ค่ำคืนสุดแสนโกลาหล ค่ำคืนที่แสนหวั่นภัย"สึนามิ" :
โดย ด้วง-ตุ่น-ไมตรี อาสาสมัครสึนามิ ห้าโมงเย็นวันที่ 12 กันยายน พวกเราเดินทางออกจากภูเก็ตเพื่อไประนอง เพราะจะมีการสัมมนาเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น คนไร้สัญชาติ ที่ต้องการสิทธิความเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นเขา
ระหว่างเดินทางฝนตกหนักมาก ไมตรี จงไกรจักร ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ เป็นคนขับรถ พวกเราพูดกันถึงเรื่องแผนป้องกันภัยพิบัติและการซ้อมหนีภัยสึนามิของชาวบ้านน้ำเค็ม ที่มีการทำแผนและฝึกซ้อม อปพร. 35 คน เพื่อเตรียมความพร้อมของชาวบ้าน ในการเฝ้าระวังภัยสึนามิ เพราะที่ผ่านมาบ้านน้ำเค็มมีความเสียหายมากที่สุด และชาวบ้านยังไม่มั่นใจสัญญาณเตือนภัยที่ทางการมาติดตั้งไว้
ไมตรีเล่าว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านมีลางสังหรณ์ว่า จะมีการเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีก โดยชาวบ้านที่ออกทะเลสังเกตมาเกือบ 2 เดือนแล้วว่าได้ปลามากเกินไปผิดปกติ ได้มากจนน่ากลัว ได้มากเหมือนตอนที่จะเกิดสึนามิ ปี 2547
"พี่เชื่อไหม ได้มากจนเอากลับไม่ไหว ต้องใช้วิทยุเรียกเรือลำอื่นบอกว่า หากเอ็งยังไม่วางอวน ก็ไม่ต้องวาง มาเอาปลาที่ข้า บางคนต้องเอาอวนและปลาที่ติดมาไปฝังดินให้ปลาเน่าเปื่อย เพื่อเอาอวนมาใช้ใหม่ บางคนขายไม่หมดต้องเอาไปทำปลาเค็มเป็นโอ่งๆ ขายไม่ทัน ออกเรือคืนเดียวมีรายได้คืนละหมื่นหรือมากว่านั้น มันไม่ปกติแล้ว อีกอย่างหนึ่งช่วงนี้ คนที่ออกทะเลมือเปื่อย ทั้งๆ ที่เขาทำงานอยู่กับทะเลมานาน 20-30 ปี มือไม่เคยเปื่อย ชาวบ้านสันนิษฐานว่ามีก๊าซ มีสารเคมีบางอย่างปนกับน้ำในทะเล เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นก๊าซจากรอยแยกก่อนแผ่นดินไหว ปลาจึงหนีเข้าฝั่ง อันนี้ชาวบ้านเขาคิดกันเอาเอง และพูดกันหลายๆ คน" ไมตรีเล่า
ขณะที่ไมตรีกำลังเล่าอยู่นั้น มี SMS ที่ส่งข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือว่า เกิดแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา 8.9 ริคเตอร์ อาจเกิดสึนามิ ให้เฝ้าระวัง" เวลาตอนนั้นประมาณหนึ่งทุ่ม หลังจากนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาที่ไมตรี นับร้อยสาย ข่าวโทรทัศน์บอกให้รออีกหนึ่งชั่วโมง
เสียงโทรศัพท์จากเพื่อน อปพร. บ้านน้ำเค็ม โทร.มาถามว่าจะเอาอย่างไร จะบอกชาวบ้านว่าอย่างไร ตอนนี้ฝนตกและมืดมาก ชาวบ้านกลัวไฟดับ และไม่สามารถรอฟังข่าวนานถึงหนึ่งชั่วโมงได้ มันเหมือนนั่งรอ!! และบางคนเอาลูกหลานออกจากบ้านแล้ว
"ข่าวบอกว่า ขณะนี้เกิดสึนามิที่อินโดนีเซียแล้ว มีตึกถล่ม มีคนตาย และอีกหนึ่งชั่วโมงจะรู้ว่าจะกระทบถึงไทยหรือไม่" อีกข่าวบอกว่า "อีกครึ่งชั่วโมงจะรู้ว่ากระทบถึงไทยหรือไม่ กลุ่มที่ไปเฝ้าระดับน้ำในทะเล ไม่มีสปอตไลท์ ฝนตกหนักมืดมาก ดูทะเลไม่เห็น ไม่มีหน่วยงานราชการสักคน ตำรวจก็ไม่มี" เสียงเพื่อน อปพร.มาตามสาย
