Save Our Sea
เมษายน 17, 2024, 03:07:28 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้งดการตั้งหรือตอบกระทู้ ขอเชิญใช้บอร์ดใหม่ที่ http://www.saveoursea.net/forums
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คุณค่าของ "ปูม้า"  (อ่าน 19918 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3501


เรารักในหลวง


ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 02:39:59 PM »

สารพัดคุณค่า 'ปูม้า'



ปูม้า สัตว์น้ำเศรษฐกิจซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ การส่งเสริมแนวทางการเลี้ยง เทคโนโลยี ตลาด ตลอดจนการแปรรูป เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันการเป็นผู้นำด้านการส่งออกอาหารทะเล จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน

     ผศ.ดร.บรรจง เทียนส่งรัศมี ผู้ประสานงานชุดโครงการปู สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ชุดโครงการปู สกว.ได้กำหนดกลยุทธ์และแนวทางในการศึกษาและวิจัยการเพาะเลี้ยงปูม้า โดยมีเป้าหมายการดำเนินการเพื่อนำผลการวิจัยทางด้านเทคนิคการเพาะเลี้ยงปูม้ามาประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์และหาแนวทางการจัดการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรปูม้าอย่างยั่งยืน

รวมทั้งช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ปูที่ได้จากการเพาะเลี้ยงและส่งเสริมเพิ่มช่องทางตลาดผลิตภัณฑ์ปู โดยเฉพาะปูม้าที่จัดได้ว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีศักยภาพทางด้านตลาดสูง เนื่องจากปูม้าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งตัวตั้งแต่ เนื้อ ไข่ กระทั่งแม้แต่เปลือกที่ห่อหุ้มตัว

ยกตัวอย่างเนื้อปูม้า สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่นเดียวกับเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ เนื้อเหล่านั้นจะมีราคาแตกต่างไปตามคุณภาพของเนื้อ เช่น เนื้อก้อนจะขายได้ถึงกิโลกรัมละ 800 บาท เนื้อขาวกิโลกรัมละ 600 บาท เนื้อขากิโลกรัมละ 600 บาท และเนื้อก้ามกิโลกรัมละ 300 บาท

ไข่ในกระดอง จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีค่า มีรสชาติดี ให้คุณค่าทางอาหารสูงเป็นที่ต้องการของตลาดภายในและต่างประเทศ ปัจจุบันมีการแยกไข่และมันปูออกเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับตลาดบนหรือภัตตาคารและร้านอาหารมีชื่อต่างๆ ปัจจุบันซื้อขายกันในราคากิโลกรัมละ 400 บาท

ก้ามหนีบ เป็นอีกส่วนหนึ่งของปูที่ตลาดต้องการมาก นิยมนำไปใช้ประดับบนจานอาหารที่บริการให้แก่ลูกค้า เพื่อให้อาหารที่ปรุงจากปูม้ามีบรรยากาศชวนทานมากขึ้น นอกจากนี้เปลือกปูม้าสามารถนำไปทำปุ๋ยปู หรือสกัดสารไคโตซานและไคตินได้ อีกทั้งส่วนที่เหลืออย่างเปลือกและกระดองปูนั้นจะซื้อขายกันในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท

ปัจจุบันปูม้ายังเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งตลาดในประเทศประกอบด้วยตลาดท้องที่และตลาดท้องถิ่น โดยตลาดท้องที่จะรวบรวมปูจากสะพานปลาและฟาร์มต่างๆ ในท้องที่เพื่อนำไปส่งขายให้แก่ตลาดท้องถิ่นหรือคนกลาง เพื่อส่งไปขายยังตลาดปลายทางอีกทอดหนึ่ง ส่วนตลาดท้องถิ่นจะเป็นตลาดที่อยู่ในเขตการค้าของจังหวัดต่างๆ ที่นำปูจากท้องที่จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคในท้องถิ่นในรูปของปูสด ปูสดแช่น้ำแข็ง ปูสดแช่เย็น ปูเป็น ปูนิ่ม ปูดอง และเนื้อปูแกะ

สำหรับปูม้าไทยที่ส่งไปจำหน่ายต่างประเทศนั้น นอกจากจะเป็นเนื้อปูบรรจุกระป๋องแล้ว ยังมีเนื้อปูแช่เย็นที่บรรจุในภาชนะปรุงแต่ง เช่น เนื้อปูแช่น้ำเกลือ เนื้อปูสุก เนื้อปูที่บรรจุในภาชนะสุญญากาศ โดยตลาดเนื้อปูในต่างประเทศที่สำคัญที่ไทยส่งออกจะแยกตามประเภทของผลิตภัณฑ์

จะเห็นได้ว่าตลาดเนื้อปูม้ายังเปิดกว้าง เนื่องจากเนื้อปูม้ามีศักยภาพและมีคุณค่าทางอาหารได้แก่ มีโปรตีนสูงถึงประมาณร้อยละ 15.8 แคลเซียมประมาณร้อยละ 0.05 ไขมันต่ำประมาณร้อยละ 0.49 และมีกรดไขมันโอเมก้า-3 และ  EPA ที่ร่างกายต้องการประมาณร้อยละ 1.38 และ 0.74 นอกจากนี้ไข่และมันปูยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 และ EPA ที่จำเป็นต่อร่างกายถึงร้อยละ 9.43 และ 4.00 ตามลำดับ (เนื้อปู ไข่และมันปูมี กรดไขมันโอเมก้า-3 และ EPA สูงกว่าสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ และเป็นจุดเด่นทางโภชนาการของปูม้าเพราะเป็นสารต้านมะเร็ง)

นอกจากนี้เปลือกปูม้ายังมีคุณค่าสารพัด โดยมีไคโตซานซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์หลายด้าน อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อมใช้บำบัดน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานฆ่าสัตว์ โรงงานผลิตภัณฑ์นม และโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่มีปริมาณอินทรียสารและโลหะหนัก พวกทองแดง นิกเกิล สังกะสี โครเมียม และเหล็ก โปรตีนที่ตกตะกอนสามารถนำกลับมาใช้เป็นวัสดุ (substrate) ให้จุลินทรีย์ในบ่อบำบัดน้ำเสียหรือในบ่อกุ้งเกาะใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

ด้านการเกษตรไคโตซานและไคตินคอมเพล็กซ์สามารถนำไปใช้กำจัดเชื้อรา Sclerotium rolfsii ที่ทำให้เกิดโรคโคนเน่าในพืชตระกูลถั่วหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อการปรับปรุงคุณภาพดินทางด้านอินทรียวัตถุ ไคโตซานมีประโยชน์ ช่วยในการเร่งดอกของกล้วยไม้ สร้างโซ่อาหารในบ่อปู ถ้านำไปผสมอาหารสำหรับสัตว์ปีก กุ้งและปูจะทำให้สัตว์นั้นแข็งแรง โตเร็ว ไม่ป่วยไข้ มีผลผลิตสูงขึ้น ทางด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว อนุพันธ์ไคโตซานและไคตินสามารถนำไปช่วยยืดอายุของผลผลิตทางเกษตร เช่น มังคุด มะม่วง สตรอว์เบอร์รี และฝรั่งกลมสาลี

ด้านการแพทย์และเภสัชกรรมไคโตซานสามารถนำมาทำเป็นเยื่อไคโตซานสำหรับใช้เป็นผ้าพันแผล ช่วยในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อ นำไปทำฟองน้ำสำหรับการผ่าตัด หรือนำมาแปรรูปเป็นไคโตซานอะซิเตทสำหรับเป็นยาสมานแผล ช่วยลดการปวดและลดการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในการรักษากระดูกและฟัน รักษาโรคตาและเหงือก อนุพันธ์ไคตินสามารถใช้เป็นตัวนำส่งตัวยาเข้าร่างกายอย่างมีระบบหรือเฉพาะที่ได้ สามารถใช้ในรูปประวิงเวลาเพื่อปล่อยตัวยาอย่างช้าๆ ตามเวลาที่กำหนด

