สายน้ำ
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2007, 12:36:58 AM » |
|
10 ปีไทยอ่วมน้ำทะเลเซาะชายฝั่งรุกท่วม กรุงเทพฯ
น้ำทะเลกำลังรุกคืบ ชายฝั่งทะเลไทยหายไปแล้วกว่า 18,000 ไร่จากคลื่นทะเล (ภาพโดย จำนงค์ ศรีนวล จาก www.sarakadee.com )
นักธรณีวิทยา จุฬาฯ ชี้ 10 ปี ไทยประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลทวีความรุนแรงขึ้น แจงกรุงเทพฯ ปริมณฑลน่าอันตราย แผ่นดินหายไปแล้ว 1.8 หมื่นไร่ คลื่นในอ่าวไทยสูง 4 เมตรกลายเป็นเรื่องปกติ เหตุสร้างเขื่อน สูบน้ำบาดาลใช้ ระบุไม่เร่งแก้ไขอีก 20 ปี แผ่นดินใกล้กรุงคืบโดนกลืน 1.3 กิโล บางบ่อ บางพลี อ่วมสุดๆ สุวรรณภูมิ โดนชิ่ง ไม่รอดใกล้ขอบทะเล เมื่อช่วงสายวันที่ 3 พ.ย. ในรายการ ทันโลกวิทยาศาสตร์ ทางคลื่นสถานีวิทยุจุฬาฯ เอฟเอ็ม 101.5 เมกะเฮิร์ซ ดำเนินรายการโดย ผศ.มานิต รุจิวโรดม อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการสัมภาษณ์พิเศษ รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิจัยหน่วยวิจัยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ และอาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงสถานการณ์ของปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศ รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า พื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยทั้งหมด 2,667 กม.มีจุดที่ได้รับปัญหาอย่างหนักถึง 599 กม.หรือราว 21% ด้วยกัน โดยมี 5 จังหวัดที่น่าเป็นห่วง คือ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ซึ่งตลอดแนวชายฝั่งทะเล 120 กม.มีถึง 82 กม.หรือ 68%ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา บางพื้นที่ถูกกัดเซาะกินส่วนที่เป็นแผ่นดินไปแล้ว 1 กม. และมีพื้นที่หายไปรวม 18,000 ไร่ ในช่วง 10 ให้หลังมานี้ การติดตามเก็บข้อมูลคลื่นทะเลทั้งจากฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน พบว่าคลื่นใหญ่ซึ่งได้รับผลมาจากลมมรสุม ทั้งลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ลมประจำปี) มีการเปลี่ยนทิศทางและมีความรุนแรงมากขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ คืออ่าวไทยเมื่อ 10 ปีก่อนหรือก่อนหน้า ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะทำให้เกิดคลื่นในอ่าวไทยโดยมีความสูงเฉลี่ยเพียง 0.8 -1 เมตรเท่านั้นอาจารย์นักวิจัยกล่าว แต่ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ รศ.ดร.ธนวัฒน์ เผยข้อมูลว่า ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได้ทำให้เกิดคลื่นที่มีความสูงถึง 2 -4 เมตรแล้ว เช่นเมื่อปลายปี 2549 ที่ผ่านมา ณ จ.สงขลา ที่มีคลื่นความสูง 4 เมตรพัดบ้านเรือนประชาชนหายไปหลายหลัง ทั้งนี้ การกระทำของมนุษย์เป็นปัจจัยหลักที่เร่งให้เกิดปัญหาเร็วขึ้น อย่างการพัฒนาต้นน้ำ เช่นการสร้างเขื่อนที่กั้นไม่ให้ตะกอนดินจากต้นน้ำไหลลงมายังปากแม่น้ำตามธรรมชาติได้ โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ที่ทำให้ตะกอนดินหายไปกว่า 70% ขณะที่อีกปัญหาหนึ่งที่ซ้ำเติมให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลรุนแรงมากขึ้น ยังเป็นการทรุดตัวของแผ่นดิน ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนว่าน้ำทะเลเพิ่มระดับสูงขึ้น โดยราว 23 -24 ปีที่แล้ว อัตราการทรุดตัวของกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่มากกว่า 10 ซ.ม./ปี ศูนย์กลางอยู่ในเขตเมือง ต่อมาเมื่อรัฐบาลควบคุมการใช้น้ำบาดาล ไม่มีการขุดบ่อเพิ่มขึ้น ศูนย์กลางของแผ่นดินทรุดตัวจึงเปลี่ยนไปสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลมากขึ้น โดยเฉพาะย่านบางพลีและบางบ่อ จ.สมุทรปราการ และเขตมหาชัย -บางขุนเทียน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นย่านอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้น้ำมาก อัตราการทรุดตัวของแผ่นดินในพื้นที่ดังกล่าวจึงอยู่ที่ 3 -5 ซ.ม./ปีใกล้ชายฝั่งทะเล ซึ่งค่อนข้างน่ากลัวมาก เพราะจากการศึกษาเมื่อเทียบกับเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว พื้นที่แห่งนี้จะทรุดตัวไม่เกิน 20 -22 ม.ม./ปี โดยมีความต่างกันถึง 30 เท่า ทำให้แม้น้ำทะเลไม่เพิ่มระดับสูงขึ้นก็ยังได้รับผลกระทบไม่แตกต่างกัน ยิ่งต้องประสบกับปัญหาโลกร้อนในปัจจุบันและในอนาคตด้วยแล้ว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งก็จะทวีความรุนแรงขึ้นแน่นอน หลังสุดก่อนที่เราจะทำวิจัยกับ สกว.เราได้ทำวิจัยออกมาว่าปัญหาการกัดเซาะของอ่าวไทยตอนบนขณะนี้อยู่ที่ 25 เมตร/ปี แต่จะเพิ่มเป็น 65 เมตร/ปีอีก 20 ปีข้างหน้า โดยอัตรานี้หากเราไม่ทำอะไรเลย อ่าวไทยตอนบนในอีก 20 ปีจะหายไปประมาณ 1.3 ก.ม. 50 ปีจะหายไป 2.3 ก.ม. และใน 100 ปีจะหายไป 6 -8 ก.ม. รศ.ดร.ธนวัฒน์ แจกแจง ก่อนทิ้งท้ายว่า ปัญหาที่พบนี้จึงเป็นตัวเร่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ศึกษาวิจัยและทำงานร่วมกัน ก่อนที่อีก 100 ปีข้างหน้า เขตบางพลี และบางบ่อจะถูกทะเลกัดเซาะเข้ามาในแผ่นดินลึก 6 -8 ก.ม. สนามบินสุวรรณภูมิที่ตั้งอยู่ห่างจากทะเลเพียง 15 ก.ม.ก็จะได้รับผลกระทบ และพื้นที่หน้าด่านทางทะเลของกรุงเทพฯ ก็จะหมดไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2007, 12:51:46 AM » |
|
เขื่อนสลายกำลังคลื่น ป้องกันแผ่นดินหาย -ได้แผ่นดินคืน
ชายฝั่งบ้านขุนสมุทรจีนที่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งทีมวิจัยได้ลงพื้นที่สร้างเขื่อนสลายกำลังคลื่น (ภาพจาก สกว.)
