รับการประเมินและแต่งตั้งเป็นคลินิกไอเสียมาตรฐานดีเด่น ก่อนที่ปี 2549-2550 เอ.พี.ฮอนด้าได้เข้าปรับปรุงยกระดับศูนย์ผู้จำหน่ายทั้งสถาน
ที่และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ตอบสนองการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยวางนโยบายขยายผลให้สถาน ประกอบการเน้นการบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมุ่งควบคุมมลพิษทางน้ำที่เกิดจากการล้างรถ มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการทดสอบรถยนต์ มลพิษทางเสียงที่เกิดจากการทำงานของปั๊มลม การจัดการขยะและของเสียอันตรายที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ภายใต้หลักการในการไม่เป็นผู้ก่อมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมและมีวิธีการควบคุม จัดการ การบริการซ่อมบำรุงรถไม่ให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อดี-ข้อเสียเมื่อจับประเด็นร้อน
อย่างไรก็ตามการตามกระแสนั้นไม่ใช่มีแต่เรื่องดีเสมอไป นายอนันตชัย ยูรประถม นักวิชาการด้าน CSR จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่องค์กรธุรกิจทำ CSR ในประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมในระยะเวลานั้น ข้อดีก็คือโครงการเพื่อสังคมจะได้รับความสนใจและทำให้มีความชัดเจนว่าองค์กรนั้นมีความห่วงใยต่อสังคมด้วยการแสดงความรับผิดชอบในประเด็นที่สังคมต้องการ
ขณะเดียวกันข้อควรระวังก็คือการเลือกประเด็นทางสังคมที่ได้รับความสนใจในขณะนั้นอาจจะซ้ำกับสิ่งที่หลายองค์กรทำและทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบว่าองค์กรไหนทำดีกว่าองค์กรไหน หรือใครจริงใจที่จะช่วยสังคมหรือไม่จริงใจ โดยเฉพาะในองค์กรที่ไม่ได้ทำเพื่อสังคมอย่างสม่ำเสมออาจจะได้รับการตั้งคำถามถึงความจริงใจในลักษณะนี้
การเกาะกระแสประเด็นร้อนในสังคมจึงอาจไม่แตกต่างจากหลักการในการดำเนินกิจกรรม CSR กับประเด็นทางสังคมอื่นๆ ที่ท้ายที่สุดต้องมองการวางแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการลดผลกระทบจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของทั้งองค์กรและสังคม !!
จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #68 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2007, 12:33:49 AM » |
|
สารพัดวิธีหยุดโลกร้อน www.epa.gov

หน่วยงานด้านการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา United State Environment Protection Agency หรือ EPA ซึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มแข็ง เข้มงวด และน่าเชื่อถือมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ที่จะขับเคลื่อนช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและปกป้องสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวเมริกัน โดยงานหลักคือ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และประเมินผล รวมถึงพัฒนากำหนดมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมระดับชาติ
ความน่าสนใจของเว็บนี้อยู่ที่ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน ซึ่งสามารถเชื่อม link ไปยังเรื่องต่างๆ ที่เว็บไซต์ของ EPA ในส่วนของ climate change นั้นได้ให้แนวทางในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อช่วยโลกของเรา ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน บนท้องถนน ที่ทำงาน ซึ่งคนที่บอกว่าห่วงโลกร้อนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ที่บ้าน ว่ากันว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จะนำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก แถมยังประหยัดเงินด้วย โดยอาจจะเริ่มจากการเปลี่ยนหลอดไฟอย่างน้อย 5 หลอด ให้เป็นหลอดประหยัดไฟ ทุกครั้งที่จะซื้อหรือเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ควรซื้อสินค้าประหยัดไฟ ใครจะมีสัดส่วนสินค้าประเภทนี้มากกว่า 50% ขึ้นไป ออกแบบให้บ้านใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ ใช้พลังแสงอาทิตย์ ในแต่ละวันก็ควรเอาจริงเอาจังกับการ reduce reuse และ recycle โดยสามารถลดปริมาณขยะ การหาวิธีนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ใหม่ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีหีบห่อ หรือผลิตจากวัตถุดิบที่รีไซเคิลได้ ฯลฯ