ด้านโภชนาการ ไคโตซานสามารถนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของอาหารบำรุงสุขภาพเพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอล นำมาใช้ในการตกตะกอนของไวน์ขาวและไวน์แดง ทำเป็นฟิล์มสำหรับเคลือบอาหารช่วยในการลดจำนวนแบคทีเรียและยืดอายุในการเก็บให้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ยังมีการนำไปแปรรูปให้อยู่ในรูปเอนคาร์บอกซีเมทธิลไคโตซาน (N-carboxymethyl chitosan) ใช้เป็นสารปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารทะเลต่างๆ ให้มีกลิ่นกุ้ง กลิ่นปู

ด้านผลิตภัณฑ์กระดาษและสิ่งทอ นำไปใช้ผลิตไส้กรองสำหรับกรองน้ำและกรองอากาศ หรือใช้ทำบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ นอกจากนี้ยังสามารถนำไคโตซานกับใยโพลีโซนิค (polysonic) มาทอกับใยฝ้ายเพื่อทำชุดชั้นในซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทำให้เกิดกลิ่นและเชื้อรา

ด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สามารถนำไปเป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ เช่น สบู่ ยาสีฟัน แป้งฝุ่น ครีม โลชั่นให้ความชุ่มชื้นและใช้ส่วนประกอบผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาผม

จะเห็นได้ว่าปูม้า ยังมีสารพัดประโยชน์ที่มีสรรพคุณต่างๆ เหมาะสำหรับผู้อุปโภค-บริโภค ซึ่งหากมีแนวทางส่งเสริมการจัดการที่ดี รวมทั้งปลายทางตลาดถูกต้อง เชื่อว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพในการผลิตอาหารทะเลชนิดนี้ออกสู่ครัวโลกอย่างมีประสิทธิภาพ

**************************************

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 26 ก.ค. 49

บันทึกการเข้า

"ทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูล ทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถนำมา ใช้เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์และเสถียรภาพอัน ถาวรของบ้าน เมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญจะต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ" ..... พระราชดำรัส
สายชล
Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 4098



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 07:49:12 PM »

 Grin

นอกจากจะกินอร๊อย...อร่อยแล้ว ปูม้านี่ประโยชน์มากมาย อ่านแล้วอยากทำฟาร์มปูม้าค่ะคุณสายน้ำ
บันทึกการเข้า

Saaychol
Sri_Nuan.Ray
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1327


Sri_Nuan.Ray


ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 08:09:25 PM »

เอาเลยค่ะ คุณพี่...
น้องขออาสา ประจำฟาร์มให้นะคะ
ใช้แรงงานได้สารพัด ประโยชน์ เจ้าค่ะ....
แต่ต้องให้เวลาน้องไปดำน้ำ ด้วยนะคะ  ตกลงไหมค่ะ  Grin
บันทึกการเข้า

ชีวิต จะเริ่มเดินทาง เมื่อผ่าน หลักสี่.....
และบอกกับตัวเองว่า..การหาความรู้เพิ่มเติมเป็นการเดินทางที่ไม่มีสิ้นสุดของชีวิต
สายชล
Moderator
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 4098



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 08:13:04 PM »

 Roll Eyes

ฮี่ๆ...ตกลงจ้ะ แต่กว่าจะหาทุนมาทำฟาร์มได้ พี่สองสายก็คงแก่หง่อมยิ่งกว่านี้อีก อย่างไงช่วยพาคนแก่สองคนไปดำน้ำด้วยเน้อ... Grin
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.024 วินาที กับ 21 คำสั่ง