เขื่อนสลายกำลังคลื่น คำๆ นี้ฟังดูแปลกหูไม่ใช่เล่น แต่กำลังเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือคนไทย ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของนานาชาติอยู่ในเวลานี้ ที่สำคัญ คนที่ปลูกบ้านใกล้ชายฝั่งทะเลจะได้ไม่ต้องทนหงุดหงิดใจกับปัญหา แผ่นดินหาย อีกต่อไป เมื่อช่วงสายวันที่ 3 พ.ย. ในรายการ ทันโลกวิทยาศาสตร์ ทางคลื่นสถานีวิทยุจุฬาฯ เอฟเอ็ม 101.5 เมกะเฮิร์ซ ดำเนินรายการโดย ผศ.มานิต รุจิวโรดม อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการสัมภาษณ์พิเศษ รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิจัยหน่วยวิจัยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ และอาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้วิจัยเรื่อง เขื่อนสลายกำลังคลื่น รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของคลื่นเป็นปัญหาใหญ่มากของประเทศไทย มีมาช้านาน และเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นพิบัติภัยเงียบที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่น้อยคนจะทราบได้ โดยพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยทั้งหมด 2,667 กม.มีจุดที่ได้รับปัญหาอย่างหนักถึง 599 กม.หรือราว 21% ด้วยกัน ทั้งนี้ ชายฝั่งทะเล ทั่วโลกมีอยู่ 2 ลักษณะคือที่เป็น หาดทราย ซึ่งทรายจะมีคุณสมบัติสะท้อนแรงคลื่นและเกิดการหมุนเวียนของทรายบนชายหาดได้ดี ไม่เกิดการกัดเซาะผืนดินได้ง่าย ส่วนอีกแบบคือ หาดโคลน อย่างของประเทศไทย ซึ่งหาดโคลนจะเป็นต้นกำเนิดของป่าชายเลน มีความอ่อนตัวสูง เมื่อคลื่นซัด ตะกอนดินจะละลายไปกับน้ำจนขุ่นข้น ป้องกันการกัดเซาะได้ลำบาก อันเป็นโจทย์วิจัยที่กล่าวถึงนี้ รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย จุดที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ บริเวณอ่าวไทยตอนบน ในพื้นที่ 5 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ซึ่งตลอดแนวชายฝั่งทะเล 120 กม. มีถึง 82 กม.หรือ 68%ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา บางพื้นที่ถูกกัดเซาะกินส่วนที่เป็นแผ่นดินไปแล้ว 1 กม. และมีพื้นที่หายไปรวม 18,000 ไร่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จึงสนับสนุนทุนวิจัย 7,000,000 บาทให้เครือข่ายนักวิจัยจากกว่า 20 สถาบันร่วมทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งนอกจากจะทำงานวิจัยให้ข้อมูลแล้วยังมีการก่อสร้างจริงในภาคสนามด้วย
คลื่นทะเลกัดเซาะเข้ามาถึงอุโบสถวัด (ภาพจาก สกว.) พื้นที่นำร่องโครงการคือ บ้านขุนสมุทรจีน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลแล้วกว่า 1 ก.ม.จนบางครอบครัวต้องย้ายที่ปลูกบ้านถอยร่นหนีน้ำทะเลนับสิบครั้งในเวลา 20 ปี และกว่า 90% สูญเสียที่ดินของตัวเองไปแล้ว โดยทีมวิจัยได้สร้างเขื่อนสลายกำลังคลื่นในระดับทดลองความยาว 250 เมตร โดยทาง จ.สมุทรปราการ ได้สนับสนุนทุนค่าก่อสร้างเชิงโครงสร้างเบื้องต้น 5,000,000 บาท โดยตั้งชื่อเขื่อนว่า ขุนสมุทรจีน 49 A2 เราได้นำความรู้ด้านชายฝั่งมาออกแบบให้เกิดโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่าเขื่อนสลายกำลังคลื่น ซึ่งพบว่าคลื่นถ้าใหญ่เกินไปก็จะตีตะกอนโคลนให้ขุ่นและละลายไปกับน้ำ เราก็พยายามออกแบบโครงสร้างที่ลดจากคลื่นที่มีกำลังเยอะๆ ให้น้อยลงได้ และเราก็ได้ทำจนประสบความสำเร็จ มีการติดตั้ง และจดสิทธิบัตรแล้ว โดยโอนสิทธิ์ให้กับ สกว.และจุฬาฯ ต่อไปยังจะยื่นจดสิทธิบัตรในต่างประเทศด้วย เพราะเป็นงานที่ใหม่มาก หากขายได้ ก็จะนำเงินเข้าประเทศได้มากต่อไป นักวิจัยกล่าว สำหรับการก่อสร้างเขื่อนสลายกำลังคลื่น ณ บ้านขุนสมุทรจีน ทำโดยการก่อโครงสร้างคอนกรีตสามเหลี่ยมด้านเท่า ความยาวด้านละ 50 ซ.ม. ข้างในกลวง ผลิตจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ทำจากเถ้าละเอียดและซีเมนต์คอนกรีตอัดแรง ความยาว 10 8 และ 6 เมตรตามลำดับ นำไปปักในทะเลห่างจากชายฝั่ง 500 เมตรแบบสลับฟันปลา 3 แถว ระยะห่างระหว่างแถว แถวละ 1.5 เมตร โดยมีความยาวตลอดแนวชายฝั่ง 250 เมตร
แนวเขื่อนสลายกำลังคลื่น (ภาพจาก สกว.) โครงสร้างดังกล่าวจะต่างจากเขื่อนทั่วไปที่มีโครงสร้างแบบปิดทึบที่กั้นไม่ให้คลื่นลอดผ่านได้ คือ เขื่อนสลายกำลังคลื่นเมื่อคลื่นพัดเข้ามาจะถูกเฉือนออกเป็น 2 ข้าง และสะท้อนไปสะท้อนมาตามแนวเสาที่วางไว้ จึงถือเป็นการสลายกำลังคลื่นทะเลไปได้โดยปริยาย ขณะที่ตะกอนดินที่มากับคลื่นจะถูกกักเก็บไว้โดยโครงสร้างคอนกรีตรูปบูมเมอแรง ไม่ให้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดตะกอนออกสู่ทะเลอีกครั้ง จากนั้นเมื่อตะกอนดินมากพอก็นำต้นโกงกางมาปลูกเป็นแนวป่าชายเลนผืนใหม่ต่อไป ส่วนผลของการใช้งาน ขุนสมุทรจีน 49 A2 รศ.ดร.ธนวัฒน์ เผยว่า เบื้องต้นได้ผลค่อนข้างดีแม้จะได้ก่อสร้างเสร็จไปเพียงครึ่งเดียวของโครงการ แต่ก็เห็นผลแล้วว่าสามารถลดการกัดเซาะชายฝั่งในอัตรา 25 เมตร/ปีลงได้เกือบ 100% ป่าชายเลนที่เคยล้มด้วยแรงคลื่นซัดเป็นแถบๆ ก็หมดไป พร้อมกันนี้ยังเกิดตะกอนดินใหม่เพิ่ม 40 ซ.ม./ปี แถมยังได้รับความร่วมมือจากนักศึกษาและภาคเอกชนร่วมปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เชื่อว่าจะทำให้เกิดป่าชายเลนเพิ่มขึ้นออกไปจากชายฝั่งเดิม 500 เมตรอย่างแน่นอน
(ภาพจาก www.bkknews.net) นอกจากนั้น จากการสังเกตการณ์ของชาวบ้านเองยังพบด้วยว่าคลื่นใหญ่ๆ ที่เคยเข้ามาสูง 3 เมตร ตอนนี้เหลือเพียงเมตรเดียว และเมื่อคลื่นใหญ่ๆ หรือพายุเข้ามา ชาวประมงยังใช้เขื่อนนี้หลบพายุหรือคลื่นได้ด้วย รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าว โดยสิ่งก่อสร้างซึ่งกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าประสบความสำเร็จชิ้นนี้เริ่มเป็นที่สนใจจากสื่อมวลชนในประเทศและต่างประเทศแล้วเมื่อกลางปี 2550 เป็นต้นมา ส่วนความเป็นไปได้ที่จะนำเขื่อนสลายกำลังคลื่นมาใช้กับพื้นที่ชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยตอนบนจุดอื่นๆ นั้น รศ.ดร.