PDA

View Full Version : ของดี....มีให้ดู....คู่ชุมพร...


สายชล
05-07-2010, 16:22
..............................ของดี........................มีให้ดู..........................คู่ชุมพร.......................

สายชล
05-07-2010, 17:10
เมื่อพูดถึงชุมพร เมืองที่เป็นปากประตูสู่ภาตใต้ของไทย....ผู้คนทั่วไปจะนึกว่าของดีที่ชุมพรมีให้ดูก็คือ "ทะเล".....


สองสายก็เคยเชื่อเช่นนั้น แต่เมื่อได้พบกับอดีตท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ท่านได้ทำให้เราได้รับทราบว่า จริงๆแล้ว....ชุมพรหามีของดีเฉพาะแต่ทะเลไม่ ชุมพรยังมีของดีที่อยู่บนบกอีกมากมายหลายแห่ง ไล่ระเรื่อยไปตั้งแต่เหนือสุดที่อำเภอปะทิวไปจนใต้สุดที่อำเภอละแมและอำเภอพะโต๊ะ....


ภาพแผนที่จาก....http://www.moohin.com

ลูกปูกะตอย
05-07-2010, 17:20
เกาะล้อตามไปด้วยยยยยยย

สายชล
05-07-2010, 17:59
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553....สองสายเดินทางไปร่วมประชุมเรื่องการจัดงาน "เปิดโลกทะเลชุมพร 2010" ซึ่งขณะนั้นนายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ยังนั่งเป็นเจ้าเมืองชุมพร และได้มาร่วมประชุมด้วยได้เล่าให้เราฟังว่า ท่านเพิ่งย้ายจากนราธิวาส ดินแดนมิคสัญญีชายแดนใต้มาประจำที่ชุมพรซึ่งเป็นเมืองสงบร่มเย็นและมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย


มีหลายครั้งที่ท่านผู้ว่าฯ การัณย์พูดถึง "หนองใหญ่" ด้วยตาที่เป็นประกายและรอยยิ้มเยือนที่บอกถึงความสุขใจ


"หนองใหญ่ คืออะไร อยู่ที่ไหนคะ ? " สายชล ถามท่านผู้ว่าฯ การัณย์


ท่านยิ้มมากขึ้น...และเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า "หนองใหญ่ เป็น 'โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ ตามแนวพระราชดำริ' อยู่ที่ตำบลบางลึก เขตอำเภอเมืองชุมพร เดิมทำเป็นโครงการแก้มลิงเพื่อรองรับน้ำที่ไหลบ่าจากภูเขาในช่วงฤดูฝนผ่านตัวเมืองเพื่อไหลลงทะเล ซึ่งช่วยบรรเทาภาวะน้ำท่วมเมืองชุมพรได้ผลชงัด


ปัจจุบันผมได้จัดหางบประมาณมาจัดตั้ง 'ศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง' ขึ้นในเขตพื้นที่โครงการฯ หนองใหญ่.....อยากไปชมกันไหมครับ"


สองสายรีบพยักหน้ารับด้วยความดีใจ....


และแล้ว....เราก็ได้เห็นภาพ "หนองใหญ่" ของท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ซึ่งช่างดูสวยงามกว่าที่เราคิด....

สายชล
05-07-2010, 18:37
น้องพงษ์ (ขจรพงษ์ อนันตเมฆ) ซึ่งท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ได้ส่งให้มาเป็นผู้พาเราไปที่หนองใหญ่ ได้พาเราไปพบน้องกอล์ฟ (พิทักษ์ ธเนศถาวรกุล) ผู้จัดการศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ชุมพร


น้องกอล์ฟ หนุ่มมาดเข้ม ที่ควรจะเป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิต หรือ ศิลปินวาดภาพศิลปฝีมือดี แต่กลับเป็นผู้ที่มารับใช้แผ่นดิน พาเราเดินไปที่เนินดินสูง บนเกาะหมายเลข ๙ ของพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ และเล่าให้เราฟังว่า


"โครงการพัฒนาหนองใหญ่ ต.บางลึก อ.เมือง ชาวชุมพรส่วนใหญ่เรียกว่าแก้มลิงหนองใหญ่ เกิดขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงต้องการช่วยแก้ปัญหาอุทกภัย หลังเกิดเหตุพายุไต้ฝุ่นเกย์เมื่อปี 2532 และน้ำท่วมใหญ่ปลายเดือนสิงหาคม 2540 ซึ่งเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2541 รองรับน้ำที่ไหลบ่ามาจากตอนเหนือของจังหวัด ระบายลงสู่คลองระบายน้ำหัววัง-พนังตัก ต.นาชะอัง อ.เมือง ลงสู่อ่าวพนังตัก ทำให้ตัวเมืองชุมพรรอดพ้นจากอุทกภัยมากว่า 11 ปีแล้ว นอกจากนี้ยังเก็บกักน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งด้วย....."

สายชล
05-07-2010, 18:40
น้องกอล์ฟเล่าต่อว่า...


"แต่ในขณะเดียวกันทางจังหวัด โดยท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ได้นำเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ที่สามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า การใช้พืชและสัตว์ และการนำของเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์อีกด้วย..."

สายชล
05-07-2010, 18:48
"เดิมที่บนเกาะหมายเลข ๙ ของโครงการฯ หนองใหญ่ เป็นเกาะที่มีอาคารแสดงนิทรรศการที่ถูกทิ้งร้างอยู่หลังเดียวโดดๆ พื้นที่รอบๆเกาะก็มีแต่หญ้ารกรุงรัง ท่านผู้ว่าฯ การัณย์ เห็นว่าน่าจะใช้ประโยชน์พื้นที่นี้ให้เต็มที่ ดีกว่าทิ้งไว้อย่างไร้ค่า...."

สายชล
05-07-2010, 18:57
และนี่คือ "ศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ที่สวยงาม บนพื้นที่ที่เคยรกร้างว่างเปล่า ที่ได้ถูกพลิกฟื้นขึ้นมาด้วยฝีมืออาสาสมัครพื้นบ้านในชุมพร นำโดยน้องกอล์ฟ และด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุนจากท่านผู้ว่าการัณย์ ก่อนที่เงินงบประมาณจะตามมาสมทบในภายหลัง

สายชล
05-07-2010, 19:03
"หลังจากจังหวัดชุมพรใช้เงิน 9,901,406 บาท จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้มีภาคประชาสังคมที่ประสบความสำเร็จทั้ง 8 อำเภอ ที่เรียกว่าเครือข่ายจากภูผาสู่มหานที ให้ความร่วมมือดำเนินการ จึงมั่นใจว่าโครงการคงแล้วเสร็จเร็วๆ นี้ ซึ่งรูปแบบของโครงการประกอบด้วย ส่วนพื้นที่หมายเลข 9 ที่จำลองศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของทั้ง 8 อำเภอ


ในแต่ละวันมีผู้สนใจเข้ามาชมโครงการมากมาย และมีผู้สนใจจากทั้งจังหวัดใกล้เคียงและจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ เข้ามารับการอบรมในศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแห่งนี้มากมาย


ที่นี่จึงเหมือนโรงเรียนประจำ ที่มีนักเรียนเข้ามาพัก เพื่อเรียนรู้และรับการอบรมว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากมายไม่ขาดสาย...."

สายชล
05-07-2010, 19:53
" คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรก็ต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข "



http://www.sufficiencyeconomy.org/kamphorsorn/khamporsorn3/Image/p003.jpg



http://www.sufficiencyeconomy.org/kamphorsorn/khamporsorn3/Image/p028.jpg



http://www.sufficiencyeconomy.org/kamphorsorn/khamporsorn3/Image/p103.jpg


(พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)



เชิญศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงได้ที่....


http://www.sufficiencyeconomy.org/


http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/porpeing.html

สายชล
05-07-2010, 20:03
น้องกอล์ฟ พาเราเดินดูหมู่บ้าน ที่เสมือนจำลองชีวิตความเป็นอยู่แบบพอเพียงของผู้คนในอำเภอต่างๆของชุมพร มาไว้ที่นี่...


แต่ละบ้านมีการปลูกข้าว....สีข้าว....

สายชล
05-07-2010, 20:05
ทุ่งนาในศูนย์ ต้นข้าวยืนต้นเขียวขจี.....


หุ่นไล่กา....ที่ไม่มีกาจะให้ไล่....

สายชล
05-07-2010, 20:10
มีโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เพื่อนำมาใช้เป็นน้ำมันดีเซล...

สายชล
05-07-2010, 20:12
การเลี้ยงไก่....

ไก่พันธุ์นี้ หัวล้านใสเหม่ง...

สายชล
05-07-2010, 20:16
หนองน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆเกาะ ใช้เป็นที่เลี้ยงปลา....


มีนกน้ำหลายชนิดเริ่มมาอาศัยอยู่รอบๆหนองน้ำ...


เรือแพมีไว้บริการ สำหรับผู้ต้องการนั่งกินลมชมวิวรอบๆหนองใหญ่...

สายชล
05-07-2010, 20:23
น้องกอล์ฟและน้องพงษ์ชวนสองสายเดินไปบนสะพานไม้ที่ต่อโดยอาสาสมัครวัยรุ่นที่เคยเกเร แต่มาอยู่ในศูนย์ฯ เพื่อทำงานรับใช้ถวายในหลวงเช่นเดียวกับน้องกอล์ฟและน้องพงษ์...

สายชล
05-07-2010, 20:26
สะพานไม้ซึ่งดูมั่นคงแข็งแรง ทอดตัวไปยังเกาะเล็กๆอีกเกาะหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นที่ปลูกไม้ดอกไม้ผลหนาแน่น....

สายชล
05-07-2010, 20:32
น้องกอล์ฟซึ่งเริ่มผ่อนคลาย ไม่เครียดเหมือนที่เราได้เห็นในตอนแรกๆ

เขาเริ่มระบายความในใจให้เราฟังว่า การมาทำงานที่นี่เขาต้องละทิ้งชีวิตชาวสวนที่เรียบง่ายและสงบมาทำงานพลิกฟื้นแผ่นดินในศูนย์ฯ แห่งนี้ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนและปัญหามากมาย

แต่เขาก็กัดฟันทนทุกอย่าง เมื่อได้เห็นความตั้งใจและทุ่มเทของท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ที่มาเริ่มต้นงานนี้อย่างเต็มที่สุดกำลังความสามารถเพื่อในหลวงของเรา ทั้งที่ตอนเริ่มแรกนั้น ยังไม่ได้รับงบประมาณมาสนับสนุน...

สายชล
05-07-2010, 20:39
นับเป็นบุญที่มีคนดีๆเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันทำงานในศูนย์ฯแห่งนี้ แบบยอมเสียสละกำลังความคิด กำลังกาย และกำลังทรัพย์ โดยไม่หวังผลตอบแทนอีกมากมายหลายคน


หนึ่งในนั้นก็คือ น้อง วริสร รักษ์พันธุ์ แห่งชุมพรคาบาน่า รีสอร์ต ที่ทำงานเกี่ยวกับศูนย์เศรษฐกิจพอเพียงอยู่แล้ว ได้เข้ามาช่วยงานและให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ ทำให้มีกำลังใจทำงานขึ้นมาก....

สายชล
05-07-2010, 20:44
สองสายฟังน้องกอล์ฟพูดแล้วก็นึกศรัทธาในตัวเขาขึ้นมา เช่นเดียวกับที่เราศรัทธาท่านผู้ว่าฯ การัณย์ และน้องวริสร.....


เราอยากให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป ด้วยความเจริญก้าวหน้า เหมือนเรือที่แล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ และอยู่รอดปลอดภัยจนถึงฝั่ง...


ขออย่าให้ศูนย์ฯ เหมือนเรือที่จอดจมน้ำอยู่ใกล้ฝั่งลำนี้เลย....เจ้าประคุ๊ณ.....

สายชล
05-07-2010, 21:06
เราเดินไปบนถนนดินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ เพื่อกลับไปด้านหน้าศูนย์เมื่อใกล้เย็นย่ำสนธยา...


ถนน...คือหนทางให้เราออกก้าวเดิน
ถนน...พาเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ
ถนน...ที่ราบเรียบ เดินได้อย่างสบายกายสบายใจ
ถนน...ที่ขรุขระ ต้องเดินด้วยความระมัดระวัง



ไม่ว่าถนนจะราบเรียบหรือขรุขระ หากเรามีสติในการเดิน
ย่อมส่งผลให้เราเดินได้อย่างปลอดภัย



แต่เมื่อใดที่เผลอสติ ทำให้เราประคองตัวเองไม่ได้...ล้มลง
จงรีบกลับมาตั้งสติใหม่ แล้วค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นก้าวเดิน...ต่อไป
แล้ววันหนึ่งเราจะถึงจุดหมายที่หวังไว้ เพราะเราไม่เคย “ ท้อถอย “



ข้อความดีๆจาก...http://glitter.212cafe.com

สายชล
05-07-2010, 21:31
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2553.....ท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ได้รับรางวัล “ความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ในระดับจังหวัด” ประจำปี 2552 ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร. และสถาบันพระปกเกล้า ได้จัดขึ้น


และในวันที่ 4 มิถุนายน 2553.....ท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และลาออกจากราชการ เพื่อไปเป็น ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ "โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ ตามแนวพระราชดำริ" และ "ศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการฯ หนองใหญ่ โดยตรง


ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะท่านผู้อำนวยการฯ กรัณย์ ที่ได้ทำงานที่ท่านรักอย่างเต็มเวลา....

Super_Srinuanray
05-07-2010, 22:58
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 53.....ท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ได้รับรางวัล “ความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ในระดับจังหวัด” ประจำปี 2552 ที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร. ได้จัดขึ้น


และในวันที่ 4 มิถุนายน 2553.....ท่านผู้ว่าฯ การัณย์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และลาออกจากราชการ เพื่อไปเป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ "โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ ตามแนวพระราชดำริ" และ "ศูนย์การเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการฯ หนองใหญ่ โดยตรง


ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะท่านผู้อำนวยการฯ กรัณย์ ที่ได้ทำงานที่ท่านรักอย่างเต็มเวลา....



ขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจด้วยค่ะ ถึงว่าสิ พี่น้อยเรียกว่าอดีตผู้ว่า น้องก็สังเกตแล้ว แต่ลืมถามทุกครั้งที่พบค่ะ... แล้วงานไหนจะทำประโยชน์ได้มากกว่ากันล่ะคะพี่....แต่ว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจมากทีเดียว หากมีเวลาจะขอไปเที่ยวด้วยค่ะ

สายน้ำ
06-07-2010, 07:47
งานใหม่ในตำแหน่ง "ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ" ได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทของในหลวง ย่อมเป็นงานที่น่าจะทำให้ท่านสุขใจที่ได้ทำมากกว่างานในตำแหน่งผู้ว่าฯ ที่ต้องทำงานรับใช้นักการเมืองมากกว่ารับใช้ประชาชนครับ น้อง snr ....


