แผ่นดินที่หายไป

<< < (6/9) > >>

สายน้ำ:

กรมทรัพย์ฯไม่เชื่ออีก 50 ปี ไร้ "แหลมตะลุมพุก"

อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ไม่คิดว่าแหลมตะลุมพุก จะหายไปในระยะเวลาเพียง 50 ปี แต่ยอมรับมีปัญหาการกัดเซาะมาก เตรียมส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ปัญหา ชี้แหลมตะลุมพุกหาย เป็นวัฏจักรทางธรรมชาติ ไม่กระทบด้านธรณี

นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงกรณีนักวิชาการระบุว่า ในอีก 50-100 ปี แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช อาจจะหายไปจากแผนที่ประเทศไทย เนื่องจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง โดยกล่าวว่า ในช่วงปี 48-49 กรมทรัพยากรธรณีได้มอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการศึกษาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พบว่าชายฝั่งทั้งอ่าวไทยและอันดามันมีปัญหาการกัดเซาะมาก ส่วนพื้นที่แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช นั้น มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ยปีละ 1-5 เมตรต่อปี เท่านั้น ไม่ได้สูงถึง 16 เมตรต่อปี ตามที่มีการนำเสนอข่าวไป ซึ่งยอมรับว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะข้อมูลที่ศึกษาแตกต่างกันของนักวิชาการทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความจะไม่เชื่อข้อมูล แต่ไม่คิดว่าแหลมจะหายไปในระยะเวลาเพียง 50 ปี

“สิ่งที่พบคือ ลักษณะการกัดเซาะบริเวณนี้จะเกิดจากข้างล่างของปลายแหลมขึ้นไปบนแหลมตะลุมพุก ซึ่งเป็นแผ่นดินที่งอกออกมาจากฝั่ง มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร กว้าง 500-700 เมตร ทำให้แหลมที่เคยงอกออกไป เมื่อดูจากแผนที่จะมนขึ้น เพราะพบว่ามีตะกอนที่เกิดจากการกัดเซาะของอีกพื้นที่ไปสะสมที่ปลายแหลมแทน ทั้งนี้ ในปี 50 ทางกรมทรัพยากรธรณี จะจัดส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เตรียมหาทางแก้ปัญหาต่อไป” นายอภิชัย กล่าว

ส่วนนายวรวุฒิ ตันติวานิช ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กล่าวว่า ในฐานะของนักธรณีวิทยา เชื่อว่า หากแหลมตะลุมพุกจะหายไปจริง ก็จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อธรณีวิทยาของพื้นที่นั้น ๆ แต่เป็นห่วงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่มากกว่า เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ซึ่งเมื่ออดีต บริเวณดังกล่าวเมื่อช่วง 5,000-6,000 ปีก่อน ก็เคยเป็นน้ำทะเล แต่เมื่อมีตะกอนพัดมาสะสมรวมตัวกันก็งอกออกมาเป็นแผ่นดิน และเมื่อถึงระยะหนึ่งก็อาจจะถดถอย หรือชายฝั่งหายไป เนื่องจากการกัดเซาะแรงขึ้น จากหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน และการก่อสร้างสิ่งกีดขวางในบางที่ อีกทั้งยังพบว่า มีหลายพื้นที่ เช่น แหลมปะการัง จ.พังงา แหลมสน ซึ่งได้รับผลกระทบจนแหลมหายไปอย่างหนักในช่วงสึนามิ เมื่อ 2 ปีก่อน แต่เมื่อมีการกัดเซาะและมีตะกอนทรายตามธรรมชาติพัดกลับมาสะสมตัวในพื้นที่นั้น ๆ ก็ใกล้สู่สภาพเดิมแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (29 ธ.ค.) กรมทรัพยากรธรณี เตรียมจะสรุปสถานการณ์แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ในรอบปี 2549 ที่กรมทรัพยากรธรณี

จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 29 ธันวาคม 2549

สายน้ำ:

ตื่นตะลุมพุกหายร้องรัฐเร่งป้องกันอ่าวไทยคลื่นแรง

อ่าวไทยเริ่มมีลม-คลื่นแรง ขณะชาวบ้านผวาผลวิจัยแหลมตะลุมพุกหายจากแผนที่ประเทศไทยในอีก 50 ปีข้างหน้า กำนันเผยเคยมีคนศึกษาพบจะจบแค่ 36 ปี