ธนวัฒน์ คาดว่า เป็นไปได้แน่นอน โดยจะใช้งบประมาณราว 5,000 ล้านบาทจึงจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามถือว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมา โดยเฉพาะป่าชายเลนประมาณ 38,000 ไร่ตลอดแนวชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนที่จะนำความอุดมสมบูรณ์กลับคืนสู่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน และเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผืนใหญ่ของประเทศ ที่จะขายเป็นคาร์บอนเครดิตตามที่ระบุไว้ในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) ได้ถึง 270,000 ตันคาร์บอน/ปี หรือคิดเป็นมูลค่าเข้าสู่ประเทศกว่า 33,000,000 -48,000,000 บาท ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ทีมวิจัยยังได้พัฒนาเขื่อนสลายกำลังคลื่นต่อเนื่องไปสู่การเป็น เขื่อนเขียว ด้วย โดยเขื่อนเขียวจะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลในอนาคต ซึ่งหากไม่มีการป้องกันแล้ว พื้นที่กรุงเทพฯ ในอนาคตอาจหายไปครึ่งหนึ่ง สำหรับเขื่อนเขียวจะเป็นการสร้างเขื่อนแบบ 2 ชั้นที่มีป่าชายเลนและเขื่อนสลายกำลังคลื่นรุ่นแรกยื่นลงไปในทะเล และมีเขื่อนกั้นระดับน้ำทะเลไม่ให้ท่วมเมืองติดชายฝั่งเดิมอีกแห่งหนึ่ง คาดว่าจะมีการก่อสร้างนำร่องที่เขตนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการในเร็วๆ นี้ (ผู้สนใจสามารถชมรายละเอียดของงานวิจัยชิ้นนี้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ สกว. ตามลิงก์ www.trf.or.th/News/Content.asp?Art_ID=811)
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2007, 01:15:33 AM » |
|
เรือหางยาวคณะอ.จุฬาฯล่มกลางคลองตาเพิ่มดับ 3 ศพ
เรือหางยาวพาคณะ อ.จุฬาฯ พร้อมชาวต่างชาติ เกือบ 40 ชีวิต ดูงานเขื่อนสลายคลื่น ขากลับเรือครูดเสาไฟฟ้ากลางคลองตาเพิ่ม เกิดรูรั่วล่มกลางคลอง ดับ 3 ศพ วันนี้(4 พ.ย.)เมื่อเวลา 16.30 น.พ.ต.ต.จักรพงษ์ ขุนพรหม สารวัตรเวร สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ รับแจ้งเหตุเรือหางยาวชนตอเสาไฟกลางคลองตาเพิ่ม หมู่ 7 ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.ท.จิโรจน์ สุวรรณกูล รอง ผกก.ป.สภ.พระสมุทรเจดีย์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากท่าเรือคลองตาเพิ่ม -บ้านขุนสมุทรจีน ไปประมาณ 3 กิโลเมตร พบเรือหางยาวโดยสารขนาดใหญ่ 40 ที่นั่ง ชื่อเรือโชคเจริญวัฒนา จมอยู่กลางคลอง มีผู้สูญหายไปในน้ำจำนวน 3 คน ประกอบด้วย น.ส.นงนุช ไพบูลย์ อายุ 24 ปี นายวิมาน เวชกุล อายุ 36 ปี และ นายคายาโต้ ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวอินโดนีเซีย จากการสอบสวนทราบ ว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อเวลา 12.00 น.เรือลำดังกล่าวได้รับคณะของ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์หน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกจากท่าเรือดังกล่าวไปดูเขื่อนสลายคลื่น เอ 2 ที่ ดร. ธนวัฒน์ เป็นเจ้าของโครงการเชิงปฏิบัติการน้ำเซาะชายฝั่ง เพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยผู้ร่วมคณะมีทั้ง 37 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ มาจากประเทศ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเวียดนาม หลังจากการดูงานแล้วเสร็จเมื่อเวลา 16.00 น. ก็ได้นั่งโดยสารเรือลำเดิมเพื่อกลับมายังท่าเรือคลองตาเพิ่ม ปรากฏว่า ขณะนั้นเป็นช่วงน้ำลด ประกอบกับมีเสาไฟฟ้าอยู่กลางคลอง ทำให้เรือครูดกับตอเสาไฟ ส่งผลให้ท้องเรือรั่ว และน้ำทะลักเข้ามาภายในลำเรือ ทำให้เรือค่อยๆ จมลง จากนั้นผู้โดยสารทั้งหมดได้พยายามว่ายน้ำหนีขึ้นฝั่ง อย่างไรก็ตามเวลาต่อมาทางตำรวจได้ประสานไปยังนักประดาน้ำของมูลนิธิร่วมกตัญญู ให้เดินทางมาช่วยค้นหาผู้สูญหาย กระทั่งเวลา 19.00 น. พบศพนายวิมานและนายคายาโต้จมอยู่ใต้น้ำ จึงได้ช่วยกันนำศพขึ้นมา ก่อนที่จะระดมกำลังค้นหาร่าง น.ส.นงนุช พบเป็นคนสุดท้าย สองสายขอแสดงความเสียใจต่อญาติมิตรของผู้วายชนม์ และขอดวงวิญญาณของผู้สูญเสียชีวิตทั้งสามท่านจงไปสู่สุขคติภพค่ะ สายชลเชื่อว่างานที่พวกท่านได้ร่วมกันสร้างไว้ จะทำให้แผ่นดินที่หายไปกลับคืนมาแน่นอนค่ะ.....
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2007, 01:51:11 AM โดย สายชล »
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: มกราคม 16, 2008, 11:49:08 PM » |
|
กทม.ยัน เขื่อนบางขุนเทียนขึ้นแน่ปีนี้ / สรุปทำ"ที-กรอยน์"
กทม.ย้ำชัดปีนี้สร้างแน่นอน ทำเป็นเขื่อนรูปตัวทียื่นในทะเลลดแรงคลื่นและดักตะกอน ระบุที่ตัดสินใจช้าเพราะธรรมชาติละเอียดอ่อนต้องรอบคอบ รองผู้ว่าฯ บรรณโศภิษฐ์เผย ในหลวงทรงกำชับให้ศึกษาแนวทางดักตะกอนด้วยวิธีธรรมชาติอีกทาง
นางบรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย รองผู้ว่าฯกทม.เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดโครงการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียนชายทะเลว่า ภายหลังจากที่คณะศึกษาลงสำรวจพื้นที่พร้อมประชุมชาวบ้านในพื้นที่ครั้งล่าสุดช่วงเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาถึงแนวทางสร้างเขื่อนกันคลื่นที่เหมาะสมไปแล้วนั้น ล่าสุดคณะผู้บริหารได้อนุมัติให้เตรียมก่อสร้างเขื่อนแล้วภายในปีงบฯนี้ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการ ซึ่งกทม.ถือว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรแก้ไขเร่งด่วน แม้การดำเนินการอาจจะไม่แล้วเสร็จในช่วงคณะผู้บริหารสมัยนี้ก็ตาม
ทั้งนี้ รูปแบบของเขื่อนที่จะสร้างนั้นจะเป็นเขื่อนรูปตัวทีหรือ ที-กรอยน์ (T-Groin) ยื่นออกไปในทะเลตลอดแนวชายฝั่ง ซึ่งจะช่วยลดแรงคลื่นและดักตะกอนไปในตัวด้วย โดยคาดว่าจะสร้างให้แกนหลักหรือขาของตัวทีเป็นแบบถาวร ส่วนแขนของตัวทีด้านบนจะสร้างให้สามารถหันรับกับทิศทางของคลื่นที่เปลี่ยนไปได้ และจะสร้างด้วยงบฯของกทม.พร้อมกับชักชวนให้พื้นที่ชายฝั่งใกล้เคียงอีก 2 จังหวัดคือ สมุทรสาคร สมุทรปราการ ร่วมกันสร้างในโครงการเดียวกันนี้ด้วย
สำหรับปัญหาความล่าช้าในการตัดสินใจของคณะผู้บริหารนั้น รองผู้ว่าฯกทม.ระบุว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็นที่ต้องศึกษาวิธีแก้ปัญหาให้สมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความพยายามแก้ไขปัญหาทางธรรมชาติ ซึ่งถ้าหากแก้ผิดที่หรือผิดวิธีก็อาจทำให้เกิดปัญหากับที่อื่นหรือข้างเคียงได้
แม้ที่ผ่านมา เขตบางขุนเทียนและกทม.จะได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านเข้ามาตลอดก็ตาม แต่ด้วยสาเหตุหลายประการทำให้อาจต้องใช้เวลาบ้าง เช่น ที่ผ่านมายังมีการตัดถนนเข้าสู่พื้นที่ชายทะเลบางขุนเทียนซึ่งยังไม่เรียบร้อย ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างได้โดยสะดวก ก็ถือเป็นสาเหตุหลักอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน
รองผู้ว่าฯกล่าวอีกว่า แม้ถนนตัดใหม่นี้จะสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ยังกังวลว่าหากไม่มีการทดสอบการรับน้ำหนักของพื้นผิวถนนเสียก่อน การบรรทุกของหนักเพื่อนำไปสร้างเขื่อนอาจทำให้ถนนเสียหายเร็วยิ่งขึ้นเกิดเป็นปัญหาเพิ่ม จึงต้องทำอย่างระมัดระวังและรอบคอบที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อครั้งที่คณะผู้บริหารได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายรายงานการแก้ปัญหาภายในเขตกทม. ได้ตรัสถามถึงปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งตลอดจนการแก้ปัญหาว่าคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว โดยคณะผู้บริหารกทม.ได้กราบทูลว่ากำลังจะให้ธนาคารโลก เข้ามาตรวจสอบความเสียหายและให้คำปรึกษา ซึ่งทรงแนะนำว่าไม่จำเป็นเพราะเราสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ เช่น การสำรวจรอบๆ บริเวณอ่าวไทยโดยรอบว่ามีลักษณะการไหลเวียนของกระแสน้ำและตะกอนอย่างไร
นอกจากนี้ ยังทรงแนะนำให้ศึกษากระบวนการการเกิดสันดอนปากแม่น้ำด้วยว่า ตามธรรมชาติสันดอนจะเกิดได้ด้วยเหตุผลใดบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาได้ขุดสันดอนเพื่อกิจการเดินเรือมานาน รวมไปถึงวิธีบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำ และการผันน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม แต่กลับทำให้ตะกอนในร่องน้ำไม่สามารถไหลมารวมกันเกิดเป็นสันดอนได้ ส่งผลให้สภาพชายฝั่งเปลี่ยนแปลงไปดังที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้
จาก : สยามรัฐ วันที่ 17 มกราคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2008, 12:40:30 AM » |
|
แก้นํ้ากัดเซาะชายทะเลใช้ 300 ล.ทำรอดักทราย
นายพิชัย ไชยพจน์พานิช รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งถึงความคืบหน้าโครงการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนว่า หลังจากที่ กทม.ได้มีการประชุมร่วมกับนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน เพื่อหาข้อสรุปการแก้ปัญหานั้น ล่าสุดทาง บ.ปัญญา คอนซัลแตนท์ ได้สรุปผลการศึกษาออกมาแล้ว โดยยังคงเสนอให้ก่อสร้างรอดักทราย (Groin) รูปตัวทีตั้งขนานตลอดแนวชายฝั่ง โดยระบุว่าคลื่นบริเวณบางขุนเทียนเป็นคลื่นซัดเข้าหาฝั่งในแนวขนานหรือเฉียงเข้าหาชายฝั่ง ซึ่งนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว ดังนั้นสำนักผังเมืองจะสรุปผลการศึกษาทั้งหมด เสนอคณะผู้บริหารในสัปดาห์หน้า เพื่อขอความเห็นชอบและอนุมัติงบประมาณ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้ประมาณ 300 ล้านบาท ทั้งนี้จะเริ่มติดตั้งแต่บริเวณคลองขุนราชวินิจฉัยไปจนถึงคลองบางเสาธงโดยรอดักทรายแต่ละตัวจะอยู่ห่างกัน 500 เมตร ซึ่งวิธีการดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดกำลังของคลื่นที่จะซัดเข้ามา รวมทั้งป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่งที่เหลือน้อยแล้ว ที่สำคัญยังช่วยกักดินตะกอนที่พัดเข้ามา ซึ่งจะทำให้ กทม.สามารถปลูกป่าโกงกางเพิ่มเติมบนดินตะกอนดังกล่าวด้วย
ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ตนเตรียมจะเสนอรัฐบาลชุดใหม่เพื่อขอตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง 3 จังหวัด คือ กทม. สมุทรปราการและสมุทรสาคร เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น.
จาก : เดลินิวส์ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2008, 01:06:23 AM โดย สายน้ำ »
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2008, 01:07:30 AM » |
|
ใช้ T-Groin แก้ชายฝั่งบางขุนเทียนถูกกัดเซาะ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน ซึ่งทาง กทม.ได้หารือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะบริษัทที่ปรึกษาได้เสนอ 5 ทางเลือกในการแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน และจากผลการศึกษาแบบจำลองประกอบกับผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญจึงได้เสนอให้ใช้ทางเลือกที่ 2 คือ การสร้างรอดักตะกอน หรือกรอยน์รูปตัวที (T-Groin) ความยาวประมาณ 200 เมตร หัวทียาว 200 เมตร
โดยสร้างตั้งฉากกับแนวชายฝั่ง ห่างกันทุกๆ 500 เมตร ตลอดแนวชายฝั่งรวม 10 ตัว เพื่อให้เกิดการงอกของดินเพิ่มขึ้นในระยะยาวจะได้ที่ดิน 200 เมตร เพื่อปลูกป่าเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งเป็นแบบที่ทำให้เกิดเสถียรภาพของชายฝั่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนแต่ในระยะการก่อสร้างอาจจะกระทบต่อการประกอบอาชีพประมง งบประมาณ 316 ล้านบาท ดังนั้น กทม.จะเสนอของบประมาณกลางปีจำนวน 316 ล้านบาท โดยปีแรกจะต้องใช้งบประมาณ 158 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างภายใน 4 เดือนนี้ ทั้งนี้การก่อสร้างจะเริ่มจากแนวขนานชายฝั่งก่อนให้มีระยะห่างจากแนวชายฝั่ง 1-2 เมตร
ทั้งนี้ หลังจากการก่อสร้าง 3 ปี จะมีการตกตะกอนก็จะมีการปลูกป่าชายเลนจำนวน 550 ไร่ ภายใน 6 ปี ขณะนี้สำนักระบายน้ำได้สำรวจพื้นที่แล้วสามารถเริ่มปลูกป่าชายเลนในระยะแรกได้เลย ส่วนระยะที่ 2-3 จะปลูกหลังจากที่มีการตกตะกอนของน้ำแล้ว ส่วนการทำงานร่วมกับพื้นที่ใกล้เคียง คือ จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร จะมีการประสานงานผ่านกระทรวงมหาดไทยต่อไป อย่างไรก็ตามการตัดสินในเรื่องที่จะดำเนินการเรื่องนี้ในช่วงนี้ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น แต่เรื่องไหนที่มีความพร้อมก็จะดำเนินการทันทีไม่ควรจะรอ
จาก : บ้านเมือง วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2008, 01:43:43 AM » |
|
ไส้กรอกทรายไม่คืบ-หวั่นแผ่นดินหาย นักวิชาการแนะเปิดเวทีสร้างความเข้าใจ
จากกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะก่อสร้างแนวกันคลื่น หรือทีกรอย์ แบบไส้กรอกทราย บริเวณชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน กทม. มูลค่า 316 ล้านบาท ป้องกันผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่ง โดยอ้างว่าเป็นแบบที่เหมาะสมแต่ชาวบางขุนเทียนออกมาคัดค้าน และเรียกร้องให้สร้างแบบเสาปูนแทนไส้กรอกทราย เพราะแข็งแรงทนทาน ดักตะกอนดินได้ และไม่ทำลายระบบนิเวศชายฝั่ง