เป็นงานที่น่าสรรเสริญและน่าส่งเสริม เพราะช่วยให้ชาวบ้านที่ยากจนสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยการพึ่งตนเองเป็นหลัก จะได้ไม่ต้องรอรับส่วนบุญจากภาครัฐครับ

koy
06-07-2010, 09:45
ขอขอบคุณผู้่ำทำงานปิดทองหลังพระทุกท่านเลยครับ

ดอกปีบ
06-07-2010, 11:36
สุดยอดจริงๆครับท่านอดีตผู้ว่าฯ ..

เห็นที่พี่ติ่งถามว่า งานไหนน่าจะได้ประโยชน์กว่ากัน ผมเองก็คงไม่ทราบคำตอบ แต่ที่ทราบและก็ืเชื่อมาตลอดก็คือ งานที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองไม่ว่างานไหนก็เป็นงานที่มีเกียรติและควรค่าแก่การยกย่องไม่ต่างกันครับ

สายชล
06-07-2010, 12:47
ใช่ค่ะ....


งานใดก็ตามที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน....


นอกจากความสุขใจและภูมิใจที่ได้ทำ และไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้ว....


ย่อมมีค่าควรแก่การยกย่องสรรเสริญทั้งนั้น....

สายชล
06-07-2010, 13:01
วันที่ 16 มีนาคม 2553.....วันรุ่งขึ้น หลังจากการร่วมประชุมเรื่อง "งานเปิดโลกทะเลชุมพร 2010" แล้ว เราออกเดินทางจากทุ่งวัวแล่น ที่เราไปพักค้างคืนอยู่ เพื่อมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไปตามถนนเรียบอ่าวไทย...เส้นทางที่สวยและน่าเดินทางอีกเส้นทางหนึ่งของเมืองไทย...


จากการบอกเล่าของอดีตท่านผู้ว่าฯ การัณย์....เราเลี้ยวรถเข้าไปตามทางขึ้น "เขาดินสอ" ยอดเขาสูงที่สุดที่อยู่ติดทะเล ที่ใช้เป็นจุดชมวิวและแหล่งศึกษาธรรมชาติ ของเมืองปะทิว ชุมพร

สายชล
06-07-2010, 14:28
เดิมทีการขึ้นเขาดินสอแสนจะยากลำบาก มีทางลูกรังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อให้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อปีนขึ้นไปได้สักพักเดียว ก็ต้องเดินเท้าต่อขึ้นไป

แต่ในปัจจุบัน....มีถนนลาดยางอย่างดี ทอดยาวขึ้นไปเกือบถึงยอดเขาแล้ว การปีนต่อไปจนถึงยอดเขานั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่าผจญภัย เพราะต้องใช้เวลาเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 2 ชั่วโมง ผ่านเข้าไปท่ามกลางป่าและพรรณไม้เฉพาะถิ่นภาคใต้

บนยอดเขาซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 400 เมตร เป็นลานเรียบกว้างปกคลุมด้วยทุ่งหญ้า มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกลทั้งด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นท้องทะเลและชายหาดทุ่งวัวแล่น และด้านทิศตะวันตกที่จะมองเห็นทางรถไฟสายใต้ สวนผลไม้และสวนยางพารา และทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงามทอดไกลไปจรดประเทศพม่า

สายชล
06-07-2010, 14:40
“แม่อนงค์” หรือ “ครูมาลัย ชูพินิจ” นักหนังสือพิมพ์และนักเขียนชั้นครูระดับอัจฉริยะ ได้พูดถึง "เขาดินสอ" แห่งเมืองปะทิว ชุมพร ไว้ในอมตะนิยายเรื่อง “แผ่นดินของเรา” ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนรวมทั้งตัวสายชลไว้ด้วยว่า


"เมื่อวานนี้เราไปที่เขาดินสอ ได้กวางมาสองตัว จะย่างหรือตากเค็มฝากมาบ้าง......ทั้งหมูแลนกยูงก็กำลังชุม....."


นั่นแสดงให้เห็นว่า...เมื่อหกสิบปีมาแล้วนั้น "เขาดินสอ" อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาพันธุ์ ผิดกับสมัยนี้ที่สัตว์ป่าแทบไม่มีให้เห็นแล้ว


อย่างไรก็ตาม....ใน ช่วงเดือน ตุลาคม - พฤศจิกายน ของทุกปี จะมีนกล่าเนื้อ ประเภทนกเหยี่ยว และนกอินทรีย์ โดยเฉพาะนกเหยี่ยว จะมีด้วยกัน 6 สายพันธุ์ ได้แก่ เหยี่ยวผึ้ง เหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน เหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น เหยี่ยวหน้าเทา เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ และเหยี่ยวชิคร่า จำนวนนับล้านตัว ที่หนีอากาศหนาวจากประเทศจีน ได้ทยอยอพยพผ่านประเทศไทย เพื่อไปหาแหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยทางตอนเหนือของประเทศอินโดนีเซีย โดยเขาดินสอเป็นหนึ่งในจุดที่เหยี่ยวมาพักอาศัยที่มีชื่อเสียงของไทย นอกเหนือจากที่ตำบลท่ายาง ยอดเขาเรดาร์ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สายชล
06-07-2010, 14:48
สองสายมีเวลาน้อยมากแถมยังแก่มาก เลยไม่มีโอกาสได้ปีนขึ้นไปถึงยอดเขาดินสอ เราเลยจอดรถชมวิวอยู่ที่สุดทางรถยนต์


ทิวทัศน์ที่ได้เห็นก็เลยจำกัดอยู่ที่อ่าวทุ่งวัวแล่น และอ่าวสะพลี....

สายชล
06-07-2010, 14:52
ผู้ที่สนใจจะไปขึ้นเขาดินสอ...โปรดใช้เส้นทาง จากตัวเมืองชุมพร-อำเภอปะทิว ทางหลวงหมายเลข 3180 ประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านหมู่บ้านสะพลี ถึงสี่แยกต้นมะขาม เลี้ยวขวาไปอำเภอปะทิว


ดูข้อมูลและชมภาพสวยๆเพิ่มเติมได้ที่....http://chumphontour.com/forum/index.php?topic=165.0


ขอบคุณน้องหมูมากๆค่ะ ภาพของน้องสวยๆทั้งนั้น....ส่วนภาพของพี่สองสาย ฟ้าเกิดปิด ดูไม่ค่อยได้เลย...

สายชล
06-07-2010, 15:49
จากเขาดินสอ...เราแล่นรถขึ้นเหนือไปตามทางเรียบทะเลอย่างเรื่อยๆมาเรียงๆ....


ไม่นานนัก...เราก็เห็นโค้งอ่าวเหมือนจันทร์เสี้ยว หาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีเขียวมรกต

กลางทะเลไม่ไกลจากฝั่งนัก มีเกาะเล็กๆ ที่ด้านหน้ามีหาดทรายขาวสะอ้าน ด้านหลังเป็นเขาสูง เขียวขจีด้วยแมกไม้ ได้ยินมาว่า เกาะนั้นคือ "เกาะไข่"


ส่วนอ่าวนี้ มีป้ายข้างทางบอกว่าอ่าวนี้เรียกว่า "อ่าวบ่อเมา"....


เอ....ทำไมอ่าวนี้มีบ่อที่ทำให้เมาด้วยนะ เห็นทีต้องขอแวะเข้าไปชมความงามสักหน่อยแล้วล่ะค่ะ...

สายชล
06-07-2010, 15:57
ลงไปดูใกล้ๆ...หาดทรายที่อ่าวบ่อเมาไม่ได้ขาวสะอ้านอย่างที่เราได้เห็นเมื่ออยู่ไกลๆ ทรายมีสีออกเหลืองนวล แถมมีขยะเกลื่อนกลาดเต็มชายหาด....


ถ้าจะเมา....ก็เมาขยะที่เห็นนี่แหล่ะค่ะ....

สายชล
06-07-2010, 15:59
เห็นแล้วน่าจะมาจัดงานเก็บขยะที่ชายหาดอ่าวบ่อเมาซะจริงๆเลยล่ะค่ะ....


เอ....มีเสาอะไรปักอยู่ที่ชายหาดตลอดแนวนะ.....

สายชล
06-07-2010, 16:05
เข้าไปอ่านใกล้ๆ....บนเสาเหล่านั้นเขาเขียนไว้ว่า "เขตควบคุมทางน้ำ ของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี"


พอเป็นเขตควบคุมแล้ว เข้าใจว่าน่าจะห้ามใครๆเข้ามากระทำการใดๆบนชายหาดแห่งนี้ แต่คงห้ามขยะที่ลอยมากับน้ำทะเล เข้ามาเกยตื้นจนเกลื่อนกลาดเต็มชายหาดไปหมดไม่ได้....


น่าเสียดาย....ขยะที่มากมายทำให้ความงามของชายหาดอ่าวบ่อเมาแห่งนี้แทบไม่เหลือให้เห็นเลยค่ะ...

สายชล
06-07-2010, 17:18
เลยจากอ่าวเมาไป....เราไปถึงชุมชนชาวทะเลเล็กๆที่อยู่ในอ่าวที่เรียกกว่า "ทุ่งมหา"


บ้านเรือนของชาวบ้านปลูกติดชายหาดริมทะเล ที่เป็นอ่าวโค้งมีเกาะและภูเขาอยู่หน้าอ่าว ซึ่งเป็นที่หลบลมได้เป็นอย่างดี...

สายชล
06-07-2010, 17:22
สะพานท่าเทียบเรือสองสะพานที่ยื่นออกไปในอ่าว ดูมั่นคงแข็งแรง...

สายชล
06-07-2010, 17:24
เรือประมงเล็กๆมากมายจอดอยู่ในอ่าว ไม่ไกลจากสะพานปลานัก...

สายชล
06-07-2010, 17:26
ที่เขื่อนกันคลื่นลมริมชายหาด เป็นที่ตากหมึกที่คงมีมากมายให้ชาวประมงได้ออกไปจับกันกลางทะเลนอกชายฝั่ง...

สายชล
06-07-2010, 17:37
มองออกไปขอบอ่าวที่เป็นเทือกเขาต่อกันยาว โค้งเป็นครื่งวงกลม มองเห็นเกาะใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลสีเขียวมรกต ด้านขวาไกลออกไป มองเห็นเกาะไข่ และเกาะง่ามน้อย - ง่ามใหญ่อยู่ไกลๆ


ระหว่างโค้งเขากับเกาะใหญ่ เราเห็นเกาะเล็กๆลอยอยู่กลางทะเล ดูลักษณะภูมิประเทศแวดล้อมและลักษณะของเกาะแล้ว เราก็จำได้ว่า นั่นคือ "เกาะร้านเป็ด"


และเกาะใหญ่หน้าอ่าวทุ่งมหานี่เอง ที่เรามักจะมาจอดเรือหลบลม ทุกครั้งที่เรามาดำน้ำที่เกาะร้านเป็ด และเกาะร้านไก่....


ถ้ามีร้านดำน้ำมาตั้งอยู่ที่อ่าวทุ่งมหา.... หรือเรามาขึ้นเรือที่อ่าวทุ่งมหาได้ การไปดำน้ำที่เกาะร้านเป็ด และเกาะร้านไก่ จะใช้เวลาเพียงน้อยนิด และแสนจะสดวกสบาย มีอ่าวให้เราหลบคลื่นลมได้อย่างปลอดภัย ดีกว่าที่จะเดินทางตรงมาจากชุมพรเสียอีกนะคะ


มีใครคิดจะไปตั้งร้านดำน้ำที่อ่าวทุ่งมหาไหมคะ....สองสายจะได้ไปอุดหนุน...

ดอกปีบ
06-07-2010, 19:46
ตามพี่สองสายมาทัวร์ชุมพรต่อนะครับ .. เพลินดีจังเลย แถมได้ความรู้ัอีกด้วย

สายชล
06-07-2010, 20:06
ขอบคุณจ้ะน้องปี๊บ....


พรุ่งนี้จะพาเที่ยวต่อจ้ะ....คืนนี้ขอไปนอนก่อนนะจ๊ะ...

KENG@SK
06-07-2010, 20:52
โพสของตัวเองเรียบร้อยแล้วขอมาเกาะเป็นเหาฉลามติดพี่สายชลไปด้วยคนครับ:D

สายชล
07-07-2010, 11:47
ไปเลยค่ะ....ตามไปเที่ยวด้วยกันต่อเลยค่ะน้องkeng@sk.....

สายชล
07-07-2010, 12:03
ไปค้นหาข้อมูลของอ่าวทุ่งมหา ใน Google ได้พบว่า ที่อ่าวทุ่งมหานี้ มีปราชญ์ชาวบ้านที่มีชื่อเสียงอยู่ด้วยท่านหนึ่ง เชิญอ่านดูนะคะ


จาง ฟุ้งเฟื่อง ปราชญ์ชาวบ้าน นักอนุรักษ์ปูม้า แห่งอ่าวทุ่งมหา

ที่มา http://www.santirat.net

"ถ้าอยากรู้เรื่องปู ต้องมาดูลุงจาง" สโลแกนประจำตัวของประธานธนาคารปู จาง ฟุ้งเฟื่อง เฒ่าทะเลวัย 70 ปี แห่งบ้านเกาะตืบ ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ผู้มีความสุขอยู่กับการอนุรักษ์พันธุ์ปู ที่มีจำนวนลดน้อยลงทุกวัน ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น วิธีการนี้ขยายไปสู่ฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นับเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่น่ายกย่อง

http://share.psu.ac.th/file/pilaiwan.p/DSC07606.JPG http://share.psu.ac.th/file/pilaiwan.p/DSC07596.JPG

ภาพจาก http://share.psu.ac.th/blog/coasta-activities/6979



ฟื้นฟูคู่อนุรักษ์ รู้จักใช้อย่างยั่งยืน


มันก็คล้ายๆ กับการฝากเงิน-ถอนเงินของธนาคาร แต่เปลี่ยนมาเป็นการฝากแม่ปูและจับปูแทน ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ ธนาคารปู ส่วนดอกเบี้ยก็คือ ลูกปู ที่ปล่อยลงทะเล ถึงเวลาก็ไปจับขึ้นมาขาย เป็นรายได้ของชาวบ้าน ส่วนแม่ปูที่ไข่หลุดจากกระดอง ก็เอาไปขายนำเงินเข้าเป็นสวัสดิการแก่สมาชิกในกองทุนต่อไป


คนในวัย 70 คงถึงเวลาแก่การพักผ่อน มีความสุขอยู่กับลูกหลาน หลังต้องตรากตรำทำงานหนักมาค่อนชีวิต แต่สำหรับ ลุงจาง ฟุ้งเฟื่อง เฒ่าทะเลแห่งอ่าวทุ่งมหา เจ้าของแนวคิดธนาคารปู กลับมีความสุขอยู่กับการอนุรักษ์พันธุ์ปู ที่มีจำนวนลดน้อยลงทุกวัน ก่อนแนวคิดนี้จะแพร่กระจายไปสู่หลายพื้นที่ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน


ลุง จางได้ริเริ่มก่อตั้ง ธนาคารปู เมื่อปี 2545 หลังทะเลที่ทำกินอยู่เกิดวิกฤติหนัก หลังจากที่มีเรือประมงขนาดใหญ่ลักลอบเข้ามาหากินบริเวณชุมชนเกาะเตียบ อ่าวทุ่งมหา โดยเรือที่ว่าใช้ลอบที่มีขนาดตาถี่เกินไป หรือที่ชาวเลรู้จักกันดีว่าลอบ 1 นิ้ว 2 หุน แทนที่จะได้ปูตัวใหญ่อย่างเดียว แต่กลับลากลูกปูที่อยู่ในวัยอนุบาลขึ้นมาด้วย จากจำนวนปูม้าที่เคยจับได้อย่างเป็นกอบเป็นกำก็เริ่มลดจำนวนลงอย่างรวด เร็ว...