วอนทางการเร่งหาทางแก้ก่อนชุมชนประวัติศาสตร์ถูกทะเลกลืน ขณะกรมทะเลยันเตรียมป้องกันแผ่นดินหาย แจงนักวิชาการคาดการณ์เลวร้ายสุดๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายป้องกัน กรมทรัพย์แจงอย่าวิตก แผ่นดินมีทั้งงอกและหด

กรณีมีการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาว่า จะมีคลื่นระลอกใหม่พัดเข้าสู่ชายฝั่งอ่าวไทยอีกระลอกระหว่างวันที่ 28-30 ธันวาคม พร้อมเตือนให้ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงระมัดระวังลมและคลื่น รวมทั้งเรือประมงควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศใน จ.นครศรีธรรมราช เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 ธันวาคม ว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มตั้งแต่เช้า มีฝนตกประปราย ส่วนบรรยากาศริมชายทะเลของจังหวัดตั้งแต่ อ.ขนอม อ.ปากพนัง ไปจนถึง อ.หัวไทร พบว่าแนวคลื่นเพิ่มความรุนแรงขึ้นเล็กน้อย ความสูงของคลื่นประมาณ 2 เมตร เริ่มพัดเข้าสู่ฝั่ง แต่กระแสลมยังไม่รุนแรงมากนัก ส่วนท้องทะเลมองในระยะไกลเห็นเริ่มปั่นป่วนอย่างชัดเจน

นายประยุทธ ฐานะวัตนา กำนันตำบลแหลมตะลุมพุก กล่าวว่า บรรยากาศทั่วไปในพื้นที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ชาวบ้านเตรียมตัวเต็มที่หากมีคลื่นเข้ามาอีก ขณะที่ชาวประมงก็นำเรือทุกขนาดทยอยเข้าสู่ฝั่งหมดแล้ว หลังจากที่ออกหาปลาในระยะสั้นๆ ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว

“ลักษณะของคลื่นวันนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “น้ำเป็นน้ำตาย” และมีแนวโน้มของ “น้ำเป็น” มากขึ้น คือลักษณะของน้ำทะเลมีความเปลี่ยนแปลง มีน้ำหนุนสูงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงเรียกว่าน้ำเป็น ขณะที่แนวคลื่นเริ่มรุนแรงกว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม มีความสูงของคลื่นประมาณ 2 เมตร และเชื่อว่าจะรุนแรงมากขึ้นอีกระลอกตามคำพยากรณ์” กำนันตำบลแหลมตะลุมพุก กล่าว

นายมะเหรม เชี่ยวชาญ อายุ 45 ปี ชาวประมงพื้นบ้าน ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า นำเรือกลับเข้าฝั่งตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันที่ 28 ธันวาคม หลังจากออกทะเลไปตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 27 ธันวาคม ซึ่งทะเลวันนี้สภาพท้องน้ำกลางทะเลห่างจากฝั่งไปประมาณ 1 ชั่วโมง พบว่ามีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตรเศษ กระแสลมค่อนข้างแรง

"ตอนนี้ชาวเรือประมงทยอยเข้าฝั่งจนหมดแล้ว ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับก่อนเกิดคลื่นเมื่อคราวที่แล้ว พวกชาวเรือจึงเชื่อว่าระลอกคลื่นจะเข้ามาอีกครั้ง ประกอบกับในช่วงนี้เป็นช่วงข้างขึ้น น้ำจะขึ้นมากกว่าช่วงข้างแรม และหากมีน้ำทะเลหนุนปัญหาคลื่นหนักจะตามมาอีกแน่นอน" นายมะเหรม กล่าว

ยอมรับชาวบ้านผวาแผ่นดินหาย

ส่วนกรณีที่นักวิชาการเปิดเผยผลวิจัยว่า มีเหตุคลื่นลมกัดเซาะชายฝั่งทั่วประเทศ และกรณีดังกล่าวจะทำให้แผ่นดินแหลมตะลุมพุกหายไปจากประเทศไทยในอีก 50-100 ปีข้างหน้านั้น นายประยุทธ กล่าวว่า การวิเคราะห์ดังกล่าวทำให้ชาวบ้านตื่นตัวและวิตกมาก เพราะเกรงว่าชุมชนที่ดำรงอยู่มานับร้อยปีจนเป็นแผ่นดินประวัติศาสตร์จะต้องสูญหายไป