วันที่ 5 พฤษภาคม นายสาทร ม่วงศิริ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางขุนเทียน กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านกลุ่มรักษ์ทะเลบางขุนเทียน กำลังเคลื่อนไหวโดยการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ชาวบ้านในเขตบางขุนเทียน กว่า 100 หลังคาเรือน เกี่ยวกับผลดีผลเสียของการสร้างแนวกันคลื่นแบบไส้กรอกทราย ข้อเรียกร้องของชาวบ้านยังคงยืนยันให้ กทม.ทบทวนการสร้างแนวกันคลื่นแบบไส้กรอกทรายเปลี่ยนเป็นการสร้างแบบเสาปูน ซึ่งจะมั่นคงแข็งแรงกว่า และสามารถดักตะกอนดินได้ดี หากเปรียบเทียบกับการปักแนวไม้ไผ่ที่ชาวบ้านปักไว้เป็นปีๆ ก็ทำให้เห็นว่าตะกอนดินหลังแนวไม้ไผ่ก็เพิ่มขึ้นมาก เรื่องนี้รอเวลาไม่ได้ เพราะแผ่นดินชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนถูกคลื่นลมมรสุมพัดพังทลายไปทุกวัน แต่ฝั่งของผู้บริหาร กทม.ก็เงียบมาก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นายสุรพล กฤษณามระ นักวิชาการอิสระ ในฐานะกรรมการกำกับการศึกษาผลกระทบโครงการก่อสร้างแนวกันคลื่น หรือที-กรอยน์ ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนในสมัยนั้น กล่าวว่า เมื่อมีเสียงติติงจากชาวบ้าน กทม.ก็น่าจะมีการทบทวนใหม่ ซึ่งทางเลือกที่ดีควรเปิดเวทีขึ้นมาพูดคุยสร้างความเข้าใจกันอย่างเปิดเผย เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ควรจะเปิดเวทีใหม่ขึ้นมาพูดคุยกัน ขณะนี้ในฝั่งของชาวบ้านก็ใช้ภูมิปัญญาปักแนวไม้ไผ่เพื่อสลายกำลังคลื่น ซึ่งก็ได้ผลแต่ไม่ยั่งยืน ขณะเดียวกันหาก กทม. เห็นว่าการสร้างไส้กรอกทรายดี ก็น่าทดลองทำจำนวนไม่มากอาจจะลงทุนแค่ 10 ล้านบาท เพื่อศึกษาว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด ดีกว่าลงทุนทำทั้งหมด 316 ล้านบาท หากไม่ได้ผลก็เกิดความเสียหายและชาวบ้านก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
จาก : มติชน วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2008, 12:57:55 AM » |
|
ไทยวิกฤติหาดทรายหาย สร้างหินกันคลื่นรุกจับตาพัทยา
เมืองท่องเที่ยววิกฤติ พื้นที่ชายหาดลดลง นาจอมเทียนหายหมด ส่วนพัทยาเหนือ-กลางเสี่ยงสูง สาเหตุจากสร้างแนวกันคลื่น เขื่อนทิ้งหิน จับตาพัทยา 30 ปีไม่มีชายหาด เตรียมดันแผนแม่บทป้องพื้นที่ชายหาด 23 จังหวัดชายทะเล ชาวบ้านโวยขอให้ภาครัฐยุติปลูกสร้างรุกล้ำธรรมชาติ
ปัญหาน้ำทะเลกินพื้นที่ชายหาดกำลังคุกคามเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาอย่างหนัก โดยเฉพาะหาดนาจอมเทียนปัจจุบันแทบจะไม่มีชายหาดให้เห็นแล้ว และหากยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปมีผลการวิจัยชี้ว่า อีก 30 ปีข้างหน้าพัทยาอาจจะเหลือแต่ชื่อเท่านั้น
นายวิโรจน์ ศรีพินิจ เจ้าของร้านทำป้ายโฆษณา วัย 59 ปี กล่าวว่า พื้นที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติและถนนสาธารณะวชิรปราการ แต่เดิมเป็นป่าชายเลน สมัยเป็นเด็กมาวิ่งเล่นเก็บหอยแครงกับเพื่อนๆ กระทั่งประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ชาวบ้านและนักธุรกิจใน อ.เมือง จ.ชลบุรี อยากมีที่นั่งติดทะเลเหมือนบางแสนหรือพัทยา เลยทำโครงการเอาหินลูกรังมาถมทะเล แล้วทำเขื่อนกันลม-กันคลื่น เพื่อเป็นพื้นที่ตากอากาศให้ชาวบ้านมาเดินเล่น นั่งเล่น รวมถึงสร้างสนามฟุตบอลและสะพานเลียบชายฝั่ง ตอนนั้นยังไม่มีหลักวิชาการเรื่องสิ่งแวดล้อมว่าป่าชายเลนเป็นเสมือนปราการป้องกันภัยตามธรรมชาติ ส่วนตัวแล้วอยากให้มีการนำทรายขาวสะอาดมาถมใส่เพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนมาใช้พักผ่อน
ด้านนายอิ๋น เจ้าของรถขายสินค้าที่ระลึกบนถนนชายหาดบางแสน วัย 53 ปี เล่าว่า เกิดที่บางแสนตั้งแต่ชายหาดยังเป็นทรายสีขาวสวย น้ำทะเลใส มีเรือประมงออกหาปลากระเบน ปลาสาก ปลากะพง ฯลฯ และที่ดินยังไม่แพงขนาดนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากหาดทรายดำๆ กองขยะแล้วก็ถนนที่ก่อสร้างจนทำให้พื้นที่หาดทรายลดลง หากเป็นไปได้อยากให้หน่วยงานท้องถิ่นไม่ต้องปรับปรุง หรือสร้างสิ่งก่อสร้างไปมากกว่านี้ อยากให้ปล่อยเป็นธรรมชาติ รักษาแค่ความสะอาดก็พอ เพราะเชื่อว่าที่หาดทรายดำก็เพราะขยะจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันนั่นเอง
ไม่ต่างอะไรกับ "ลุงเช้า" เจ้าของเก้าอี้ผ้าใบสีสดประจำหาดนาจอมเทียนระบายปัญหาให้ฟังว่า ตอนนี้นักท่องเที่ยวเหลือน้อยลงเพราะ 2 สาเหตุคือ หาดทรายบางส่วนถูกปรับเป็นพื้นที่คอนกรีตยกระดับให้นั่งเล่น และพื้นที่ต้นมะพร้าวที่เป็นลานจอดรถธรรมชาติถูกปรับเป็นฟุตบาทหรือถนนเลียบชายหาดแทน ในอดีตนักท่องเที่ยวคนไทยจะขับรถมาจาก กทม.จอดรถใต้ต้นมะพร้าวแล้วก็มานั่งเก้าอี้ผ้าใบเป็นโต๊ะๆ เพื่อสั่งอาหารและเครื่องดื่มกิน แต่เมื่อพื้นที่หาดทรายถูกปรับเป็นทางเดินฟุตบาทก็ไม่เหลือพื้นที่จอดรถ นักท่องเที่ยวก็หายไปเกือบหมดไม่คึกคักเหมือนเดิม ส่วนฟุตบาทที่ทำก็ต้องปรับปรุงเรื่อยๆ เพราะน้ำทะเลและทรายกัดเซาะทำให้ทรุดตลอดเวลา
"มนุษย์โกงธรรมชาติ หาดทรายถูกรุกราน พื้นที่นั่งเล่นบนชายหาดน้อยลง ตอนนี้ยังไม่มีพายุลูกยักษ์เข้ามา แต่เดาไว้เลยว่าถนนหรือสวนสาธารณะที่สร้างยื่นออกไปในหาดทรายนั้น ถ้าถูกพายุลูกใหญ่เหมือนพายุเกย์เมื่อปี 2543 หรือพายุลินดาตอนปี 2540 รับรองได้ว่าสิ่งก่อสร้างพวกนี้จะพังทลายลงทันที แต่ก่อนสร้างแค่ถนนยางมะตอยอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล ตอนน้ำขึ้นสูงสุดก็ไม่โดนถนน แต่ตอนนี้สิ่งก่อสร้างยื่นออกมาเรื่อยๆ และทำแบบไม่แข็งแรงกลัวว่าสักวันจะต้องเจอลมและมรสุมพัดเสียหาย อยากให้ปล่อยทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องสร้างอะไรเพิ่มแล้ว ถ้าไม่มีสิ่งก่อสร้างก็ไม่มีการถูกทำลาย น้ำทะเลหรือลมพัดทรายมา ธรรมชาติก็พัดกลับไป ไม่มีอะไรสึกกร่อน" ลุงเช้ากล่าว
ขณะที่นายพิเชษฐ์ อุทัยวัฒนานนท์ หัวหน้าสำนักการช่างเมืองพัทยา กล่าวว่า 30 ปีที่ผ่านมาน้ำทะเลและทรายกัดเซาะเข้าไปเกือบถึงพื้นที่ถนนริมชายหาด โดยเฉพาะปลายชายหาดแถวนาจอมเทียนกัดเซาะรุนแรงมาก จนฐานถนนเริ่มสึกกร่อนและทรุดลง โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงธันวาคม เวลาที่น้ำขึ้นสูงสุด แทบไม่เหลือพื้นที่ชายหาดให้เดิน เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วมีโครงการปรับภูมิทัศน์ชายหาดพัทยาและนาจอมเทียน โดยเทปูนสร้างสวนสาธารณะเป็นที่นั่งเล่นให้ประชาชน แต่พื่นที่ช่วงที่เป็นหาดทรายก็ยังคงลดลงเรื่อยๆ ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าไม่ใช่เฉพาะชายฝั่งชลบุรีเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่กัดเซาะชายฝั่งทั่วประเทศ ทั้งระยองและสมุทรปราการ จึงอยากเสนอให้รัฐบาลคิดหาวิธีแก้ไข โดยตั้งทีมงานศึกษาสภาพชายหาดที่มีการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว การลดลงของพื้นที่หาดทราย เพื่อหาวิธีป้องกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน
"อยู่ที่นี่มานาน 30 ปี เป็นรุ่นบุกเบิกหาดจอมเทียน และเห็นชัดเจนเลยว่าพื้นที่หาดทรายของชายหาดพัทยาและจอมเทียนหายไป ช่วงปากหาดจอมเทียนจะเห็นชัดว่าไม่มีพื้นที่ทรายเหลืออยู่แล้ว จึงต้องสร้างเขื่อนไม่ให้กัดเซาะไปถึงถนน สภาพหาดก็เปลี่ยนไป มีหาดเว้าเพิ่มมากขึ้น อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ แต่พื้นที่หาดทรายช่วงพัทยายังไม่พบการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เพราะเคยมีบริษัทเอกชนต้องการทำโครงการถมทะเลออกไป 50 เมตร แต่กรมโยธาธิการสำรวจและวัดพื้นที่ถูกกัดเซาะทุกเดือนเป็นเวลา 3 ปี ก็พบว่าหาดพัทยายังไม่มีการกัดเซาะในระดับรุนแรง โครงการดังกล่าวจึงล้มเลิกไป" นายพิเชษฐ์กล่าว
เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว กรมโยธาธิการได้ว่าจ้างบริษัท ทีม เอนจิเนียริ่ง แอนด์ เมเนจเมนต์ จำกัด เข้ามาศึกษาสภาพชายหาดของเมืองพัทยา เป็นเวลา 3 ปี (2543-2546) โดยมีรายงานผลการศึกษาว่า ในระยะเวลาอันใกล้นี้หาดพัทยาไม่มีผลกระทบมาก เนื่องจากการไหลเวียนและเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่หาดทรายบางส่วน เป็นการหมุนเวียนและถ่ายโอนทรายตามฤดูกาล โดยในช่วง 3 ปีสำรวจนั้น พื้นที่หาดทรายบริเวณวงศ์อำมาตย์มีหาดทรายงอกจากเดิม 1.45 เมตร ในขณะที่ชายหาดพัทยาเหนือลดลง 76 เซนติเมตร และพัทยากลางลดลง 45 เซนติเมตร และหาดบริเวณแหลมบาลีฮายมีทรายเพิ่มขึ้น 3.5 เมตร ทรายเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่จะมีการถ่ายโอนกัน
ข้อมูลข้างต้นยังระบุถึงจุดที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ พัทยาเหนือและพัทยากลาง ซึ่งมีอัตราการลดลงจากหาดทรายสูงถึงปีละกว่า 20 เซนติเมตร และในระยะยาว 30 ปีข้างหน้า หากไม่มีการปรับปรุง หรือถมทะเลในพื้นที่ชายหาดพัทยา จะทำให้ช่วงหาดพัทยาเหนือจะถูกกัดเซาะหายไปประมาณ 15 เมตร พัทยาใต้ประมาณ 12 เมตร ในขณะที่พัทยากลางจะมีทรายงอก 12 เมตร และแหลมบาลีฮายเพิ่มขึ้นถึง 82 เมตร ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาที่ขายหาดทราย
นอกจากนี้ รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมภาคตะวันออก พ.ศ.2549 โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมที่ 13 (ชลบุรี) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการประเมินว่า จ.ชลบุรี มีพื้นที่สูญเสียจากการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงแล้ว 122 ไร่ และมีมูลค่าที่ดินที่สูญเสีย 610 ล้านบาท สำหรับสาเหตุของการกัดเซาะชายฝั่งนั้นมี 2 สาเหตุด้วยกันคือ ตามธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์
สาเหตุตามธรรมชาติคือ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล การพังทลายของหน้าผาลดลง ทำให้ปริมาณตะกอนทดแทนมีน้อย ตะกอนจากทะเลที่พัดพาเข้าสู่ฝั่งลดลง คลื่นลมรุนแรงผิดปกติ กระแสน้ำมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ทิศทางของคลื่นเปลี่ยนแปลงและปริมาณฝนตกที่มากกว่าปกติ
ส่วนการกระทำของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการพังทลายของชายฝั่งคือ การสร้างเขื่อนหรือฝายกั้นแม่น้ำ การสร้างกำแพงกันคลื่น เขื่อนหินทิ้ง แนวหินทิ้ง การสร้างกำแพงปากแม่น้ำ และการถมสร้างชายหาดเทียม
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหานั้น ต้องมีการประเมินสถานภาพชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ 23 จังหวัด และจัดทำแผนแม่บทป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและลำน้ำแห่งชาติ พร้อมวางกฎเกณฑ์ในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ผศ.ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ชลบุรีเคยมีชายหาดที่สวยงาม แต่เหตุที่หาดทรายหายไปเพราะมีโครงการสิ่งปลูกสร้างทำลายชายฝั่ง และหน่วยงานรัฐหรือองค์กรท้องถิ่นไม่คิดป้องกันหาดทรายและไม่ได้คำนึงถึงการรักษาสมดุลของชายฝั่งอย่างแท้จริง ซึ่งก็เหมือนกับชายหาดในจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ดังนั้นการแก้ไขที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ วิจัยและศึกษาชายหาดทุกแห่งอย่างละเอียด
ผศ.ดร.สมบูรณ์กล่าวต่อว่า เมื่อสำรวจวิจัยชายฝั่งแล้ว ต้องแบ่งโซนความเสียหายให้ชัดเจน เช่น โซนหาดทรายวิบัติ โซนหาดทรายวิกฤติ โซนหาดทรายสมบูรณ์ จากนั้นก็หาวิธีแก้ปัญหาให้เหมาะสม เช่น หาดทรายที่วิบัติไม่อาจฟื้นฟูให้ทรายกลับมาสวยงามเหมือนเดิมได้ อาจจำเป็นต้องทำกำแพงหิน เพื่อป้องกันการกัดเซาะเพิ่ม ส่วนหาดทรายที่อยู่ในขั้นวิกฤติก็ต้องรื้อถอนโครงสร้างหรือเติมทรายเข้าไป ส่วนชายหาดที่ยังสมบูรณ์อยู่ก็ต้องออกกฎควบคุมไม่ให้มีการก่อสร้างทำลายสิ่งแวดล้อม
"ถ้าทำโครงการสร้างเขื่อนกันคลื่นวันนี้เสร็จ พรุ่งนี้ทรายหายทันที ยังไม่มีใครที่เห็นความสำคัญของชายหาด ไม่เรียนรู้การรักษาสิ่งแวดล้อม มีแต่อยากทำโครงการก่อสร้าง เพื่อเอาผลประโยชน์จากงบประมาณ และบางพื้นที่ซึ่งอ้างว่าทรายหายไปเพราะภาวะวิกฤติตามธรรมชาติ หรืออ้างภาวะโลกร้อนก็ไม่เป็นความจริง แต่เกิดจากการใช้ประโยชน์ของชายฝั่งอย่างไม่ถูกต้องมากกว่า โดยเฉพาะทรายถูกนำไปใช้ประโยชน์กับทุกอย่าง เช่น ทำกระจก ก่อสร้าง ฯลฯ ในอนาคตอีกไม่กี่ปีถ้ายังไม่มีการอนุรักษ์อย่างถูกวิธี หากคนไทยอยากไปเที่ยวชายหาดจะต้องเดินทางไปตามเกาะที่อยู่ไกลๆ เท่านั้น" ผศ.ดร.สมบูรณ์กล่าว
จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2008, 01:40:22 AM » |
|
เพชรบุรีแท็กทีม 4 จว. ฟื้นชายฝั่ง สกัดปัญหากัดเซาะตั้งแต่สมุทรสาครยันประจวบฯ
นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เปิดเผยว่า การกัดเซาะชายฝั่งถือเป็นปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะฝั่งอ่าวไทย บริเวณแนวชายฝั่งทะเลตั้งแต่ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาจมีผลทำให้เกิดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางด้านการท่องเที่ยว และการทำประมงชายฝั่งในบริเวณดังกล่าว
ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2552 ทั้ง 4 จังหวัดจึงได้ร่วมกันจัดทำโครงการร่วมระหว่างกลุ่มจังหวัดเพื่อป้องกันการกัดเซาะตามแนวชายฝั่งทะเล โดยได้เสนอของบประมาณดำเนินการต่อรัฐบาลไปแล้วรวมทั้งสิ้น 480 ล้านบาท โดยแต่ละจังหวัดจะเลือกพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรงเพื่อดำเนินการนำร่องในพื้นที่ของตนเอง