เพียงหนึ่งปีภายหลังเกิดวิกฤติ ลุงจางจึงออกไปพูดคุยกับชาวบ้านเพื่อรวบรวมสมาชิกสำหรับจัดตั้งเป็นกลุ่ม ได้รับความสนใจดีทีเดียว แต่ติดปัญหาที่ขาดแหล่งเงินทุน ในการทดลองและจัดซื้ออุปกรณ์ ลุงจึงเข้าไปปรึกษากับหน่วยงานประมงในจังหวัดชุมพร แม้จะเข้าไปท่ามกลางความกลัว เนื่องจากไม่แน่ใจว่าหน่วยงานจะเชื่อใจหรือไม่ เพราะไม่เคยมีคนใช้วิธีแบบนี้มาก่อน


แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีหลัง ทุกอย่างพร้อมลุงจางจึงเริ่มลงมือ เวลาผ่านไปไม่นานก็เห็นผลงาน เมื่อพบว่าจำนวนลูกปูมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสำเร็จก็เป็นรูปธรรมมากขึ้น จากที่วันหนึ่งๆ แทบจะจับปูไม่ได้เลย แต่ภายหลังมีโครงการธนาคารปู จำนวนปูม้าก็ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความอุตสาหะดังกล่าวทำให้ลุงจาง ได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นคนดีศรีชุมพรในปี 2549 และคว้ารางวัลชนะเลิศคนดีทำงานเพื่อสังคมดีเด่นจากบริษัท กรุงเทพประกันภัย ในปีเดียวกัน


ผลงานเป็นที่ประจักษ์จนกล้าเอ่ยปากได้ว่า "ถ้าอยากรู้เรื่องปู ต้องมาดูลุงจาง"


0 อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งธนาคารปู

จริงๆ แล้ว ในอดีตอ่าวทุ่งมหานี้ปูม้าประมาณ 80-92 เปอร์เซ็นต์ แต่พอในปี 2544 ปูม้าเริ่มหายไป ชาวบ้านอยู่ไม่ได้ คนอื่นก็หันไปทำอย่างอื่น ผมก็มานอนคิดว่าทรัพยากรตัวนี้เราใช้มากเกินไป โดยที่เราไม่ได้เหลียวแลเลย บังเอิญได้ยินสมเด็จพ่อของเราท่านพูดไว้ว่าทรัพยากรยังมีอยู่ ถ้าเรารู้จักใช้ รู้จักดูแล ตรงนี้เขาจะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน ผมก็มาคิดตรงนี้ว่า ที่ผ่านมาเราไม่ได้ดูแลเขาเลย มีแต่จับอย่างเดียว ก็เลยมาปรึกษากับผู้ใหญ่ว่าจะทำอย่างไรจะให้ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์และขยาย พันธุ์ปูเพิ่มขึ้น ผู้ใหญ่ก็อนุเคราะห์กระชังมาให้ลูกหนึ่ง ต่อมาศูนย์วิจัยประมง จ.ชุมพร ได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ จากนั้นในปี 2547 อบต.บ้านปากคลอง ก็มาสร้างอาคารศึกษาดูงานให้ 1 หลัง

0 ที่ผ่านมามีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง

เริ่ม ก่อตั้งกลุ่มเมื่อปี 2545 ตอนนั้นมีสมาชิก 4 คนก็บอกว่าทุกคนขอให้เอาแม่ปูมาฝากกับธนาคาร ผมเป็นประธานกลุ่ม เมื่อตกลงกันแล้วสมาชิกก็เอามาฝากไว้กับผม วันละตัว ทุกวันนี้นี้ผมจะเอาแม่ปูไปเลี้ยงในกระชังทุกวัน ช่วงแรกเราขอคนละตัว คุณได้ 4-5 ตัวเราขอวันละตัว เพื่อเสียสละนำร่อง เรามองว่าถ้าเราเอาของเขามาก เขาไม่ร่วมกับเราแน่ เพราะวิธีการอย่างนี้มันไม่มีที่ไหนทำ คนที่ไม่ร่วมกับเรา เขาพูดกันว่าลุงจางมันบ้า เพราะว่าถ้าโครงการนี้ดี ไม่ตกมาถึงมือผม มีคนทำหมดแล้ว ผมถามว่ามีคนที่คิดตรงนี้สักกี่คนถ้าเราไม่ทำ เราไม่ลอง เราก็ไม่รู้ ผมประกาศในกลุ่มว่าใครจะทำไม่ทำ ผมไม่ว่า แต่ผมจะทำ แม้จะมีผมคนเดียวก็จะทำ ผมตั้งปณิธานไว้อย่างนั้น คุณเอ๊ยมันมีอุปสรรคมาก ในช่วงแรกๆ คนเขาไม่ค่อยเห็นด้วย

0 กลุ่มวางกฎระเบียบไว้อย่างไร

กฎที่วางไว้คือ1.ลอบที่ใช้ต้องใช้ ลอบตาห่าง 2.5 นิ้ว เพื่อให้ปูที่ตัวเล็กหรือปูที่กำลังเติบโตมีโอกาสหลุดรอดออกไปแพร่พันธุ์ 2.สมาชิกที่จะจับปูม้าในเขตอ่าวทุ่งมหา หรือเกาะเตียบนั้นจะต้องทำตามกติกาที่วางไว้ คือ นำแม่ปูมาฝากไว้เท่าไร ก็จับปูม้าได้แค่นั้น คือยิ่งฝากแม่ปูมาก ก็ยิ่งจับปูม้าได้มากขึ้น มันก็คล้ายๆกับการฝากเงินถอนเงินของธนาคาร แต่เปลี่ยนมาเป็นการฝากแม่ปูและจับปูแทน ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ ธนาคารปู ส่วนดอกเบี้ยก็คือลูกปูที่ปล่อยลงทะเลให้มันเติบใหญ่ถึงจะไปจับขึ้นมาขาย เป็นรายได้ของชาวบ้านต่อไป ส่วนแม่ปูไข่ที่ชาวบ้านนำมาฝากไว้ ผมก็นำไปเลี้ยงต่อประมาณ 7 วัน จนไข่แม่ปูหลุดจากกระดองไปแล้ว ก็จะนำแม่ปูของสมาชิกที่ฝากไว้ไปขายเพื่อนำเงินที่ได้เข้ากองทุนธนาคารปู ซึ่งขณะนี้ฝากไว้ที่ ธ.ก.ส.สาขามาบอำมฤต ซึ่งเงินก้อนนี้จะนำมาเป็นสวัสดิการแก่สมาชิกกองทุน

0 ทำไมทำเฉพาะปูม้า

ปูอื่นก็ได้ครับแต่ขอ ปูม้าก่อน เพราะเป็นปูที่ขายได้ราคา ส่วนปูดำไม่มีวันหมด ตราบใดที่ยังมีป่าชายเลนสมบูรณ์ อย่างที่นี่ยังมีปูดำอีกมาก ตั้งแต่ป่าชายเลนสมบูรณ์นี่ ปูดำยั้วเยี้ยไปหมด แต่ราคาไม่ดีเท่าปูม้า


0 วางอนาคตโครงการธนาคารปูไว้อย่างไร

ใน อนาคตให้สมาชิกได้สืบทอดเจตนารมณ์ต่อไปคือทำเรื่อยๆ อย่างที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ วันนี้อาจไหวอยู่ แต่ต่อไปคงทำเองไม่ไหว สมาชิกจะได้สานต่อไปได้ ทุกวันนี้ใครหรือหน่วยงานไหนจะมาขอแนวความคิด ขอการทำงาน ผมยินดีให้เป็นวิทยาทาน ตราบใดยังมีลมหายใจ ยังมีชีวิตอยู่ จริงๆ แล้วตรงนี้เป็นแนวความคิดของผมเอง มีฝรั่งจากเนเธอร์แลนด์มาดูงาน เขาก็ถามว่าลุงไปก๊อบปี้ใครมา ผมก็บอกว่าแนวทางนี้มีแต่คนมาก๊อบปี้ผม


0 คติประจำใจในการทำงานของลุง

ถ้าคติ ประจำใจของผมก็คือฟื้นฟู คู่อนุรักษ์ รู้จักใช้อย่างยั่งยืน คือใช้ยังไงไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติหมดไป ตรงนี้ผมยึดมั่นเลย แล้วก็กลุ่มที่มาดูงานต่างๆ ถ้าคุณหาคำขวัญไม่ได้ ขอให้นำคำขวัญของผมใช้ คำขวัญผมนี่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ (หัวเราะ)



0 มีความรู้สึกอย่างไรต่อรางวัลนี้

การทำงานของผมจริงๆไม่ได้ ตั้งเป้าหมายว่าจะได้รับรางวัล แต่การทำงานตรงนี้ทำเพื่อส่วนรวม การหวังรางวัลผมก็ไม่เคยหวังตรงนั้น แต่ขณะนี้ที่ผมได้รับรางวัลเมื่อปี 2549 รางวัลคนดีศรีชุมพร ก็ได้เข็มเกียรติยศ ป้ายประกาศเกียรติคุณ พออีกครั้งหนึ่งจากบริษัท กรุงเทพประกันภัย ก็มาให้รางวัลอีกในฐานะคนดีทำประโยชน์เพื่อสังคม เมื่อได้แล้ว มันก็ต้องดีใจ ทีนี้มาดีใจมากอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ไปประเทศญี่ปุ่น ขนาดญี่ปุ่นเรียกว่าประเทศพัฒนาแล้วเขายังสนใจโครงการของเรา แล้วเขาก็เชิญให้ผมเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับธนาคารปู ญี่ปุ่น

แล้วก็มาครั้งนี้ที่จะให้ไปรับรางวัลแทนคุณแผ่นดิน (ในปี 2550 )ผมดีใจสุดๆ เหมือนกัน เพราะว่าคนทำความดี ความดีย่อมมาหา แต่จริงๆ เป้าหมายที่ผมทำโครงการธนาคารปูนั้น ผมพูดด้วยน้ำใสใจจริงว่าผมไม่ได้ทำเพื่อรางวัล แต่คนที่ทำความดีตรงนี้รางวัลมาหาเอง คิดว่าคนที่จะทำโครงการอะไรก็ตาม อย่าทำเพื่อหวังรางวัล ถ้าทำเพื่อหวังรางวัลถ้าผิดหวังจะเสียใจ

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


ทำ ความรู้จักกับ "ธนาคารปู"

http://share.psu.ac.th/blog/coasta-activities/6979
http://www.siangdek.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=414522&Ntype=3

สายชล
07-07-2010, 12:13
สายเลือดลูกน้ำเค็มของชาวประมงบ้านเกาะเตียบ ในอ่าวทุ่งมหา อ.ปะทิว จ.ชุมพร ทะเลเปรียบได้ดังบ้าน และขุมทรัพย์แห่งชีวิต



http://i736.photobucket.com/albums/xx8/nop-maneewat/you01190353p1.jpg

ชาวบ้านบ้านเกาะเตียบแทบทุกหลังคาเรือนประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน การดักลอบปูม้าเป็นอีกหนึ่งอาชีพของคนที่นี่ ในวันที่อากาศปลอดคลื่นลมมรสุม เรือประมงพื้นบ้านออกไปวางลอบดักปูไว้กลางทะเลตั้งแต่เย็นวาน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงกลับมากู้และกลับเข้าฝั่งพร้อมปูม้าและปูอื่นๆ ที่พร้อมต้มแกะเนื้อและส่งขาย


วันนี้ทรัพยากรทางทะเลอย่างปูม้าใน อ่าวทุ่งมหาอุดมสมบูรณ์ ไม่นับเรื่องสภาวะอากาศช่วงมรสุมที่ชาวบ้านบอกว่าจะจับปูได้มากกว่าวันอื่นๆ ที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งคลื่นลมไม่แรง วางลอบตรงจุดไหนก็ติดปูม้าขึ้นมาทุกครั้ง นั่นเพราะชาวประมงที่นี่ตระหนักถึงการอนุรักษ์ฟื้นฟูปูม้าด้วยวิธีการที่ ยั่งยืน หลังจากเคยได้รับบทเรียนวิกฤตด้านทรัพยากรทางทะเลที่ร่อยหรอเมื่อปีพ.ศ.2544


จาง ฟุ้งเฟื้อง วัย 71 ปี ผู้เฒ่าแห่งท้องทะเลบ้านเกาะเตียบ ผู้ทำอาชีพประมงมาทั้งชีวิต ได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งดีและร้าย เคยเผชิญหน้ากับวิกฤตทรัพยากรทางทะเลในอ่าวทุ่งมหา ที่ร่อยหรอ จนกระทั่งส่งผลต่ออาชีพและรายได้


ลุงจางเล่าว่า "ปี 2544 ปูหายหมด เรียกว่าไม่มีให้เราขาย แค่มีพอบริโภคในครัวเรือน ตอนนั้นมีปัญหาเรืออวนลากเข้ามาหากินในทะเลบริเวณอ่าวทุ่งมหา เรือพวกนี้เขาใช้ลอบตาถี่ขนาด 1 นิ้ว 2 หุน เรียกได้ว่าเป็นลอบทำลายล้าง ทำให้สัตว์น้ำไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ติดอวนไปหมด อย่างปูตัวเต็มวัยก็ติดลอบ ปูตัวเล็กๆ วัยอนุบาลก็ติดมาด้วย ทำให้จำนวนสัตว์น้ำในอ่าวทุ่งมหาช่วงนั้นลดลงมาก ชาวประมงบางคนทำกินไม่ได้ก็ต้องย้ายถิ่น บางคนก็หันไปทำอย่างอื่น เดือดร้อนกันมาก"