ที่โรงเรียน ทั้งเด็กนักเรียน ครู และผู้บริหารโรงเรียน สามารถช่วยได้มากทีเดียว โดยระดับนักเรียนนั้นอาจเริ่มจากการบูรณาการเรื่องวิทยาศาสตร์สู่การใช้ชีวิตประจำวัน ให้เด็กได้รู้จักธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ และรู้วิธีที่จะช่วยลดผลกระทบ ซึ่งที่เว็บไซต์นี้ได้มีการใช้การ์ตูนแอนิเมชั่นเล่าเรื่องราวของโลกร้อนให้เด็กๆ ได้เข้าใจ และยังมีเกมให้เล่นไปเรียนรู้ไป นอกจากนี้ยังมีแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอากาศโลกด้วย สำหรับเด็กโตนั้น ควรจะมีการ
บูรณาการเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเข้าสู่ห้องเรียน ให้เด็กมัธยมได้ร่วมกันค้นหา ว่าตัวเขา เพื่อนเขา และโรงเรียน มีส่วนช่วยสร้างผลกระทบ และให้ช่วยกันคิด ศึกษา หาวิธีลดผลกระทบ ด้านครูและผู้บริหารโรงเรียนก็อาจจะทำหลักสูตร ซึ่งที่เว็บนี้ก็มีตัวอย่างและเครื่องมือที่ครูอาจจะนำไปปรับใช้ได้
ที่ทำงาน วิธีง่าย ก็อาจจะเริ่มจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ รู้จักปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อเลิกใช้แล้ว ก็ควรจะเอาจริงเอาจังกับการ reduce reuse recycle
บนท้องถนน ควรเลือกยานยนต์ประหยัดพลังงาน มลพิษต่ำ หมั่นเช็กรถอยู่เสมอ ไม่เหยียบคันเร่งหนักเกินไป ไม่บรรทุกของหนักโดยไม่จำเป็น เปลี่ยนไปใช้รถขนส่งมวลชนบ้าง เพราะการจอดรถไว้สัปดาห์ละ 2 วัน จะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 1,600 ปอนด์
ภาคธุรกิจนั้นจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดย EPA ระบุว่า ประมาณ 30% ภาคธุรกิจของสหรัฐ
อเมริกา เป็นผู้สร้างก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ภาคธุรกิจจะต้องช่วยโลก โดยทุกองค์กรควรมีรูปธรรมการปฏิบัติที่ชัดเจน จริงจัง ในการลดมลพิษ การดูแลสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนแล้วว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม ยอมลงทุนทาง เทคโนโลยี หาเครื่องมือเครื่องจักรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการทำงาน ก็ยังมีผลประกอบการดี บางแห่งมีกำไรมากขึ้นด้วยซ้ำ
สนใจสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บ www.epa.gov
จาก : คอลัมน์ up date กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #71 เมื่อ: พฤษภาคม 16, 2007, 11:04:31 PM » |
|
WWF ฟันธงเหลือเวลาคิดแค่ 5 ปีหากจะแก้ "โลกร้อน"
 หมีขาวสัตว์โลกที่จะไดรับผลกระทบจาก "โลกร้อน" ก่อนใคร
กองทุนสัตว์ป่าโลกเผยรัฐบาลประเทศต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เรื่องปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใน 5 ปี เพื่อรับมือกับความต้องการพลังงานที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่าในอีก 50 ปีข้างหน้า องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ระบุไว้ในรายงานว่าการถ่วงเวลาออกไปอาจจะทำให้โลกต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนขั้นอันตรายภายในเวลาชั่วชีวิตหนึ่ง หรืออาจทำให้ต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายแพงขึ้น ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่เศรษฐกิจโลกได้ "ปัญหาสำหรับผู้นำและรัฐบาลต่างๆทั่วโลกก็คือ จะควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ให้อยู่ในระดับสูงจนเป็นอันตราย โดยไม่กระทบการพัฒนาประเทศและลดระดับมาตรฐานการครองชีพได้อย่างไร" เจมส์ ลีป (James Leape) ผู้อำนวยการ WWF กล่าว "เรามีเวลาอีกน้อยนิดที่เราจะสามารถเพาะเมล็ดแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ และนั่นก็คืออีก 5 ปีข้างหน้า เราไม่สามารถปล่อยเวลาให้สูญเปล่าได้อีก" เขาเสริม รายงานฉบับนี้ ตั้งเป้าสำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกภายในปี 2050 ว่าไม่ควรเพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับเพิ่มขึ้น 0.7 องศาเซลเซียสแล้ว นอกจากนั้นรายงานนี้ยังตั้งเป้าตัดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% WWF สนับสนุนรายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (IPCC) จากองค์การสหประชาชาติ ที่ได้เน้นย้ำว่า เราสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบขั้นเลวร้ายที่สุดจากภาวะโลกร้อนได้ด้วยการใช้เทศโนโลยีที่มีอยู่แล้ว ใช้พลังงานทางเลือก และดำเนินมาตรการประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตาม WWF ระบุว่า การตัดสินใจของฝ่ายเศรษฐกิจและการเมืองยังคง "มีแนวทางที่แตกต่างกันและเป็นอันตราย" รายงานส่งเสริมวิธีแก้สำคัญๆ 6 ประการ เช่น การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น, การปลูกป่า, การเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ อาทิ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึง การเก็บกักสะสมพลังงาน ทาง WWF ยังต้องการให้โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหิน เปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทน และต้องการให้กักและแยกก๊าซคาร์บอนให้มากกว่านี้ เพื่อรับมือกับการปล่อยก๊าซดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เมื่อรวมกันแล้ว วิธีเหล่านั้นอาจตัดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 60-80% ภายในปี 2050 โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องนำมาปฏิบัติให้ทันเวลา ส่วนทางแก้ในอีกด้านหนึ่ง รายงานนี้ไม่เห็นด้วยกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ แม้ว่าวิธีดังกล่าวอาจไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเลย โดยรายงานบอกว่าเพราะการใช้พลังงานนิวเคลียร์อาจมีความเสี่ยงเกิดมลพิษจากกัมมันตภาพรังสี, ความเสี่ยงแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ และความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและปลดระวาง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่คุ้มกับประโยชน์ที่ได้ รายงานย้ำว่า ถ้าทุกประเทศตัดสินใจแก้ปัญหาร่วมกันภายใน 5 ปี มาตรการต่างๆก็จะเริ่มมีผลดังประสงค์ได้ภายใน 1 ทศวรรษ โดยขึ้นอยู่กับโลกความจริงว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีความสามารถปรับตัวอย่างแข็งขันเพียงใด
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 16 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #72 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2007, 12:52:15 AM » |
|
เร่งลดอัตราทำลายป่าไม้ ช่วยบรรเทาวิกฤต"โลกร้อน"

ชี้การชะลอการตัดไม้ทำลายป่าเขตร้อน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศลงอย่างได้ผล
ดร.เพ็บ คานาเดลล์ ผู้อำนวยการบริหารโครงการโกลบอลคาร์บอน แผนกวิจัยทะเลและบรรยากาศ ประจำองค์กรวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพแห่งออสเตรเลีย (ซีเอสไออาร์โอ) กล่าวว่า การทำลายป่าเขตร้อนเป็นสาเหตุร้อยละ 20 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
หากชะลอการทำลายป่าจากระดับปัจจุบันลงได้ครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2593 จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้ราว 50,000 ล้านตัน หรือเท่ากับการปล่อยก๊าซของทั่วโลกเป็นเวลา 6 ปี ขณะเดียวกัน ยังเป็นการอนุรักษ์ป่าเขตร้อนของโลกที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารไซเอินซ์ เป็นงานวิจัยของ ดร.คานาเดลล์ ร่วมกับคณะนักวิจัยสหรัฐ อังกฤษ บราซิล และฝรั่งเศส ผลวิจัยระบุว่า ป่าเขตร้อนจะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกต่อไป แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากภาวะโลกร้อน เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงต้องช่วยกันอนุรักษ์ป่าเขตร้อนในอินโดนีเซียและอะเมซอน
ทุกวันนี้อินโดนีเซียมีพื้นที่ป่าราว 570 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 10 ของป่าเขตร้อนที่เหลืออยู่ทั่วโลก นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางคนเตือนว่า ป่าของอินโดนีเซียอาจจะสูญสิ้นไปภายใน 15 ปีข้างหน้า เพราะมีการลักลอบตัดไม้และถางป่า เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน สำหรับผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างกว้างขวาง
จาก : ข่าวสด วันที่ 17 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
Sea Man
|
 |
« ตอบ #73 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2007, 04:25:06 AM » |