ทั้งนี้ จ.เพชรบุรี ได้เลือกดำเนินการในพื้นที่หาดเจ้าสำราญ เนื่องจากปัจจุบันกำลังประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจนสภาพพื้นที่ชายหาดสั้นลงจากเดิมมาก จนส่งผลให้การท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวซบเซามาเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี ในขณะเดียวกันสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั้งบ้านพักริมทะเล และถนนริมทะเลบางจุดก็ได้รับความเสียหายจากการกัดเซาะชายฝั่ง ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งเป็นพระราชวังของรัชกาลที่ 6 เดิมตั้งอยู่ที่หาดเจ้าสำราญ แต่ในปี พ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่ที่หาดชะอำ นอกจากนั้นปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล ส่งผลทำให้สัตว์ทะเลบางชนิดไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ และมีจำนวนลดลง กระทบต่อการทำประมงพื้นบ้านของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเลอีกด้วย
"หากมองในภาพรวมของกลุ่มจังหวัดในแถบนี้ การรักษาแนวชายฝั่งทะเล ก็เปรียบเสมือนการรักษาพื้นที่ชายหาดของแต่ละจังหวัดไว้ ซึ่งหากเราสามารถรักษาแนวชายหาดเหล่านี้ไว้ได้ จะทำให้เกิดผลประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล" ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีกล่าว
จาก : แนวหน้า วันที่ 2 มิถุนายน 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2008, 12:57:57 AM » |
|
เพชรบุรีจับมือ3จว.อ่าวไทย ผุดแผนป้องกันกัดเซาะชายฝั่ง ชง 480 ล. เสนอ รบ.ทำโครงการ
เพชรบุรี:ภายหลังพื้นที่ของหลายจังหวัดที่ติดทะเลกำลังประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของน้ำทะเล ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะฝั่งอ่าวไทย บริเวณแนวชายฝั่งทะเลจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์นั้น
นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เปิดเผยว่า ปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง หากไม่เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาจมีผลทำให้เกิดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางด้านการท่องเที่ยว และการทำประมงชายฝั่งในบริเวณดังกล่าว ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2552 ทั้ง 4 จังหวัดจึงได้ร่วมกันจัดทำโครงการร่วมมือระหว่างกลุ่มจังหวัดเพื่อป้องกันการกัดเซาะตามแนวชายฝั่งทะเล โดยได้เสนอของบประมาณดำเนินการต่อรัฐบาลไปแล้วรวมทั้งสิ้น 480 ล้านบาท โดยแต่ละจังหวัดจะเลือกพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรงเพื่อดำเนินการนำร่องในพื้นที่ของตนเอง
ทั้งนี้จังหวัดเพชรบุรี ได้เลือกดำเนินการในพื้นที่หาดเจ้าสำราญ เนื่องจากปัจจุบันกำลังประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจนสภาพพื้นที่ชายหาดสั้นลงจากเดิมมาก จนส่งผลให้การท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวซบเซามาเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี ในขณะเดียวกันสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั้งบ้านพักริมทะเล และถนนริมทะเลบางจุดก็ได้รับความเสียหายจากการกัดเซาะชายฝั่ง ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน นอกจากนั้นปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล ส่งผลทำให้สัตว์ทะเลบางชนิดไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ และมีจำนวนลดลง กระทบต่อการทำประมงพื้นบ้านของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเลอีกด้วย
นายสยุมพร เปิดเผยอีกว่า การแก้ปัญหาในพื้นที่หาดเจ้าสำราญตลอดแนวชายหาดซึ่งมีระยะทาง 7.5 กิโลเมตร นั้น เดิมกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนเป็นระยะทางทั้งสิ้น 4 กิโลเมตร โดยในปีงบประมาณ 2552 นี้ จังหวัดจะดำเนินการต่อตามแนวชายหาดที่เหลืออีก 3.5 กิโลเมตร โดยใช้รูปแบบเดิมในวงเงินงบประมาณ 100 กว่าล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการวางแท่งหินได้ภายในเดือนตุลาคมนี้
จาก : แนวหน้า วันที่ 12 มิถุนายน 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2008, 12:10:44 AM » |
|
วิศวกรฯขน.รับเขื่อนกันคลื่นตัวการทำชายหาดวิบัติ ดร.มานะ ภัตรพาณิช วิศวกรจากบริษัท ซีสเปคตรัม จำกัด ซึ่งเป็นวิศวกรที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นให้แก่กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ วิศวกรที่ปรึกษาของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ยอมรับ โครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นและทรายปากแม่น้ำ เป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายหาดในหลายพื้นที่ ระบุแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่สามารถให้คำตอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องสร้างเพราะความสะดวกในการเข้า ออก ของเรือประมง เผยหากใช้เรือขุดทรายปากร่องน้ำจะใช้งบประมาณสูง ขณะที่ชาวบ้านหวั่นบ้านเรือนพังยืนยันไม่ให้รื้อ ความคืบหน้าการแก้ปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทย ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่โรงแรมรัชมังคลาพาวีเลียน อ.เมืองสงขลา กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นชาวบ้านในพื้นที่ อ.จะนะ และ อ.เมืองสงขลา กรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีคำสั่งให้รื้อเขื่อนกันคลื่นและทราย ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตะกอนทรายทับถมริมปากแม่น้ำ รวมทั้งเขื่อนกันคลื่นป้องกันการกัดเซาะชายหาด ที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวเนื่องจากเขื่อนริมปากแม่น้ำ แต่โครงสร้างทั้ง 2 แบบ กลับส่งผลกระทบทำให้ชายหาดในหลายพื้นที่ถูกคลื่นกัดเซาะเสียหายอย่างรุนแรง ดร.