"ปี 45 ผมกับชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้ เพราะเรามีอาชีพจับปูขาย ผมมานั่งคิดว่าเราจะมีวิธีไหนได้บ้างที่จะไม่ให้ปูหมดไปมากกว่านี้ ปูไข่นอกกระดองที่พร้อมจะวางไข่สืบพันธุ์ตัวที่เราจับมาได้ เราน่าจะลองเลี้ยงในกระชังกลางทะเลเพื่อให้ปูปล่อยไข่คืนสู่ทะเล ผมจึงหาเพื่อนสมาชิกผู้ทำอาชีพจับปูเหมือนกัน ทดลองเลี้ยงแม่ปูในกระชัง 1 ลูก หลังจากนั้นก็เพิ่มกระชังขึ้น ร่วมมือกันทำธนาคารปูขึ้น สมาชิกคนไหนจับปูมาได้ก็เอามาใส่กระชังรวมให้อาหารและเลี้ยงแม่ปูให้ปล่อย ไข่ให้หมด แล้วจึงคืนปูตัวนั้นๆ ให้เจ้าของนำไปขายต่อไป

นอกจากจะทำ ธนาคารปู ผมยังรณรงค์ให้เพื่อนสมาชิกใช้ลอบตาห่างขนาด 2.5 นิ้ว มาใช้แทนลอบทำลายล้างอย่างลอบตาถี่ เพื่อเป็นมิตรต่อสัตว์น้ำทุกชนิดด้วย"

ผล จากการอนุรักษ์ของลุงจางและชาวบ้านกลุ่มสมาชิกเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ ปูม้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น นับจากเริ่มต้นแนวคิดการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน รวมเวลากว่า 8 ปีแล้ว วันนี้ธนาคารปูม้าของลุงจากได้รับการตอบรับอย่างดี

http://i736.photobucket.com/albums/xx8/nop-maneewat/you01190353p2.jpg


"คำขวัญของธนาคารปูคือ ฟื้นฟูคู่อนุรักษ์ รู้จักใช้อย่างยั่งยืน คำว่าฟื้นฟู หมายถึงว่าเราได้แม่ปูไข่นอกกระดองหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ไข่ลากทราย เราจะนำมาใส่กระชังเพื่อให้แม่ปูวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ ทีนี้เมื่อได้ลูกปูเยอะๆ แล้ว เราก็ต้องดูแลให้เขาเจริญเติบโต และเราต้องใช้เครื่องมือที่เป็นมิตรกับทรัพยากร เมื่อเราได้ทำอย่างนี้แล้วได้แม่ปูไข่นอกกระดองเราก็เอามาใส่ในกระชัง เมื่อใส่กระชังแม่ปูก็วางไข่ มันจะเป็นวัฏจักร เป็นลูกโซ่หมุน เรียกว่าใช้อย่างไม่มีวันหมด ใช้อย่างยั่งยืน"


ส่วนเด็กรุ่นใหม่ ลูกหลานชาวเล หลานสาวของลุงจางอย่าง น้องเมย์ ด.ญ.เฟื่องฟ้า สกุลนุ่ม วัย 12 ขวบ เด็กน้อยก็ตระหนักถึงการร่วมกันดูแลทรัพยากรท้องทะเลเช่นกัน


"ตา ของหนูทำธนาคารปูมานานแล้ว โดยเอาแม่ปูไข่ไปปล่อยในธนาคารให้มันวางไข่ตามธรรมชาติ" น้องเมย์เล่ารูปแบบการอนุรักษ์ของลุงจางและชาวบ้านคนอื่นๆ


ปูม้าตัวเมียสีน้ำตาลไม่สดใสสีสวยด้วย กระดองสีฟ้าเหมือนตัวผู้ แต่สีสันของไข่นอกกระดอง หรือที่เรียกว่าไข่ลากทรายดึงความสนใจของเด็กๆ ได้


น้องดาว ด.ญ.มะลิวัลย์ ฟุ้งเฟื่อง วัย 8 ขวบ ติดใจในสีสันของไข่ปูที่เป็นสีส้ม ลูกทะเลอย่างน้องทราย มีความรู้เรื่องระยะไข่ปูด้วย เด็กหญิงบอกเสียงเจื้อยแจ้วถึงลักษณะและสีสันของไข่ปูตามช่วงเวลา ก่อนที่แม่ปูจะปล่อยไข่ว่า


"แม่ปูมีไข่ทั้งหมด 4 สี สีเหลืองอยู่กับเรา 2 วัน สีส้มอยู่กับเราอีก 2 วัน สีเทาอยู่กับเราอีก 2 วัน สีดำอยู่กับเราอีก 1 วัน พอจับปูมาได้แล้วเอาไปปล่อยในธนาคาร ปล่อยเพื่อให้ไข่มันหลุดก่อน เป็นลูกมัน ตอนโตมันก็จะเป็นปูม้าค่ะ"


เด็ก หญิงเล่าถึงช่วงเวลาแต่ละขั้นของสีไข่ปู ในช่วงเวลา 7 วันนี้แม่ปูไข่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าของกระชังแต่ละเจ้า


เรือ ประมงแล่นออกจากฝั่งไม่ไกลนัก กระชังปูลอยอยู่กลางทะเลหลายลูก เมย์เล่ากิจวัตรของเจ้าของกระชังปูแต่ละคนให้ฟังว่า


"เดี๋ยวนี้เขาจะ แยกกัน แต่บางคนก็เอากระชังไว้รวมกัน กระชังของบางคนก็อยู่ใกล้ๆ ฝั่งไม่ต้องออกไปไกล เวลาให้อาหารจะได้ไม่ต้องยุ่งยากค่ะ เวลากู้ลอบได้แม่ปูไข่มาเขาจะเอามาใส่ไว้ในกระชังของตัวเอง แล้วเขาจะเอาเหยื่อมาให้ปู อาหารที่มันชอบคือปลา แล้วก็ดูว่าตัวไหนออกไข่หมดแล้ว เขาก็จะจับไปขายต่อไปค่ะ บางคนก็เอาไปทีละตัว บางคนก็รอให้ออกไข่หมดพร้อมกันแล้วจับขึ้นไปพร้อมกันก็มีค่ะ"


ไข่ปู ม้านับแสนฟองกำลังจะได้กลับคืนสู่บ้านแห่งท้องทะเล รอวันเติบโตเป็นปูม้าต่อไป


เด็กๆ ลูกหลานชาวเลเข้าใจคุณค่าการมีอยู่ของทรัพยากรและข้อดีของการอนุรักษ์ที่ ยั่งยืน




ข้อมูลจาก....http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=14747.0 (ขอขอบคุณไว้ ณ. ที่นี้ค่ะ)

สายชล
07-07-2010, 12:27
น่าเสียดาย....ที่สองสายไม่ได้อ่านเรื่องราวของ "ลุงจาง ฟุ้งเฟื่อง ปราชญ์ชาวบ้าน นักอนุรักษ์ปูม้า แห่งอ่าวทุ่งมหา" ก่อนที่จะได้ไปทุ่งมหา มิฉะนั้นแล้ว เราจะดั้นด้นไปพบและพูดคุยกับลุงจางด้วยตัวเราเอง ซึ่งน่าจะได้ความรู้และความประทับใจมากยิ่งขึ้น...


อย่างไรก็ตาม....เราได้พบกับชายสูงอายุท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งเตรียมอวนตาถี่เล็กๆอยู่บนระเบียงบ้านที่สร้างเป็นตึกใหม่เอี่ยมอย่างดีและสวยงาม


เราถามท่านว่า..."อวนนี้จะนำไปทำอะไรจ๊ะ"


คุณลุงเงยหน้ามามองเรายิ้มๆ แล้วตอบเราว่า "จะนำไปทำกระชังปู" จากนั้น...ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปอย่างขมักเขม่น...


แม้เราจะไม่พบลุงจาง....แต่คุณลุงที่ที่เราได้พบ ก็คงจะเป็นหนึ่ง ในผู้สืบสานแนวความคิดในเรื่องการทำธนาคารปูของคุณลุงจาง...ปราชญ์ชาวบ้านแห่งอ่าวทุ่งมหาท่านนั้น....


และผลจากการสืบทอดแนวความคิดนี้ ก็ทำให้มีปูให้จับมากขึ้น นำมาซึ่งรายได้ที่สูงขึ้น จนคุณลุงท่านนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย สามารถสร้างบ้านสวยงามไว้อยู่อาศัยได้



เราอยากรู้จริงๆ.....แล้วคุณลุงจางเจ้าของความคิดธนาคารปูล่ะ ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านจะเป็นเช่นไร....

สายชล
07-07-2010, 12:39
จากอ่าวทุ่งมหา....เป้าหมายต่อไปของเราอยู่ที่ เนินทรายมหัศจรรย์ ที่ได้ยินมาว่าอยู่บริเวณเขตแดนระหว่างอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร กับ บ้านบางเบิด อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์...


ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเข้าไปทางเนินทรายมหัศจรรย์ เราบังเอิญมองไปทางซ้ายมือ เห็นป้าย "สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร" ที่ร่มรื่นและสวยงาม


ไม่แวะที่นี่ เห็นทีจะไม่ได้แล้วล่ะค่ะ....

สายชล
07-07-2010, 14:19
คุ้นๆไหมคะกับชื่อ "สิทธิพรกฤดากร"


ถ้าไม่คุ้น....แล้ว "แตงโมบางเบิด" ล่ะ.....คุ้นไหมคะ....


ถ้าไม่คุ้น....มาลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคะ....


หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร....บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/4/46/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A3_%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3.jpg


หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร (11 เมษายน พ.ศ. 2426 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514) พระโอรสในพระ เจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ที่ประสูติแต่ หม่อมสุภาพ กฤดากร ณ อยุธยา เษกสมรสกับ เจ้าหญิงศรีพรหมา ณ น่าน ทรงได้รับการยกย่องเป็น บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่

หม่อมเจ้าสิทธิพร เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ทรงพระ เยาว์ ทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ที่กรุงลอนดอน เริ่มรับราชการที่กระทรวงพระคลัง เมื่อ พ.ศ. 2444 ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมกษาปณ์ และอธิบดีกรมฝิ่น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงขอเจ้าศรีพรหมาให้อภิเษกสมรส กับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์อนุพร และหม่อมราชวงศ์เพ็ญศรี

http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Image/chosripromma.jpg

เมื่อ พ.ศ. 2464 ทรงลาออกจากราชการ เพื่อทรงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ณ บ้านบางเบิด อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หม่อมเจ้าสิทธิพร ได้ทรงบุกเบิกการเกษตรแผนใหม่ ณ ฟาร์มบางเบิด ทรงริเริ่มนำรถแทรกเตอร์มาใช้ในการเกษตรเป็นครั้งแรก ทรงเลี้ยงไก่พันธุ์เล็กฮอร์น สายพันธุ์ไข่ดก เป็นครั้งแรกที่บางเบิด ทรงสั่งพันธุ์แตงโมจากสหรัฐอเมริกา เพื่อปลูกจำหน่ายรู้จักกันทั่วไปในชื่อ แตงโมบางเบิด

หม่อมเจ้าสิทธิพร ทรงริเริ่มทดลองปลูกยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ซึ่งบ่มด้วยความร้อนจนเป็นผลสำเร็จ ณ สถานีทดลอง เกษตรแม่โจ้ ซึ่งต่อมากลายเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรทางภาคเหนือ

http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Image/home1.jpg

พระองค์ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมก่อการกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พระเชษฐา ในกบฏบวรเดช เมื่อ พ.ศ. 2476 ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต คุมขังที่เรือนจำบางขวาง แล้วย้ายไปคุมขังที่ทัณฑนิคม เกาะตะรุเตา ก่อนย้ายมาเกาะเต่า ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. 2487

หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เมื่อปี พ.ศ. 2490 และ พ.ศ. 2491 ในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ทรงเป็นประธานคณะกรรมการข้าวระหว่างชาติ ในการประชุมเมื่อปี พ.ศ. 2492, 2493 และ 2495 ได้รับรางวัลแมกไซไซ ด้านบริการสาธารณะ เมื่อ พ.ศ. 2510

หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ถึงชีพิตักษัย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2514


ข้อมูลจาก...http://th.wikipedia.org

สายชล
07-07-2010, 14:34
เมื่อเราเข้าไปในบริเวณสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร....เราได้เห็นรูปปั้นของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ตั้งอยู่ ท่ามกลางสวนหย่อมที่ตัดตกแต่งไว้อย่างดี...

สายชล
07-07-2010, 14:39
สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร ตั้งอยู่บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นฟาร์มบางเบิด ของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นักบุกเบิกการเกษตร ผู้อุทิศชีพเพื่อเกษตรกรรมและเกษตรกรไทย ในระหว่างปี พ .ศ.2463 - 2502 พระองค์ได้ทรงทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมขึ้นที่ฟาร์มบางเบิด เพื่อเป็น แบบอย่าง และเป็นทางเลือกสำหรับอาชีพของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ ต่อมา พื้นที่ ดังกล่าวได้ตกเป็นที่ราชพัสดุ และให้เกษตรกรเช่าใช้ประโยชน์


ปัจจุบัน สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 452 ไร่ 77.6 ตารางวา แบ่งเป็น 2 แปลง คือ พื้นที่ตั้งสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มีเนื้อที่ 444 ไร่ 1 งาน 68.7 ตารางวา เป็นสถานที่ก่อสร้างอนุสรณ์สถานหม่อมเจ้าสิทธิพรกฤดากร สถานที่ก่อสร้างอาคารต่างๆ แปลงทดลองระะบบเกษตรที่เหมาะสมสำหรับภาคใต้ โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ คือ ปาล์ม น้ำมัน และยางพารา และพื้นที่โครงการวิจัยด้านการประมง มีเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 8.9 ตารางวา เป็นที่ตั้งอาคารปฏิบัติการประมง ซึ่งทำงานวิจัยด้านการเพาะเลี้ยงปูม้าหรือปูทะเลเพื่อปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ เป็นหลัก


ข้อมูลจาก...http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Webpage/station_history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)



รูปปั้นที่เห็นในสถานีวิจัยฯ แห่งนี้....ทำให้เราจินตนาการได้ว่า หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงมีความสุขเพียงไร ที่ได้มาประทับอยู่ที่ฟาร์มบางเบิด ท่ามกลางสวนเกษตรและสัตว์เลี้ยงที่ท่านโปรดปราน...

สายชล
07-07-2010, 14:49
เราขับรถไปตามถนนที่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ข้างทาง....