|
......มนุษย์.....ไม่ยอมเดินสายกลาง..........อย่าที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้.......เลยเกิดวิบัติดังปัจจุบันและในอนาคตอันใก้ลนี้........... 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #74 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2007, 11:36:34 PM » |
|
โลกร้อนเพิ่ม ความหลากหลายของระบบนิเวศหด

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศปัจจุบัน ทำให้หลายฝ่ายมีการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในมุมมองต่างๆ กันออกไป พบว่าในอนาคตหากมีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนพื้นผิวโลก จะนำมาสู่ "การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Diversity Loss)" ทำให้เกิดการลดบทบาทหน้าที่ขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบนิเวศ นอกจากนั้นสภาพอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปยังมีผลทำให้ความชื้นและความกดอากาศเปลี่ยนแปลงและเกิดสภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น
เหล่านี้เป็นเหตุสำคัญที่สิ่งมีชีวิตต้องมีการปรับตัวเองให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพอุณหภูมิที่สูงขึ้นในระยะยาวแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่หากปรับตัวไม่ได้ก็อาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ในที่สุด
จากผลการวิจัยในปี 2007 โดยภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัย Antwerp ประเทศเบลเยียม ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วมกับอีกหลายสถาบันในเบลเยียม เกี่ยวกับผลกระทบของอุณหภูมิและความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อระบบนิเวศ โดยทำการประเมินผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความหลากหลายทางชีวภาพต่อความอุดมสมบูรณ์ (productivity) ทั้งบนดินและใต้ดินของระบบนิเวศทุ่งหญ้าที่ทำการศึกษา ในการวิจัยนี้มีการจัดทำระบบนิเวศทุ่งหญ้า 1 ชุด ซึ่งประกอบด้วยชุมชนสิ่งมีชีวิตที่มี 1 ชนิด 3 ชนิด และ 9 ชนิด โดยให้สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทุ่งหญ้า เจริญเติบโตในสภาพที่ได้รับแสง จำนวน 12 ชุด แต่ในจำนวนนี้มีการควบคุมอุณหภูมิ 2 ชุด ด้วย ซึ่งครึ่งหนึ่งมีสภาพอุณหภูมิอากาศปกติ ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง ให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นหรือได้รับความร้อนกว่าปกติ 3 องศาเซลเซียส และมีการให้ปริมาณน้ำเท่ากันทุกชุมชนสิ่งมีชีวิตทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับความร้อน
ผลการศึกษาพบว่า พืชมีการคายน้ำจากการระเหยของน้ำ (evapotranspiration) เพิ่มขึ้น เมื่ออยู่ในสภาวะที่ได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นในสภาพดินแห้งทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศทุ่งหญ้าทั้งส่วนบนดินลดลง 18% และใต้ดินบริเวณรอบรากพืชลดลง 23%
นอกจากนั้น ระบบนิเวศที่มีชุมชนสิ่งมีชีวิตที่มีหลากหลายสายพันธุ์ (multi-species communities) ที่อยู่ในสภาวะอุณหภูมิเท่ากัน พบว่าความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในส่วนบนดินมีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ชุมชนที่มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสภาวะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นนั้นไม่ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในพื้นดินระดับล่างบริเวณรากพืช ดังนั้น ในอนาคตเป็นไปได้ว่าเมื่อสภาวะอุณหภูมิสูงขึ้น จะยิ่งทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและจำนวนสิ่งมีชีวิตลดลงได้
จึงชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเป็นภัยที่เกิดขึ้นรอบตัว และมีผลเชื่อมโยงต่อความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งที่อยู่บนดินและใต้ดินทุกชนิด ที่เกี่ยวโยงกันในระบบนิเวศที่ต้องพึ่งพาปัจจัยทางกายภาพในการดำรงชีวิต เช่น ดิน น้ำ อากาศ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ
จาก : มติชน คอลัมน์ จับกระแสโลกร้อน วันที่ 18 พฤษภาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|