มานะ ภัตรพาณิช วิศวกรจากบริษัท ซีสเปคตรัม จำกัด ซึ่งเป็นวิศวกรที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นให้แก่กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กล่าวว่า กรมการขนส่งทางน้ำฯ เริ่มมีการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นและทรายริมปากแม่น้ำต่างๆ ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2525 โดยเริ่มจุดแรกที่ปากแม่น้ำระยอง โดยเหตุผลที่ต้องมีการสร้างเขื่อนกันคลื่นและทรายริมปากแม่น้ำ เนื่องจากในแต่ละปีคลื่นจะพัดพาตะกอนทรายมาทับถมริมปากแม่น้ำ ทำให้ชาวประมงนำเรือเข้า ออก ได้อย่างลำบาก การจะขุดตะกอนออกจากปากร่องน้ำต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ชาวบ้านรอไม่ไหว การขุดต้องใช้งบประมาณครั้งละล้านกว่าบาทแต่กลับแก้ปัญหาได้ชั่วคราวไม่ยั่งยืน จึงหาแนวทางป้องกันอย่างถาวรด้วยการสร้างเขื่อนกันคลื่นและทรายขึ้นมา ซึ่งเป็นวิธีการที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น ที่ประเทศออสเตรเลีย มีการก่อสร้างเขื่อนลักษณะเดียวกันเป็นจำนวนมาก การสร้างเขื่อนมีผลกระทบตามมา คือ จุดที่ต้องยอมรับเป็นเรื่องธรรมดาเราไปสร้างเขื่อนดักไว้ มันก็มีปัญหากัดเซาะตามมาเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็พยายามป้องกันซึ่งก็มีหลายวิธีที่ใช้ คือใช้โครงสร้างป้องกันแบบที่ทำในพื้นที่ ต.นาทับ (อ.จะนะ จ.สงขลา) แต่ในการศึกษาด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไม่สามารถให้ความถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพียงแต่แสดงให้เห็นภาพรวม สำหรับเขื่อนที่นาทับ กรมการขนส่งทางน้ำฯ ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษามาศึกษาเมื่อปี 2533 ถึง 2535 จากนั้นปี 2538 จ้างบริษัทซีเทค มาก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2540 เราทราบดีว่าจะมีปัญหากัดเซาะเกิดขึ้น เราใช้ข้อมูลที่มีในขณะนั้น แบบจำลองไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่จะบอกทุกอย่างได้ ดร.มานะ กล่าวและว่า สาเหตุที่เกิดปัญหาคลื่นกัดเซาะชายหาดเนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมาพื้นที่อ่าวไทยมีพายุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้คลื่นแรงซัดชายฝั่งเสียหาย อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ก่อนหน้านี้ ดร.มานะ ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดพายุในอ่าวไทย พบว่าปี 2517 2538 เกิดพายุในอ่าวไทย 2-3 ครั้งต่อปี และข้อมูลในปี 2539 2549 พบว่ามีพายุเกิดขึ้นปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เราต้องอย่าโทษเขื่อนอย่างเดียว เขื่อนก็มีผลด้วยแต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก และเราก็พยายามแก้ปัญหากันอยู่ โดยเฉลี่ยเขื่อนกันทรายและคลื่นจะมีมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งจุดนี้รัฐบาลลงทุนไปเพื่อความอยู่ดีกินดีของชุมชน เมื่อมีคนร้องเรียนว่าเขื่อนกันคลื่นและทรายที่ปากน้ำนาทับ ทำให้ชายหาดเสียหายคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็มาตรวจสอบ เรียกกรมการขนส่งทางน้ำฯ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งผู้ร้องไปให้ข้อมูลสุดท้ายก็ฟันธงว่า ให้รื้อแล้วซื้อเรือขุดทรายปากร่องน้ำแจกให้แก่ชุมชนไม่ใช่ให้รื้อเฉพาะที่นาทับแต่ให้รื้อที่อื่นออกหมดด้วย เขื่อนกันทรายและคลื่นบริเวณปากคลองนาทับ ที่สร้างยื่นออกไปในทะเล ต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากัดเซาะชายฝั่งตามมา เมื่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เสนอให้รื้อออก แต่พบว่า ชาวบ้านยืนยันไม่ให้รื้อ ดร.มานะ กล่าวอีกว่า หากต้องรื้อเขื่อนกันคลื่นและทรายออกทั้งหมด แล้วกลับมาใช้วิธีการขุดทรายริมปากแม่น้ำเพื่อให้เรือประมงเข้า ออก ได้สะดวก จะต้องใช้งบประมาณประกอบด้วย ค่าเรือขุดขนาดท่อ 12 นิ้ว ราคา 80 ล้านบาท ท่อขนาด 14 นิ้วราคา 150 ล้านบาท ค่าขุดลอกตกปีละ 3 ล้านบาท รวมทั้งต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอีก 13 คน ลองคิดดูเรามีร่องน้ำทั่วประเทศหลายแห่งรัฐบาล จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อมาซื้อเรือขุดแจก หากรื้อเขื่อนชาวบ้านก็จะเดือดร้อน ตะกอนทรายจะกลับมาทับถมปากร่องน้ำชาวบ้านก็จะเดือดร้อนอีก นายนิวัติ หมานเจริญ ผู้ใหญ่บ้าน ม.8 บ้านบ่ออิฐ ต.เกาะแต้ว อ.เมืองสงขลา แสดงความเห็นว่า หากไม่มีการก่อสร้างเขื่อนป้องกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งขึ้นมาแล้ว ชาวบ้านก็จะได้รับความเดือดร้อนเพราะมีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมหาด คนที่สั่งให้รื้อรู้หรือไม่ว่า หากรื้อเขื่อนออกบ้านเรือนจะถูกคลื่นซัดพังไปกี่หลัง คนที่สั่งให้รื้อไม่ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ เมื่อมีการสร้างเขื่อนกันคลื่นกัดเซาะขึ้นมาแล้ว ชาวบ้านมั่นใจว่าชายหาดจะไม่พังและไม่ต้องการให้รื้อออก นายนิวัติ กล่าว นายพงศ์ศักดิ์ ไชยรัตน์ สมาชิก อบต.เกาะแต้ว อ.เมืองสงขลา กล่าวว่า ชาวบ้านบ่ออิฐอยู่กันอย่างสงบสุขมานานไม่ได้รับความเดือดร้อนแต่ปัจจุบันธรรมชาติกำลังรังแกเรา เราก็ต้องหาทางสู้และชาวบ้านเห็นด้วยที่จะให้เขื่อนกันคลื่นกัดเซาะชายหาดยังอยู่ต่อไป ในขณะที่ตัวแทนชาวบ้าน ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีมาตรการให้รื้อเขื่อนกันคลื่นทั้งหมดออกแต่ชาวบ้านยังต้องการเขื่อนเนื่องจากมีความสะดวกในการนำเรือเข้าออก แต่อาจมีปัญหาการกัดเซาะชายหาดบ้างแลกกับความสะดวกที่ชุมชนได้รับ ด้านแหล่งข่าว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุทรศาสตร์ กล่าวว่า เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเลเป็นอย่างดี เนื่องจากถ้าไม่มีเขื่อนกันคลื่นกัดเซาะบ้านเรือนเขาก็จะถูกคลื่นซัดได้รับความเสียหาย แต่เราต้องไปดูที่สาเหตุว่าปัญหาการกัดเซาะในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเกิดจากอะไร งวันนี้วิศวกรที่ปรึกษาของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ก็ออกมายอมรับแล้วว่า การสร้างเขื่อนกันคลื่นและทรายริมปากแม่น้ำ ทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่ข้างเคียงเป็นปัญหาลูกโซ่ บ้านเรือนชาวบ้านได้รับความเสียหาย ระบบนิเวศถูกทำลาย ระบบสังคมก็ถูกทำลาย ชาวบ้านจึงเรียกร้องให้แก้ปัญหา การแก้ปัญหาที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า เขาใช้วิธีสร้างเขื่อนกันคลื่นกัดเซาะทั้งเขื่อนหินทิ้ง หรือกำแพงกันคลื่นซึ่งแก้ปัญหาได้ในจุดที่เขื่อนตั้งอยู่บ้านเรือนชาวบ้านปลอดภัย แต่ชายหาดจุดข้างเคียงก็ถูกกัดเซาะออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดแม้จะรื้อออกก็ไม่ทำให้แก้ปัญหาได้ เมื่อเขายอมรับแบบนี้ก็เป็นเรื่องดี เพราะชาวบ้านที่เดือดร้อนสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้หากต้องการ แหล่งข่าวระบุ
จาก : ผู้จัดการรายวัน วันที่ 6 กรกฎาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|