หลังแนวไม้ด้านซ้าย เป็นอาคารที่ทำการของสถานีวิจัย และโรงเพาะชำกล้าไม้ ที่มีเยาวชนหลายคนเข้ามาศึกษางาน และมีคนงานทำงานอยู่


ส่วนด้ายซ้ายเป็นบ้านพักสีขาวทรงสูงคล้ายโรงนาฝรั่ง ตั้งอยู่บนสนามหญ้าสีเขียวขจี มีไม้เลื้อย และไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นแก่บ้านพักหลังนี้....


บ้านหลังนี้เอง ที่เคยเป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤาดากร ในฟาร์มบางเบิด มาก่อนนั่นเอง


“ฟาร์มบางเบิด” เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2463 ณ ไร่บางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พร้อมกับศรีภรรยาและลูกน้อยอีก 2 คน เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น


http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Image/palace%20w.gif


หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงค้นคว้าความรู้ด้านช่างและเกษตรกรรม ทรงเห็นว่าเกษตรกรรมที่พึ่งพืชเพียงอย่างเดียว คือ ข้าว นั้นย่อมได้ประโยชน์จากการใช้ที่ดินไม่สมบูรณ์ และทรงพิสูจน์ว่าพืชอื่นๆ ก็สามารถปลูกให้ได้ผลดีในประเทศเราเหมือนกัน โดยเฉพาะในที่ดอน โดยปลูกพืชหลายชนิดในลักษณะการเกษตรผสมผสาน มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งด้านการปรับปรุงดิน การเลือกชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ การคัดพันธุ์ ผสมพันธุ์ การบำรุงรักษาพืชที่ปลูกและสัตว์ที่เลี้ยง การให้ปุ๋ย การใช้ยากำจัดศัตรูพืช ฟาร์มบางเบิดจึงเป็นฟาร์มแห่งแรกในประเทศไทยที่ปลูกพืชคลุมต่างๆ ด้วยการปลูกหมุนเวียนในที่ดินแห่งเดียวต่างกับปลูกพืชดอนในสมัยนั้น ซึ่งส่วนมากปลูกในไร่เลื่อนลอย และเป็นแห่งแรกที่ได้ทำการอนุรักษ์ดินไม่ให้หน้าดินถูกชะล้างไป โดยการปลูกต้นมะพร้าวไว้ตามขอบแปลงเป็นแถวยาวโค้งไปตามความสูงต่ำของระดับพื้นดิน เป็นการเริ่มงานอนุรักษ์ดินที่แท้จริง


ฟาร์มบางเบิดเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้ส่งพันธุ์ปศุสัตว์โดยเฉพาะไก่กับสุกรมาเลี้ยงเป็นการค้า สำหรับไก่ที่เลี้ยงเป็นพันธุ์เล็กฮอร์นขาว หงอนแดง โดยเลี้ยงเป็นฝูงใหญ่เพื่อจำหน่ายไข่ โดยส่งจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ สำหรับหมูเป็นหมูพันธุ์ยอร์คเชีย ตัวย่อมกะทัดรัด โดยส่งจำหน่ายในตลาดปีนัง และยังเลี้ยงวัวนมที่มีน้ำนมดีสำหรับรีดเลี้ยงบุตร


http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Image/hen.gif


ที่นี่ยังเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้นำพันธุ์แตงโมจากสหรัฐอเมริกาพันธุ์ tom watson และพันธุ์ klondike มาปลูกจำหน่ายจนมีชื่อเสียงเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันดีในนามของ “แตงโมบางเบิด” แตงโมที่ผลิตได้จะจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ และปีนัง โดยการใช้เกวียนหลายๆ เล่มขนส่ง และเป็นแห่งแรกที่ได้ทดลองผลิตยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียที่บ่มด้วยความร้อน


http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Image/watermelon.gif


ถั่วลิสงที่ปลูกในฟาร์มเป็นก็เป็นถั่วชนิดฝักป้อมใช้ปลูกด้วยเครื่องจักรและ เข้าเครื่องสำหรับกะเทาะเปลือกได้สะดวกดี ข้าวโพดที่ปลูกเป็นพันธุ์ที่ส่งมาจากต่างประเทศใช้เมล็ดเลี้ยงสัตว์และตัด ต้นลงดินเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์สำหรับพืชอื่นๆ ต่อไป คนงานเป็นพวกชาวบ้านป่าแถบนั้นเอง ในระหว่างเขตของฟาร์มบางเบิดกับฟาร์มของเจ้าคุณพิพัทธกุลพงษ์มีห้วยน้ำไหล ผ่านไปลงทะเล น้ำในห้วยใสสะอาดจืดสนิทใช้บริโภคได้ และใช้น้ำในห้วยนี้สำหรับการเกษตรในฟาร์ม ซึ่งนับได้ว่าเป็นแห่งแรกที่ทำการปลูกพืชไร่และสัตว์เลี้ยงทำนองวิธีการที่ เรียกกันว่า “ไร่นาผสม”


พระองค์ทรงนำเครื่องทุ่นแรง คือ เครื่องจักรเครื่องมือเข้าใช้ ในที่ๆ วัวควายทำไม่ได้ ซึ่งการนำเครื่องทุ่นแรง เช่น รถแทรกเตอร์ในสมัยนั้นหย่อนคุณภาพ ค่าใช้จ่าย และค่าสึกหรอแพงมาก พระองค์จึงทรงใช้ทั้งวิทยาการสมัยใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาพื้นบ้านได้อย่าง เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อีกทั้งจัดให้มีการจัดระบบการเก็บสถิติการทดลอง การบันทึกค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟาร์ม ซึ่งเป็นการควบคุมต้นทุนการผลิต


พระองค์ทรงสนพระทัยเข้าคลุกคลีทำการทดลองวิจัยค้นคว้าหาข้อบกพร่อง และปรับปรุงจากการที่ทรงปฏิบัติจริงด้วยพระองค์เอง เมื่อปรากฎว่าได้ผลดีก็ได้นิพนธ์บทความชี้แจงถึงวิธีปฏิบัติการพร้อมด้วย สถิติตัวเลขประกอบ เพื่อเป็นวิทยาการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ให้แก่เกษตรกรอื่นๆ ได้ทราบและปฏิบัติตาม จึงเป็นแนวความคิดให้เกิด “หนังสือพิมพ์กสิกร” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่วิชาชีพทางประกอบกสิกรรมและเป็นสื่อนำความคิด เห็นในด้านนโยบายส่งเสริมการเกษตรของนักวิชาการเกษตรไปสู่ความรู้สึกนึกคิด ของผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองตลอดจนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน


ในช่วงบั้นปลายแห่งชีวิต ท่านสิทธิพรทั้งชราและยากจนลงมากเกินกว่าจะดูแลรักษาไร่บางเบิดซึ่งมีขนาด ใหญ่ถึง 250 ไร่ ให้มีสภาพคงเดิมได้ ท่านจึงตัดสินใจขายไร่บางเบิดให้กับรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และท่านนำเงินที่มีอยู่จาการขายไร่นี้ไปซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ที่หัวหินเพื่อทำการทดลองการเกษตรต่อไป



ข้อมูลจาก....http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/webpage/history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)


เราเห็นที่ประทับของพระองค์ท่านแล้ว ชอบมากค่ะ ถึงจะเป็นบ้านที่สร้างมาหลายปี แต่ก็ยังดูทันสมัย และน่าอยู่อาศัยเป็นที่สุด....

สายชล
07-07-2010, 14:55
ที่ด้านในสุดของสถานีวิจัยฯ เป็นเรือนพักหลังยาวๆหลายหลัง และที่ทำให้สายชลตาโตก็คือ ที่นั่นมีแปลงปลูกต้นมะขามป้อม ที่กำลังออกลูกระย้าย้อยเต็มต้น


เห็นแล้วก็อยากหาไปปลูกที่บ้าน....เราจึงลงไปถามคนงานที่นั่นว่ามีต้นมะขามป้อมขายไหม จะขอซื้อสักสองสามต้น คำตอบก็คือ "ไม่มีค่ะ ที่นี่กำลังทดลองปลูกอยู่"

สายชล
07-07-2010, 15:15
สายชลชอบทานมะขามป้อมมาก สมัยเด็กๆชอบเข้าป่าแถวบ้านทางภาคเหนือ ไปหามะขามป้อมมาทานทั้งแบบสดๆ และให้แม่บ้านดองให้ทานบ่อยๆ ทานแล้วก็ฝาดมาก แต่พอดื่มน้ำตามไปก็ชุ่มคอชื่นใจ

ทราบไหมคะ...มะขามป้อมเป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย ทุกส่วนของมะขามป้อมนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด


ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ...


‘มะขามป้อม’ สุดยอดวิตามินซี ยาอายุวัฒนะขนานเอก ช่วยบำบัดโรค

http://www.thaihealth.or.th/files/u4910/makampom----.jpg


มะขามป้อม เป็นสมุนไพรพระเอกของฤดูหนาวอีกชนิดหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญมาก ผู้เขียนเคยไปเดินป่าเก็บลูกมะขามป้อมกินสดๆ แรกๆ กัดเข้าไปทั้งฝาดทั้งขมและก็เปรี้ยว เรียกว่าหลับตาปี๋เลยทีเดียว แต่พอสักครู่เคี้ยวไปเคี้ยวมาทำไมรู้สึกว่าหวานได้ ที่สำคัญชุ่มคอจริงๆ จึงนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมะขามป้อมมาฝาก


ชื่อสามัญ...........มะขามป้อม


ชื่อวิทยาศาสตร์.... Phyllanthus emblica Linn. วงศ์ EUPHORBIACEAE


ชื่ออื่น.............. กำทวด (ราชบุรี) สันยาส่า มั่งลู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) อิ่ว อำใบเหล็ก (จีน)



ลักษณะ


มะขามป้อมเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดสูงประมาณ 7-15 เมตร ลำต้นมีเปลือกเรียบเกลี้ยง ลอกออกเป็นแผ่นๆ


ใบ ใบเดี่ยวเรียงชิดติดกันคล้ายขนนก ปลายใบยาวรี สีเขียวแก่ ยาวประมาณ 1 ซม.


ดอก ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่บนต้นเดียวกัน หนึ่งดอกมีกลีบดอกประมาณ 5-6 กลีบ มีสีเหลืองอมเขียว


ผล รูปร่างกลม ผิวเกลี้ยง เนื้อหนา รสฝาด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. เปลือกแบ่งเป็นสันความยาว 6 ซม. ภายในเนื้อมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ 6 เมล็ด


ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือกลำต้น ผล ปมที่ก้าน ราก



สรรพคุณทางยาสมุนไพรใช้ตามตำราโบราณ


รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต


รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้


เปลือกลำต้นมะขามป้อม ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิดและฟกซ้ำ


ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก


ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ


ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตาหรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง


เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน



คุณค่าทางอาหาร


มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกันคือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่าทุกส่วนของมะขามป้อมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผลมีวิตามินซีสูงมาก นับว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อมเป็นยาบำรุงและบำบัดโรค



มะขามป้อม เป็นส่วนผสมของสูตรยาตรีผลาตามตำรับยาไทยโบราณ ซึ่งประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม เพื่อล้างพิษออกจากระบบต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และระบบน้ำเหลือง



ในมะขามป้อมนั้นมีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย


ข้อมูลจาก....http://www.thaihealth.or.th/node/7188 (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)

สายชล
07-07-2010, 16:34
เราผิดหวังนิดๆที่ไม่ได้ต้นมะขามป้อมไปปลูก...แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไปหาเอาใหม่แถวร้านขายต้นไม้ในกรุงเทพฯก็ได้...


เราขับรถออกจากสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร พ้นประตูมาได้ก็เลี้ยวขวา ย้อนลงใต้ไปอีกนิดหนึ่งก็ถึงทางแยกไปทางเนินทรายมหัศจรรย์


ถนนที่ลัดเลาะไปตามคลองส่งน้ำเป็นถนนสองเลนลาดยางอย่างดี ที่มีท่าทีจะขยายเป็นถนนที่ใหญ่ขึ้นในไม่ช้านี้ พื้นที่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นทรายที่มีหญ้าปกคลุมอยู่ รถแล่นเข้าไปได้สักพัก ทางด้านซ้ายของถนนก็ปรากฎที่ดินผืนใหญ่ที่เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย เหมือนโอเอซิสผุดขึ้นกลางทะเลทราย แถมมีรั้วรอบขอบชิดขนานไปกับถนนเป็นระยะทางยาว


เรานึกชื่นชมว่าผู้เป็นเจ้าของดูแลเอาใจใส่ ในที่ดินผืนนี้ได้ดีจริงๆ


ไม่นานนักเราก็เห็นประตูทางเข้าที่ดินผืนนี้ พอเห็นป้ายที่ติดไว้ว่า "โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ชุมพร" เราก็เลยถึงบางอ้อ...


ขอจงทรงพระเจริญ


http://www.aerdi.ku.ac.th/department/sittiporn/Image/royal%20project2.jpg




โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จังหวัดชุมพร


ความเป็นมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีที่ดินส่วนพระองค์ที่บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เนื้อที่ประมาณ 448 ไร่ พื้นที่อยู่ติดทะเลสภาพเป็นดินทรายชายทะเลที่ถูกคลื่นทับถมกันเป็นเวลานานจน กลายสภาพเป็นเนินทราย (sand dune) กระจายอยู่ทั่วไป แต่เดิมสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้จัดทำโครงการวิจัยปลูกต้นไม้โตเร็วชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมากเพื่อศึกษาผล กระทบที่ดินดังกล่าว ต่อมาสำนักงานจัดการทรัพยากรที่ดินส่วนพระองค์ซึ่งดูแลรับผิดชอบดูแลที่ดิน แปลงนี้อยู่ได้นำกลับมาเพื่อพัฒนา และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับจากทรงเยี่ยม พื้นที่จังหวัดชุมพร เมื่อปี พ.ศ.2541 จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์เป็นผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาที่ดินแปลงนี้ให้เป็น ไปตามพระราชประสงค์ โดยให้อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเดิมซึ่งมีสภาพเป็นสันทรายป่าชายหาด พัฒนาพื้นที่เพื่อการเกษตร โดยการปรับปรุงดินตามความเหมาะสม เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนาส่งเสริมอาชีพและแหล่งท่องเที่ยวแห่ง ใหม่ของจังหวัดชุมพร เนื่องจากมีศักยภาพเหมาะสมทุกด้าน


วัตถุประสงค์

1. เพื่อสนองพระราชดำริพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้พัฒนาพื้นที่โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
2. เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพ ป่าที่เสื่อมโทรม ในพื้นที่เนินทราย (sand dune)
3. เพื่ออนุรักษ์ความหลาก หลายของพันธุ์ไม้ในพื้นที่สภาพเนินสันทราย และพันธุ์สัตว์ป่าไว้เป็นที่ศึกษา ของนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจทั่วไป
4. เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดชุมพร เนื่องจากมีศักยภาพที่เหมาะสมในการพัฒนา



ที่ตั้งโครงการ

ภายในพื้นที่โครงการพัฒนา ส่วนพระองค์ บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร แปลงที่ 7,8,9 และ 10 ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 250 ไร่


ข้อมูลจาก....http://www.dnp.go.th/planing/special_project/2545/south/forking.htm

สายชล
07-07-2010, 16:48
เลยโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ชุมพร ไปได้ไม่นานเราก็เห็นทะเลสีเขียวมรกตอยู่ทางด้านซ้ายมือ สองข้างถนนมีเนินทรายใหญ่ๆเหมือนภูเขากองอยู่ทั่วไป นี่ละกระมังที่เขาเรียกเนินทรายมหัศจรรย์...