"เคยมีนักวิชาการเข้ามาในพื้นที่ทำวิจัยมานานแล้ว พบว่าอัตราการสูญเสียแผ่นดินอีก 36 ปี อาจจะสูญสิ้นแผ่นดินตะลุมพุก ซึ่งเวลาแค่นี้น้อยมาก จึงอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขโดยวิธีการสร้างแนวกำแพงกันคลื่นอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นชุมชนชาวแหลมตะลุมพุกจะต้องล่มสลายลงอย่างแน่นอน" กำนันตำบลแหลมตะลุมพุก กล่าว

กรมทะเลฯ แจงคาดการณ์แย่สุดๆ

ด้านนางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงกรณีที่มีนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลการศึกษาว่า อนาคตในอีก 50-100 ปีแหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช อาจจะหายไปจากแผนที่ประเทศไทย เนื่องจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้คลื่นมีกำลังแรงจากภาวะโลกร้อนว่า การศึกษาดังกล่าวเป็นกรณีที่นักวิชาการออกมาคาดการณ์ล่วงหน้าในลักษณะที่ใช้การคาดการณ์ที่แย่สุดๆ ไว้ก่อน เพื่อให้หลายๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบตื่นตัวต่อสิ่งที่จะเกิดในอนาคต

อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวต่อว่า กรมจะเตรียมมาตรการป้องกันและศึกษาความเป็นไปได้เพื่อกำหนดแนวทางรับมือการคาดการณ์ดังกล่าว โดยดูจากปัจจัยที่มีผลต่อการกัดเซาะ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ คลื่นลม กระแสทิศทางของคลื่นที่มาปะทะชายฝั่งของไทยและลักษณะการใช้ที่ดินตามแนวชายฝั่ง

“จากที่เคยสำรวจแหลมตะลุมพุก พบว่าแหลมค่อนข้างมนขึ้น เพราะเกิดจากกระแสคลื่นซัดปะทะกับปลายแหลม ส่งผลให้ชายฝั่งถูกกัดเซาะ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางลมของลมมรสุมต่างๆ จนทำให้คลื่นทะเลมีกำลังรุนแรงและสูงขึ้นกว่าปกติ แต่หากแหลมตะลุมพุกหายไปจริง ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแน่นอน ทั้งแหล่งหญ้าทะเล ปะการัง ทรัพยากรทางทะเล ส่วนจะมากหรือน้อยคงต้องมีการประเมินอีกครั้ง" นางนิศากร กล่าวและว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลยังส่งผลกระทบต่อการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเลด้วย เนื่องจากชายหาดถูกกัดเซาะไป โดยเฉพาะที่แหลมตะลุมพุก และในอีกห้าจังหวัดฝั่งอ่าวไทย” อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว

เผยทะเลไทยน่าห่วง

นางนิศากร ยังกล่าวว่า สถานภาพทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในรอบปี 2549 เป็นสถานการณ์ที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทยน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะป่าชายเลน ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ประมาณ 1.5 ล้านไร่ กรมได้จัดทำโครงการปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา จำนวน 7.2 แสนไร่ ต่อเนื่องถึงปี 2551 เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของป่าชายเลนที่เสียหายกลับคืนมา ซึ่งขณะนี้ได้รับการฟื้นฟูประมาณ 70-80%

ส่วนสภาพแนวชายฝั่งในอ่าวไทยนั้น ยอมรับว่ามีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการกัดเซาะชายฝั่งมากขึ้น ทำให้การใช้ที่ดินที่เคยมีป่าชายเลนปกคลุมต้องหมดไป ขณะที่สภาพของทรัพยากรทางทะเลที่เป็นแหล่งที่อยู่ของความหลากหลายทางชีวภาพ ก็พบว่าปะการังมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง เพราะการขยายตัวของแหล่งที่พักอาศัย ที่พักผ่อน การจับสัตว์น้ำที่ผิดกฎหมายโดยนักท่องเที่ยวที่ขาดความระวัง โดยเฉพาะช่องเกาะสุรินทร์ จ.พังงา เกาะไผ่ จ.กระบี่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เช่นเดียวกับหญ้าทะเลที่ค่อนข้างเสื่อมโทรม ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะประสานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อร่วมกันหามาตรการคุมเข้ม และจัดระเบียบนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาทำกิจกรรมดำน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับแนวปะการัง

“กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก เช่น โลมาและวาฬ ที่เคยมีการบันทึกว่าพบในน่านน้ำไทยถึง 23 ชนิด ปัจจุบันพบน้อยลง สาเหตุของการสูญเสียคือการติดกับเครื่องประมงบางชนิด เช่น อวนลาก อวนลอย และจากความผิดปกติของคุณภาพน้ำทะเล โดยพบว่าช่วง 12 ปีที่ผ่านมา มีการสูญเสียวาฬและโลมาประมาณ 15-20 ตัวต่อปี นอกจากนั้น เต่าทะเลในฝั่งอ่าวไทยพบว่ามีการเกยตื้นตายประมาณ 25 ตัวต่อปี และฝั่งอันดามันอีกประมาณ 70 ตัวต่อปี ส่วนเต่าที่โตพอเป็นแม่พันธุ์ที่สามารถวางไข่ได้มีเพียงประมาณ 500 ตัวเท่านั้น" อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว

อย่างไรก็ตาม นางนิศากร ระบุว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีการคุ้มครองป้องกันทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งพบว่าการบุกรุกทำลายมีแนวโน้มลดลง คือปี 2547 ป่าชายเลนถูกบุกรุกถึง 1,617 ไร่ ดำเนินคดีได้ 133 คดี มีผู้ต้องหา 57 คน ปี 2548 จำนวนคดีลดลงเหลือ 120 คดี ได้ผู้ต้องหา 43 คน พื้นที่ถูกบุกรุก 1,251 ไร่ ส่วนปี 2549 มีการบุกรุก 78 คดี ผู้ต้องหา 35 คน พื้นที่ป่าเสียหาย 554 ไร่

กรมธรณีชี้"ตะลุมพุก"งอกได้ก็หดได้

นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า จากการศึกษาของกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งมอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) และคณะ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระหว่างปี 2548-49 พบว่าบริเวณพื้นที่แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเฉลี่ยปีละ 1-5 เมตรต่อปีเท่านั้น ไม่ได้สูงถึง 16 เมตรต่อปี ตามที่เป็นข่าว ซึ่งอาจเป็นเพราะข้อมูลที่ศึกษาแตกต่างกัน และถ้าเป็นไปได้ควรจะนำข้อมูลมาแบ่งปันกัน

"ลักษณะการกัดเซาะบริเวณนี้จะเกิดจากข้างล่างของปลายแหลมขึ้นไปบนแหลม ซึ่งเป็นแผ่นดินที่งอกออกมาจากฝั่ง มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร กว้างประมาณ 500-700 เมตร ทำให้แหลมที่เคยงอกออกไป เมื่อดูจากแผนที่จะมนขึ้น เพราะพบว่ามีตะกอนที่เกิดจากการกัดเซาะของอีกพื้นที่ไปสะสมที่ปลายแหลมแทน แต่เชื่อว่าการหายไปของแหลมตะลุมพุกคงจะไม่เร็วในช่วงเวลา 50 ปีอย่างแน่นอน" อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายอภิชัย กล่าวว่า กรมทรัพยากรธรณีเตรียมส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางชะลอปัญหา ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษาว่าจะใช้รูปแบบไหน เพื่อป้องกันการกัดเซาะในพื้นที่ดังกล่าว เพราะไม่อยากให้แก้ปัญหาจุดนี้แล้วทำให้ปัญหากัดเซาะไปเกิดอีกจุดหนึ่งแทน คาดว่าปี 2550 จะสรุปโครงการได้