ไมตรีและพวกเราปรึกษากัน และตัดสินใจบอกทีม อปพร.ว่า ให้ค่อยๆ อพยพชาวบ้านตามแผนที่ซ้อมกันไว้ สั่งเสร็จพวกเราหันหัวรถกลับบ้านน้ำเค็มด้วยความเป็นห่วง ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก เมื่อมาถึงเห็น อปพร. คอยโบกรถเพราะไม่มีตำรวจ ไม่มีราชการ มีแต่ชาวบ้าน รถวิ่งซ้าย คนวิ่งขวาตามที่ตกลงกันไว้ บางคนจูงลูกจูงหลาน จูงคนแก่ จูงหมา ขนของพะรุงพะรัง คนที่มีรถซาเล้งก็บรรทุกได้ทั้งครอบครัว มีมอเตอร์ไซค์พ่อแม่ลูกก็ใช้ได้ คนที่มีรถยนต์ก็ขนได้มากหน่อย ที่บ้านน้ำเค็มมีแรงงานพม่าจำนวนมากที่วิ่งหนีภัยด้วย จุดหลบภัยมี 3 แห่ง คือ วัดบ้านน้ำเค็ม โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม และ อบต.บางม่วง
ที่วัดบ้านน้ำเค็ม ชาวบ้านพักได้สัก 200 คน ตอนที่พวกเราไปถึงทุกคนนั่งพักด้วยความเหนื่อย ถามว่าตอนวิ่งเอาอะไรมาบ้าง "ยายเตรียมของไว้แล้ว แต่ตกใจได้ผ้าห่มเก่าๆ ผืนเดียว"
หลายคนบอกว่าตอนซ้อมเป็นกลางวันยังมองเห็น แต่พอมาวันนี้มันมืดฝนก็ตกร่มก็ไม่มี ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน เพราะทำกับข้าวยังไม่เสร็จรถก็มาก ตอนซ้อมมันมีแต่รถวิ่งออก พอเอาจริงวันนี้หลายคนมันไปทำงานข้างนอกเอารถเข้าไปรับลูกรับเมีย จึงมีรถวิ่งเข้าวิ่งออกมั่วไปหมด
ส่วนโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม มีชาวบ้านหลบภัยอยู่ไม่น้อยกว่า 1,000 คน หากจะมาพักอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารเรียนหลังใหญ่ก็น่าจะพ้นคลื่นแล้ว เพราะเป็นที่สูง แต่ชาวบ้านไม่วางใจ ช่วยกันเอาค้อนงัดประตูแล้ว ขึ้นไปพักที่ชั้น 3 เพราะจะรู้สึกปลอดภัยและสบายใจได้มากกว่า
พวกเราถามชาวบ้านว่า ทำไมไม่รอฟังเสียงสัญณาณเตือนภัยก่อนถึงจะออกจากบ้าน พวกเขาแย่งกันตอบทันที "หอเตือนภัย เชื่อไม่ได้ว่าจะดังหรือเปล่า แถมฝนตกหนักขนาดนี้อาจไม่ได้ยินเสียงเตือนภัย" ส่วนที่บอกให้รอฟังข่าวจากโทรทัศน์อีกหนึ่งชั่วโมง ชาวบ้านบอกว่า "ข่าวที่อินโดนีเซียเกิดแล้ว เรานั่งรอในบ้านไม่ได้แล้ว มาที่นี่ดีกว่า คนที่ไม่เคยเจอด้วยตัวเองก็พูดได้ว่าให้รอ เพราะเขาไม่ได้มาวิ่งกับเรา เขาไม่ได้มาเสี่ยงตายกับเรา พวกเราบ้างมีลูกอายุ 2 เดือน บ้างอายุ 3 ขวบ บ้างมีพ่อแม่ที่อายุมากแข้งขาไม่ดี เรารอฟังประกาศอยู่ที่บ้านไม่ได้มันกลัวไปหมด"
ชาวบ้านพักตามที่หลบภัยทั้ง 3 แห่ง อยู่ 2-3 ชั่วโมง คอยฟังข่าว โดยที่หลบภัยไม่มีโทรทัศน์ จึงใช้วิธีโทร.ถามญาติๆ เอาว่า เขาประกาศว่าปลอดภัยแล้วหรือยัง
ที่หลบภัยทั้ง 3 แห่งไม่ได้เตรียมน้ำหรืออาหารไว้ หลายคนหิว เพราะยังไม่ได้กินอาหารเย็น แต่ต้องทน บางคนออกไปซื้อของที่เซเว่นอีเลฟเว่น แต่ต้องกลับมามือเปล่า เพราะผู้จัดการเขาสั่งปิด เนื่องจากกลัวสึนามิเหมือนกัน
ระหว่างที่ชาวบ้านออกจากบ้านมาที่หลบภัยทั้ง 3 แห่ง อปพร.บ้านน้ำเค็มก็ต้องออกลาดตระเวน ระวังทรัพย์สินของชาวบ้าน อย่างขยันแข็งขัน ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักตลอดเวลา
ดึกแล้วโทรทัศน์ประกาศว่าปลอดภัย ไม่ถึงประเทศไทยแน่ อปพร.จึงบอกให้ชาวบ้านกลับบ้าน มีบางคนที่ไม่กล้ากลับไปนอนบ้าน ต้องไปนอนบ้านญาติ
เที่ยงคืนเมื่อชาวบ้านกลับแล้ว ทีม อปพร.นัดสรุปงานกันที่ใต้อาคารโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม เมื่อมากันครบ พวกเราถามกันแบบทีเล่นทีจริงว่า ตอนเกิดเหตุใครแต่งชุด อปพร.ได้ครบเครื่องที่สุด ปรากฏว่า "ปาน ซอยตกปู" คนเดียวเท่านั้นที่ใส่ได้ครบชุดรวม ทั้งรองเท้าบู๊ท ทุกคนเฮลั่น
บางคนแซวว่า "ถ้าสึนามิมาจริง เอ็งจะถอดรองเท้าไม่ออก ว่ายน้ำไม่ได้" และตั้งข้อสังเกตว่า ชุด อปพร.สีกากีนี้เหมาะกับสึนามิหรือไม่ ควรเป็นชุดผ้าร่มเบาๆ ไม่เปียกน้ำ สวมใส่ง่าย หลายคนมาในชุดกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ และบางคนมีเสื้อชูชีพใส่ทับทั้งกันหนาวและพร้อมรับน้ำ
อุ๊ ปาท่องโก๋บอกว่า "ตอนโบกรถ คนโบกไม่มีไฟแวบๆ ไม่มีเสื้อสะท้อนแสง รถเกือบชน หากกระโดดหลบไม่ทันคงตายแล้ว"
"ผมไปเฝ้าระดับน้ำในทะเล ไฟส่องไปไม่ถึง ต้องกลับมาหาสายไฟยาวๆ แสงไฟก็แรงสู้ฝนไม่ได้ เราต้องขอให้ราชการติดตั้งให้แล้ว" อปพร.อีกคนบอก
อาสาสมัครอีกรายหนึ่งเล่าด้วยความขบขันว่า ไปลาดตระเวนตอนที่ชาวบ้านออกมาหมดแล้ว ไม่มีปืนสักกระบอก หากโจรมีปืน จะทำปรือ ต้องวิ่งหนีมันหรือเปล่า ปืนของหมู่บ้านน่าจะเอากลับมา
มีคนแซวว่า "ไฟฉายส่องแลโจรไม่เห็น" ตำรวจก็หนีสึนามิหมด ไม่มีสักคน วิทยุที่ใช้สื่อสารกัน น่าจะมีเพิ่มและของบางคนแบตเตอรี่หมด
บางคนไม่มีเสื้อกันฝน ตอนทำงานไม่มี อาหาร น้ำ ไม่มีหน่วยเสบียง พี่หมีบอกว่า ผมทำหน้าที่โปกรถหิวมาก ต้องไปเคาะประตูบ้านให้ช่วยต้มม่าม่า ให้กินหน่อย หิวจะเป็นลมแล้ว
อปพร.ปิดประชุมด้วยข้อสรุปว่า ต้องไปเสนอเรื่องนี้ที่ อบต. ที่อำเภอ และที่จังหวัดให้เข้าใจว่า ในการป้องกันภัย ต้องสนับสนุนชาวบ้าน ให้มีเครื่องไม้เครื่องมือป้องกันภัย เพราะเราจะต้องพึ่งตนเองยามขับขัน ไม่มีใครมาช่วยเหลือ
หลังแผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ที่ประชุม คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน อนุมัติงบประมาณมากกว่า 100 ล้านบาท ทำหอหลบภัยและอะไรอีกหลายอย่าง ทำให้สงสัยว่าก่อนอนุมัติได้ถามชาวบ้านบ้างหรือเปล่า ว่าพวกเขาต้องการอะไร และรัฐบาลใส่ใจการปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมของประชาชนจริงหรือไม่ หน่วยงานราชการเข้าใจการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือชุมชนเป็นแกนหลักอย่างไร หรือระเบียบของราชการไม่สามารถสนับสนุนแผนป้องกันภัยของประชาชนได้ เส้นทางงบประมาณจึงไม่เสริมความเข้มแข็งชุมชน เงินสึนามิที่บริจาคผ่านรัฐบาลหมดแล้วหรือยัง
ก่อนที่รัฐบาลนี้จะจากไป มาช่วยกันตรวจข้อสอบเรื่องผู้ประสบภัยสึนามิที่รัฐบาลทำว่า ควรได้คะแนนเท่าไร
จาก : มติชน วันที่ 23 กันยายน 2550