พอได้เห็นป้ายข้างถนน....ก็ใช่เลยค่ะ


ชื่อเนินทรายนี้มีชื่อไพเราะเพราะพริ้งว่า "เนินทรายงามที่ชุมพร"

สายชล
07-07-2010, 16:53
แต่ปลายอีกอันหนึ่งที่อยู่ถัดเข้าไป ไม่ยักจะเรียกชื่อเหมือนป้ายข้างต้น แต่กลับเรียกว่า "มหัศจรรย์สันทราย" หรือ "Sand Dune Wonder"


จะเรียกชื่ออย่างไรกันแน่ก็น่าจะตกลงกันให้ดีเสียก่อนนะคะ.....

สายชล
07-07-2010, 16:59
ไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับเนินทรายงามมหัศจรรย์ที่ชุมพรมา ได้ความดังนี้ค่ะ....


เนินทรายงามชุมพร ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว ใกล้กับโครงการส่วนพระองค์ ริมเส้นทางเลียบชายหาดอ่าวบ่อเมา-หาดบางเบิด ช่วงที่ผ่านหาดถ้ำธงจะเห็นเนินทรายธรรมชาติ ริมถนนด้านขวามือเป็นระยะทางยาว มีป้ายบอกไว้ว่า"หนึ่งในสยาม เนินทรายงามที่ชุมพร" (The most distinct Thai sand dune in Chumphon" และมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเนินทรายงาม เพื่อการเรียนรู้และอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นแผ่นหินเรียงเป็นทางเดินระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินประมาณ 45 นาที

ปรากฏการณ์เนินทรายริมชายหาดแห่งนี้เกิดจากอิทธิพลของพายุรุนแรงริมฝั่งทะเล ในฤดูมรสุมที่พัดพาทรายมาทับถมกันกลายเป็นเนินเขาย่อม ๆ ประกอบกับอิทธิพลของความแห้งแล้งแสงแดดกล้านอกฤดูมรสุมทำให้มีลักษณะ ธรรมชาติบริเวณนี้เหมือนทะเลทราย


หากมาเที่ยวในช่วงกลางวันที่มีแดดแรงระหว่างเวลา 10.00น.-16.00 น.จะรู้สึกร้อนมาก จึงเหมาะที่จะมาเที่ยวชมในช่วงเวลาเช้าและเวลาเย็น ซึ่งสามารถศึกษาพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณนี้ได้โดยไม่ร้อนจนเกินไป และไม่ควรเดินออกนอกเส้นทางที่ทำไว้ หากแพ้แมลงสัตว์กัดต่อยควรนำยาแก้แพ้ไปด้วย


ข้อมูลจาก....http://www.mochit.com/place/649

สายชล
07-07-2010, 17:06
เห็นสภาพทางเดินที่เป็นแผ่นหินเรียงไว้ ดูระเกะระกะหาเป็นทางเดินไม่ ประกอบกับตอนที่ไปถึง เป็นช่วงใกล้เที่ยงที่แดดแผดเปรี้ยง สองสายเลยเลี่ยงที่จะเดินไปตามทางเดิน ที่เขาเตรียมไว้ให้เดินที่มีทรายร้อนฉ่า แต่เลี่ยงไปเดินในป่าสน ที่ใบสนตกลงมาคลุมทรายหนา ซึ่งเดินได้สบายเท้าและมีร่มเงาบังแดด ทำให้ไม่ร้อนจัดแทน...

สายชล
07-07-2010, 17:10
แต่ชายหาดที่สูงชันแถวสวนสน ทำให้เราต้องทนฝ่าทรายร้อนและแดดร้อนๆ ลงไปเดินตามทางที่เขาทำไว้ให้ในที่สุด....


อู้ยยยย....เท้าพอง....

สายชล
07-07-2010, 17:16
ลงมาที่หาดทรายได้....ต้องรีบวิ่งไปหาร่มเงาของต้นสนริมชายหาดเพื่อหลบแดดที่แผดเผา...


หันกลับไปมองที่เนินทราย....


อืมมมม....มันก็เหมือนกองทรายที่เคยเห็นอยู่สองข้างทาง แต่ดูสูงกว่ามาก....


แปลกดีค่ะ....แต่ไม่ชอบใจขยะที่กองอยู่กลื่อนกลาดหน้ากองทรายและทั่วไปตลอดชายหาด

สายชล
07-07-2010, 17:20
ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็เห็นแต่ขยะ....ขยะ...ขยะ....

สายชล
07-07-2010, 17:21
น่าไปจัดกิจกรรมเก็บขยะที่นี่จริงๆเลยนะคะ....

สายชล
07-07-2010, 17:26
คุณสายน้ำขอแยกตัวไปเดินดูเนินทรายทางด้านใต้ของชายหาด....ส่วนสายชลขอนั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นสนริมทะเลดีกว่า...


เนินทรายยังทอดตัวยาวขนานไปตามชายหาดถ้ำธง มีเนินทรายสูงๆต่ำๆต่อเนื่องกันไปจนสุดชายหาด....


ดูเหมือนขยะตรงบริเวณที่ไกลออกไปจะน้อยลงกว่าจุดที่เป็นเนินสูงที่สุด...

สายชล
07-07-2010, 17:31
เดินฝ่าแดดไปราวสิบกว่านาที คุณสายน้ำก็เดินหน้าแดงกลับมาบอกว่า ด้านโน้นสวยและสะอาด และเห็นว่าเป็นเนินทรายมากกว่าบริเวณที่สายชลนั่งคอยอยู่มาก...แถมยังมีรูปปั้นโลมาคู่ตั้งอยู่บนเนินทรายด้วย....


ช่างเถอะ....อย่างไงสายชลก็ไม่ยอมเดินไปดูเองแน่ๆ...

สายชล
07-07-2010, 17:37
เห็นนักท่องเที่ยวัยรุ่นสองสามคนกับลูกสุนัขอีกหนึ่งตัว เดินฝ่าแดดเดินอยู่บนชายหาดถ้ำธงที่ตั้งของเนินทรายงามอย่างไม่อนาทรร้อนใจแล้วต้องนึกสรรเสริญอยู่ในใจ....


ช่างทนแดดทนลมได้เก่งจริงๆเลยลูก...

สายชล
07-07-2010, 17:43
ขากลับไปขึ้นรถ...สองสายลงทุนเดินอ้อมไปทางป่าสนที่ร่มรื่น แม้จะเดินไกลหน่อย แต่ก็เย็นสบายดีค่ะ....


เห็นรากต้นสนต้นนี้แล้ว หวั่นๆอยู่ว่าอีกไม่นานแรงลม จะทำให้ต้นสนล้มครืนลงมาแน่ๆ

สายชล
07-07-2010, 17:48
ใบสนที่ทับถมลงมาเหนือเนินทรายนั้นหนาเป็นฟุต เวลาเดินแล้วนุ่มและเนียนเท้าเป็นที่สุด


สายชลอย่างจะล้มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งบนเนินทรายใต้ทิวสนเสียจริงๆ.....

สายชล
07-07-2010, 18:45
เมื่อนั่งอยู่ที่ใต้ต้นสนใกล้เนินทรายงาม....เรามองเห็นหมู่บ้านเล็กๆที่ปลายแหลมด้านใต้ของหาดถ้ำธง ใกล้ๆกับภูเขาสูงใหญ่


อย่างเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่หมู่บ้านนั้นจริงเลยล่ะค่ะ


ไม่รอช้า....เราขับรถตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านนั้นทันที...


เมื่อไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น เราก็พบว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่มีเรือประมงพื้นบ้านจอดอยู่หลายสิบลำ...

สายชล
07-07-2010, 19:46
มองไปทางเหนือ.....อ่าวถ้ำธงทอดตัวยาว มีเนินทรายสีขาวแซมเขียวของใบหญ้า และทิวสนเห็นเป็นแนวยาวตลอดชายหาด...

สายชล
07-07-2010, 19:51
และเหมือนหมู่บ้านอื่นๆในละแวกนี้....แนวเขื่อนปูนริมชายฝั่ง กลายเป็นที่วางแผงตากหมึกที่ถูกจับมาจากทะเลนอกชายฝั่ง...

สายชล
07-07-2010, 19:53
หมึกมากมายที่ถูกจับจากทะเลทุกเมื่อเชื่อวัน......สักวันหมึกจะหมดไปจากทะเลไหมนะ...

สายชล
07-07-2010, 19:58
ชาวประมงหญิงวัยกลางคน..แม่ของลูกแฝดตัวน้อย นั่งทำปลาอยู่หน้าบ้าน....

สายชล
07-07-2010, 20:02
เด็กหญิงแฝดทั้งสองคน หน้าตาผิวพรรณและกิริยาท่าทางเหมือนกัน จนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร....


แฝดน้อยชอบเป็นดาราหน้ากล้องมากค่ะ...

สายชล
07-07-2010, 20:04
แต่พอยิ้มยิงฟัน....เราก็เห็นความไม่เหมือนกันของฝาแฝดคู่นี้


คนหนึ่งฟันเรียบสวย.....แต่อีกคนหนึ่งฟันห่าง.. .เก....ไม่เป็นระเบียบ....

สายชล
07-07-2010, 20:10
มิน่าล่ะ....แม่หนูที่ฟันเก จึงไม่ค่อยจะยอมยิ้มเปิดปาก ในขณะที่อีกคนชอบยิ้มร่าเห็นฟันสวย....

koy
07-07-2010, 20:13
สายชลชอบทานมะขามป้อมมาก สมัยเด็กๆชอบเข้าป่าแถวบ้านทางภาคเหนือ ไปหามะขามป้อมมาทานทั้งแบบสดๆ และให้แม่บ้านดองให้ทานบ่อยๆ ทานแล้วก็ฝาดมาก แต่พอดื่มน้ำตามไปก็ชุ่มคอชื่นใจ

ทราบไหมคะ...มะขามป้อมเป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย ทุกส่วนของมะขามป้อมนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด


ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ...


‘มะขามป้อม’ สุดยอดวิตามินซี ยาอายุวัฒนะขนานเอก ช่วยบำบัดโรค

http://www.thaihealth.or.th/files/u4910/makampom----.jpg


มะขามป้อม เป็นสมุนไพรพระเอกของฤดูหนาวอีกชนิดหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญมาก ผู้เขียนเคยไปเดินป่าเก็บลูกมะขามป้อมกินสดๆ แรกๆ กัดเข้าไปทั้งฝาดทั้งขมและก็เปรี้ยว เรียกว่าหลับตาปี๋เลยทีเดียว แต่พอสักครู่เคี้ยวไปเคี้ยวมาทำไมรู้สึกว่าหวานได้ ที่สำคัญชุ่มคอจริงๆ จึงนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมะขามป้อมมาฝาก


ชื่อสามัญ...........มะขามป้อม


ชื่อวิทยาศาสตร์.... Phyllanthus emblica Linn. วงศ์ EUPHORBIACEAE


ชื่ออื่น.............. กำทวด (ราชบุรี) สันยาส่า มั่งลู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) อิ่ว อำใบเหล็ก (จีน)



ลักษณะ


มะขามป้อมเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดสูงประมาณ 7-15 เมตร ลำต้นมีเปลือกเรียบเกลี้ยง ลอกออกเป็นแผ่นๆ


ใบ ใบเดี่ยวเรียงชิดติดกันคล้ายขนนก ปลายใบยาวรี สีเขียวแก่ ยาวประมาณ 1 ซม.


ดอก ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่บนต้นเดียวกัน หนึ่งดอกมีกลีบดอกประมาณ 5-6 กลีบ มีสีเหลืองอมเขียว


ผล รูปร่างกลม ผิวเกลี้ยง เนื้อหนา รสฝาด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. เปลือกแบ่งเป็นสันความยาว 6 ซม. ภายในเนื้อมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ 6 เมล็ด


ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือกลำต้น ผล ปมที่ก้าน ราก



สรรพคุณทางยาสมุนไพรใช้ตามตำราโบราณ


รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต


รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้


เปลือกลำต้นมะขามป้อม ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิดและฟกซ้ำ


ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก


ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ


ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตาหรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง


เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน



คุณค่าทางอาหาร


มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกันคือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่าทุกส่วนของมะขามป้อมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผลมีวิตามินซีสูงมาก นับว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อมเป็นยาบำรุงและบำบัดโรค



มะขามป้อม เป็นส่วนผสมของสูตรยาตรีผลาตามตำรับยาไทยโบราณ ซึ่งประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม เพื่อล้างพิษออกจากระบบต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และระบบน้ำเหลือง



ในมะขามป้อมนั้นมีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย


ข้อมูลจาก....http://www.thaihealth.or.th/node/7188 (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)

พี่น้อยครับ มะขามป้อมแช่อิ่มหมดหรือยังครับ จะได้เอาไปฝากอีกครับ

สายชล
07-07-2010, 20:13
วันนี้....แม่หนูน้อยคู่แฝด จะมีอาหารเย็นเป็นต้มส้มปลาทะเลรวมมิตร.....

สายชล
07-07-2010, 20:17
มะขามป้อมยังไม่หมดเลยคร้าบบบ....น้องก้อย...


ขอบคุณมากๆคร้าบบบบ....


แต่ไปลงเรือครั้งหน้า....ขอไปเผื่อให้น้องๆสักถุงสองถุงก็ดีคร้าบบบบ.....

สายชล
07-07-2010, 20:33
เมื่อเราออกมาจากหมู่บ้านถ้ำธง...มีป้ายชี้ไปทางซ้ายมือ เชิญชวนให้ไปไหว้พระและเจ้าแม่กวนอิมที่วัดแก้วประเสริฐ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก


ไหนๆก็ไหนๆแล้ว....ไปไหว้พระกันหน่อยก็ดี


รถแล่นไปตามถนนที่ข้างทางเป็นเทือกเขาสลับกับเนินทราย....ที่น่าตกใจคือ มีการทำฟาร์มกุ้งขนาดใหญ่ ที่ขุดทรายเป็นบ่อขนาดใหญ่แล้วกรุด้วยพลาสติกดำผืนมหึมาเพื่อกันน้ำซึม


และหนือบ่อแต่ละบ่อมีสายลวดขึงถี่ๆจากเสาตรงกลาง โยงมาที่ขอบบ่อ จนดูเหมือนกระโจมคลุมเหนือบ่อทุกบ่อ


ช่างเป็นการลงทุนที่ดูมโหฬารกว่าบ่อกุ้งที่เราเคยได้เห็นมา....