ส่วน นายวรวุฒิ ตันติวานิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กล่าวว่า ในเชิงธรณีวิทยาเชื่อว่าแหลมตะลุมพุกที่หายไปจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อธรณีวิทยาของพื้นที่นั้นๆ แต่เป็นห่วงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่มากกว่า เนื่องจากถือเป็นพลวัตของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในอดีตบริเวณดังกล่าวเมื่อช่วง 5,000-6,000 ปีก่อน ก็เคยเป็นน้ำทะเล แต่เมื่อมีตะกอนพัดมาสะสมรวมตัวกันก็งอกออกมาเป็นแผ่นดิน และเมื่อถึงระยะหนึ่งก็อาจจะถดถอยหรือชายฝั่งหายไป เนื่องจากการกัดเซาะแรงขึ้น

"จากหลายๆ ปัจจัย ทั้งน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน และการก่อสร้างสิ่งกีดขวางในบางที่ ซึ่งถ้าจะประเมินจากข้อมูลการงอกของแผ่นดินในอดีต ช่วง 300-400 ปีที่ผ่านมา พบมีชายฝั่งงอกออกมาตลอด ขณะที่ปัจจุบันการงอกของแผ่นดินจบแล้ว แต่เข้าสู่ช่วงของการถูกกัดเซาะและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากหลายปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งกรณีการงอกกลับมาของแหลมที่เห็นได้ชัดเจนคือ แหลมปะการัง จ.พังงา แหลมสน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสึนามิเมื่อ 2 ปีก่อน แต่เมื่อมีการกัดเซาะและมีตะกอนทรายตามธรรมชาติพัดกลับมาปิดสะสมตัวจนใกล้สู่สภาพเดิมแล้ว" อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าว

นักวิจัยยันไม่ใช่กฎธรรมชาติ

ด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์จากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัยศึกษารูปแบบการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นผู้กล่าวถึงกรณี "ตะลุมพุกหาย" เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ว่า จากการเก็บข้อมูลและทำการวิเคราะห์พบว่า การสร้างเขื่อนทำให้ตะกอนลุ่มน้ำลดลงจริงๆ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีการสร้างเขื่อนหลายแห่ง เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ทำให้ปริมาณตะกอนลดลง 70-80% เป็นเหตุให้ชายฝั่งอ่าวไทยถูกกัดเซาะรุนแรงมาก

ส่วนที่แหลมตะลุมพุกที่ถูกกัดเซาะอย่างหนักนั้น เกิดจากการสร้างเขื่อนรอดักตะกอนอยู่ที่คลองชะอวด เหตุผลของการสร้างเขื่อนรอดักตะกอนในพื้นที่คือ หากไม่สร้างทรายจะไหลเข้ามาปิดปากคลอง ทำให้เรือเข้าออกไม่ได้

“เรื่องนี้ผมศึกษาและทำวิจัยมานาน หากไม่เป็นจริงก็คงไม่กล้าออกมายืนยันผ่านสื่อมากมายเช่นนี้ กรณีของแหลมตะลุมพุกที่ว่า ภายใน 50-100 ปี มีโอกาสที่จะหายไป ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ทั้งนี้ นักธรณีวิทยาทุกคนจะรู้ดีว่าธรรมชาติการเกิดและหายไปของแผ่นดินที่เรียกว่าแหลมนั้นเป็นเรื่องปกติ เมื่อ 6,000 ปีก่อน บริเวณนั้นไม่มีแหลมตะลุมพุก แต่การไหลเวียนของกระแสน้ำที่ก่อให้เกิดการสะสมของตะกอนดินก็ทำให้เกิดแหลมขึ้นมา กระทั่งปัจจุบันมีแหลมตะลุมพุก แต่ทิศทางการไหลเวียนของกระแสน้ำพื้นที่นั้น ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดแรงมากกระแสน้ำกลับทิศจากในอดีต บวกกับการสร้างเขื่อน ยิ่งส่งเสริมให้เกิดการกัดเซาะหนักขึ้นอีกเท่าตัว” รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าว

จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 29 ธันวาคม 2549

สายน้ำ:

แนะถมทรายรักษา "แหลมตะลุมพุก

กรมทรัพย์ออกโรงบอกชาวบ้านอย่าตระหนกเรื่อง "ตะลุมพุกหาย" ยันเป็นเรื่องธรรมชาติและไม่ได้หายจนไม่มีแผ่นดินอยู่ พร้อมเสนอถมทรายชายหาดแก้ที่ต้นเหตุ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านปลอบไม่เกิดเร็วขนาด 100 ปีไม่มีที่อยู่ เพราะมีแผ่นดินใหม่เกิดกว่า 500 เมตร

หลังกลายเป็นหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับ "ตะลุมพุกหาย" ตามข้อมูลที่นักวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลการวิจัยเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง และสรุปคาดการณ์ว่า อีก 50-100 ปี แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช อาจจะหายไปจากแผนที่ประเทศไทย เนื่องจากมีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงมากกว่าปีละ 15 เมตรนั้น

กรณีนี้ นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ทรัพยากรธรณีค่อนข้างกังวลมาก เพราะขณะนี้ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มตื่นตระหนกเกินไปว่าที่ดินที่เคยอาศัยอยู่มานานจะหายไปจริงๆ และมีการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างแนวกำแพงกันคลื่นเพื่อป้องกันปัญหาแหลมหาย แต่กรมก็เป็นห่วงว่าถ้าเร่งสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่โดยไม่มีการศึกษาข้อมูลรายละเอียดข้อดีข้อเสียตามหลักวิชาการ จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะคลื่นมากขึ้น

“ขณะนี้บริเวณหัวไทร สิชล ปากพนัง ก็มีการก่อสร้างมากมายอยู่แล้ว หากจะทำอะไรคงต้องดูภาพรวมของพื้นที่โดยใช้หลักวิชาการ เพราะลักษณะของหาดในฝั่งอ่าวไทยจะทอดเป็นแนวยาว ซึ่งการก่อสร้างอาจจะชะลอปัญหาไปได้สักระยะหนึ่งในจุดใดจุดหนึ่ง แต่อาจจะไปซ้ำเติมการกัดเซาะในพื้นที่อื่นๆ แทน โดยขณะนี้การศึกษาเพื่อคัดเลือกรูปแบบที่เหมาะสมในการป้องกันคลื่นบริเวณแหลมตะลุมพุก ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา ซึ่งจะมีทั้งการทำกองหินกันคลื่น และการนำทรายมาถมชายหาด เป็นต้น” อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าว

ด้านนายวรวุฒิ ตันติวานิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กล่าวว่า ขอให้ชาวบ้านในพื้นที่สบายใจว่า การหายไปของแหลมจะไม่เร็วในช่วง 100 ปีอย่างแน่นอน แต่จะใช้เวลานานกว่านั้น แต่ทั้งหมดก็เป็นวัฏจักรตามธรรมชาติ และไม่ใช่ว่าแหลมจะหายไปจนไม่มีแผ่นดินเลย เพราะขณะนี้จากการศึกษาพบว่า ถึงแม้ชายฝั่งด้านที่ติดทะเลและบริเวณจงอยของแหลมจะถูกคลื่นกัดเซาะเฉลี่ยปีละ 1-5 เมตร แต่ด้านในของแหลมกลับพบว่ามีการสะสมและงอกตัวของแผ่นดินที่เป็นเลนโคลนปีละ 15 เมตร ซึ่งมาจากการสะสมของตะกอนที่ถูกกัดเซาะมาจากจุดอื่นๆ ทำให้มีพื้นที่งอกออกมามากกว่า 500 เมตร

“ข้อเสนอที่คณะนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่งแนวคิดในการแก้ปัญหากรณีการกัดเซาะของแหลมตะลุมพุกมาให้กรมทรัพยากรธรณี คือ การสร้างกองหินกันคลื่นตลอดแนวชายฝั่งของแหลมตะลุมพุก และถมชายหาดโดยนำเอาทรายมาเติมชายฝั่งถูกกัดเซาะหายไปประมาณ 20 เมตร บริเวณพื้นที่บ้านแหลมตะลุมพุก โดยตั้งงบเอาไว้ประมาณ 70 ล้าน บาทแต่ทั้งหมดนี้ยอมรับว่าจะต้องศึกษาผลกระทบอย่างละเอียด เนื่องจากการนำทรายทะเลจากท้องน้ำขึ้นมามากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดการกัดเซาะรุนแรงในจุดที่ทรายถูกนำขึ้นมาด้วย” นายวรวุฒิ กล่าว

จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 30 ธันวาคม 2549

สายน้ำ:

ชี้คลื่นซัดอ่าวไทยสภาพธรณีวิทยาเสียหายหนัก

กรมทรัพยากรธรณี ชี้คลื่นซัดอ่าวไทยทำสภาพธรณีวิทยาเสียหายหนัก เผยเป็นเรื่องผิดปกติที่คลื่นแรงมากจนหอบทรายจากท้องทะเลขึ้นมาถมบนบกได้หนากว่า 30 ซม. หวั่นพื้นที่ถูกกัดเซาะรุนแรงยิ่งขึ้น แนะเว้นวรรคชายหาด ห้ามสร้างอาคารถาวรในพื้นที่เสี่ยงภัยการกัดเซาะชายฝั่ง

เมื่อวันที่ 3 มกราคม นายสมศักดิ์ วัฒนปฤดา นักธรณีวิทยา 7 จากกองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสภาพพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งถูกคลื่นสูงกว่า 5 เมตร ซัดเข้าหาชายฝั่ง เนื่องจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีความผิดปกติจากสภาวะอากาศที่แปรปรวน ช่วงระหว่างวันที่ 18-22 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมานั้น จากการสำรวจพบว่าจำนวน 7 จุด จาก 18 จุด ของ 7 จังหวัด มีความเสียหายทางสภาพทางธรณีวิทยาชายฝั่งอย่างหนัก เนื่องจากคลื่นก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ยังพบว่าคลื่นได้พัดเอาทรายจากทะเลขึ้นมาถมบนบกหนากว่า 5-10 เมตร ในหลายพื้นที่ ขณะที่บางจุดของ จ.นครศรีธรรมราช เช่น ชายหาดแหลมตะลุมพุกถูกกัดเซาะลึกประมาณ 3 เมตร พบทรายถูกพัดพามาทับถมหนาประมาณ 30 ซม. ส่วนบ้านหน้าโกฏิ ถูกกัดเซาะยาวประมาณ 1 กิโลเมตร คลื่นพัดทรายมาทับถมบริเวณถนนหลังหาดหนาประมาณ 10 ซม. และยังพัดพาหอยครางมาตกบนถนนและบริเวณชายฝั่งจำนวนมาก

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เกิดการกัดเซาะชายฝั่งหาดนเรศวร อ.สามร้อยยอด ยาว 1 กิโลเมตร และชายหาด ต.สามร้อยยอด กิ่ง อ.สามร้อยยอด ถูกคลื่นกัดเซาะยาว 800 เมตร และทำให้เกิดการกัดเซาะถนนเลียบชายหาดในพื้นที่หมู่ 1 และหมู่ 2 ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี ส่วนที่ จ.ชุมพร คลื่นชายฝั่งก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง บ้านบางมะพร้าว อ.หลังสวน ลึกประมาณ 8-10 เมตร ยาว 300 เมตร ขณะที่ จ.สุราษฎร์ธานี พื้นที่ ต.ชลคราม และ ต.ดอนสัก อ.ดอนสัก ถูกกัดเซาะเป็นระยะทางยาว 700 เมตร พื้นที่ อ.ท่าชนะ ถูกกัดเซาะลึก 8 เมตร และพบทรายถูกพัดพาโดยคลื่นซัดชายฝั่งเข้ามาทับถมบริเวณบ้านเรือนประชาชน และถนนหนา 50 เซนติเมตร ชายฝั่ง ต.พุมเรียง อ.ไชยา ถูกกัดเซาะ1 กิโลเมตร

นอกจากนี้ที่ จ.สงขลา บริเวณปากคลองสำโรง พบพื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะยาว 2 กิโลเมตร และทรายถูกพัดพาโดยคลื่นและน้ำทะเลเอ่อท่วม และสุดท้าย จ.ปัตตานี ถนนสายตะโละ กะโปร์-แหลมโพธิ์ ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเสียหาย ยาว 1 กิโลเมตร

“ถือเป็นเรื่องผิดปกติมากที่คลื่นแรงจนสามารถหอบทรายปริมาณมากจากท้องทะเลขึ้นมา ทับถมบนบกหนาขนาด 30 ซม.ซึ่งส่วนหนึ่งอาจขึ้นกับสันฐานของท้องทะเลบริเวณดังกล่าวด้วย แต่ภาพรวมการที่ทรายหายไปจากท้องทะเลมากๆ จะยิ่งเร่งให้บริเวณพื้นที่เหล่านี้ถูกกัดเซาะรุนแรงยิ่งขึ้น