สายชล
07-07-2010, 20:41
พอพ้นทิวเขามา...เราก็เห็นอ่าวที่มีป่าชายเลนขึ้นปกคลุมอยู่ ทิวทัศน์บริเวณนี้งดงามดีแท้


แต่เราเริ่มกังวลว่า...ในอนาคตอันใกล้ ฟาร์มกุ้งใหญ่โตที่อยู่ไม่ไกลจากอ่าวนี้นัก จะระบายน้ำเสียจากบ่อกุ้งมาทิ้งในอ่าวนี้ จนเกิดน้ำเน่าเหม็น ป่าโกงกางเสียหาย ในที่สุดอ่าวนี้คงหาความงามไม่ได้หรือไม่

สายชล
07-07-2010, 20:46
ที่ชายเขาด้านขวามือตรงข้ามกับอ่าวที่งดงาม......เป็นที่ตั้งของ วัดแก้วประเสริฐ อันเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมยืนขนาดใหญ่ ที่ผินพักตร์ไปทางทะเล...

สายชล
07-07-2010, 20:50
รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ประทับยืนอย่างสง่างามอยู่บนหลังคาอาคารสูง...

สายชล
07-07-2010, 20:53
เราขึ้นไปกราบเจ้าแม่กวนเสร้จแล้วก็เดินลงบันไดมา พบตั๊กแตนตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เกาะผนังอาคารสงบนิ่งไม่ไหวติง....


แม้ว่าเราจะเข้าไปดูอยู่ใกล้ๆ ตั๊กแตนตัวนั้นก็ไม่กระโดดหนีไปไหน...

สายชล
07-07-2010, 20:55
เมื่อลงมาที่ลานจอดรถ....เราเห็นต้นขนุนใหญ่ ออกลูกระย้าย้อยห้อยอยู่ตามกิ่งก้านและลำต้น...

สายชล
07-07-2010, 20:58
ที่สะดุดตาและสะดุดใจเราอย่างยิ่ง ไม่ใช่ลูกขนุนแต่เป็นป้ายที่ติดอยู่ที่ต้นขนุนเหนือหัวเรา...

สายชล
07-07-2010, 21:00
สาธุ....สาธุ....สาธุ....

ดอกปีบ
07-07-2010, 21:44
ติดตามพี่สองสายเที่ยวต่อไป

ทริปนี้เข้มข้นทั้งเนื้อหาสาระและแถมด้วยเจาะลึกวิถีชาวบ้าน สุดยอดไปเลยครับผม .. ที่ขัดอดขัดใจนิดหน่อยก็คือ หาดส่วนใหญ่มีแต่ขยะจริงๆนะครับ .. แย่จัง

สายชล
08-07-2010, 07:10
ขอบคุณจ้ะ...น้องปี๊บ...


ถ้ามีเวลา...พี่สองสายชอบขับรถเที่ยวแบบนี้มากค่ะ คืออยากจะดูอะไรก็จอดรถลงไปดู นอกจากได้รู้ได้เห็นอะไรเพิ่มขึ้นแล้ว เรายังได้สัมผัสชีวิตชาวบ้านท้องถิ่นนั้นแบบใกล้ชิดอีกด้วย...

สายชล
08-07-2010, 14:29
วันนั้น...เราดั้นด้นไปตามเส้นทางเรียบชายทะเล จากหาดทุ่งวัวแล่นมาทะลุออกถนนเพชรเกษม ที่บริเวณอำเภอบางสะพานน้อย ประจวบคีรีขันธ์


กว่าจะกลับถึงบ้านที่กรุงเทพฯ....ตะวันก็ลับฟ้าไปแล้ว....


การขับรถเรียบริมทะเลเมืองชุมพรในครั้งนี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวแบบวันเดียวจบที่เหนื่อย....รวบรัด...และเร็วรี่....


แม้จะไม่ค่อยประทับใจกับความสกปรกรกเรื้อ ขาดการดูแลเอาใจใส่ในสถานที่ท่องเที่ยวบางจุดบ้างก็ตามที แต่สองสายก็มีความสุขสนุกสนานดี และยังมีความตั้งใจที่จะเดินทางค้นหาของดีๆที่ชุมพร เพื่อตามไปดูให้เห็นกับตา และสัมผัสได้ด้วยใจต่อไปอีกเรื่อยๆ....


จนกว่าเราจะหมดแรงเดิน...

สายชล
08-07-2010, 17:10
วันที่ 11 เมษายน 2553....หนึ่งวันหลังจากการไปร่วมงาน "เปิดโลกทะเลชุมพร 2010" เราเดินทางออกจากจากทุ่งวัวแล่นตั้งแต่เช้า แล้วขับรถกลับเข้าเมืองชุมพรเพื่อออกไปที่สี่แยกปฐมพร แล้วเลี้ยวซ้ายล่องใต้ไปตามถนนเอเชียสาย 2


รถบนท้องถนนขวั่กไขว่ และดูรถทุกคันจะมุ่งหน้าลงใต้เหมือนกับเรา ใกล้จะถึงวันสงกรานต์แล้ว ผู้คนคงเริ่มจะขับรถไปเที่ยวทางใต้กัน หรือคิดอีกที เขาอาจจะพากันหนีเหตุการณ์ที่กำลังวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนถนนราชดำเนิน กลางกรุงเทพฯกันอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้


ที่รู้แน่ๆ...เราไม่ล่องใต้ไปไกลเหมือนรถคันอื่นๆ...


พอถึงทางแยกเข้าอำเภอพะโต๊ะ....เมืองแห่งภูเขาสูงและสายน้ำของชุมพร เราก็เลี้ยวขวาไปตามถนนลาดยางสายพะโต๊ะ-ราชกรูด (ทางหลวงหมายเลข 4006) เพื่อมุ่งหน้าสู่อำเภอพะโต๊ะทันที...


รถตู้เย็นซิ่งไปตามถนนระยะทาง 45 กิโลเมตร ใช้เวลาราวครึ่งขั่วโมง เราก็ไปจอดรถอยู่หน้าที่ทำการอำเภอพะโต๊ะ....

สายชล
08-07-2010, 18:26
อำเภอพะโต๊ะ ได้ชื่อว่าเป็นอำเภอที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อาทิเช่น ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำลำธาร น้ำตก เปลวหมอก และสวนผลไม้นานาชนิดตลอดปี รวมทั้ง ชาวพะโต๊ะยังเป็นผู้มีอัธยาศัยไมตรีอันดี จึงมีคำขวัญว่า "พะโต๊ะ ดินแดนแห่งภูเขาเขียว เที่ยวล่องแพ แลหมอกปก น้ำตกงาม ลือนามผลไม้"


สองสายและเพื่อนเก่าและสมาชิกในครอบครัวรวมแล้วสิบคน เคยมาที่พะโต๊ะเมื่อ 6 ปีก่อน เพื่อล่องแพไม้ไผ่ไปตามแม่น้ำหลังสวน ที่ไหลมาจากภูเขาสูง ผ่านพะโต๊ะ ไปลงทะเลที่ปากน้ำหลังสวนที่ไกลออกไป 50 กิโลเมตร ครั้งนั้นเรามีความสุขสนุกสนานกันมาก และหวังว่าจะได้กลับไปล่องแพที่พะโต๊ะอีก


สำหรับครั้งนี้.....สองสายกลับมาที่พะโต๊ะ แต่ไม่ใช่กับเพื่อนๆกลุ่มเดิม แต่เป็นน้องติ๋ว...น้องแม่หอยและน้าๆหอยอีก 4 คน รวมเป็น 8 คน ที่ตั้งใจจะมาล่องแพที่พะโต๊ะกัน


เรานั่งคอยอยู่บนรถตู้ เพื่อคอยให้คนที่เรานัดหมายมาพาเราไปที่ท่าน้ำ คอยอยู่เกือบ 15 นาทีแล้ว เห็นว่าไม่มาสักที...เราก็เลยโทรให้เขาบอกทางไปล่องแพให้เรา เมื่อรู้ว่าจะไปที่ไหน เราก็บึ่งรถออกจากหน้าที่ทำการอำเภอไปทันที


ใช้เวลาเพียง 10 นาที...เราก็ถึงร้านอาหารริมแม่น้ำหลังสวน เข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมลงแพกันเรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งรถกระบะของเจ้าของแพออกไปตามถนนเรียบแม่น้ำ เพียง 5 นาทีก็ถึงชายฝั่งที่มีแพจอดอยู่


โอ๊ะโอ....แพไม้ไผ่หายไป กลายเป็นแพท่อพีวิซีอุดหัวอุดท้ายด้วยปูน ดูมันแข็งๆชอบกล


แต่ก็ดีนะคะ ไม้ไผ่แตกง่ายกว่าท่อพีวีซี เจ้าของแพจะได้ไม่ต้องไปตัดไม้ไผ่มาเปลี่ยนบ่อยๆ ให้เปลืองไม้ไผ่ที่ต้องไปตัดมาจากป่า


แม้ว่าเราจะไม่ได้อารมณ์สุนทรีย์กลมกลืนไปกับธรรมชาติตอนได้นั่งแพไม้ไผ่ก็ตามทีเถอะ....

สายชล
08-07-2010, 19:33
น้ำในแม่น้ำหลังสวนในยามนั้น ไม่ไหลหลากล้นตลิ่งและขุ่นครั่กเหมือนอย่างที่สองสายเคยได้เห็นเมื่อห้าหกปีก่อน


น้ำที่ไหลเอื่อยๆ...เย็นๆ...และใสแจ๋ว จนเห็นกรวดก้อนกลมๆที่นอนอยู่ก้นแม่น้ำหลังสวน ทำให้เราพลอยอารมณ์ใสๆเย็นๆ เดินลงแพพีวีซีไปอย่างสบายใจ...


เรา 8 คนแยกลงไปนั่งในแพ 2 ลำๆละ 4 คน โดยมีชายพื้นเมืองถือไม้ไผ่ลำยาวถ่อเรือให้เรานั่งแพละคน


เอ....แพก็เปลี่ยนจากแพไม้ไผ่มาเป็นแพท่อพีวิซีแล้ว แต่ทำไมถ่อยังใช้ไม้ไผ่อยู่ล่ะ...

สายชล
08-07-2010, 19:38
แพที่มีน้าหอยทั้ง 4 คนนั่งไปให้คนถ่อได้สักพักเดียว....น้องแก้ว หนึ่งในน้าหอยก็ขอถ่อที่มีสำรองไว้มาช่วยถ่อที่ท้ายแพด้วยท่าทางทะมัดทะแมง....

สายชล
08-07-2010, 19:42
ส่วนแพที่มีสองสาย..น้องแม่หอย...และน้องติ๋วนั่งไปนั้น....เรานั่งเหยียดแข้งเหยีดขาคุยกันไปอย่างสบายใจ ยกหน้าที่ให้คนถ่อเรือรับผิดชอบไปตลอดทาง...

สายชล
08-07-2010, 19:50
แม่น้ำไหลคดเคี้ยวไปตามเนินเขาสูงๆต่ำๆ....


ต้นไม้ชายน้ำนานาชนิดขึ้นหนาแน่นอยู่สองฟากฝั่ง...ทำให้เกิดเงาไม้ ให้ความร่มรื่นแก่เราไปตลอดทาง...

สายชล
08-07-2010, 19:56
ต้นไม้บางต้นสูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านและรากใหญ่ยื่นลงมาในน้ำ....

สายชล
08-07-2010, 20:01
มีร่องรอยว่า ในช่วงน้ำหลาก...ต้นไม้บางต้นล้มลงขวางแม่น้ำ ต้องมีการชักลากและตัดให้พ้นทางน้ำ...

สายชล
08-07-2010, 20:03
บางช่วงน้ำตื้นเขิน....จนเราต้องลงจากแพ เพื่อให้คนถ่อเรือลากแพให้พ้นกองกรวดและหินที่โผล่พ้นน้ำ....

สายชล
08-07-2010, 20:06
เรานั่งกินลมชมวิว....กินขนม...และคุยกันไปอย่างมีความสุข....


จะเห็นว่า...ถึงน้ำจะตื้นเขินไม่เกินหัวเข่า เราก็ใส่ชูชีพติดตัวตามกฎที่คนถ่อเรือบอกเราไว้อย่างเคร่งครัด...

สายชล
08-07-2010, 20:13
แพลอยไปได้สักพัก เราเริ่มเห็นบ้านสวนของผู้มีอันจะกินและรีสอร์ตรับนักท่องเที่ยวมาพักอยู่สองสามแห่ง....


บ้านพักหลังนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงจากระดับน้ำราว 15 เมตร....สวยและน่าอยู่ดีค่ะ ได้ยินคนถ่อแพบอกว่าเป็นบ้านสวนของอดีตท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรท่านหนึ่ง ข้อเท็จจริงเป็นประการใดไม่อาจทราบได้...


ที่ไม่ค่อยชอบใจนักก็คือ ตอนเรือผ่านไปที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่นไปทั้งท้องน้ำ....


ฮึ่....เสียบรรยกาศหมด...

สายชล
08-07-2010, 20:17
น้ำบางช่วงลึกจนไม่เห็นพื้นกรวดใต้ท้องน้ำ.....


ดูแล้วลึกลับ เหมือนวังจระเข้.....กรึ๋ยยยย.....!!!


อ้าวววว....แพลำนู้น เปลี่ยนผู้ช่วยถ่อเรือจากน้องแก้ว มาเป็นน้องรักแล้ว....

สายชล
08-07-2010, 20:19
พอพบดอกไม้ป่าสวยๆ...เราก็ให้แพจอด เพื่อลงไปถ่ายภาพดอกไม้กันใกล้ๆ....

สายชล
08-07-2010, 20:24
และพอ ฝ่ายชายอยากจะยิงกระต่าย และ ฝ่ายหญิงอยากจะเด็ดดอกไม้.....เราก็ให้จอดแพเพื่อลงไปยิงกระต่ายและเด็ดดอกไม้กันในน้ำ....


เอ...อย่างนี้น่าจะเปลี่ยนจากยิงกระต่ายและเด็ดดอกไม้ มาเป็นยิงปลา....และหาหอย ดีไหมนะ....

สายชล
08-07-2010, 20:27
น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาอย่างนี้....ไม่ขึ้นแพแล้ว ลอยไปตามน้ำเรื่อยๆดีกว่า....

สายชล
08-07-2010, 20:30
อุ๊ยตาย....ว้ายกรี๊ด....เจอช่วงน้ำไหลแรงและลึกแล้ว แถมยังมีต้นไม้ขวางอยู่กลางน้ำอีก


เพื่อความปลอดภัย...ต้องรีบปีนขึ้นแพให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้...


เลยเล่นเอาแพที่มีคนอยู่ห้าคนแล้วแทบจม....

สายชล
08-07-2010, 20:34
เราผ่านสะพานที่ขาดเพราะน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากในฤดูน้ำหลากแล้ว....น่ากลัวจังค่ะ...

สายชล
08-07-2010, 20:36
อืมมม...บ่ายแล้ว....


ชักจะหิวข้าวแล้วละค่ะ...

========================================================

หมายเหตุ...เพิ่งมาสังเกตว่าไม่เห็นหน้าน้องติ๋วในทริปนี้เลย เห็นแต่ขาน้องติ๋วโผล่ออกมาในภาพนี้เท่านั้น


น่าสงสารจริงๆ.....คิกๆ

สายชล
08-07-2010, 20:40
เราใช้เวลานั่งแพกันอยู่ราวชั่วโมงเศษ ก็ถึงร้านอาหารที่เรามาเปลี่ยนเสื้อผ้าและขึ้นรถไปลงแพกันแล้วค่ะ....


เราขึ้นฝั่ง แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแห้งๆเพื่อเตรียมทานอาหารมื้อเที่ยง ที่เคลื่อนคล้อยไปเป็นมื้อบ่าย...

สายชล
08-07-2010, 20:51
เมื่อมาล่องแพที่พะโต๊ะครั้งก่อน เราได้ทานอาหารมื้อเที่ยงกันในสวนผลไม้ที่ร่มรื่นสวยงาม ทำให้เราเจริญอาหารกันมาก อะไรๆก็ดูน่าทานและอร่อยไปหมด


แต่คราวนี้เปลี่ยนมาทานมื้อเที่ยงกันในร้านอาหาร ที่จัดแต่งแบบแข็งๆไม่สวยงาม ทำให้เราไม่เจริญอาหารกันนัก แม้รายการอาหารจะมีเหมือนๆเดิม คือ


ข้าวหุงกระบอกไม้ไผ่ ไข่เจียวใบตอง ปลาทูทอดกรอบ แกงส้มหยวกกล้วยป่าหมูสามชั้น ผักกูดหั่นราดกะทิสด แกงเลียงผักรวม ใบเหลียงผัดไข่ น้ำพริกกุ้งสดและผักสดนานาชนิด

KENG@SK
08-07-2010, 20:55
รู้งี้ตอนที่ไปชุมพร(ครั้งที่เจอไอ้ด่าง)คุณพ่อก็กะว่าจะไปเหมือนกันแต่เห็นคนที่นั่นว่าน้ำน้อยเลยไม่ไปเสียดายจัง:(
ไปหลังพี่สายชลแค่2-3วันเอง

สายชล
08-07-2010, 21:13
คราวที่มาล่องแพครั้งแรก...เราได้เห็นการทำอาหารทุกอย่างกันแบบสดๆ กลางลานกว้างในสวนผลไม้


แต่คราวนี้....การทำอาหาร ทำกันในครัวปิดมิดชิด แต่เพื่อยืนยันว่าการทำอาหารของที่นี่ ยังใช้วิธีการดั้งเดิมอยู่ เจ้าของร้านเลยหอบกระบอกไม้ไผ่ที่ใช้ถุงข้าวที่ห่อด้วยใบคลุ้มมาให้เราชมกัน


วิธีการหุงข้าวแบบนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่ายกย่องจริงๆค่ะ จากที่เคยเห็นมา การหุงข้าวโดยวิธีนี้ เขาจะใช้ใบคล้าหรือใบคลุ้มนำมาห่อข้าวสารที่แช่น้ำ เพื่อให้ข้าวไม่ติดใบ แล้วเอาข้าวที่ห่อแล้วใส่ในกระบอกไม้ไผ่อันโต เติมน้ำให้เต็ม เอาใบคล้าหรือใบคลุ้มปิดปากกระบอก แล้วก็นำไปตั้งเอียงๆเหนือไฟ (เหมือนเผาข้าวหลาม) แล้วดงให้แห้ง


เมื่อจะทานข้าว ก็จะผ่ากระบอกไม้ไผ่ออกมา แกะใบคล้าหรือใบคลุ้มออกรับประทานร้อนๆ หอมและอร่อยกว่าหุงด้วยหม้อมากค่ะ...

สายชล
08-07-2010, 21:19
น้องเก่งคะ....อย่าไปเสียดายเลยค่ะ น้ำน้อยๆไม่ค่อยสนุกเท่าไรค่ะ...


ถ้าจะไปล่องแพที่พะโต๊ะ แบบน้ำไหลแรงเร็วรี่ แถมได้ไปทานอาหารในสวนผลไม้ และได้เก็บผลไม้ทานฟรีๆด้วยละก็ ต้องไปช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม นี้ค่ะ น่าจะสนุกกว่าช่วงเมษายนแน่ๆ...


ลองไปใหม่อีกสักครั้งนะคะ....แล้วจะสนุกสนานร่าเริงกว่าที่พี่สองสายไปแน่ๆค่ะ...

สายชล
08-07-2010, 21:48
คงมีคนสงสัยว่าใบคล้าและใบคลุ้มมีลักษณะอย่างไร เลยนำภาพมาให้ชมค่ะ

...........ใบคลุ้ม.............................ใบคล้า..........

http://www.sairee.net/images/1114941468/Klum9.jpg


ภาพจาก....http://www.sairee.net (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)

angel frog
09-07-2010, 08:08
เที่ยวสนุก ครบทุกรส ....ขอบพระคุณค่ะ

สายชล
09-07-2010, 21:33
ขอบคุณเช่นกันค่ะ..น้องกบ


อยากอ่านเรื่องเล่าของน้องกบบ้าง...ว่างๆมาเล่าให้ฟังหน่อยนะคะ...

แมลงปอ
10-07-2010, 08:00
หลากหลายกิจกรรม...หลากหลายวิถีชีวิต...ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องราวดีดีค่ะ

KENG@SK
10-07-2010, 21:48
ว๊าจบซะแล้วกำลังสนุกเลยจะว่าไปพ่อผมก็ไม่ได้พาไปเที่ยวแบบพี่สายชลมาหลายปีแล้วเพราะติดเรื่องเรียนๆๆๆและเรียน...
ได้มาเห็นแบบนี้แล้วอยากไปเที่ยวแบบนี้อีกบ้างจัง

ไปชุมพรทีไรไม่ได้ไปไหนสิงอยู่แถวหาดทุ่งวัวแล่นกับไปศาลกรมหลวงชุมพรเดี๋ยวไปชุมพรคราวหน้าคงต้องลองออกจากที่สิงสถิตซักครั้ง:d

แต่ลองแพพะโต๊ะก็ไกลเอาเรื่องเหมือนกันนะครับพี่สายชลจำได้ว่าต้องนั่งรถกัน2ชม.(รึมากกว่านี้จำไม่ได้)
เลยโดนตัดออกจากทริปเมื่อเดือนเมษา

สายชล
10-07-2010, 22:29
การท่องเที่ยวแบบนี้....เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าได้หลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่มีแต่ความเขียวขจีของต้นไม้...สายน้ำ....สายลม...แสงแดด...เสียงนกร้อง...และเสียงหริ่งหรีดเรไร ทำให้เรามีความสุข...สนุกสนาน และเพลิดเพลิน...


การเดินทางไปพะโต๊ะค่อนข้างจะไกลอย่างที่น้องเก่งว่า....แต่การเดินทางไม่ลำบากเลยต่ะ เพราะถนนหนทางดีกว่าที่พี่สองสายเคยไปเมื่อ 5-6 ปีก่อนมาก ถ้าขับรถไปได้เรื่อยๆไม่ติดชัด ก็ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเองค่ะ

สายชล
10-07-2010, 22:39
เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับพะโต๊ะให้นะคะ....




เมืองพะโต๊ะ เป็น เมืองโบราณในอาณาจักรศรีวิชัย มีหลักฐานปรากฏในจดหมายเหตุของชาวจูเกาะ พ. ศ.1766 และในพงศาวดารจีนราชวงศ์สุง พ.ศ.1503- 1822 ในชื่อเมืองปะตา มี สินค้าสำคัญได้แก่ หวาย ยางกิโนแดง ไม้ดำหอม หมาก และมะพร้าว


พ.ศ.2399 พระยาจรูญราชโภคากร(คอซิมเต็ก ณ ระนอง)เจ้าเมืองหลังสวนยก ฐานะบ้านพะโต๊ะเป็นหัวเมืองใย มีขุนภักดีราษฎร์(ใย ภักดี)เป็นเจ้าเมือง มี หน้าที่เก็บภาษีอากร คุมคดีแพ่งและอาญา ดูแลทุกข์สุขของประชาชน


พ.ศ.2422 ได้มีการจัดทำเหมืองแร่ดีบุกขึ้นที่บ้านปากทรง ทำให้บ้านดัง กล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากในสมัยนั้น และใน ปี 2460 กระทรวงมหาดไทยจึงได้ยกท้องที่เมืองพะโต๊ะขึ้นเป็นอำเภอ ตาม พ.ร .บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ขึ้นกับจังหวัดหลังสวน โดยมีหลวง แพ่ง ศุภการ เป็นนายอำเภอคนแรก


พ.ศ.2476 เกิดกบฎบวรเดช สิบเอก ม.จ.บัณฑิต เสนีย์วงศ์ กับพวกรวม 4 คน ได้หลบหนีมาอยู่ในพื้นที่พะโต๊ะ และก่อคดีอาญายิงพวกเดียวกันตาย จึงหลบหนี เข้าป่าเปลี่ยนชื่อเป็น เสือวิไล มีอิทธิพลอยู่ประมาณ 6 ปีเศษจึงถูกยิงเสีย ชีวิต


พ.ศ.2480 เกิดโรคไข้น้ำระบาด ชาวพะโต๊ะได้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก พวก ที่เหลืออยู่ได้พากันอพยพออกไปอยู่ที่อื่น จนเหลือประชากรน้อย ในที่สุด
พ.ศ. 2485 กระทรวงมหาดไทยจึงได้ลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอพะโต๊ะ ขึ้นการปกครอง กับอำเภอหลังสวนแทน


ในปี 2506 ได้มีการก่อสร้างถนนสายราชกรูด-หลังสวน ผ่านกิ่งอำเภอพะ โต๊ะ และ พ.ศ.2510 ได้มีการก่อสร้างโรงจักรไฟฟ้าขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้กิ่ง อำเภอพะโต๊ะเริ่มมีไฟฟ้าใช้ระหว่างเวลา 18.00-24.00 น.


พ.ศ.2522 กิ่งอำเภอพะโต๊ะตกอยู่ในเขตแทรกซึมของ ผกค.ได้มีการนำกำลัง เข้าโจมตี และเผา สภ.กิ่ง อ.พะโต๊ะถึง 2 ครั้งคือเมือ่วัน ที่ 22 ก.ค.2523 และวันที่ 4 เม.ย.2524 และในปีถัดมา 2525 ผู้คนจากทุกสาร ทิศได้เริ่มทะยอยหลั่งไหลเข้ามาจับจองผืนป่า ปลูกสวนผลไม้ ตั้งรกรากทำมาหา กิน ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนทำให้อาชีพการทำสวนผลไม้ กลายเป็น อาชีพหลักของคนพะโต๊ะไปในที่สุด


วันที่ 19 มิ.ย.2534 กระทรวงมหาดไทยจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอพะโต๊ะ อีกครั้งหนึ่ง ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอน 107 หน้า 29 มีฐานะ เป็นอำเภอชั้น 4 โดยมีว่าที่ ร.ต.ชยันต์ นาคเพชร เป็นนายอำเภอคนแรก


ในปี 2536 นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล นายอำเภอได้ริเริ่มจัดงานเทศกาล ล่องแพขึ้นเป็นครั้งแรก โดยในปี 2541 เทศกาลดังกล่าวได้รับการบรรจุไว้ใน ปฏิทินการท่องเที่ยว ของ ท.ท.ท. และได้กลายเป็นเทศกาลสำคัญของอำเภอพะโต๊ะมา จนถึงปัจจุบัน


ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 สมัยนายอำนวย จงแจ่มใส เป็นนาย อำเภอได้ย้ายที่ตั้งมาอยู่ ณ ที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ ริมถนนสายราชกรูด-หลัง สวน เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินมาจนถึงปัจจุบัน


คำว่า พะโต๊ะ มีที่มาจากคำว่า ปะตะ เป็นภาษาบาลี แปล ว่า ตก หรือ เหว ทั้งนี้สืบเนื่องจากภูมิประเทศทั้งอำเภอกว่า 6 แสนไร่ เป็น ภูเขาสูง และป่าดิบชื้นขนาดใหญ่ มีน้ำตกมากมายหลายแห่ง อีกที่มาหนึ่งให้ ความหมายว่า พะโต๊ะ มาจากชื่อเรียก ปากคลองโต๊ะ ซึ่งเป็นคลองที่ไหลมาจาก ภูเขาโต๊ะลงสู่แม่น้ำหลังสวน แต่ภาษาถิ่นเรียกสั้นเป็น ปากโต๊ะ และปัก โต๊ะ และกลายเป็น พะโต๊ะ ในที่สุด


อำเภอพะโต๊ะ เป็นอำเภอตอนใต้สุดของจังหวัด อยู่ห่างจากตัวจังหวัดชุมพรถึง 115 กม. แต่อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระนองเพียง 50 กม. ห่าง จาก กทม 578 กม.เดินทางโดยใช้ถนนเพชรเกษม เลี้ยวขวาที่อำเภอหลังสวน


พื้นที่อำเภอตั้งอยู่บนเทือกเขาตะนาวศรีต่อเนื่องกับเทือกเขาภูเก็ต เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน และผืนป่าที่กว้างใหญ่กว่า 3 ล้านไร่ที่ อุดมสมบูรณ์ และเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลังสวน ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อ เลี้ยงผู้คนมาเป็นเวลาช้านานจนถึงปัจจุบัน


อำเภอพะโต๊ะเป็นอำเภอที่ได้ฉายาว่า "เมืองแห่ง 3 ทะเล" คือ กลางคืนดูทะเลดาว ตอนเช้าดูทะเลหมอก พอแดดออกดูทะเลป่า


ข้อมูลจาก...http://www.amphoe.com/menu.php?mid=1&am=123&pv=11

koy
11-07-2010, 08:50
ขอบคุณครับ พะโต๊ะเป็นอีกที่ที่อยากไปมานานแล้ว

สายชล
11-07-2010, 23:57
ไปดำน้ำทำงานเกาะเต่า-ชุมพร เดือนสิงหาคมนี้...ไปล่องแพที่พะโต๊ะต่อก็ได้นะคะน้องก้อย...