กว่าปกติจากเดิมเฉลี่ยปีละ 3-5 เมตรต่อปี เพราะแม้ว่าการเคลื่อนที่ของทรายจะมีวัฏจักรตามช่วงฤดูมรสุม แต่กรณีนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงต่อสภาพธรณีวิทยามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2550 ยังอยู่ใน ช่วงลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อาจมีคลื่นซัดชายฝั่งที่ก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงในระยะสั้นอีกครั้ง ดังนั้นในระยะยาว ควรกำหนดพื้นที่เว้นวรรคชายหาด ไม่ให้มีการก่อสร้างอาคารถาวร หรือถนนในพื้นที่เสี่ยงภัยการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง เพราะยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดปัญหากัดเซาะที่แรงขึ้น” นายสมศักดิ์ กล่าว

จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 5 มกราคม 2550

สายน้ำ:

ไทยร่วมกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้� ต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย

นายอภิชาต จงสกุล รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า กรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการแปรสภาพเป็นทะเลทรายจัดประชุมเพื่อทำแผนต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีประเทศสมาชิกรวม 11 ประเทศ ได้แก่ พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ ติมอร์เรต ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละประเทศมีปัญหาความแห้งแล้ง ความเสื่อมโทรมของดินซึ่งเป็นปัญหาคล้ายคลึงกันจึงต้องมีการจัดประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการบูรณางานด้านการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายร่วมกันในระดับภูมิภาคอย่างเป็นระบบ เพื่อเสนอแผนการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายต่อสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการแปรสภาพเป็นทะเลทรายสำหรับของบประมาณในการดำเนินงานด้านต่างๆ จากการประชุมหารือในครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่าประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันไปจึงมีรูปแบบการดำเนินงานไม่เหมือนกัน ที่ประชุมจึงเห็นควรให้มีการแบ่งกลุ่มประเทศสมาชิกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประเทศที่เป็นหมู่เกาะและกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นหมู่เกาะ เพื่อให้แต่ละประเทศมีรูปแบบการดำเนินงานด้านการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายที่มีความเหมาะสมมากที่สุด

สำหรับประเทศไทยนั้นกรมพัฒนาที่ดินได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานด้านนี้ ซึ่งที่ผ่านมากรมฯ ได้ทำงานเกี่ยวกับการปรับปรุงฟื้นฟูทรัพยากรดินทุกรูปแบบ ทั้งด้านการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ การบริหารเขตพัฒนาที่ดิน เกษตรอินทรีย์ การปรับปรุงพื้นที่ดินเค็ม ดินเสื่อมโทรม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สามารถนำมาปรับทำเป็นแผนปฏิบัติการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายของประเทศไทยได้ทันที โดยขณะนี้กรมฯ ได้เร่งทำแผนเสนอต่อสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการต่อไป

นายอภิชาต กล่าวต่ออีกว่า 100 ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ซึ่งมีผลกระทบต่อประชากรโลกประมาณ 900 ล้านคน ทำให้องค์การสหประชาชาติต้องจัดทำอนุสัญญาสหประชาชาติขึ้นเมื่อปี 2537 และจนถึงขณะนี้มีสมาชิกรวม 191 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ประชาชนในประเทศไทยจำนวนมากยังไม่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว อีกทั้งยังมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วโอกาสที่จะแปรสภาพเป็นทะเลทรายเป็นไปได้สูงเนื่องจากมีหลายปัจจัยทั้งเรื่องปัญหาดินเสื่อมโทรม ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงฝนไม่ตกตามฤดูกาลภัยแล้ง โดยเฉพาะปัญหาดินเค็มซึ่งในประเทศไทยมีพื้นที่ดินเค็มจัดกว่าล้านไร่กระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ถ้าพื้นที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการฟื้นฟูให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้เหมือนเดิม โอกาสที่จะแปรสภาพเป็นทะเลทรายก็มีสูงเช่นกัน

จาก :� สยามรัฐ� วันที่ 5 มกราคม 2550

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว